The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 192
ไม่กี่วันต่อมาจี้เฟิงหมกมุ่นอยู่กับระบบฝึกอบรมสายลับระดับสูง เป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการสื่อสารและเครือข่ายที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ตามสิ่งที่สมองหมายเลข 1 ได้อธิบายไว้สำหรับผู้ที่ไม่เคยมีพื้นฐานกับความรู้เหล่านี้มาก่อน มันเป็นเรื่องยากมากที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจ
ท้ายที่สุดแล้วเทคโนโลยีเหล่านี้ก็เป็นของใหม่และแตกต่างจากเทคโนโลยีปัจจุบันในโลกอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเทียบกันแล้วหากจี้เฟิงต้องการที่จะเรียนรู้เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในโลกจี้เฟิงคิดว่าเขาคงจะไม่ได้มีช่วงเวลาที่ยากลำบากขนาดนี้
เหตุผลนั้นง่ายมากเพราะไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีใดๆ ล้วนมีการพัฒนาขึ้นภายในโลกและมันมีการดำรงอยู่มาตั้งแต่ต้น ยกตัวอย่างเช่นคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต แม้ว่าจี้เฟิงจะไม่เคยเรียนรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาก่อน แต่อย่างน้อยสิ่งเหล่านี้ก็เคยผ่านตาหรือเคยได้ยินเกี่ยวกับมันมาโดยตลอด และเมื่อเขาต้องเรียนรู้เขาจึงรู้จักพื้นฐานมันโดยสัญชาตญาณและสามารถเข้าใจได้โดยไม่ยากนัก
อย่างไรก็ตามจี้เฟิงไม่เคยรู้ใดๆเกี่ยวกับความรู้ที่สมองหมายเลข1 สอนมา สิ่งเดียวที่เขาเคยรับรู้มาก็คือเมื่อตอนที่เขาได้เริ่มฝึกฝนยิมนาสติกชุดที่สอง สมองหมายเลข 1 ได้ฉายม่านแสงให้เขาเห็นว่าสุดยอดสายลับระดับสูงนั้นทรงพลังมากแค่ไหน
นอกเหนือจากนั้นจี้เฟิงก็ไม่เคยเห็นอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันหรือที่จับต้องได้อีกเลย
จี้เฟิงเคยเสนอเกี่ยวกับประเด็นนี้แต่สมองหมายเลข 1 ไม่เห็นด้วยที่จะให้จี้เฟิงได้เห็นของจริง
“ทำไมถึงไม่มีครูฝึกจริงๆจังๆเหมือนกับทักษะก่อนๆให้กับผมล่ะแบบนี้มันยิ่งทำให้ผมทำความเข้าใจกับมันลำบาก มันไม่เห็นภาพอะไรเลย ความก้าวหน้าในการเรียนรู้ก็ช้ามากอีกด้วย!” จี้เฟิงไม่เข้าใจว่าทำไมสมองหมายเลข 1 ไม่ให้เขาฝึกกับของจริงไปเลย แม้ว่าเขาจะมีความสามารถในการจดจำ แต่มันไม่ได้ช่วยให้เขาเรียนรู้และเข้าใจได้ทุกอย่าง หากใครสามารถเรียนรู้และทำได้คนคนนั้นก็คงจะเป็นอัจฉริยะขั้นสูงของจริงอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าจี้เฟิงไม่ใช่อัจฉริยะอย่างแน่นอน
เกี่ยวกับประเด็นนี้สมองหมายเลข1 มีคำอธิบายว่า “มาสเตอร์ถ้าคุณเรียนรู้จากวัตถุจริง ความก้าวหน้าจะเร็วมาก แต่ถ้าหากเป็นเช่นนั้นความเชี่ยวชาญในความรู้นี้ของมาสเตอร์จะได้แค่เพียงผิวเผินเท่านั้น สิ่งที่สมองทำจะช่วยให้มาสเตอร์จดจำความรู้เหล่านี้ได้อย่างขึ้นใจ ปรับพื้นฐานให้แน่นจนซึมลึกไปถึงแก่นแท้แล้วใช้สิ่งนี้อ้างอิงในตอนเรียนกับวัตถุจริงในครั้งที่สอง”
“มันจำเป็นมากเลยเหรอที่ต้องค่อยๆเรียนรู้ไปแบบนี้”จี้เฟิงถามด้วยความไม่เข้าใจในเมื่อตราบใดที่เรียนรู้ได้ทั้งหมดแล้วฝึกฝนมันบ่อยๆก็น่าจะมีผลเท่ากันไม่ใช่เหรอ?
สมองหมายเลข1 ที่เป็นกลุ่มควันสั่นสองสามครั้ง ดูเหมือนเขาจะปฏิเสธความคิดนี้ของจี้เฟิงและไม่พอใจอย่างมากที่จี้เฟิงถามคำถามนี้ออกมา “มาสเตอร์เทคโนโลยีการสื่อสารและเครือข่าย ในฐานะที่เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดของกาแล็กซีแกมมา จะต้องไม่ใช่แค่การเรียนรู้อย่างผิวเผินเท่านั้น หรือแม้แต่แค่เชี่ยวชาญก็ยังไม่พอด้วยซ้ำ ในฐานะสายลับระดับสูงนอกจากจะต้องเชี่ยวชาญเทคโนโลยีเหล่านี้แล้วมาสเตอร์ยังจะต้องเรียนรู้ที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆให้ได้ด้วย”
“นวัตกรรม”จี้เฟิงยิ้มอย่างบิดเบี้ยว “ไอ้เรื่องพวกนี้มันไม่ใช่เป็นเรื่องของพวกนักวิทยาศาสตร์อะไรพวกนั้นเหรอ? มันมาเกี่ยวอะไรกับผมอ่ะ?”
“มันเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน!”สมองหมายเลข 1 กล่าวว่า “เพราะเครือข่ายที่เรียกว่าคอสมิกเน็ตเวิร์คของกาแล็กซีแกมมาถูกควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ส่วนกลางที่มีผู้ดูแลเป็นผู้นำระดับสูงสุด นอกเหนือจากนั้นในแต่ละประเทศก็มีเครือข่ายท้องถิ่นของตัวเอง และในเครือข่ายท้องถิ่นนี้พวกเขาต่างมีเอกราชอย่างสมบูรณ์ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือในเครือข่ายท้องถิ่นนั้นจะใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและนี่ก็เป็นความแตกต่างที่สำคัญของเทคโนโลยีระหว่างประเทศด้วย” สมองหมายเลข 1 หยุดพูดไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นจี้เฟิงยังคงเงียบเขาจึงอธิบายต่อ “ถ้ามาสเตอร์เป็นสายลับของประเทศใดประเทศหนึ่งและต้องการไปยังประเทศอื่นเพื่อขโมยข้อมูลข่าวกรองหรือทำงานบางอย่าง แล้วถ้าหากเครือข่ายท้องถิ่นของประเทศเป้าหมายเป็นการใช้เทคโนโลยีที่เกินความเข้าใจของสายลับมันจะทำให้สายลับไม่สามารถดำเนินการได้อย่างแน่นอน ภารกิจก็จะล้มเหลวโดยทันที!”
จี้เฟิงได้ยินคำอธิบายทั้งหมดก็เข้าใจได้ในทันที
สรุปได้ว่าแม้ทุกประเทศในกาแล็กซีแกมมาจะแบ่งปันเครือข่ายที่เรียกว่าคอสมิกเน็ตเวิร์คร่วมกันแต่ก็มีเครือข่ายเป็นของตัวเองเรียกว่าเครือข่ายท้องถิ่นและไม่ใช่ว่าทุกประเทศจะมีการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับเดียวกัน
รูปแบบนี้มันก็คล้ายๆกับรูปแบบเครือข่ายในปัจจุบันของโลกเราไม่ใช่เหรอ
อินเทอร์เน็ตสามารถเชื่อมโยงไปได้ทั่วโลกหากแต่ละประเทศมีอินเทอร์เน็ตไม่ว่าประเทศไหนก็สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ อย่างไรก็ตามการพัฒนาภายในประเทศก็มีความแตกต่างกันและการพัฒนาเครือข่ายก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แต่ที่ไม่เหมือนกันก็น่าจะเป็นเครือข่ายรวมที่เรียกว่าคอสมิกเน็ตเวิร์คที่ถูกควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ระดับสูงส่วนกลางโดยมีการป้องกันความปลอดภัยด้วยรหัสลับของผู้นำสูงสุดของแต่ละประเทศ ในกรณีนี้หากจี้เฟิงได้เป็นสายลับจริงๆและจะต้องปฏิบัติภารกิจในประเทศอื่นแล้วถ้าหากเทคโนโลยีเครือข่ายของอีกฝ่ายนั้นก้าวหน้าเกินไป และถึงแม้ว่าจี้เฟิงจะเข้าถึงรหัสผ่านของอีกฝ่ายได้แต่ก็จะไม่สามารถเข้าใจหรือรับข้อมูลที่สำคัญมาด้วยได้
วิธีเดียวที่จะได้ทั้งหมดและทำให้ภารกิจสำเร็จโดยสมบูรณ์ก็คือต้องมีความรู้ด้านเทคโนโลยีที่เหนือกว่าอีกฝ่าย
ดังนั้นนวัตกรรมจึงกลายเป็นทักษะที่ขาดไม่ได้
สาเหตุที่สมองหมายเลข1 ไม่อนุญาตให้จี้เฟิงได้เห็นการดำรงอยู่ทางกายภาพในตอนเริ่มต้น จริงๆแล้วก็เพื่อให้จี้เฟิงได้เข้าใจเทคโนโลยีนี้ในระดับที่ลึกมากยิ่งขึ้น และสามารถเรียนรู้จากสิ่งอื่นๆเพื่อที่จะสามารถเรียนรู้ที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ โดยจะได้ไม่ต้องถูกจำกัดรูปแบบไปโดยไม่รู้ตัว ด้วยวิธีนี้ไม่ว่าเทคโนโลยีของอีกฝ่ายจะก้าวหน้าแค่ไหนก็จะไม่สามารถหยุดจี้เฟิงได้อย่างแน่นอน “นี่ไม่เท่ากับว่ามันกำลังจะทำให้ฉันกลายเป็นแฮ็กเกอร์หรอกเหรอ”จี้เฟิงพึมพำกับตัวเอง ตามความเข้าใจของเขานี่มันไม่ต่างการฝึกฝนให้ตัวเองกลายเป็นแฮ็กเกอร์! เหมือนอย่างในภาพยนตร์ที่แฮ็กเกอร์มักจะไปขโมยข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม
“การทำแบบนี้มันผิดกฎหมายนี่!”จี้เฟิงหน้านิ่ว
เปรี๊ยะๆ!
ทันใดนั้นเสียงกระแสไฟฟ้าก็ดังขึ้นและในเวลาถัดมาจี้เฟิงก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาแข็งทื่อทันทีและความรู้สึกเจ็บปวดจนชาก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
“คุณสมองคุณทำผมทำไมเนี่ย!” จี้เฟิงโวยวาย “ทำไมอยู่ๆถึงใช้พลังกระแสไฟฟ้าชีวภาพทำร้ายผมล่ะ?”
“ก่อนหน้านี้มาสเตอร์ได้ทำการตกลงกับสมองในเรื่องของการเรียนรู้และการฝึกฝนการเคลื่อนไหวท่วงท่าของยิมนาสติกไว้ว่าถ้าเมื่อใดที่มาสเตอร์เบื่อหน่ายกับการเรียนรู้มาสเตอร์จะต้องถูกลงโทษ!” สมองหมายเลข 1 อธิบาย
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบนสมองหมายเลข 1 จะเข้มงวดเกินไปแล้ว ฉันแค่บ่นเล่นๆแค่นี้ต้องถึงกับโดนลงโทษเลยเหรอเนี่ย จี้เฟิงไม่ได้พูดออกมาเขาได้แต่นึกในใจ ใครจะรู้ว่าสมองหมายเลข 1 จะลงโทษเขาอีกหรือเปล่า
จี้เฟิงยิ้มอย่างเหนื่อยใจ“เอาล่ะ งั้นเราก็ไปเรียนกันต่อเถอะ”
“ไม่รู้ว่าการสอนที่น่าเบื่อนี้จะจบลงเมื่อไหร่เฮ้อ~!” จี้เฟิงได้แต่บ่นในใจ
อย่างไรก็ตามความสามารถในการปรับตัวของเขานั้นดีเยี่ยมจี้เฟิงสามารถตั้งสมาธิได้อย่ารวดเร็ว เขาฟังคำอธิบายของสมองหมายเลข 1 ต่อไปและตั้งใจอย่างมากเพื่อที่จะจดจำทุกคำที่สมองหมายเลข 1 พูด จี้เฟิงกลัวว่าหากเขาเรียนรู้ช้าไปสมองหมายเลข 1 จะคิดว่าเขาเบื่อหมดความกระตือรือร้นแล้วจะโดนช็อตด้วยกระแสไฟฟ้าชีวภาพอีก และเหตุผลสำคัญก็คือเขาต้องการที่จะเรียนรู้ให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้สร้างม่านแสงวิเศษนั้นให้ได้โดยเร็วเมื่อถึงเวลานั้นวงการวีดิทัศน์จะต้องสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน!
………
เมื่อจี้เฟิงออกมาจากจิตใต้สำนึกร่างกายของเขาก็มีเหงื่อออกท่วมเต็มไปหมดจิตวิญญาณของเขาอ่อนเพลียขึ้นเล็กน้อย การฝึกยิมนาสติกชุดที่สองตลอดเวลาพร้อมกับการเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆอย่างขยันขันแข็งซ้ำแล้วซ้ำเล่านี่เป็นการใช้พลังงานอย่างมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตามในขณะที่จี้เฟิงเหนื่อยล้าทางจิตใจและเขากลับรู้สึกว่าร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังเขารู้สึกว่าหากจะต้องฆ่าวัวด้วยมือเปล่าในตอนนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องยาก และที่แปลกไปกว่านั้นก็คือเขาไม่ได้กินอาหารเลย แต่เขากลับไม่รู้สึกหิวแม้แต่นิดเดียว
“ดูเหมือนว่าการฝึกยิมนาสติกชุดที่สองจะเป็นการฝึกกำลังภายในที่พวกปรมาจารย์มักจะนำไปฝึกเวลาถือศีลในป่าอย่างในภาพยนตร์อะไรแบบนี้สินะ” จี้เฟิงนอนลงบนเตียงและหลับตาลง เขาต้องการที่จะฟื้นพลังให้ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ พลางคิดในใจว่าผลของการออกกำลังกายชุดที่สองนี้ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นยิมนาสติกอีกต่อไป
มันคงจะตลกน่าดูหากการฝึกยิมนาสติกมันจะทำให้สามารถสร้างกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายมนุษย์ได้ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง ยิมนาสติกคงจะเป็นที่นิยมไปทั่วโลกตั้งนานแล้ว!
ทันใดนั้นหัวใจของจี้เฟิงก็กระตุกเล็กน้อยการเคลื่อนไหวด้วยท่วงท่าแห่งยิมนาสติกที่จะโด่งดังไปทั่วโลก
ถ้าฉันสอนการฝึกฝนยิมนาสติกเหล่านี้ให้กับจางเล่ยและถงเล่ยล่ะมันจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับพวกเขาใช่หรือเปล่า?
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้จี้เฟิงก็ตั้งสมาธิและกลับเข้าไปสู่จิตใต้สำนึกของเขาอีกครั้ง “มาสเตอร์ต้องการอะไรหรือไม่”สมองหมายเลข 1 ถามขึ้นทันทีเมื่อพบว่าจี้เฟิงกลับเข้ามาอีกครั้ง
จี้เฟิงกลับเข้ามาเพื่อที่จะถามเรื่องยิมนาสติกแต่เขาไม่ได้สังเกตว่าคำพูดของสมองหมายเลข 1 ดูเป็นมนุษย์มากขึ้น เพราะถ้าหากเป็นเมื่อก่อนเวลาจี้เฟิงกลับเข้ามา สมองหมายเลข 1 ไม่เคยถามเลยว่าจี้เฟิงต้องการทำอะไร
“คุณสมองผมอยากรู้ว่าถ้าผมเอายิมนาสติกนี้ไปฝึกสอนให้คนอื่นมันจะเกิดปัญหาอะไรหรือเปล่า” จี้เฟิงถามเข้าประเด็นทันที
“ระบบนี้เป็นของมาสเตอร์หากตอนนี้มาสเตอร์ต้องการจะสอนให้แก่ผู้อื่นก็ถือว่าเป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมของมาสเตอร์!” สมองหมายเลข 1 กล่าว
จี้เฟิงดีใจมากเขาพยักหน้าอย่างกระตือรือร้นและกล่าวว่า “แล้วถ้าจะฝึกให้กับคนธรรมดาๆ กว่าจะเห็นผลนี่มันต้องใช้เวลานานแค่ไหนเหรอ”
“เรียนมาสเตอร์มันขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ฝึกฝน ยกตัวอย่างมาสเตอร์ที่สามารถประสบความสำเร็จได้ในช่วงเวลาสั้นๆของการเคลื่อนไหวยิมนาสติกชุดแรกได้ภายในหนึ่งปีนั่นเป็นเพราะได้รับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นและเหตุผลสำคัญคือมาสเตอร์ได้รับการกระตุ้นของกระแสไฟฟ้าชีวภาพ!” สมองหมายเลข 1 อธิบายให้จี้เฟิงฟัง “หากไม่มีการกระตุ้นของกระแสไฟฟ้าชีวภาพตามข้อมูลทางกายภาพของมนุษย์ที่รวบรวมโดยสมอง กว่าจะฝึกฝนสำเร็จจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามปี”
“สามปี…”จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว “สามปีมันนานเกินไป พอจะมีวิธีที่จะช่วยย่นระยะเวลาได้หรือเปล่า”
“ต้องกลับไปที่ต้นแบบผู้คิดค้นจะต้องมีวิธีการอย่างแน่นอน แต่มาสเตอร์ไม่สามารถทำได้ในตอนนี้” สมองหมายเลข 1 กล่าว
“มันต้องมีวิธีอะไรที่พอจะทำได้บ้างแหละหน่า!”จู่ๆจี้เฟิงก็รู้สึกมีพลังฮึกเหิมขึ้นมา ถ้าตอนนี้ยังทำไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตเขาจะทำไม่ได้
“การเคลื่อนไหวยิมนาสติกชุดที่สองที่มาสเตอร์กำลังทำอยู่ในช่วงนี้จะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของมาสเตอร์และเมื่อกระแสไฟฟ้าชีวภาพของมาสเตอร์สะสมไปจนถึงระดับหนึ่งมาสเตอร์จะสามารถจัดการและเคลื่อนย้ายไปยังร่างกายของผู้อื่นได้ แล้วถ้ามาสเตอร์สามารถควบคุมได้อย่างชำนาญแล้วมาสเตอร์ก็จะบรรลุผลในสิ่งที่ต้องการ” สมองหมายเลข 1 อธิบาย
จี้เฟิงเข้าใจได้ในทันทีว่าเขาจะมีแค่ความต้องการอย่างแน่วแน่เพียงอย่างเดียวไม่ได้แต่เขาจะต้องมีความสามารถให้เพียงพอด้วย
จี้เฟิงยังคงไม่ละความพยายามเขาถามสมองหมายเลข1 ต่อไปอีกว่า “แล้วเมื่อไหร่ผมถึงจะสะสมพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพได้เพียงพอจนสามารถส่งมอบไปให้คนอื่นได้”
“อย่างน้อยมาสเตอร์จะต้องถ่ายโอนพลังไฟฟ้าชีวภาพไปยังทุกส่วนและทุกซอกทุกมุมของร่างกายให้ได้เสียก่อนจากนั้นถึงจะสามารถส่งไปยังผู้อื่นได้” สมองหมายเลข 1 ตอบ
“ทุกซอกทุกมุม”จี้เฟิงรู้สึกอึ้งไปพอสมควร ด้วยระดับในปัจจุบันของเขา ไม่เคยทำได้มากไปกว่าการไหลเวียนกระแสไฟฟ้าชีวภาพไปตามแขนขาและท้องส่วนล่าง ยังเป็นหนทางอีกยาวไกลที่จะสามารถทำให้กระแสไฟฟ้าชีวภาพไหลเวียนไปยังทุกซอกทุกมุมของร่างกายได้
“ถ้าให้คุณสมองช่วยประมาณการว่ากว่าที่ผมจะทำแบบนั้นได้ต้องใช้เวลานานแค่ไหน”จี้เฟิงรู้สึกเป็นวิตกกังวลอยู่พอสมควรเพราะเขารู้ดีว่าการฝึกฝนชุดฝึกยิมนาสติกเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าเขาสามารถฝึกมันให้กับคนธรรมดาทั่วไปได้เร็วขึ้นแม้จะเพียงวันเดียวมันก็มีแต่ผลดี เพราะการฝึกฝนชุดยิมนาสติกเหล่านี้มันก็เหมือนกับการได้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้แบบปกติเลยก็ว่าได้ และจะดีมากหากได้ฝึกฝนตั้งแต่อายุยังน้อยๆ เพราะจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าตอนอายุมากแล้ว
“เรียนมาสเตอร์จากระดับปัจจุบันของมาสเตอร์อาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองเดือนในการส่งกระแสไฟฟ้าชีวภาพไปทุกซอกทุกมุมของร่างกาย แต่มาสเตอร์จะต้องทำทุกวันอย่างต่อเนื่องในตลอดระยะเวลาสองเดือนนี้” สมองหมายเลข 1 กล่าว
“สองเดือนแจ่มเลย!” จี้เฟิงดีใจมากเขาพยักหน้าอย่างแรง
เมื่อสมองเห็นท่าทีที่กระตือรือร้นของจี้เฟิงสมองหมายเลข1 จึงรีบอธิบายเสริมว่า “แต่มาสเตอร์ควรให้ความสนใจในเรื่องนี้โดยละเอียดเพราะเมื่อทำการส่งกระแสไฟฟ้าชีวภาพไปยังคนธรรมดาเป็นครั้งแรก มาสเตอร์จะไม่สามารถส่งกระแสไฟฟ้าชีวภาพที่รุนแรงเกินไปได้ เพราะร่างกายของคนธรรมดาจะไม่สามารถทนได้”
จี้เฟิงจดจำข้อควรระวังไว้ในใจ