The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 201 ทางรอดจากนกอินทรี
แม้แต่ถังไห่เว่ยยังอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงแม้จะมีผู้ชายไม่น้อยที่ไม่ชอบรถหรือแม้แต่คนที่โง่ที่สุดก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เคยได้ยินคำว่า มาเซราติ มันเป็นรถสปอร์ตระดับโลกอย่างไม่ต้องสงสัยมัน
แต่ผู้ชายที่ชื่อต้วนเผิงกลับให้ของขวัญในการเจอกันครั้งแรกเป็นรถมาเซราติ!นี่มันเกินไปหรือเปล่า…
“นี่มันแพงเกินไปฉันคงรับไว้ไม่ได้!” เซียวหยูซวนรีบปฏิเสธด้วยความรีบร้อน
จี้ช่าวเหลยโบกมือและหัวเราะ“น้องสาว ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องบอกเธอว่าฉันเป็นพี่ชายที่แย่มากแค่ไหนที่ไม่สามารถหาของขวัญมามอบให้ได้ทันเวลา แล้วอีกอย่างรถคันนี้เป็นรถลักลอบนำเข้ามันถูกประมูลมาได้หลังจากที่ถูกยึดมาโดยกรมศุลกากร มาเซราติคันนี้มันไม่ได้ดีอะไรมากขนาดนั้นหรอก แต่มันเหมาะที่จะให้สาวๆขับนะ ดังนั้นอย่าปฏิเสธเลย” “เหอะไม่ดีบ้าอะไรล่ะ มันดีกว่ารถที่ฉันใช้อยู่อีก!” ต้วนเผิงพูดขัดคอจี้ช่าวเหลยอย่างไร้ความปราณี
เซียวหยูซวนไม่รู้จะทำทำอย่างไรจึงมองไปที่จี้เฟิงเพื่อขอความช่วยเหลือ
“ไม่เห็นเป็นไรคนกันเองทั้งนั้น รับไปเถอะ!” จี้เฟิงยิ้ม ตั้งแต่จี้เฟิงเห็นจี้ช่าวเหลยพี่รองของเขาพาต้วนเผิงมา และไม่ว่าตัวตนของต้วนเผิงจะเป็นอย่างไร จี้เฟิงก็จะไม่ปฏิเสธเพราะเห็นแก่หน้าของจี้ช่าวเหลย
“ฮ่าฮ่า~!น้องสามพูดถูกต้อง!” จี้ช่าวเหลยหัวเราะ จากนั้นเขาก็หันหน้าไปถามเซียวฉางเหอว่า “คุณลุงเปิดบริษัทยาเหรอ”
เซียวฉางเหอพยักหน้าเล็กน้อยและยิ้ม“มันเป็นแค่บริษัทเล็กๆ ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ต้องเอามาคุยกันหรอก”
“ไม่ว่าอะไรก็ยิ่งใหญ่ได้ทั้งนั้นบริษัทที่ใหญ่โตทุกวันนี้ต่างก็พัฒนามาจากบริษัทเล็กๆกันทั้งนั้น” จี้ช่าวเหลยยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “คุณลุงเคยคิดที่จะร่วมมือกับโรงพยาบาลใหญ่ๆบ้างหรือเปล่า”
“หือ”เซียวฉางเหออึ้งอยู่ครู่หนึ่ง
จี้ช่าวเหลยยิ้มและกล่าวต่อไปว่า“ลืมไป ฉันคงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีน้องสามคอยช่วยเหลืออยู่ทั้งคน”
“ผมไม่คุ้นเคยกับเจียงโจวผมคิดว่าเรื่องนี้ให้พี่รองเป็นคนจัดการน่าจะดีกว่า” จี้เฟิงรู้ดีว่าคำพูดของจี้ช่าวเหลยหมายถึงอะไรและเขาก็ยิ้มออกมาทันที
“ถ้าอย่างงั้น…”จี้ช่าวเหลยพูดทิ้งช่วงไปสักพักแล้วพูดต่อว่า “คุณลุง ถ้าคุณโอเคพรุ่งนี้ผมจะบอกให้ผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อของโรงพยาบาลเพื่อประชาชนที่ 1 ไปเยี่ยมคุณลุงแล้วกัน เขาอาจจะพูดถึงเรื่องที่มันเฉพาะเจาะจงนิดหน่อย แต่คุณลุงอย่าใจอ่อนกับเขาเกินไป อย่าไปให้ผลประโยชน์ใดๆกับพวกเขา เดี๋ยวนี้แม้ว่าจะเป็นโรงพยาบาลต่างก็มีด้านมืดกันทั้งนั้นถ้ามีเรื่องของธุรกิจมาเกี่ยวข้อง แต่ถ้าคุณลุงมีปัญหาอะไรคุณลุงสามารถติดต่อน้องสามโดยตรงได้เลย” “โรงพยาบาลเพื่อประชาชนที่1…” เหมือนตอนนี้สมองของเซียวฉางเหอจะหยุดทำงานไปบางส่วน เขาไร้การตอบสนอง โรงพยาบาลที่จี้ช่าวเหลยพูดถึงเป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในเจียงโจว แล้วถ้าหากสามารถทำสัญญาร่วมธุรกิจกับโรงพยาบาลระดับนี้ได้บริษัทยาของเขาจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วได้ในระยะเวลาอันสั้น!
“ที่เดียวไม่พอเหรอ”จี้ช่าวเหลยเห็นเซียวฉางเหอเงียบไปจึงคิดว่าบริษัทของเซียวฉางเหออาจจะใหญ่กว่าที่เขาคิด เขาจึงถามขึ้นทันที “อืม.. ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ผมจะให้คนจากโรงพยาบาลที่ 2 และ 3 ไปเยี่ยมคุณลุงพร้อมกันสามโรงพยาบาลเลยแล้วกัน เท่านี้น่าจะเพียงพอแล้ว… ใช่มั้ย?”
“พอ!พอแน่นอน!” เซียวฉางเหอกล่าวด้วยความลนลานเล็กน้อย สามโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในเจียงโจว! เซียวฉางเหอตกใจมาก แต่เมื่อเขาลองพยายามครุ่นคิดอย่างหนัก เขาก็รู้สึกว่ามันจะเป็นเรื่องง่ายๆแบบนี้ได้ยังไง จะมีซักกี่คนที่สามารถทำแบบนี้ได้ ไม่ใช่ว่าเขาแค่อาจจะหมายถึงไปช่วยพูดให้เฉยๆ ซึ่งไม่ได้มีอะไรสามารถรับประกันได้ว่า โรงพยาบาลใหญ่ทั้งสามแห่งจะทำตามคำขอของเขาจริงๆ?
เมื่อเห็นท่าทางที่ตกใจเหมือนไม่อยากจะเชื่อของพ่อเธอเซียวหยูซวนก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “พ่อ ในเมื่อพี่รองของจี้เฟิงพูดมาแบบนี้พ่อก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป พ่อลองคิดดูดีๆสิ ใครบ้างที่ใช้นามสกุลจี้ในเจียงโจว”
“นามสกุลจี้…”ทันใดนั้นเซียวฉางเหอก็ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้และสิ่งที่เขาคิดได้มันก็ทำให้ดวงตาของเขาเบิกกว้าง
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นแต่หลิวซูหงและคนอื่นๆต่างก็แสดงสีหน้าตกใจออกมาทันที
“คุณ..คุณเป็นลูกชายของเลขาจี้…”เซียวฉางเหอถามด้วยความประหลาดใจ
จี้ช่าวเหลยโบกมือและพูดว่า“เขาก็คือเขาฉันก็คือฉัน คุณลุงไม่เห็นต้องสนใจเลย ที่ฉันอยู่ที่นี่วันนี้เป็นเพราะอยากจะมาหาน้องสามและแฟนของเขาเท่านั้น และมันจะดีมากถ้าคุณลุงจะเรียกฉันว่าช่าวเหลยเฉยๆก็พอ”
“ฮ่าฮ่า…”เซียวฉางเหอขำแห้งๆ ไม่ว่ายังไงคำว่าช่าวเหลยก็คงไม่สามารถออกมาจากปากของเขาได้ แม้ว่าลูกชายของเลขาธิการคณะกรรมการพรรคเทศบาลเจียงโจวจะเป็นกันเองและสุภาพกับผู้อาวุโส แต่มันก็ค่อนข้างจะอึดอัดหากจะให้เขาทำตัวเป็นผู้อาวุโสกับคนระดับนี้
อย่างไรก็ตามยังมีอีกสามสี่คนที่น่าจะอึดอัดยิ่งกว่าเซียวฉางเหอนั่นก็คือครอบครัวของหลิวซูหงและถังไห่เว่ยซึ่งพวกเขานั้นช่างเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองและคิดว่าตัวใหญ่ที่สุดในที่นี้มาโดยตลอด
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าพี่ชายคนที่สองของจี้เฟิงจะเป็นถึงลูกชายของเลขาธิการคณะกรรมการพรรคแห่งเจียงโจวแล้วถ้าอย่างนั้นตัวตนของจี้เฟิง….
ซูชางหยวนและหลิวซูหงสองสามีภรรยาต่างมองหน้ากันและกันอย่างช่วยไม่ได้และแน่นอนว่าพวกเขาต่างเห็นความตกตะลึงอยู่ในสีหน้าและแววตาของอีกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลิวซูหงยิ่งตกใจมากเป็นพิเศษ ไม่นะ! ก่อนหน้านี้เธอได้ทำอะไรลงไป!
“ฉันลืมแนะนำไปนี่เป็นเพื่อนของฉัน ต้วนเผิง!” จี้ช่าวเหลยตบไหล่ต้วนเผิงอย่างแรงและยิ้มให้คนอื่นๆและเขาอดไม่ได้ที่จะแอบขำเมื่อเห็นสายตาที่งงงวยของจี้เฟิง “ต้วนเผิงและฉันเราโตมาด้วยกัน เขาเป็นเพื่อนที่เปรียบเสมือนครอบครัวของฉัน”
จี้เฟิงจึงเข้าใจได้ว่าตระกูลต้วนคงเป็นอีกหนึ่งตระกูลที่มีรากฐานที่แข็งแกร่งจี้เฟิงนึกถึงละครหรือในข่าวคนสำคัญบางคนก็ไม่จำเป็นต้องมีชื่อเสียงโด่งดังแต่มีความสำคัญอย่างมากอยู่เบื้องหลัง
จี้ช่าวเหลยดูเหมือนจะรู้ว่าจี้เฟิงคิดอะไรอยู่แต่เขาก็ทำแค่เพียงยิ้มเล็กน้อยโดยไม่ได้อธิบายอะไรมากเกินไป
อย่างไรก็ตามเซียวฉางเหอและคนอื่นๆต่างตกตะลึงอยู่ในใจของพวกเขาเนื่องจากต้วนเผิงสามารถมอบรถสปอร์ตได้อย่างไม่ต้องคิด ทุกคนจึงรู้สึกว่าเขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินสิ่งที่จี้ช่าวเหลยพูดทุกคนก็เข้าใจทันทีและเห็นได้ชัดว่าต้วนเผิงก็คงมีตัวตนที่สำคัญไม่แพ้จี้ช่าวเหลยแน่นอน
ในขณะที่ทุกคนดูเหมือนกำลังจะพยายามทำความเข้าใจในเรื่องที่น่าตกใจอย่างกะทันหันนี้อยู่ในหัวของพวกเขาจี้ช่าวเหลยก็ดูเหมือนจะรู้ว่าถ้าเขาและต้วนเผิงยังอยู่ที่นี่ คนเหล่านี้ต้องคงอยู่ในอาการนี้ไปอีกพักใหญ่อย่างแน่นอน เขาจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มและกล่าวว่า “คุณลุง คุณป้า น้องสามฉันมีบางอย่างต้องทำ ดังนั้นฉันคงต้องขอตัวไปก่อน” ไอลีนโนเวล
เซียวฉางเหอพยักหน้าเล็กน้อยเขารู้ดีว่าถ้ารั้งพวกเขาไว้ในสถานการณ์อย่างนี้ก็คงจะไม่มีประโยชน์ เซียวฉางเหอจึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เดินทางปลอดภัย ฉันจะเดินไปส่งเอง”
“คุณลุงไม่จำเป็นต้องไปส่งทำตัวตามสบายเถอะครับ!” จี้ช่าวเหลยโบกมือเล็กน้อยและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันลืมถาม คุณลุงมีนามบัตรหรือเปล่า พรุ่งนี้ฉันจะได้จัดการดำเนินการติดต่อกับทางโรงพยาบาลและจะได้ติดต่อกับคุณลุงสะดวกหน่อย”
เซียวฉางเหอพยักหน้าทันทีและหยิบนามบัตรสองใบออกจากกระเป๋าสตางค์และส่งให้จี้ช่าวเหลยและต้วนเผิงตามลำดับ
หลังจากที่ทั้งสองคนออกจากห้องพวกเขาทุกคนในห้องก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
หลังจากนั้นไม่นานหลิวซูหงก็กระแอมไอขึ้นมาเบาๆเธอหันหน้าไปทางจี้เฟิงและถามว่า“เด็กน้อย.. เอ่อคุณชายจี้ ระหว่างคุณกับคุณจี้ช่าวเหลยเป็นลูกพี่ลูกน้องกันจริงๆเหรอ”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่ได้ตอบ
หลิวซูหงหน้าแดงไปพักหนึ่งเธอไม่รู้จะพูดอะไรต่อเพราะการแสดงออกของจี้เฟิงนั้นบอกชัดเจนว่าเขาไม่อยากคุยกับเธอ เรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกอับอาย แต่เธอจะกล้าพูดอะไรได้ในเมื่อพี่ชายของจี้เฟิงเป็นถึงลูกชายของเลขาธิการพรรคเทศบาลเจียงโจว ไหนจะตัวตนที่แท้จริงของจี้เฟิงที่เธอยังไม่รู้แน่ชัดอีก
“ซูหงไม่ต้องถาม”ซูชางหยวนดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้และรีบดึงเสื้อของภรรยาของเขาไว้
หลังจากความตกใจในตอนนี้ซูชางหยวนก็เหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้เมื่อปีที่แล้วมีอยู่ครั้งหนึ่งเขาไปที่สำนักงานใหญ่เพื่อไปพบหัวหน้าเพื่อส่งรายงานการทำงานและบังเอิญได้พบกับชายหนุ่มคนหนึ่ง
ในตอนนั้นชายหนุ่มได้รับการต้อนรับจากหัวหน้าของเขาเป็นอย่างดีและชายหนุ่มคนนั้นดูเหมือนจะเป็นจี้ช่าวเหลยที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้เนื่องจากในตอนนั้นหัวหน้าธนาคารมีท่าทีสุภาพและเอาใจใส่ชายหนุ่มคนนั้นอย่างมาก แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหนึ่งปีแล้วก็ตามเขาก็ยังคงสามารถจำได้
เมื่อได้เห็นจี้ช่าวเหลยอีกครั้งในวันนี้มันก็ทำให้เขานึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ตอนนี้ดูเหมือนว่าตัวตนของจี้ช่าวเหลยนั้นไร้ข้อกังขา และเมื่อเขานึกถึงทัศนคติของภรรยาของเขาที่มีต่อจี้เฟิง เขาก็รู้สึกเย็นวาบอย่างบอกไม่ถูก เพราะตอนนี้จี้เฟิงรู้จักตัวตนของพวกเขาดีว่าทำงานอะไร แล้วถ้าหากจี้เฟิงต้องการจะจัดการกับเขา ก็เกรงว่าเพียงแค่โทรศัพท์สายเดียวเท่านั้น ตำแหน่งหน้าที่การงานของเขาในฐานะผู้อำนวยการจะหายไป
แล้วภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ซูชางหยวนกล้าที่จะมีปากมีเสียงต่อหน้าจี้เฟิงได้อย่างไร
และท่าทีของถังไห่เว่ยก็เปลี่ยนไปเช่นกันแม้ว่าเขาจะมีบริษัทที่มีมูลค่ามากกว่า 10 ล้านหยวนและพ่อของเขาก็เป็นถึงหัวหน้าเขตหนึ่งของเจียงโจว แต่เมื่อเทียบกับลูกชายของเลขาธิการคณะกรรมการพรรคเทศบาลเจียงโจวแล้วมันก็เทียบกันไม่ได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพ่อเขาเป็นคนของทางการด้วยแล้ว หากจี้เฟิงต้องการจะจัดการกับพ่อของเขามันก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย
ถังไห่เว่ยรู้ตัวดีว่ามูลค่าของบริษัทราคา10 ล้านหยวนของเขามาจากไหน เกือบทั้งหมดเป็นเพราะความสัมพันธ์ของพ่อและสิทธิพิเศษดังกล่าวในหน้าที่การงานของพ่อ ถ้าเขาสูญเสียสิทธิพิเศษดังกล่าวไปอย่าว่าแต่เขาจะไม่มีทางทำเงินได้อีกแต่เกรงว่าเขาจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในคุก
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้มันก็ทำให้ถังไห่เว่ยรู้สึกหนาวแต่กลับมีเหงื่อออก
ในระหว่างที่ทุกคนต่างครุ่นคิดเกี่ยวกับความโชคร้ายที่ตัวเองอาจจะต้องได้เจอหลังจากเผชิญหน้ากับความจริงที่ไม่คาดคิดผู้จัดการล็อบบี้ของโรงแรมก็โทรหาเจ้านายของเขาซึ่งเป็นผู้จัดการทั่วไปของโรงแรม
“อะไรนะ!ไหนอธิบายใหม่อีกทีสิว่าลักษะของชายหนุ่มสองคนนั้นเป็นยังไง?” เสียงตกใจของผู้จัดการทั่วไปดังมาจากปลายสาย
ผู้จัดการเซี่ยวก็ตกใจเช่นกันเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ดูตกใจมากของผู้จัดการทั่วไปหัวหน้าของเขาเห็นได้ชัดว่าผู้จัดการให้ความสำคัญกับชายหนุ่มสองคนนี้มาก เขาอธิบายลักษณะของชายหนุ่มทั้งสองอีกครั้งทางโทรศัพท์อย่างละเอียดและรวดเร็วและในเวลาเดียวกันเขาก็คาดเดาไปด้วยว่าชายหนุ่มสองคนนี้เป็นใครกันแน่
ทันทีที่ผู้จัดการทั่วไปได้ยินคำอธิบายจากผู้จัดการเซี่ยวเขาก็ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เซี่ยวชางกุ้ย บอกผมทีสิว่าการปฏิบัติตัวของคุณที่มีต่อชายหนุ่มสองคนนั้นไม่เลวใช่ไหม”
“ครับ!”จู่ๆผู้จัดการเซี่ยวก็เหงื่อตก และทันทีที่เขาตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้เขาจึงรีบพูดว่า “เพราะห้องที่เราเปิดให้บริการตามปกติเต็มหมดแล้ว ดังนั้นผมจึงเปิดห้องที่เก็บไว้เฉพาะโอกาสสำคัญให้พวกเขาไป อ้อ! อีกอย่างหนึ่งผมได้แจ้งพวกเขาไปแล้วว่าไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆในวันนี้เลยครับ”
“ฟู่~ค่อยยังชั่วหน่อย!” ผู้จัดการทั่วไปถึงกับผ่อนลมหายใจและกล่าวด้วยเสียงเบาลง “ถือว่าคุณยังมีวิสัยทัศน์อยู่บ้าง เซี่ยวชางกุ้ยฉันจะบอกคุณไว้เลยนะว่าถ้าคุณทำให้พวกเขาไม่พอใจล่ะก็ คุณเตรียมตัวม้วนเสื่อกลับบ้านได้เลย และก็จะไม่มีสถานที่ไหนในเจียงโจวรับคุณเข้าทำงานอีกเลย”
“อา..”เซี่ยวชางกุ้ยรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขาถูกฟ้าผ่า สมองว่างเปล่าไปชั่วขณะจากนั้นเขาก็พูดอย่างติดอ่างว่า “หะ..หัวหน้า พวกเขาเป็นใครกัน?!”
“จี้ช่าวเหลยคือลูกชายของเลขาธิการคณะกรรมการพรรคเทศบาลนครเจียงโจว!”ผู้จัดการทั่วไปตะคอก
จู่ๆผู้จัดการเซี่ยวก็เหงื่อแตกสรุปว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นลูกชายของเลขาธิการคณะกรรมการพรรคเทศบาลนครเจียงโจวเลยงั้นเหรอ
“เซี่ยวชางกุ้ยฟังให้ดีถ้าวันนี้คุณไม่สามารถบริการพวกเขาได้ดีพอล่ะก็ ลาออกไปตั้งแต่ตอนนี้เลยจะดีที่สุดสำหรับคุณ!” ผู้จัดการทั่วไปกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกดดัน
“ผมจะทำให้พวกเขาพึงพอใจ!”ผู้จัดการเซี่ยวพูดอย่างรวดเร็ว ในใจก็แอบคิดว่าเป็นโชคดีของเขาที่ตัดสินใจถูก เมื่อเห็นท่าทีที่ดูไม่ธรรมดาของพวกเขาจึงตัดสินใจเปิดห้องอาหารสุดหรูให้พวกเขาทันที กลายเป็นว่าการเดินพันของเขาในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
หลังจากวางสายโทรศัพท์สีหน้าของเซี่ยวชางกุ้ยก็เปลี่ยนไปหลังจากนั้นไม่นานเขาก็กัดฟัน“พนักงานทุกคนฟังให้ดี แจ้งพ่อครัวด้านหลังให้เสิร์ฟอาหารที่ดีสุดสุดและไปหยิบไวน์ชั้นเลิศที่สุด….” แม้ภายในใจเขาจะรู้สึกกลัวแต่เซี่ยวชางกุ้ยก็ทำหน้าที่ได้ดีเขาสั่งกำชับพนักงานทุกคนโดยละเอียด
สถานการณ์ที่แตกต่างในเวลาเดียวกันณ ห้องอาหารอันหรูหราบนชั้นสาม ตั้งแต่ที่ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของจี้เฟิง หลิวซูหงก็ไม่กล้าพูดพล่อยๆอีกต่อไป ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรมันก็อาจจะเป็นการทำให้หลานชายของเลขาธิการแห่งเจียงโจวไม่พอใจได้ ไม่ว่าพ่อของจี้เฟิงจะเป็นใครหรือแม้กระทั่งเป็นคนที่ไม่มีบทบาทอะไร แค่เพียงฐานะหลานชายของเลขาธิการคณะกรรมการพรรคเทศบาลนครเจียงโจวก็เพียงพอแล้วที่จะไม่มีใครสามารถพูดจาดูถูกเขาได้
“เสี่ยวเฟิงฉันเป็นป้าของซวนซวนไม่ใช่คนอื่นคนไกล ที่ฉันอยากจะบอกคุณก็คือ.. เรื่องก่อนหน้านี้อย่าได้ถือโทษโกรธกันเลยนะ” หลิวซูหงกระซิบเบาๆ มันทำให้เซียวหยูซวนถึงกับขนลุกไปทั้งตัวเมื่อเธอเห็นความแตกต่างสุดขั้วของญาติตัวเองที่ก่อนหน้านี้ยังคงพูดจาดูถูกและคอยแขวะจี้เฟิงหรือแม้แต่เมินเฉยเขาด้วยซ้ำ
จี้เฟิงที่ได้ยินก็พยักหน้าด้วยท่าทีสงบนิ่ง“ผมไม่ได้คิดอะไรมาก”
ทันทีที่เห็นจี้เฟิงพยักหน้าหลิวซูหงก็ดีใจทันทีมันทำให้เธอรู้สึกใจชื้นขึ้นมาก
แต่ถังไห่เว่ยที่ไม่สามารถมองเห็นทางออกของตัวเองจากคำว่าขอโทษเหมือนอย่างหลิวซูหงได้เลยเพราะจุดประสงค์ของเขาที่มาที่นี่มันชัดเจนมากว่าเขามาเพื่อแย่งแฟนของจี้เฟิง เขาเชื่อว่าตราบใดที่จี้เฟิงไม่ใช่คนโง่เขาก็จะสามารถมองเห็นจุดประสงค์นี้ได้อย่างแน่นอนรวมถึงการวางตัวของเขาที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับจี้เฟิงตั้งแต่แรก และในเมื่อตอนนี้เขารู้ตัวตนที่แท้จริงของจี้เฟิงแล้วมันก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว
วิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้คือเขาจะต้องปรับความเข้าใจกับจี้เฟิงให้เร็วที่สุดด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เขาจะรอดพ้นจากภัยพิบัติ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือทั้งเขาและพ่อของเขาก็จะสามารถรอดพ้นจากภัยพิบัติได้
อย่างไรก็ตามตัวเขาเองก็ไม่ใช่ลูกตาสีตาสาจะให้เขามาขอโทษจี้เฟิงอย่างอ่อนน้อมต่อหน้าผู้คนมากมายรวมถึงทำตัวประจบสอพลอด้วยเขาก็คงทำไม่ได้
ส่วนความรู้สึกที่มีต่อจี้เฟิงสำหรับเซียวฉางเหอและภรรยาของเขาในตอนนี้พวกเขาคิดว่าจี้เฟิงเป็นคนใจเย็นมากจากเหตุการณ์ที่เขาต้องเผชิญกับการยั่วยุของหลิวซูหงและถังไห่เว่ยอย่างต่อเนื่อง แต่จี้เฟิงก็ไม่สนใจ แต่เดิมเขาคิดว่าจี้เฟิงใช้ความเงียบและความใจเย็นเพื่อตอบโต้การพูดจาประชดประชันของหลิวซูหงแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจี้เฟิงจะไม่ได้สนใจพวกเขาเลยจริงๆ
ลองนึกภาพว่ามีนกอินทรีที่ไหนจะสนใจการยั่วยุของไก่ที่อยู่บนพื้นดิน
นกอินทรีจะไม่โต้เถียงกับไก่แต่ถ้ามันทำให้นกอินทรีโกรธ นกอินทรีก็เพียงแค่ใช้กรงเล็บอันแหลมคมของมันฉีกไก่โดยตรงจนเป็นชิ้นๆ!
เด็กหนุ่มจี้เฟิงที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นนกอินทรีและในสายตาของเขา หลิวซูหงและคนอื่นๆก็คงไม่ต่างจากไก่
เซียวฉางเหอและภรรยามีความสุขมากเมื่อคิดว่านกอินทรีตัวนี้เป็นแฟนของลูกสาวของพวกเขาไม่ใช่เพราะตัวตนที่สูงส่งของจี้เฟิง แต่พวกเขามีความสุขเพราะรู้ว่าลูกสาวของพวกเขาได้พบกับคนที่ดีพอจะดูแลเธอได้และที่สำคัญเขานั้นรักเธอ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ ในขณะนั้นเองเมื่อจี้เฟิงกำลังคุยกับพ่อแม่ของเซียวหยูซวนเสียงโทรศัพท์ของถังไห่เว่ยก็ดังขึ้น “น้องถังตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน”
“ห้องอาหารชั้นสาม!”ถังไห่เว่ยตอบไปโดยไม่รู้ตัว และเมื่อเขาพูดจบอีกฝ่ายก็วางสายทันที
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันและเขาก็อุทานในใจว่า“ฉิบหายแล้ว!”