The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 207 การพบกันของสองสาว
“คุณสมองนอกเหนือจากยิมนาสติกที่ผมกำลังฝึกอยู่ คุณพอจะมีทักษะการต่อสู้อื่นให้ผมฝึกหรือเปล่า” ทันทีที่จี้เฟิงกลับมาถึงหอพักในมหาวิทยาลัย เขาก็โทรหาเซียวหยูซวนเพื่อบอกว่าถึงหอพักแล้วและโทรคุยกับถงเล่ยจากนั้นก็เข้าสู่จิตใต้สำนึกทันที
“ทักษะการต่อสู้อื่นมาสเตอร์หมายความว่าอย่างไร” สมองหมายเลข 1 ไม่เข้าใจสิ่งที่จี้เฟิงถาม
“พูดง่ายๆก็คือผมอาจจะต้องไปต่อสู้กับคนอื่นๆแต่นอกเหนือจากยิมนาสติกทั้งสองชุดนี้ผมก็แทบจะไม่ได้เรียนรู้ทักษะศิลปะต่อสู้ที่มันเป็นการต่อสู้จริงๆจังๆเลย” จี้เฟิงกล่าว “นั่นถึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงถามคุณว่ามีทักษะการต่อสู้อื่นๆอีกหรือเปล่า”
“แล้วที่มาสเตอร์เคยฝึกมามันไม่เรียกว่าทักษะการต่อสู้เหรอครับ”สมองหมายเลข 1 ถามอย่างสงสัย “มันไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้มันเป็นทักษะการลอบสังหารชัดๆ!” จี้เฟิงยิ้มอย่างบิดเบี้ยว แม้เขาเรียนรู้การต่อสู้จากปรมาจารย์ในระบบฝึกอบรมสายลับระดับสูงจริง แต่เขาก็ไม่สามารถใช้มันในงานเลี้ยงที่กำลังจะมาถึงในช่วงปลายเดือนได้
ตามคำพูดของจี้ช่าวเหลยคนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ต่างเป็นลูกของคนใหญ่คนโตที่มีอำนาจ คนแบบนี้จัดการด้วยไม่ง่ายนัก เพราะถ้าหากไปทำให้พวกเขาโกรธเพราะพลั้งมือไปฆ่าคนของพวกเขาโดยไม่ตั้งใจมันจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาทีหลังได้
ทักษะการต่อสู้ที่ปรมาจารย์ในระบบฝึกได้สอนเขานั้นมันรุนแรงเกินไปและจี้เฟิงก็มีความเชี่ยวชาญอย่างมากในสิ่งนี้ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อตอนที่อาสามของเขาที่เป็นคนจากหน่วยรบพิเศษแต่เขาเข้าใจผิดคิดว่าอาสามมาเพื่อจะรังแกแม่ของเขาดังนั้นเขาจึงจัดการกับอาสามด้วยความไม่พอใจ และถ้าหากแม่ของจี้เฟิงไม่หยุดเขาไว้ได้ทันเวลาเกรงว่าตอนนั้นจี้เฟิงคงจะขยี้คอของอาสามคามือไปแล้ว
แล้วตอนนี้จี้เฟิงก็อยู่ในช่วงที่กำลังฝึกฝนยิมนาสติกชุดที่สองไม่ว่าจะความแข็งแกร่งหรือความเร็วของเขาได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมาก เขาจึงกลัวจริงๆว่าเขาอาจจะพลั้งมือฆ่าคนโดยไม่ได้ตั้งใจ!
หลังจากเข้าใจความหมายของจี้เฟิงแล้วสมองหมายเลข 1 ในรูปร่างกลุ่มควันกลมๆที่ลอยอยู่กลางอากาศก็แกว่งขึ้นสองสามครั้ง “มาสเตอร์ สมองขอรายงานว่าในระบบฐานข้อมูลไม่มีทักษะอย่างที่มาสเตอร์ต้องการ เพราะสมองมีไว้เพื่อฝึกฝนและเปลี่ยนมาสเตอร์ให้กลายเป็นสุดยอดสายลับระดับสูงเท่านั้น!”
“แล้วผมจะทำยังไงดีล่ะทีนี้..”จี้เฟิงถามเสียงอ่อย
“จากการวิเคราะห์ของสมองสาเหตุที่มาสเตอร์ไม่กล้าใช้ทักษะการต่อสู้ที่ฝึกฝนมาเป็นเพราะมาสเตอร์ไม่สามารถควบคุมพลังของตนเองได้อย่างชำนาญ ดังนั้นสิ่งที่มาสเตอร์ต้องทำในตอนนี้คือเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมพลังงานไฟฟ้าชีวภาพ มาสเตอร์จะต้องฝึกฝนภาคปฏิบัติให้มากขึ้น”
สมองหมายเลข1 อธิบายอย่างรอบคอบโดยไม่ใจร้อนแม้แต่น้อย แน่นอนว่าในฐานะระบบปัญญาประดิษฐ์จะไม่มีความรู้สึกอารมณ์ร้อน “ระบบมี 3 วิธีในการควบคุมตนเองให้มาสเตอร์เลือก”
“โอ้!”ดวงตาของจี้เฟิงสว่างขึ้น “สามตัวเลือกนั้นมีอะไรบ้าง”
สำหรับเรื่องการควบคุมพลังของตัวเองจี้เฟิงยังถือว่าอ่อนด้อยอยู่มากเพราะในตลอดช่วงระยะเวลาที่เขาฝึกเขาเพียงแต่ฝึกเกี่ยวกับท่าเคลื่อนไหวของยิมนาสติกและไม่ได้ฝึกฝนเกี่ยวกับการควบคุมพลังอย่างจริงจัง
“วิธีแรกมาสเตอร์สามารถใช้สิ่งของที่เปราะบางที่สุดและพยายามควบคุมทุกส่วนของร่างกาย วิธีที่สองระบบจะปล่อยกระแสไฟฟ้าชีวภาพ เพื่อให้มาสเตอร์บรรลุวัตถุประสงค์และปรับปรุงความสามารถในการควบคุมร่างกายภายใต้การกระตุ้นด้วยความเจ็บปวด…” คำพูดของสมองหมายเลข 1 ยังไม่เสร็จสิ้นเขาก็ถูกจี้เฟิงพูดขัดจังหวะ
“วิธีที่2 ตัดไปได้เลย!” จู่ๆจี้เฟิงก็สะดุ้งโหยงราวกับว่ามีใครเหยียบหางของเขา พูดเป็นเล่น ใครมันจะบ้าขนาดยอมโดนกระแสไฟฟ้าชีวภาพมากระตุ้นร่างกายให้ตัวเองเจ็บปวดกัน
เมื่อตอนที่จี้เฟิงฝึกฝนยิมนาสติกชุดแรกจี้เฟิงได้ลิ้มรสชาติแบบนั้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนมันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ทั่วไปจะทนได้ และเขาก็ไม่ต้องการจะสัมผัสกับความรู้สึกนั้นอีกครั้ง
แม้สมองหมายเลข1 จะถูกขัดจังหวะแต่เขาก็ไม่มีความรู้สึกไม่พอใจแม้แต่น้อย สมองยังคงพูดต่อ “วีธีที่สามคือการควบคุมกระแสไฟฟ้าชีวภาพด้วยตนเองเพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อของร่างกายทั้งหมด”
“จากสามวิธีนี้วิธีไหนดีที่สุด”จี้เฟิงถาม
“เนื่องจากวิธีที่สองถูกปฏิเสธโดยมาสเตอร์สมองจึงของแนะนำให้มาสเตอร์ใช้วิธีการแรกและวิธีที่สามในเวลาเดียวกัน ด้วยวิธีนี้มาสเตอร์จะไม่เพียงแต่สามารถควบคุมพลังของตัวเองได้อย่างชำนาญเท่านั้น แต่ยังสามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้อย่างชำนาญอีกด้วย และมันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการฝึกฝนของมาสเตอร์ในอนาคตอีกด้วย” สมองหมายเลข 1 กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
การควบคุมกระแสไฟฟ้าชีวภาพด้วยตัวเองมันจะทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดน้อยกว่าการที่ให้ระบบควบคุมใช่หรือเปล่า”จี้เฟิงถาม
“ครับมาสเตอร์”สมองหมายเลข 1 ตอบ
หลังจากได้รับคำยืนยันจากสมองหมายเลข1 แล้วจี้เฟิงก็กัดฟันแน่น “โอเค ทำตามที่คุณสมองแนะนำก็แล้วกัน! เพื่อที่จะสั่งสอนตระกูลเฉียวให้ได้รับบทเรียนและเพื่อเป็นการแก้แค้นให้แม่ เวลานี้มันไม่ใช่เวลาที่จะต้องมาลังเลแล้วว่าจะทำสำเร็จหรือไม่!”
จากนั้นสมองหมายเลข1 ได้อธิบายสิ่งสำคัญในการดำเนินการของวิธีแรกและวิธีที่สาม และจี้เฟิงก็ตังใจฟัง ครั้งนี้เขาทุ่มสุดตัวอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เพราะเขารู้ว่าเป้าหมายครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเองเท่านั้นแต่ยังทำเพื่อแม่ของเขาด้วย
เพียงเพราะแม่ของเฉียวเจียไคได้สร้างเรื่องจนทำให้พ่อกับแม่ของเขาแยกกันนานกว่าสิบปีแม่ของเขาจึงถูกคนอื่นเยาะเย้ยและต้องอยู่อย่างอัปยศอดสูและยังถูกตราหน้าว่าเป็นพวกคนเถื่อนไม่มีหัวนอนปลายเท้า และในเมื่อตอนนี้มีโอกาสที่จะได้เอาคืนศัตรู แล้วมีเหตุผลอะไรที่จี้เฟิงจะไม่คว้าไว้กันล่ะ
“สิ่งที่เปราะบาง…”เมื่อจี้เฟิงออกมาจากจิตใต้สำนึกเขาก็เริ่มไตร่ตรองสิ่งที่สมองหมายเลข 1 ได้บอกไว้ว่าควรฝึกฝนกับสิ่งที่เปราะบางและมันจะทำให้เขาสามารถควบคุมพลังได้ดี นี่เป็นวิธีที่หนึ่งแต่…อะไรล่ะคือสิ่งที่เปราะบางที่เขาพอจะหาได้ในตอนนี้ ไอลีนโนเวล
ทันใดนั้นดวงตาของจี้เฟิงก็สว่างขึ้นเขานึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ไข่!
แม้ว่าโครงสร้างของไข่จะมีความคงตัวแต่มันก็เปราะบางมากหากเขาสามารถใช้พลังและกล้ามเนื้อของร่างกายทั้งหมดในการควบคุมไข่ได้มันจะต้องเป็นสิ่งที่ยากแต่ผลของมันจะต้องออกมาดีอย่างแน่นอน
และที่สำคัญไข่มันเป็นของที่ธรรมดามากและมีราคาถูก!
เมื่อคิดได้ดังนี้จี้เฟิงก็รีบวิ่งไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตในมหาวิทยาลัยทันทีและภายใต้สายตาแปลกๆของคนอื่นเขาก็ซื้อไข่มาหนึ่งแพคด้วยความระมัดระวัง
จี้เฟิงไม่เคยสนใจสายตาของคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนับประสาอะไรจะต้องมาสนใจกับสายตาของคนที่เขาไม่รู้จักเพราะเขากำลังจะทำสิ่งสำคัญเพื่อแม่และตัวเขาเอง เมื่อกลับมาถึงหอพักจี้เฟิงก็นำไข่ไว้ในลังกระดาษทั้งหมดเพื่อจะได้หยิบมันขึ้นมาได้อย่างสะดวกเมื่อต้องการ
“ใช้กล้ามเนื้อในการควบคุม…”จี้เฟิงลูบคางของเขาด้วยท่าทางครุ่นคิด “งั้นเริ่มฝึกจากมือก่อนก็แล้วกัน!”
เขาโยนไข่เบาๆและเอื้อมมือไปคว้ามันไว้
แผละ!
เขาคว้าไข่ได้อย่างแม่นยำ…และมันก็แตก
เมื่อมองไปที่ไข่ที่แตกในมือของเขาที่เลอะเทอะไปด้วยไข่ขาวและไข่แดงจี้เฟิงก็ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นเขาไม่สามารถควบคุมพลังความแข็งแกร่งของเขาได้อย่างชำนาญและเพราะเขากังวลเกี่ยวกับการคว้าไข่เขาจึงไม่สามารถคว้ามันได้อย่างมั่นคง จึงทำให้จี้เฟิงเผลอบีบมันโดยไม่รู้ตัวและไข่ก็แตก
จี้เฟิงลองโยนไข่อีกครั้งและคราวนี้เขาลองลดความแข็งแรงของมือลง แผละ!
ไข่ยังคงแตกคามือ…
จี้เฟิงไม่ย่อท้อเขายังคงฝึกต่อไป
………
ในที่สุดเขาก็สามารถคว้าไข่ฟองที่สิบได้สำเร็จแม้ว่าจะโยนสูงแค่ไหนมันก็ไม่แตก
จี้เฟิงเริ่มมีกำลังใจเพิ่มขึ้นมากและเขาก็เริ่มฝึกสองมือพร้อมๆกัน
………
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเพียงพริบตาเวลาก็ผ่านไปครึ่งวันแล้ว
แผละ!แผละ! แผละ!
ในหอพักจี้เฟิงยังคงโยนไข่ขึ้นไปในอากาศ เขาฝึกด้วยมือทั้งสองข้างพร้อมๆกัน แต่คราวนี้เขาโยนไข่ขึ้นไปถึง 5 ฟองและคว้ามันไว้ด้วยมือทั้งสองข้างของเขา มือของจี้เฟิงในเวลานี้นั่นอ่อนช้อยนุ่มนิ่มอย่างกับว่ามันไม่มีกระดูก และไข่ทั้ง 5 ฟองก็อยู่ในมือของจี้เฟิงโดยไม่มีแม้แต่รอยร้าว การกระทำของเขามันแทบจะเหมือนกับการแสดงกายกรรมที่ชวนให้ตื่นตา
ในตอนนี้จี้เฟิงสามารถควบคุมพลังของมือทั้งสองข้างของเขาได้อย่างคล่องแคล่วเขาจึงเริ่มพยายามฝึกแขน ขา และเท้าของเขาตามลำดับ
การควบคุมพลังที่เท้านั้นยากกว่ามือมากแต่จี้เฟิงก็ไม่ย่อท้อ เขาทุ่มเทและตั้งใจมากนี่เป็นครั้งแรกที่เขาฝึกฝนอย่างจริงจังเพราะเขามีจุดมุ่งหมายอยู่ในใจ เขาจะต้องคิดดอกเบี้ยคนพวกนั้นสำหรับแม่ของเขา!
ในพริบตาเวลาหนึ่งวันเต็มๆก็ผ่านไปและจี้เฟิงก็หยุดฝึกซ้อมเพราะถงเล่ยและจางเล่ยใกล้จะมาถึงเจียงโจวแล้ว และเพื่อนร่วมหอพักทั้งสามคนของเขาก็กลับมาเช่นกัน
แต่เมื่อหยุดซ้อมจี้เฟิงก็ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น
นั่นเป็นเพราะว่าทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นคาวของไข่ซึ่งมันฉุนเตะจมูกมากที่ก่อนหน้านี้จี้เฟิงไม่รู้สึกตัวเพราะเขามุ่งมั่นกับการฝึกฝนมากเกินไป แต่ตอนนี้เขากลับมามีสติสัมปชัญญะในที่สุดเขาก็พบกับปัญหานี้
“ฉันต้องรีบทำความสะอาดแล้วล่ะเก็บกวาดธรรมดาคงเอาไม่อยู่”
จี้เฟิงจึงรีบไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อน้ำยาฆ่าเชื้อซึ่งมันก็แทบจะไม่หลงเหลือกลิ่นคาวของไข่อยู่เลย
หลังจากที่เขาทำความสะอาดหอพักเสร็จถงเล่ยก็โทรมาพอดี “จี้เฟิง พวกเราอยู่ข้างล่าง”
“ฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้!”หลังจากพูดจบจี้เฟิงก็รีบวิ่งออกจากห้องไปทันที
ฉันไม่ได้เจอถงเล่ยแค่ไม่กี่วันแต่ทำไมถงเล่ยยังสวยขึ้นได้มากขนาดนี้ด้วยผมสีดำยาวประบ่าเสื้อเชิ้ตสีชมพูกางเกงยีนส์สีน้ำเงินรองเท้าผ้าใบสีขาวและสร้อยคริสตัลที่ข้อมือของถงเล่ย ในเวลานี้พูดได้เลยว่าสวยเหมือนนางฟ้าก็ยังน้อยเกินไป ความสวยงามของถงเล่ยทำให้จี้เฟิงไม่อาจละสายตาไปจากเธอได้ จี้เฟิงมองสบตากับดวงตาที่สวยงามของถงเล่ยใบหน้าของเธอก็แต้มไปด้วยรอยยิ้มอันแสนหวาน
“เอ่อ..ถ้ามองกันหวานหยาดเยิ้มจนพอใจแล้ว ช่วยหันมามองฉันบ้างได้มั้ย” จางเล่ยที่ยืนอยู่ข้างรถออดี้ถือกระเป๋าใบใหญ่สองใบในมือ เขาบ่นด้วยสีหน้าขมขื่น “คงไม่ลืมใช่มั้ยว่าฉันก็อยู่ที่นี่ด้วย ฉันยังเป็นพี่ชายของเธออยู่หรือเปล่าหรือเป็นเพียงแค่เด็กถือของ!”
“พี่บ้าพูดจาไร้สาระ!” ถงเล่ยหน้าแดงและมองไปที่จางเล่ย
จี้เฟิงถามด้วยความประหลาดใจ“เล่ยซือนายกำลังแบกอะไรอยู่”
“พวกนี้อ่ะเหรอเป็นอาหารประจำท้องถิ่น เล่ยเล่ยรู้ว่านายชอบกิน ฉันก็เลยต้องแบกมันอยู่นี่ไง!” จางเล่ยพูดอย่างไม่พอใจ “นายก็เหมือนจะลืมฉันไปอีกคนสินะ ฉันรู้ว่านายโทรหาแฟนนายอยู่เรื่อยๆ แต่นายไม่เคยโทรหาฉันแม้แต่สายเดียว!”
“ผู้ชายตัวโตสองคนจะมีอะไรให้พูดคุยกันนักล่ะ!”จี้เฟิงยิ้มและรับกระเป๋าจากมือของจางเล่ยและถือมันขึ้นไปชั้นบนอย่างสบายๆ
เมื่อมองไปที่ท่าทางสบายๆของจี้เฟิงจางเล่ยก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง “กระเป๋าสองใบนั้นมีน้ำหนักมากกว่าสามสิบกิโลกรัมซะอีกนะนั่น เขาไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนหนักหนา!”
การมาของถงเล่ยแทบจะทำให้ใบหน้าของจี้เฟิงมีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลาเพราะขอแค่มีเวลาพวกเขาสองคนก็ตัวแทบจะติดกันตลอดเวลา มันเป็นช่วงเวลาแห่งความหวานของคู่รัก
ส่วนเรื่องการอยู่อาศัยร่วมกันกับอีกสามคนในหอพักมันทำให้จี้เฟิงคิดไม่ตกเพราะเขามีสิ่งที่ต้องทำเป็นการส่วนตัว และมันก็ไม่สะดวกที่จะฝึกยิมนาสติกและควบคุมความแข็งแกร่งของเขาที่นี่ เขาจึงคิดที่จะหาบ้านที่อยู่นอกมหาวิทยาลัย
ตลอดเวลาที่เขาอยู่กับถงเล่ยจี้เฟิงอยากจะบอกเธอหลายครั้งเกี่ยวกับตัวเขาและเซียวหยูซวน แต่เมื่อเขากำลังจะเอ่ยปากคำพูดนั้นมันก็มาติดอยู่ที่ริมฝีปากของเขาทุกครั้งไป เขาไม่รู้ว่าจะพูดมันออกไปได้อย่างไรและเขาก็ไม่รู้ว่าถ้าพูดไปแล้วถงเล่ยจะโกรธและเสียใจมากขนาดไหน!
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าพระเจ้าจะชอบเล่นกับความรู้สึกคนเป็นอย่างมากในขณะที่จี้เฟิงและถงเล่ยกำลังกินข้าวอยู่ในโรงอาหาร โดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวจู่ๆก็มีร่างทรงเสน่ห์นั่งอยู่ใกล้ๆๆพวกเขา
เธอคือเซียวหยูซวน!