The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 226 อาการตกตะลึงของผู้ชม!
- Home
- The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ
- บทที่ 226 อาการตกตะลึงของผู้ชม!
ทุกคนในห้องโถงต่างมองไปที่จี้เฟิงด้วยสายตาอันว่างเปล่าสีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
การต่อสู้ชุดใหญ่ที่จี้เฟิงเพิ่งแสดงออกมามันทำให้ทุกคนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็นโดยเฉพาะวิธีการที่โหดร้ายของเขาซึ่งมันทำให้ผู้คนในงานเลี้ยงต่างรู้สึกตกใจมาก
การโจมตีเพียงชุดเดียวของเขามันคือการเคลื่อนไหวของนักฆ่าที่ทรงพลัง!
แม้ว่าจะมีเพียงไม่กี่คนที่พอจะรู้วิธีการต่อสู้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นๆจะตาบอด พวกเขาต่างเห็นได้ชัดเจนว่าวิธีการต่อสู้ของจี้เฟิงมันน่าตื่นตะลึงมากแค่ไหน แล้วไหนจะผลกระทบที่เกิดขึ้นอีก!
ทุกคนในงานเลี้ยงมองเห็นการเคลื่อนไหวในการต่อสู้ของเขาได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นจนจบทุกท่วงท่าของจี้เฟิงอยู่ในสายตาของทุกคน อย่างไรก็ตามจูหยงเต๋าและศิษย์น้องของเขาที่เหลือกลับไม่สามารถหลบหนีการโจมตีของจี้เฟิงได้เลย พวกเขาไม่สามารถป้องกันจุดสำคัญภายในร่างกายของตัวเองได้ทันด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรกับการที่พวกเขาจะมีโอกาสโจมตีกลับ!
นี่มันเป็นทักษะการต่อสู้แบบไหน!
ทุกคนต่างมองไปที่จี้เฟิงด้วยความงุนงงและคิดในใจว่าหากเป็นพวกเขาที่ถูกโจมตี…ทุกๆคนต่างอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
ในสังคมสมัยใหม่ศิลปะการต่อสู้ค่อยๆลดความนิยมลงไปแม้แต่ศิลปะการต่อสู้ของจีนโบราณ(กังฟู)ก็เสื่อมสลายหายไปตามกาลเวลามากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่เป็นปรมาจารย์ก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วย จนทำให้ปัจจุบันนี้ศิลปะการต่อสู้กลายเป็นเพียง “นาฏศิลป์”
ดังนั้นในสายตาของทุกคนไม่ว่าจะเก่งศิลปะการต่อสู้มากเพียงใด ก็ไม่อาจจะเอาชนะกระสุนปืนได้หรือแม้แต่มีดเล็กๆก็อาจจะสามารถฆ่ายอดฝีมือด้านศิลปะการต่อสู้ได้โดยที่พวกเขาจะไม่แปลกใจเลย
ยิ่งไปกว่านั้นศิลปะการต่อสู้ในตำนานอย่างกังฟูได้ถูกนำมาแสดงเป็นโชว์หลายต่อหลายครั้งและทุกคนก็ค่อยๆมองศิลปะการต่อสู้เปลี่ยนไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายการโทรทัศน์ที่นำศิลปะการต่อสู้โดยให้ปรมาจารย์สองคนมาต่อสู้กัน พวกเขาแสดงมันออกมาราวกับเด็กที่ต่อสู้กันอย่างมีความสุข มันทำให้ผู้ชมเห็นว่าศิลปะการต่อสู้พวกนี้ไม่ได้มีพลังอะไรเลย!
อย่างไรก็ตามเมื่อทักษะที่น่าทึ่งของจี้เฟิงปรากฏแก่สายตาของทุกคนมันก็ทำให้พวกเขารู้ซึ้งแล้วว่าศิลปะการต่อสู้ของจริงนั้นมันน่ากลัวมากแค่ไหน!
แล้วมีดหรือปืนล่ะ
มันจะมีประโยชน์อะไรหากมีดและปืนมาอยู่ต่อหน้าจี้เฟิงเขาจะถึงตัวคุณก่อนที่คุณจะได้ลั่นไกเสียอีก!
ศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริงมันช่างน่าทึ่ง!
ต้วนเผิงและจี้ช่าวเหลยต่างจ้องมองไปที่จี้เฟิงโดยไม่มีอาการตอบสนองใดๆอยู่สักพัก
“ชะชะ ช่าว ช่าวเหลย น้องสามของนาย… เขาไม่ได้น่ากลัวเกินไปใช่มั้ย” ต้วนเผิงพูดตะกุกตะกัก ความสุขที่ได้เห็นเฉียวเจียไคถูกจัดการลดน้อยลงทันที เมื่อเห็นทั้งสี่คนถูกจี้เฟิงจัดการอย่างไร้ความปราณี ตอนนี้สมองของเขาเต็มไปด้วยทักษะอันน่าสะพรึงกลัวของจี้เฟิง
จี้ช่าวเหลยพยักหน้าแบบงกๆเงิ่นๆโดยไม่รู้ตัว“ใช่… มันค่อนข้างจะน่ากลัวกว่าที่ฉันคิดไปซักหน่อย ใครจะรู้ล่ะว่าที่อาสามบอกกับฉันว่าฝีมือของน้องสามไม่เลวนั้นมันจะ….”
เมื่อตอนที่จี้เจิ้นผิงอาสามของเขาโทรมาเขาแค่บอกว่า “ถ้าเฉียวเจียไคมาทำตัวอวดดีหรือหยิ่งผยองใส่ก็ให้พาจี้เฟิงไปด้วย ฝีมือของเขาไม่เลว ถ้าเกิดอะไรขึ้นเด็กคนนั้นจะสามารถจัดการเฉียวเจียไคได้” นี่คือสิ่งที่จี้เจิ้นผิงบอกกับจี้ช่าวเหลย แต่ใครจะไปคิดว่า คำว่า ‘ไม่เลว’ ของจี้เจิ้นผิงมันจะน่ากลัวมากขนาดนี้
ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้นที่ตกใจและรู้สึกขนพองสยองเกล้าเพราะนอกจากนี้ยังมีเฉียวเจียไคที่ตอนนี้นั่งพักฟื้นอยู่บนเก้าอี้ในสภาพที่แขนของเขาทิ้งห้อยลงมาข้างตัวและไม่สามารถขยับได้เพราะหัวไหล่ของเขาถูกจี้เฟิงทุบตีจนกระดูกแตกละเอียด เมื่อเห็นทักษะการต่อสู้ที่น่ากลัวของจี้เฟิง เขาก็รู้สึกหวาดกลัวไปจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ คนทั้งสี่ที่เขาพามาด้วยคือที่พึ่งที่เขาไว้ใจและเชื่อใจมากที่สุดว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นด้วยฝีมือของคนเหล่านี้พวกเขาจะสามารถจัดการได้อย่างแน่นอน นั่นคือสาเหตุที่เขากล้าที่จะต่อสู้กับตระกูลจี้และไม่เห็นจี้ช่าวเหลยอยู่ในสายตา
แต่ตอนนี้จูหยงเต๋าและอีกสามคนซึ่งมีพลังมหาศาลอย่างมากในสายตาของเขากลับมาพ่ายให้กับจี้เฟิงอย่างง่ายดายและมันไม่ได้เป็นเพียงการพ่ายแพ้จากการต่อสู้ แต่เป็นการพ่ายแพ้อย่างหมดรูป เพราะพวกเขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้ตอบโต้กลับไปเลยแม้แต่น้อย สิ่งนี้มันทำให้เฉียวเจียไครู้สึกสิ้นหวังถึงที่สุด
จนถึงตอนนี้เฉียวเจียไคก็ยังไม่รู้ว่าชายหนุ่มที่โคตรจะแข็งแกร่งคนนี้ไม่ใช่จี้ช่าวหยินแต่เป็นลูกของลูกชายคนโตแห่งตระกูลจี้ จี้เฟิง!
จี้เฟิงไม่สนใจสายตาที่มองมาและก็ไม่สนด้วยว่าคนอื่นกำลังคิดอะไรอยู่ เขาต่อสายหาตำรวจทันที
ในบทสนทนาระหว่างจี้เฟิงกับตำรวจเขาบอกไปเพียงแค่ว่ามีคนร้ายต้องการจะฆ่าเขาแต่โชคดีที่เขาสามารถป้องกันตัวเองจนทำให้รอดพ้นเงื้อมือของคนร้ายมาได้
เมื่อพูดในส่วนของเขาจบจี้เฟิงก็ยื่นโทรศัพท์ให้หลี่เว่ยตง “คุณชายหลี่ คุณเป็นเจ้าของคลับแห่งนี้ไม่ใช่เหรอ ในเมื่อแขกของคุณเป็นคนร้ายที่พยายามฆ่า คุณจะไม่ทำอะไรหน่อยเหรอ?!”
จะให้กูทำอะไรอี๊ก!
หลี่เว่ยตงแทบอยากจะร้องตอนนี้เขาแทบจะกลายเป็นศัตรูของตระกูลเฉียวไปแล้ว ถ้าหากเขาต้องมาทำให้ตระกูลจี้ต้องขุ่นเคืองใจอีก… แล้วตอนนี้จี้เฟิงดันมายื่นโทรศัพท์ให้เขาเหมือนให้เขาต้องเลือกข้างและตัดสินใจอย่างชัดเจนให้ได้ในตอนนี้
หลังจากกัดฟันหลี่เว่ยตงก็รับโทรศัพท์และพูดเสียงดังว่า“ฮัลโหล ฟังให้ดีฉันคือหลี่เว่ยตงจากหลินจิงคลับเฮ้าส์ ตอนนี้มีคนพวกคนร้ายก่ออาชญากรรมอยู่ที่คลับของฉัน แม้ว่าพวกนั้นจะถูกพวกเราจัดการไว้ได้แล้ว แต่พวกนั้นจะมีอันตรายอะไรซ่อนอยู่อีกหรืออาจจะมีพรรคพวกมาเพิ่มเราก็ไม่อาจรู้ได้ ดังนั้นโปรดส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบเรื่องนี้เพิ่มเติมทันที!”
“ห๊ะ~!”
ตุ้บ!โครม~!
มีเสียงอุทานพร้อมกับเสียงโต๊ะหรือเก้าอี้ล้มลงกับพื้นดังขึ้นในโทรศัพท์เมื่อพนักงานที่รับแจ้งเหตุได้ยินว่าเป็นหลี่เว่ยตงแห่งหลินจิงคลับเฮ้าส์ เขาก็รู้สึกประหม่าในทันที ในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจในเจียงโจวพวกเขาต้องรู้จักหลินจิงคลับเฮ้าส์อยู่แล้ว พวกเขารู้ดีว่าผู้ที่เป็นเจ้าของหลินจิงคลับเฮ้าส์คือลูกชายของนายกเทศมนตรี และเกรงว่าแม้แต่หัวหน้าของเขาหากต้องการไปที่นั่นก็อาจจะเข้าไปไม่ได้ง่ายๆ ดังนั้นจะไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อยรู้สึกประหม่าได้อย่างไร
“คุณชายหลี่ได้โปรดอยู่ในที่ปลอดภัยและหลีกเลี่ยงอันตรายก่อนพวกเราจะรีบดำเนินการให้เร็วทีสุด!” หลังจากวางสายโทรศัพท์เจ้าหน้าที่ตำรวจก็รีบวิ่งไปที่ห้องทำงานของผู้กองทันทีด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและรีบรายงานสถานการณ์
ให้ตายเถอะ!
ลูกชายนายกเทศมนตรีถูกลอบทำร้ายจากพวกอันธพาลหากคนที่ได้ฉายาว่าคุณชายคนที่สองของเจียงโจวถูกลอบทำร้ายภายใต้การดูแลของเขา ตำแหน่งผู้กองของเขาก็คงจะไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เผลอๆวันรุ่งขึ้นเขาอาจจะไม่ได้มาทำงานอีกเลย!
ในตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปราบปรามอาชญากรรมได้มีการสั่งการและดำเนินการอย่างรวดเร็วและในขณะเดียวกันก็ได้มีการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังลาดตระเวนอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับหลินจิงคลับเฮ้าส์ให้เข้าไปตรวจสอบโดยทันที พร้อมกับสั่งให้ดูแลความปลอดภัยของหลี่เว่ยตงอย่างดีที่สุด
……….
ภายในล็อบบี้ชั้น2 ของหลินจิงคลับเฮ้าส์
หลังจากที่หลี่เว่ยตงวางโทรศัพท์เขารู้สึกว่าเขายังแสดงความชัดเจนไม่มากพอ เขาจึงตะโกนว่า “รปภ. มาควบคุมตัวคนร้ายพวกนี้ไว้ คอยดูแลปกป้องแขกคนอื่นๆให้ดี อย่าให้พวกเขาได้รับอันตราย”
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของหลี่เว่ยตงทำให้ทุกคนในห้องโถงพากันตกตะลึงทุกคนที่นี่ต่างรู้ดีว่าวันนี้เป็นงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อต้อนรับการมาถึงของเฉียวเจียไค ได้รับการอภินันทนาการโดยตรงจากหลี่เว่ยตงที่มีจุดประสงค์เพื่อที่จะพึ่งพาบารมีของตระกูลเฉียว ซึ่งทำให้แขกที่มางานเลี้ยงในครั้งนี้ต่างมองหลี่เว่ยตงสูงส่งขึ้น เพราะแม้กระทั่งจี้ช่าวเหลยก็ยังมาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้
แต่ในพริบตาเดียวหลี่เว่ยตงกลับเรียกเฉียวเจียไคว่าอันธพาลและดูเหมือนว่าจะมีแนวโน้มที่เฉียวเจียไคจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยคดีพยายามฆ่า!
การเปลี่ยนแปลงนี้มันมากเกินไปมันยิ่งกว่าหน้ามือเป็นหลังเท้าเสียอีก!
เฉียวเจียไครู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขาไม่มีแรงเหลืออยู่เลยเขาไม่สามารถยกแขนหรือขยับตัวได้ เขาทำได้แค่นั่งทรุดตัวลงบนเก้าอี้ ไหล่ทั้งสองข้างที่ถูกจี้เฟิงทุบมันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ความเจ็บปวดก็ยิ่งเสียดแทงเข้าไปในจิตใจเขามากขึ้น มันเป็นความเจ็บปวดเกินกว่าที่เขาจะรับไหว
อย่างไรก็ตามต่อให้เขาพอมีแรงเหลือที่จะลุกขึ้นยืนเขาก็คงไม่สามารถทำได้เพราะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองสามคนที่ตอนนี้สีหน้าของพวกเขาไม่ต่างจากหมาป่ารอตะครุบเหยื่อกำลังจ้องมองเขาอยู่ตลอดเวลา เขาเกรงว่าถ้าเกิดเขาขยับตัวแม้เพียงเล็กน้อย รปภ.เหล่านี้อาจจะพุ่งเข้ามารุมซ้อมเขาอย่างโหดเหี้ยมในทันที นั่นเป็นเพราะหลี่เว่ยตงได้ไปอยู่ฝ่ายเดียวกับจี้ช่าวเหลยอย่างสมบูรณ์แล้ว และในเมื่อเวลานี้เขามีโอกาสที่จะได้แสดงความจงรักภักดีแล้วมีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่ทำ
หัวใจของเฉียวเจียไคหม่นหมองอย่างที่สุดใบหน้าของเขาขาวซีดด้วยความเจ็บปวดแหละหมดหวังเขาคิดไม่ออกว่าทำไมน้องชายของจี้ช่าวเหลยถึงได้มีฝีมือการต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ พี่ชายทั้งสี่ของเขาไม่เพียงแต่เป็นผู้สืบทอดศิลปะการต่อสู้โบราณ แต่พวกเขายังมาจากสถานที่นั้นด้วย ทำไมสิ่งเหล่านั้นถึงไม่มีประโยชน์ต่อหน้าจี้ช่าวหยิน? Aileen-novel
ไม่ใช่แค่เฉียวเจียไคเท่านั้นที่ไม่เข้าใจเพราะแม้แต่จูหยงเต๋าเองที่ตอนนี้ลงไปนอนกองอยู่กับพื้นโดยที่คนอื่นๆไม่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
พวกเขาติดตามเฉียวเจียไคมาที่เจียงโจวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมและเป็นการป้องกันเพื่อไม่ให้จี้ช่าวเหลยมองหาผู้ช่วย
พวกเขาติดตามเฉียวเจียไคมาด้วยความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมและเป็นการป้องกันเพื่อไม่ให้จี้ช่าวเหลยมองหาความช่วยเหลือในการต่อสู้ไม่เช่นนั้นการจะเอาชนะจี้ช่าวเหลยเพียงแค่เฉียวเจียไคคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ผลลัพธ์ของการต่อสู้เมื่อสามปีที่แล้วก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าจี้ช่าวเหลยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉียวเจียไค เขาถูกหักซี่โครงไปสองสามซี่ตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ และถึงแม้จะเป็นเวลาปัจจุบัน จี้ช่าวเหลยก็ยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉียวเจียไคอยู่ดี
เนื่องจากตลอดระยะเวลา3 ปีที่ผ่านมา เฉียวเจียไคได้ใช้เวลา 1 ปีในกองทัพและอีก 2 ปีเพื่อเรียนศิลปะการต่อสู้โบราณในสำนัก และความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ส่วนจูหยงเต๋าและศิษย์น้องอีกสามคนอยู่ในสำนักและฝึกฝนกับอาจารย์มาตั้งแต่เด็กเป็นเวลานานกว่า20 ปี แต่พวกเขากลับมาพ่ายแพ้ให้กับจี้เฟิง
เรื่องแบบนี้จะให้พวกเขายอมรับมันได้ง่ายๆได้อย่างไร
ความจริงแล้วหลังจากที่จูหยงเต๋าโดนเตะกระเด็นจนสลบไปแต่ในเวลาไม่น่าเขาก็ได้สติขึ้นด้วยเสียงที่ดังเอะอะโวยวายของหลี่เว่ยตงเพียงแค่ว่าเขาไม่ได้ลุกขึ้นแต่ยังคงแสร้งทำเป็นสลบต่อไป
เขาจะลุกขึ้นไปเพื่ออะไรเพื่อที่จะเป็นตัวตลกให้คนอื่นหัวเราะกันน่ะเหรอ?!
และที่ยิ่งไปกว่านั้นถ้าชายหนุ่มคนนั้นเห็นพวกเขายังลุกขึ้นมาได้เขาอาจจะยังไม่สาแก่ใจ จึงมีความเป็นไปได้ว่าเขาจะลงมือทุบตีอีกครั้งอย่างโหดเหี้ยม และถ้าเป็นเช่นนั้นนอกจากจะทำให้ต้องอับอายเพิ่มมากขึ้นแล้ว แต่ยังทำให้ตัวเองต้องบาดเจ็บเพิ่มมากขึ้นด้วย
ไม่ต้องพูดถึงว่าจะให้พวกเขาต่อสู้อีกครั้งในสภาพที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสแบบนี้เพราะขนาดก่อนหน้านี้ที่พวกเขามีสภาพสมบูรณ์พร้อมยังพ่ายแพ้ให้กับจี้เฟิงด้วยหมัดและเท้าไม่กี่กระบวนท่าโดยที่ไม่สมารถป้องกันหรือตอบโต้ได้เลย
จูหยงเต๋าจึงเลือกเส้นทางที่ชาญฉลาดเขาเลือกที่จะแสร้งทำเป็นสลบต่อไป ดังนั้นจุดสนใจในการเยาะเย้ยของทุกคนในครั้งนี้จึงกลายเป็นเฉียวเจียไคอย่างช่วยไม่ได้ ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่เขา มันทำให้เขาเต็มไปด้วยความรู้สึกอับอายใบหน้าของเขาไม่สามารถจะน่าเกลียดไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว แต่เขาไม่กล้าที่จะโต้เถียงหรือแสดงท่าทีขัดขืนอะไรออกไปได้ จึงได้แต่ทนอยู่แบบนี้
เป็นไปได้ว่าหากตอนนี้ที่พื้นมีรอยแตกหรือหลุมเฉียวเจียไคคงเลือกที่จะมุดหนีไปอย่างแน่นอน!
ในเวลานี้ต้วนเผิงยังดึงสติกลับมาได้ไม่ครบถ้วนนักแต่ใบหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยความปิติยินดีส่วนจี้ช่าวเหลยเคยอยู่ในค่ายทหารและฝึกฝนการต่อสู้มาก่อน ดังนั้นสายตาของเขาจึงไม่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป เขามองออกได้ในทันทีว่าจี้เฟิงนั้นแข็งแกร่งมากขนาดไหน บางทีอาจจะแข็งแกร่งจนเกินมนุษย์ด้วยซ้ำ!
ฝีมือด้านการต่อสู้ของจูหยงเต๋าและอีกสามคนนั้นดีมากเกินพอโดยเฉพาะจูหยงเต๋า ความเร็วของเขานั้นน่ากลัวมาก
แต่เมื่อพวกเขามาอยู่ต่อหน้าจี้เฟิงยอดฝีมือทั้งสี่ก็ไม่ต่างจากเด็กประถม จี้เฟิงสามารถเอาชนะพวกเขาทั้งหมดได้ด้วยกระบวนท่าเดียว
ความแข็งแกร่งระดับนี้….
จี้ช่าวเหลยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาแรงๆด้วยความโล่งอกเมื่อมองสภาพของเฉียวเจียไคที่แขนทั้งสองข้างห้อยพร้อมกับใบหน้าซีดเซียวหมดอาลัยตายอยากในตอนนี้มันก็ทำให้เขานึกถึงอาการบาดเจ็บที่ได้รับจากเฉียวเจียไคเมื่อสามปีก่อน สภาพของเขาดูดีกว่าเฉียวเจียไคในเวลานี้เยอะ!
จี้ช่าวเหลยอยากจะตะโกนออกไปดังๆว่า“ไอ้ลูกเคอรี่เฉียวเจียไค… สมหน้าน้ำ! ฮ่าฮ่า~”