The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 230 ชายชรา
“ครับพ่อ”แม้ว่าชายวัยกลางคนจะไม่รู้ว่าพ่อของเขาจะมีท่าทีอย่างไรกับเรื่องนี้ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ปิดบังอะไรเลย มันเป็นสิ่งที่เขาควรทำแม้ว่าพ่อของเขาจะตำหนิเขาก็ตาม แต่เขาจะไม่ยอมหลบหนีปัญหาอย่างเด็ดขาด!
“หึ!”ชายชราหัวเราะเบาๆ
ชายวัยกลางคนรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าการหัวเราะเช่นนี้ของพ่อเขานั่นเป็นในแง่ดีหรือร้าย
ไม่แปลกที่ชายวัยกลางคนจะรู้สึกเป็นกังวลเพราะเมื่อหลายปีก่อนชายชราได้ออกค่ำสั่งอย่างเข้มงวดว่าลูกหลานของตระกูลจี้ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดการกับตระกูลเฉียวอย่างเด็ดขาดแม้ว่าพวกเขาจะเจอการยั่วยุจากตระกูลเฉียวก็ต้องอดทน ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะถูกขับไล่ออกจากตระกูลและไม่ต้องกลับมาอีกเลย
เพราะคำสั่งนี้ตั้งแต่ชายวัยกลางคนลงไปจนถึงบรรดารุ่นที่สามจึงทำได้เพียงแค่อดทนต่อการยั่วยุของตระกูลเฉียว คนในตระกูลจี้บางคนถึงขนาดโดนคนของตระกูลเฉียวทุบตีจนไม่กล้ากลับบ้าน
เพียงเท่านี้ก็น่าจะพอจินตนาการได้ว่าทุกคนในตระกูลจี้ตั้งแต่บนลงล่างคงไม่มีใครที่จะรู้สึกยินดีกับคำสั่งนี้
บรรยากาศภายในลานบ้านเงียบลงชั่วขณะและไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงของใบไม้ที่ถูกสายลมพัดผ่าน
ถ้าจี้เฟิงอยู่ที่นี่เขาจะจำได้ในทันทีว่าชายวัยกลางคนที่มีร่องรอยของความจนใจอยู่บนใบหน้าในตอนนี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่คือพ่อของเขาที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับรัฐมนตรีคนปัจจุบันและเป็นผู้นำรุ่นที่สองของตระกูลจี้ จี้เจิ้นหัว
และชายชราผมขาวคนนี้ไม่จำเป็นต้องบอกก็น่าจะพอเดาได้ว่าเขาคือคนที่มีอายุยืนที่สุดในตระกูลจี้นั่นก็คือคุณปู่ของจี้เฟิง
เรื่องที่เกิดขึ้นในหลินจิงคลับเฮ้าส์ที่เจียงโจวก่อนจะไปถึงหูของตระกูลเฉียว จี้เจิ้นหัวได้รู้อยู่ก่อนแล้ว มันไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะโดยปกติแล้วเรื่องแบบนี้ไม่สามารถเก็บเงียบจากคนระดับนี้ได้อยู่แล้ว พวกเขาจะรู้ตราบเท่าที่พวกเขาอยากรู้
หลังจากรู้ข่าวปฏิกิริยาแรกของจี้เจิ้นหัวก็คือ“เด็กคนนี้กล้าหาญมาก!”
แต่ในไม่ช้าจี้เจิ้นหัวก็เหมือนจะคิดอะไรได้เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและส่ายหัว
จี้เจิ้นหัวคือใครเขาอยู่ในสายงานที่เป็นทางการมาหลายสิบปีพบเจอเรื่องต่างๆมากมายมานับไม่ถ้วน แค่กลเม็ดเล็กๆน้อยๆของจี้เฟิงจะปกปิดเขาได้อย่างไร?
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้จี้เจิ้นหัวก็อดไม่ได้ที่จะทั้งโกรธทั้งขำเด็กคนนี้ช่างกล้าท้าทายชายชราของตระกูลจี้
แม้ชายชราจะเคยออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดแต่ตอนนั้นจี้เฟิงไม่ได้รับรู้ด้วย อย่าว่าแต่รับรู้เลยเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นหนึ่งในตระกูลจี้แล้วนับประสาอะไรกับการที่จะต้องทำตามคำสั่งนี้
แน่นอนว่าจี้เจิ้นหัวไม่เชื่อว่าจี้ช่าวเหลยจะไม่บอกจี้เฟิงในเรื่องนี้
“ฉันไม่รู้ไม่เห็นมีใครบอกฉัน!” จี้เฟิงอาจจะหน้าด้านตีเนียนทำเป็นทองไม่รู้ร้อน “ที่พี่รองพูดฉันก็คิดว่าเขาแค่หลอกฉัน เพราะไม่เห็นมีผู้อาวุโสคนใดในตระกูลมาบอกกับฉันอย่างจริงจังว่าฉันไม่สามารถยั่วยุตระกูลเฉียวได้ แล้วที่สำคัญฉันไม่ได้เป็นฝ่ายไปหาเรื่องก่อน ฉันก็แค่ป้องกันตัวเองก็เท่านั้น!”
เมื่อจี้เจิ้นหัวนึกได้ว่าเด็กคนนี้จะพูดอะไรออกมารอยยิ้มจางๆก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นกังวลเมื่อนึกถึงลูกชายที่พลัดพรากจากกันมานานกว่าสิบปี เด็กคนนี้แม้จะเป็นคนดีแต่นิสัยของเขาดื้อรั้นและแข็งกร้าวเกินไป
จี้เจิ้นหัวเชื่อว่าหากชายชราเรียกจี้เฟิงมาตำหนิหรือลงโทษจี้เฟิงจะต้องไม่ยินยอมอย่างว่าง่ายและอาจจะกลับไปดื้อๆโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เพราะนิสัยอย่างจี้เฟิงคงจะไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอนถ้าเขาไม่ได้เป็นฝ่ายผิด!
แล้วถ้าเรื่องมันบานปลายถึงขนาดนั้นเขาจะไม่โดนไล่ออกจากตระกูลเลยหรือ
จี้เจิ้นหัวยิ้มอย่างขมขื่นส่วนหนึ่งก็กลัวว่าจี้เฟิงอาจถูกไล่ออกจากตระกูลแต่เอาจริงๆแล้วสิ่งที่เขากลัวมากกว่าก็คือจี้เฟิงจะสนใจหรือเปล่า
เพราะถ้าจี้เฟิงสนใจเกี่ยวกับตระกูลจริงๆเขาคงจะตามจี้เจิ้นหัวกลับมาที่หยานจิงตั้งแต่ที่จี้เจิ้นหัวไปพบพวกเขาสองแม่ลูกที่หมางซือแล้วอย่างน้อยเขาก็ควรจะมาทำความเคารพชายชรา แต่เขาไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ เขากลับอยู่ที่หมางซือต่อคนเดียวจากนั้นก็ไปที่เจียงโจวเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย แล้วยิ่งช่วงหลังๆมานี้จี้เฟิงแทบไม่ได้เป็นฝ่ายโทรศัพท์มาหาเขาเลยด้วยซ้ำ อย่างมากเขาก็พูดคุยกับแม่ของเขาเพียงไม่กี่ครั้ง
จี้เจิ้นหัวรู้สึกไม่พอใจอยู่เล็กๆนิสัยดื้อรั้นเกินไป
แล้ว…ยังไงล่ะ
ลูกชายของฉันลูกของจี้เจิ้นหัวคนนี้ใครจะเอาชนะเขาได้ โชคดีที่เป็นตระกูลเฉียวที่ต้องทนทุกข์ทรมานในครั้งนี้ เพราะถ้าหากเป็นจี้เฟิงที่เป็นฝ่ายถูกทำร้าย แม้ว่าพ่อของเขาจะปกป้องตระกูลเฉียวไว้ก็ตาม เขาก็จะทำลายตระกูลเฉียวโดยยอมทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีเพื่อให้คนในตระกูลเฉียวทั้งหมดต้องรู้สึกเสียใจที่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้!
เขาเป็นหนี้เมียและลูกของเขามากเกินไป
“หึหึ!”
เสียงหัวเราะของชายชราทำให้จี้เจิ้นหัวรู้ตัวว่าเขานั้นเผลอคิดฟุ้งซ่านไป
เมื่อสติของจี้เจิ้นหัวกลับมาอยู่ในสถานการณ์ตรงหน้าเขาก็รีบอธิบายกับพ่อของเขาทันที “พ่อ เรื่องนี้… ฉันคิดว่าเสี่ยวเฟิงทำได้ดีมาก”
“โอ้!”ทันใดนั้นดวงตาสีขุ่นของชายชราก็เบิกกว้างขึ้นทันทีพร้อมกับมีแสงสว่างวาบฉายออกมา เขามองตรงเข้าไปในสายตาของจี้เจิ้นหัวและถามว่า “แล้วเจ้าคิดว่าเสี่ยวเฟิงทำสิ่งที่ถูกต้องงั้นหรือ?”
เมื่อจี้เจิ้นหัวได้ยินคำถามเช่นนี้เขาก็รู้ได้ว่าชายชรานั้นรู้สึกไม่พอใจอย่างแน่นอน
แต่จี้เจิ้นหัวไม่กลัวระหว่างเขากับพ่อไม่มีความกลัวใดๆเลย มันเป็นเพียงความกตัญญูและความเคารพต่อพ่อของเขา ในเวลานี้สิ่งที่เขาต้องทำคือการปกป้องลูกชายของเขาด้วยตัวเอง และเขาก็ยืนหยัดที่จะทำเช่นนั้นโดยไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด
“พ่ออันที่จริงฉันคิดว่าตระกูลเฉียวเริ่มจะมีอิทธิพลมากเกินไปในช่วงหลังๆมานี้…” เมื่อกล่าวถึงธุรกิจใบหน้าของจี้เจิ้นหัวก็จริงจังและพูดเชิงวิเคราะห์ “ไม่ต้องพูดถึงความคับแค้นใจระหว่างตระกูลเฉียวและครอบครัวจี้ของเรา เฉพาะแค่สิ่งที่ตระกูลเฉียวทำในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามันได้ล้ำเส้นเกินขีดจำกัดมากเกินไปแล้ว ฉันเพิ่งได้รับโทรศัพท์จากน้องรอง ว่ากันว่าบุคคลทั้งสี่ที่ติดตามไปเจียงโจวกับลิงน้อยเฉียวในครั้งนี้พวกเขาแปลกมาก!”
“แปลกยังไง”ชายชราจี้ถาม
“ตามการตัดสินของเสี่ยวเฟิงเขาบอกว่าทั้งสี่คนนั้นไม่ได้เป็นคนของกองทัพแต่พวกเขามีทักษะที่ทรงพลังมากกว่าหน่วยรบพิเศษหรือกองกำลังใดๆของทางการทหาร นี่คือข้อแรก” จี้เจิ้นหัวกล่าว “ข้อที่สอง ก่อนที่พวกเขาจะปะทะกับจี้เฟิง เขาได้แสดงไอดีของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของชาติ!”
เมื่อจี้เจิ้นหัวพูดถึงเรื่องนี้ดวงตาของชายชราก็เป็นประกายทันทีเมื่อได้ยิน แต่เขาไม่คิดที่จะพูดอะไรออกไป
จี้เจิ้นหัวไม่ทันได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่แสดงออกมาของชายชราและกล่าวต่อไปว่า“มีข้อสงสัยอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการเรียกชื่อของบุคคลทั้งสี่ พวกเขาไม่ได้เรียกด้วยชื่อหรือตำแหน่งงาน แต่พวกเขาเรียกกันศิษย์พี่และศิษย์น้อง นอกจากนี้เจ้าลิงน้อยเฉียวนั่นก็ยังเป็นศิษย์น้องของทั้งสี่คนนั้นด้วย จากข้อสงสัยเหล่านี้เสี่ยวเฟิงจึงตัดสินว่าทั้งสี่คนนี้ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงธรรมดา พวกเขาน่าจะมาจากนิกายหรือสำนักฝึกฝนศิลปะการต่อสู้โบราณอะไรพวกนั้น ฉันว่าเรื่องนี้ควรได้รับการตรวจสอบ!”
“มีอะไรอีกไหม”ไม่กี่นาทีต่อมาชายชราก็ถามขึ้น
จี้เจิ้นหัวพยักหน้าและพูดว่า“ฉันคิดว่าตัวตนแปลกๆทั้งสี่คนนั้น….”
จี้เจิ้นหัวไม่ได้อธิบายสิ่งที่เขาสงสัยแต่ชายชรานั้นรู้ดี
หลังจากเงียบอยู่นานชายชราก็ถอนหายใจในที่สุด“ลูกชาย เจ้าคิดไม่ผิด คนทั้งสี่นั้นน่าจะมาจากสถานที่เหล่านั้น… อันที่จริงมันเป็นไปได้มากว่าเฒ่าเฉียวก็มาจากสถานที่แห่งนั้นด้วยเช่นกัน”
ไม่ได้ออกไปข้างนอกแต่ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลก!
สำหรับพ่อของเขาจี้เจิ้นหัวรู้สึกชื่นชมอย่างใจจริงและพูดต่อ “ถ้าไม่ใช่เสี่ยวเฟิงก็คงไม่มีใครทำอะไรพวกเขาได้ เพราะคนทั้งสี่อยู่ภายใต้ชื่อของตระกูลเฉียว ฉันแค่อยากจะบอกว่าเรื่องนี้จี้เฟิงไม่ได้ทำอะไรผิด!” ไอรีนโนเวล
รอยยิ้มฉายผ่านดวงตาของชายชราเขากล่าวว่า“ลูกชาย เจ้าจะตำหนิพ่อคนนี้อีกสักกี่ปีที่ไปบังคับให้เจ้านั้นแต่งงานกับเฉียวหรง..”
ก่อนที่ชายชราจะทันได้พูดจบจี้เจิ้นหัวก็พูดขัดจังหวะเขา“พ่อฉันไม่เคยโทษพ่อ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะได้สบายใจ”ชายชราพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ไปบอกเสี่ยวเฟิงเจ้าเด็กแสบคนนั้นว่าฉันจะลงบัญชีเรื่องนี้เอาไว้ก่อน แล้วไปบอกเจ้าสามว่ากองกำลังทหารมีไว้เพื่อปกป้องบ้านเมืองและประชาชน พวกเขาต้องจริงจังในหน้าที่และอย่าปล่อยให้ใครบางคนออกมากระโดดโลดเต้นเป็นตัวตลกได้อีก!”
จี้เจิ้นหัวตกใจมากแต่เขาก็รู้ดีว่าคำพูดของพ่อจะทำให้เกิดความปั่นป่วนมากแค่ไหนในกองทัพ ไม่มีผู้ใดสามารถสั่นคลอนศักดิ์ศรีและสถานะของชายชราของตระกูลจี้ได้!
“เพียงชั่วพริบตาเวลาก็ผ่านไปหลายสิบปีและผู้คนจากสถานที่แห่งนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งได้เวลาต่อสู้แล้ว!” ชายชราคำรามลั่น
จี้เจิ้นหัวพยักหน้าเล็กน้อยทุกคำที่พ่อของเขาพูดนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ความว่างเปล่าและน่าเบื่อแต่มันมีความหมายที่ลึกซึ้งและเขาต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนถึงจะเข้าใจ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่จี้เจิ้นหัวมั่นใจได้ว่าจี้เฟิงกำลังได้รับการยอมรับซึ่งสอดคล้องกับความปรารถนาของชายชราไม่เช่นนั้นชายชราจะไม่เรียกจี้เฟิงด้วยคำว่า ‘เจ้าเด็กแสบ’ นี่ไม่ใช่คำต่อว่า แต่เป็นการแสดงออกถึงความรักและความพึงพอใจ
“พ่อฉันต้องขอตัวไปก่อน”เมื่อจี้เจิ้นหัวเห็นว่าพ่อของเขาเริ่มเหนื่อยขึ้นเล็กน้อยเขาจึงขอตัวและเดินออกไป
“ตาเฒ่าลูกหลานของเจ้าเริ่มไม่เป็นโล้เป็นพายมากขึ้นเรื่อยๆ… ฉันไม่รู้หรอกว่าหลานชายของฉันไปหักซี่โครงหลานชายของเจ้าโดยไม่มีเหตุผลหรือไม่ แต่ในที่สุดฉันก็โล่งใจได้เสียทีที่มีหลานชายที่แข็งแกร่งและเชื่อมั่นในสิ่งที่ถูก…”
เมื่อมองจากด้านหลังจะเห็นชายชราแห่งตระกูลจี้มองไปบนท้องฟ้าและถอนหายใจเล็กน้อยอย่างที่ไม่อาจจะเข้าใจได้
จี้เจิ้นหัวได้ยินเสียงพึมพำของชายชราเพียงแว่วๆเท่านั้นแม้เขาจะเป็นคนที่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เป็นอย่างดี แต่ดวงตาของเขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจดีว่า ในอดีตพ่อของเขาและเฒ่าเฉียวไม่ใช่เพื่อนรักกันอย่างแน่นอนและแม้จะเป็นคู่แข่งกันแต่ด้วยสถานะและความสัมพันธ์ที่ไม่อาจอธิบายได้ระหว่างผู้อาวุโสทั้งสอง พ่อของเขาจึงไม่คิดที่จะลงมือกับลูกหลานของตระกูลเฉียว
แต่พ่อกลับจงใจปกป้องตระกูลเฉียวอย่างเปิดเผยและใช้สิ่งนี้เพื่อฝึกฝนลูกหลานของตัวเองและในที่สุดตอนนี้เขาก็มีจี้เฟิง เจ้าเด็กหัวรั้นตัวเหม็นที่กล้าเมินเฉยต่อคำสั่งของผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูล แต่นิสัยดื้อรั้นเช่นนี้กลับเป็นสิ่งที่ชายชราต้องการเห็น!
ใช้ความคับแค้นใจของทั้งสองตระกูลเพื่อแลกกับการเติบโตของลูกหลานอันเป็นที่รัก
ความตั้งใจที่ก้าวไกล!เรื่องนี้จี้เจิ้นหัวต้องขอชื่นชม! ชายชราช่างมีความคิดที่กว้างไกลจริงๆ!
……………
เจียงโจว
หลังจากออกมาจากสถานีตำรวจจี้เฟิงวางแผนที่จะแยกจากจี้ช่าวเหลยและนั่งรถแท็กซี่กลับไปที่บ้านของเขาเองคนเดียว แต่จี้ช่าวเหลยยืนยันหนักแน่นที่จะไปส่งเขา ดังนั้นจี้เฟิงจึงเลิกดื้อดึงและยอมให้จี้ช่าวเหลยไปส่งแต่โดยดี
“Rrrrrr~!”
เสียงโทรศัพท์ของจี้เฟิงดังขึ้นเมื่อมองหน้าจอก็พบว่าเป็นสายเรียกเข้าจากถงเล่ย
เมื่อจี้เฟิงรับสายสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันทีเพราะจังหวะการหายใจของถงเล่ยไม่ปกติเขารู้ได้ในทันทีว่าอาจมีบางอย่างเกิดขึ้น
เขาถามทันที“เล่ยเล่ย เกิดอะไรขึ้น”
“จี้เฟิงฉันได้ยินจากเพื่อนร่วมชั้นว่าวันนี้มีคนมาถามหาฉัน เขาไม่ใช่คนในมหาวิทยาลัย เขาเป็นคนแปลกหน้า!” ถงเล่ยพูดด้วยความกลัว “ฉันไปที่แผนกรักษาความปลอดภัยเพื่อสอบถามเรื่องนี้ แม้ฉันจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ในบันทึกได้ถูกระบุไว้ว่า มันถูกลงทะเบียนด้วยรหัสนักศึกษาของหยุนปิง!”
“ตุ้บ!”
จี้เฟิงชกไปที่เบาะรถด้วยความโกรธ
“กล้ามาก!”