The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 242 ตำรวจจราจรหญิง
ระหว่างทางที่ขับรถจี้เฟิงกำลังคิดอยู่ว่าจะบอกอาสองของเขาเกี่ยวกับทองคำเพชรและปืนพกดีหรือไม่ แต่หลังจากที่คิดอยู่นานจี้เฟิงก็ยังคงไม่ได้ตัดสินใจ
เมื่อจอดรถในซอยใกล้กับลานบ้านพักของคณะกรรมการพรรคเทศบาลนครเจียงโจวจี้เฟิงก็ตัดสินใจได้ว่าเขาจะพูดแค่เรื่องปืนพกและทองคำแท่งเท่านั้นส่วนเรื่องเพชรเขาจะอุบเงียบเอาไว้ก่อนเพราะเขาคิดว่ามันคงไม่น่าจะเป็นไร หรือไม่ก็รอให้อาสองถามเขาในเรื่องนี้เองในภายหลัง
อย่างไรก็ตามจำนวนและมูลค่าของเพชรนั้นมากเกินไปแม้ว่าจี้เฟิงจะไม่รู้ราคาที่แน่นอนของเพชร แต่คนอย่างหยุนเฟยหยางที่ไต่เต้ามาจากนักเลงข้างถนนจนเป็นมาเฟียใหญ่และเป็นที่รู้จักกันในนามประธานใหญ่แห่งฮุ่ยหวงกรุ๊ป เขาจะต้องมีการเตรียมการไว้อย่างดี และอย่างน้อยมันจะต้องเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายสักสองสามปีเมื่อเขาต้องหลบหนี
เมื่อจี้เฟิงมาถึงบ้านของอาคนที่สองของเขาคนที่มาเปิดประตูให้ก็คือจี้ช่าวเหลยตอนนี้เขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวที่อยู่ที่บ้าน จี้ช่าวหยินได้ถูกส่งไปอยู่ในกองทัพเรียบร้อยแล้วส่วนจะหน่วยไหนฝ่ายไหนจี้เฟิงไม่ได้ใส่ใจ
ส่วนจี้ช่าวตงมักจะทำงานข้างนอกเขาไม่ค่อยกลับบ้านจี้ช่าวเหลยจึงเป็นลูกชายคนเดียวที่เหลืออยู่ในบ้าน
แม้ว่าโดยปกติแล้วจี้ช่าวเหลยจะดูเหมือนผู้ชายเพลย์บอยแต่เขาก็เป็นคนที่กตัญญูรู้คุณพ่อแม่เขารู้ว่าเมื่อเหลือแค่พ่อกับแม่อยู่ที่บ้านสองคนพวกท่านจะต้องเหงาแน่นอน เขาจึงแทบไม่ได้ไปเที่ยวกลางคืนหรือไปใช้เวลาข้างนอกในเวลากลางคืนเลยตราบเท่าที่ไม่ได้มีอะไรสำคัญส่วนใหญ่เขาก็จะอยู่ที่บ้าน
“อาสองอาสะใภ้ ผมต้องขอโทษด้วยพอดีว่าผมรีบมาเลยไม่ได้มีอะไรติดไม้ติดมือมาด้วยเลย” จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย
“เด็กคนนี้ถ้ามาที่นี่ไม่ต้องซื้ออะไรมาเลยนะ!”อาสะใภ้ยังคงร่าเริงและใจดีเหมือนเดิม เมื่อเธอเห็นจี้เฟิงเธอก็แสดงรอยยิ้มที่มีความสุขบนใบหน้าของเธอทันทีและดึงมือจี้เฟิงเข้าไปถามสารทุกข์สุกดิบ
จี้เฟิงรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อยเนื่องจากอาสะใภ้ดูคล้ายคลึงกับแม่ของเขามากและยิ่งไปกว่านั้นน่าจะเป็นเพราะจี้ช่าวตงและจี้ช่าวหยินไม่อยู่บ้านอาสะใภ้คงคิดถึงพวกเขามากเธอจึงถ่ายทอดความรู้สึกเหล่านี้ให้กับจี้ช่าวเหลยและจี้เฟิง
แม่ของฉันที่อยู่หยานจิงก็คงจะคิดถึงฉันเหมือนกันสินะ
“แม่!พ่อกับเสี่ยวเฟิงมีธุระต้องคุยกัน แม่ไปทำกับข้าวเถอะ!” จี้ช่าวเหลยที่อยู่ข้างๆเขาพูดขึ้น
อาสะใภ้จ้องไปที่จี้ช่าวเหลยทันที“เอ๊ะ ลูกคนนี้แม่จะคุยกับเสี่ยวเฟิงบ้างไม่ได้เลยหรือไง หรือลูกไม่พอใจ”
“ไม่ใช่แบบนั้น..”จี้ช่าวเหลยได้แต่ยิ้มแห้งๆ
“เจ้าเด็กบ้าไม่รู้จักโต!”อาสะใภ้โกรธและเคาะหัวลูกชายของเธออย่างแรงก่อนจะเดินจากเพื่อไปเตรียมอาหารเช้า
จี้ช่าวเหลยลูบไปที่หัวของเขาและยิ้มให้จี้เฟิงอย่างบิดเบี้ยว
“เสี่ยวเฟิงช่าวเหลยตามพ่อมา!” อาสองของจี้เฟิงพูดเบาๆ ในตอนนี้กระดูกสันหลังส่วนเอวของเขาเริ่มอาการดีขึ้น ท่วงท่าการเดินของเขาก็มีความสง่างามมากขึ้นเช่นกัน แม้น้ำเสียงจะแผ่วเบาแต่ก็ชัดเจนดูมีความน่าเกรงขามในตัวของมันเอง
จี้เฟิงและจี้ช่าวเหลยเดินตามเข้าไปทันทีและไปที่ห้องทำงานที่อยู่ชั้นบน
“วิลล่าของประธานฮุ่ยหวงกรุ๊ปเกิดการระเบิดขึ้นเมื่อคืนนี้เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเธอหรือเปล่า” จี้เจิ้นกั๋วถามด้วยเสียงเข้มทันทีที่พวกเขาเดินมาถึงห้องทำงาน
สายตาของจี้ช่าวเหลยจ้องมองไปที่จี้เฟิงเขาสงสัยในใจมากว่าคนที่เป็นถึงประธานฮุ่ยหวงกรุ๊ปจะไม่มีบอดี้การ์ดเลยหรือ แล้วการป้องกันภัยที่บ้านไม่มีเลยหรือไง?
เพราะจู่ๆก็โดนฆ่ากันยกบ้านซะอย่างนั้นเพราะนอกจากศพของหยุนเฟยหยางแล้วยังพบศพของหยุนปิงลูกสาวของเขาในที่เกิดเหตุด้วยและนอกจากนั้นยังพบศพคนอื่นๆอีก 4 ศพด้วยกันแม้ว่าจะเป็นเพียงเศษซากจากระเบิดที่รุนแรง แต่ตำรวจก็ยังคงสามารถระบุตัวตนของบุคคลทั้ง 6 ได้
และที่สำคัญไปกว่านั้นจี้เฟิงทำได้ยังไง
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของอาสองจี้เฟิงก็เกาหัวและยิ้ม“อาสองผมไม่เข้าใจว่าคุณอาพูดถึงเรื่องอะไร”
“เธอไม่เข้าใจหรือแกล้งไม่เข้าใจกันแน่!”สีหน้าของจี้เจิ้นกั๋วตึงเข้มขึ้น แต่เขาก็แอบรู้สึกชื่นชมเล็กน้อยอยู่ในใจ เด็กคนนี้ลื่นไหลไปได้จริงๆ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนแต่ก็มีรายละเอียดต่างๆที่เชื่อมโยงไปถึงจี้เฟิง ตั้งแต่เรื่องที่อยู่ของหยุนเฟยหยางที่จี้ช่าวเหลยเป็นคนหาและบอกกับจี้เฟิง ไปจนตลอดเรื่องที่ว่าเขาส่งคนไปที่เกาะงาช้างเพื่อยืนยันการมีอยู่จริงของตู้เซฟรวมถึงโทรศัพท์จากจี้เฟิงเมื่อเช้านี้ ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนเป็นเบาะแสที่ชี้ไปที่จี้เฟิงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขาก็ยังไม่ยอมรับ
“ผมไม่เข้าใจจริงๆครับ”จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่ยอมรับมัน เรื่องแบบนี้แม้แต่จะอยู่ต่อหน้าเพียงแค่คนในครอบครัวตัวเอง แต่การไม่พูดออกมามันเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นเขาเชื่อว่าอาสองของเขาจะต้องเข้าใจเรื่องนี้ดี
จี้เจิ้นกั๋วเพียงแค่จ้องมองอย่างลึกซึ้งไปที่จี้เฟิงและพูดว่า“ในเมื่อเรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอก็ดีแล้ว และสิ่งที่ดีที่สุดคือเธอห้ามทำเรื่องที่มันละเมิดกฎหมาย!”
“เข้าใจแล้วครับ!”จี้เฟิงพยักหน้าอย่างจริงจัง แต่ในใจของเขาบอกกับตัวเองว่าถ้าเพราะหยุนปิงผู้หญิงคนนั้นไม่บ้ามากขนาดนี้เขาก็คงไม่ทำรุนแรงถึงขนาดนั้น การฆ่าคนไม่ใช่เรื่องสนุก
“แล้ว…คุณอาครับนี่เป็นของที่ผมคิดว่าจำเป็นจะต้องให้คุณอาดู” จี้เฟิงหยิบกระเป๋าที่เขาสะพายอยู่แล้วส่งให้จี้เจิ้นกั๋ว
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของจี้ช่าวเหลยเขาชะเง้อหน้าคอยืดคอยาวเพื่อไปดูสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋าเป้แต่จี้เจิ้นกั๋วมองเขาทันที “มารยาท!”
“อ่า….”จี้ช่าวเหลยรีบหดหัวกลับอย่างรวดเร็ว
จี้เจิ้นกั๋วเปิดกระเป๋าและหยิบเอกสารมาพลิกดูสองสามหน้าเมื่อเห็นรูปถ่ายที่อยู่ในนั้นเขาก็ฟาดเอกสารและรูปถ่ายลงบนโต๊ะอย่างแรงและพูดด้วยความเกลียดชัง “คนพวกนี้มันน่ารังเกียจยิ่งนัก!”
จี้เฟิงเหลือบมองไปที่เอกสารเหล่านั้นที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะและบนพื้นไม่แปลกที่อาสองของเขาจะโมโห เพราะสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในนั้นมันเกินไปจริงๆ
จี้ช่าวเหลยรีบก้มลงเก็บรูปถ่ายและเอกสารที่กระจัดกระจายส่งคืนให้พ่อของเขาแน่นอนว่าในระหว่างนี้เขาก็ต้องเห็นสิ่งที่ถูกบันทึกอยู่ในนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งที่เขาเห็นมันก็ทำให้เขารู้สึกตกใจเช่นกัน
คนพวกนี้มันจะบ้าเกินไปแล้ว!
“เก็บเอกสารเหล่านี้ไว้ที่นี่เราจะลงไปทานอาหารเช้ากันก่อน” จี้เจิ้นกั๋วโบกมือพร้อมกับคิดในใจว่าหลักฐานสำคัญเหล่านี้จะต้องได้รับการดำเนินการโดยเร็วที่สุดก่อนที่คนพวกนั้นจะรู้ตัว ไม่เช่นนั้นถ้ามีการรายงานข่าวและเรื่องนี้รั่วไหลออกไป อาจทำให้คนพวกนั้นวางแผนที่จะหลบหนีหรือคิดหาทางรอดวิธีอื่นๆซึ่งจะทำให้จัดการได้ยากยิ่งขึ้นและมันจะทำให้สูญเสียความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมา Aileen-novel
หลังจากที่ออกมาจากห้องทำงานใบหน้าของจี้เจิ้นกั๋วก็ดูน่ากลัวมากเขาอดไม่ได้ที่จะกัดฟันและพูดว่า “ฉันก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าพวกนี้มันไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่พอเห็นภาพพวกนั้นแล้วมันทำให้ความคิดของฉันเปลี่ยนไปเลยจริงๆ คนพวกนั้นมันไม่ใช่มนุษย์ พวกมันเป็นเพียงแค่สัตว์นรก!”
จี้เฟิงพยักหน้าอย่างเงียบๆข้อมูลทุกอย่างที่หยุนเฟยหยางได้บันทึกเอาไว้นั้นมันน่าตกใจมากและยังมีอีกมากมายหลายอย่าง มันเลวร้ายจนคุณอาจจะฝันร้ายหากคุณได้อ่านมัน
แม้ว่าอาสะใภ้จะพูดคุยทักทายทุกคนด้วยความร่าเริงแต่จี้เฟิงและจี้ช่าวเหลยก็ไม่มีอารมณ์ร่วมมากนัก พวกเขาแทบจะไม่แตะอาหารเลย หลังจากพูดจากันไม่กี่คำจี้เฟิงก็บอกลาอาสะใภ้
“พี่รองผมคงต้องขอยืมรถพี่อีกสักพัก”จี้เฟิงกล่าว
“นายใช้รถคันนี้ได้เลยพี่ชายคนนี้ยังไม่ได้ให้อะไรนายเป็นของขวัญเลย งั้นก็ถือซะว่าฉันให้รถคันนี้เป็นของขวัญก็แล้วกัน อ้อ! ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะถูกนับลงในบัญชีส่วนตัวของฉัน นายไม่ต้องห่วง!” จี้ช่าวเหลยยิ้ม
“ฮ่าฮ่าดีเลย งั้นผมจะใช้มันอย่างเต็มที่!” จี้เฟิงหัวเราะ ในตอนนี้จี้เฟิงคุยกันจี้ช่าวเหลยอย่างเป็นกันเองแต่ก็ยังคงรักษามารยาทอยู่เล็กน้อย
จี้ช่าวเหลยอดไม่ได้ที่จะกลอกตา“ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงดีใจจนกระโดดโลดเต้นไปแล้ว นายจะดีใจให้มันมากกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไง”
“ช่วยไม่ได้น่าจะเพราะผมเป็นคนจนเลยไม่ตื่นเต้นกับสิ่งของนอกกาย ความจนมันทำให้เราไม่มีความทะเยอทะยาน” จี้เฟิงยิ้ม
เมื่อออกมาจากบ้านอาสองของเขาในที่สุดจี้เฟิงก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก สิ่งต่างๆได้ถูกส่งมอบไปเรียบร้อยแล้วหลังจากนี้ก็เป็นหน้าที่ที่อาสองจะต้องจัดการตามระเบียบของกฎหมายบ้านเมือง จากใบหน้าที่บูดบึ้งดูน่ากลัวของอาสองเขาเกรงว่าหลังจากนี้อาจจะเกิดพายุลูกใหญ่ขึ้นในแวดวงคนใหญ่คนโตของเจียงโจว
จี้เฟิงเปิดวิทยุในรถBMWx6ที่จี้ช่าวเหลยบอกว่ายกให้เป็นของขวัญเพื่อที่จะฟังเพลงแม้ในรถจะมีจอทีวีขนาดเล็กอยู่ด้วยแต่จี้เฟิงก็ไม่ได้สนใจที่จะเปิดมันโดยเฉพาะรายการทีวีที่ไร้สาระบางรายการและที่สำคัญมันจะเป็นเรื่องลำบากสำหรับเขาในการรับชมและขับรถไปด้วย ดังนั้นการฟังเพลงในวิทยุจึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
“สวัสดีค่ะทุกคนวันนี้มาพบกับดิฉันหยางหยาง ตามข่าวล่าสุดที่เราได้รับทราบมา มีนักร้องสาวเจ้าของเสียงที่ไพเราะและอบอุ่นเธอเป็นที่นิยมมากที่สุดในประเทศจีนในขณะนี้กำลังจะเดินทางมาที่เจียงโจวในเดือนหน้า เพื่อเริ่มทัวร์คอนเสิร์ตระดับชาติของเธอ สำหรับการจองตั๋วได้เปิดการจัดจำหน่ายล่วงหน้าแล้ว สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่สนใจสามารถติดต่อทางโทรศัพท์…. หรือไปสถานที่ที่กำหนดเพื่อซื้อตั๋ว….”
เสียงพูดจาฉะฉานและคมชัดของดีเจสาวคนหนึ่งในวิทยุดังขึ้นจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้งเล็กน้อย“นักร้องไอดอลสาว ทำไมฉันไม่เห็นเคยได้ยิน?”
ในเวลาไม่นานเสียงร้องเพลงที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกอบอุ่นก็ดังขึ้นมันทำให้จิตวิญญาณของจี้เฟิงที่ได้ฟังเสียงร้องของเธอรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที ร้องได้เพราะมาก แต่เขาไม่รู้ว่าหน้าตาของคนร้องเป็นอย่างไร…
จี้เฟิงพึมพำกับตัวเองเธอคงไม่เหมือนกับดารานักร้องบางคนที่ภายนอกดูสวยงามสดใสแต่จริงๆแล้ว…
“เฮ้อ~”จี้เฟิงส่ายหัวแล้วยิ้ม “เรื่องพวกนี้มันเกี่ยวกับฉันตรงไหน ไม่ว่ายังไงเล่ยเล่ยกับหยูซวนของฉันก็สวยที่สุด!”
จี้เฟิงเหยียบคันเร่งและเสียงเครื่องยนต์ของBMWx6 ก็คำรามระเบิดออกมา และรถทั้งคันก็ออกตัวพุ่งไปราวกับลูกศรถูกยิงจากคันธนูหายเข้าไปสู่การจราจรบนท้องถนน
แต่ในไม่ช้าจี้เฟิงก็ต้องขมวดคิ้วหลังจากที่เขาขับรถมาได้ไม่ถึงสิบนาทีทันทีที่เขาขับมาถึงถนนเส้นหลักมันเป็นถนนวงแหวน เขาก็พบว่าการจราจรที่นี่มันแน่นขนัดไปหมด!
การจราจรที่ติดขัดในเจียงโจว…เมื่อคุณเอ่ยคำนี้ออกมาเกรงว่าคงจะไม่มีใครขนพองสยองเกล้าเมื่อได้ยิน ในที่สุดวันนี้จี้เฟิงก็ได้เจอมันกับตัว รถแต่ละคันติดกันกับรถคันอื่นโดยที่แม้แต่คนจะเดินผ่านยังไม่สามารถทำได้ ในกรณีนี้แม้แต่จี้เฟิงก็ไม่สามารถขับผ่านไปได้แม้ว่าเขาจะมีทักษะการขับรถที่ยอดเยี่ยมแค่ไหน เว้นเสียแต่ว่ารถของเขาจะบินได้
“นี่มันเป็นความสุขบนความทุกข์สินะ”จี้เฟิงบ่นอุบ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเขาโทรหาหยูซวนและเล่ยเล่ยและบอกกับพวกเธอว่าตอนนี้เขาติดอยู่ในการจราจรที่ติดขัดบนท้องถนนและไม่รู้ว่าเขาจะกลับไปถึงบ้านเมื่อไหร่
โชคดีก่อนที่หยูซวนจะออกจากวิลล่ามาเธอได้พาเล่ยเล่ยไปมหาวิทยาลัยด้วยสิ่งนี้มันช่วยให้จี้เฟิงสบายใจได้ไปเปาะหนึ่ง
เมื่อมองไปบนท้องถนนที่แน่นขนัดไปด้วยรถคันอื่นๆรอบตัวเขาจากนั้นสายตาของจี้เฟิงก็ไปตกอยู่ที่ทางเท้าที่กว้างขวางและว่างเปล่า หัวใจของจี้เฟิงกระตุกเล็กน้อย เขายื่นหัวออกไปนอกหน้าต่างรถและเงยหน้าขึ้นมองเพื่อดูว่ามีกล้องวงจรปิดอยู่หรือเปล่า แต่ก็ไม่พบ
จี้เฟิงขับรถถอยหลังเล็กน้อยและหมุนพวงมาลัยอย่างรวดเร็วจี้เฟิงตัดสินใจที่จะใช้ทางเท้าเป็นทางลัด!
แต่เมื่อเขาเพิ่งเข้ามาถึงบนทางเท้าก่อนที่เขาจะทันได้ออกตัวเขาก็พบกับรถจักรยานยนต์คันหนึ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้ารถ
“ตำรวจจราจร…”จี้เฟิงยิ้มอย่างขมขื่น นี่คือรถจักรยานยนต์สายตรวจของตำรวจจราจร ตำรวจจราจรหญิงคนหนึ่งในเครื่องแบบเธอสวมหมวกที่มีปีกใหญ่จ้องมองจี้เฟิงด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยเป็นมิตรนัก
“คุณมีสองทางเลือกอย่างแรกขับรถชนฉันแล้วหนีไปหรืออย่างที่สองดับเครื่องยนต์แล้วลงจากรถเพื่อรับโทษ!” ตำรวจจราจรหญิงพูดขึ้นอย่างเย็นชาเมื่อเห็นว่าไม่มีการตอบสนองใดๆจากจี้เฟิง