The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 249 วิธีที่จะจัดการกับคนบ้า!
- Home
- The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ
- บทที่ 249 วิธีที่จะจัดการกับคนบ้า!
จี้เฟิงขมวดคิ้วและพูดว่า“แค่เธอต้องการจะมาจัดการกับเราเธอก็ทำได้ง่ายๆเลยงั้นเหรอ เราจะไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลยหรือไง? ที่นี่คือเจียงโจวเป็นสังคมที่ปกครองโดยกฎหมายและทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย!”
“น้องสามอย่าคิดอะไรตื้นๆคนบางคนถ้ามันบ้าคลั่งขึ้นมันมาก็ทำโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น “จี้ช่าวเหลยยิ้มอย่างขมขื่น “นายไม่เคยเจอเฉียวหรงนายไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงคนนี้มันบ้าได้ขนาดไหน!”
จี้เฟิงถามอย่างขำๆ“บ้าได้ขนาดไหนล่ะ”
“ฉันเคยทะเลาะกับเฉียวเจียไคตอนที่ฉันยังอยู่ที่หยานจิงในตอนนั้นเราทั้งคู่ยังเด็ก ที่โรงเรียนประถมตอนนั้นฉันน่าจะอยู่ ป.4 หรือ ป.5นี่แหละ ฉันอายุมากกว่าเฉียวเจียไค 2 ปี ดังนั้นฉันจึงเอาชนะเขาได้สบายๆ เขาร้องไห้หนักเลยสุดท้ายพอเขากลับบ้านไปเขาก็ไปฟ้องเฉียวหรงแม่ของเขา” เมื่อจี้ช่าวเหลยเล่ามาถึงตรงนี้ดูเหมือนเขาจะยิ้มอย่างขมขื่น “ตอนนั้นเฉียวหรงเรียกพ่อกับแม่ของฉันมาและบอกต่อหน้าทุกคนว่าจะให้ฉันกับเฉียวเจียไคสู้กันอีกครั้ง แต่เฉียวเจียไคไม่กล้า จากนั้นเฉียวหรงก็คว้าตัวเฉียวเจียไคทันทีและจับเขาโยนลงถังน้ำ! น้องสามฉันจะบอกอะไรให้ ตอนนั้นมันเป็นฤดูหนาว! และเป็นช่วงที่อากาศหนาวที่สุดอีกต่างหาก!”
“เออแฮะบ้าจริงด้วย!”
จี้เฟิงถึงกับกุมขมับผู้หญิงที่กล้าโยนลูกชายตัวเองลงถังน้ำเพียงเพราะอยากให้เขาลุกขึ้นสู้ นอกจากคำว่าบ้าก็ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาอธิบายการกระทำของผู้หญิงคนนี้แล้ว
และนั่นก็ทำให้จี้เฟิงเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่รองของเขาถึงได้รู้สึกเป็นกังวลเมื่อรู้ว่าเฉียวหรงมาที่เจียงโจวบางครั้งภาพจำในวัยเด็กที่ฝังลึกลงไปในใจก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เราหวาดระแวงมาจนถึงตอนโตได้เหมือนกัน
“ผู้หญิงบ้าคนนี้…”จี้เฟิงเกาหัวและหันไปถามฮั่นจง “ฮั่นจง ถ้าเป็นนาย นายจะใช้วิธีไหนจัดการกับคนบ้า”
“ส่งเข้าโรงพยาบาลบ้า!”ฮั่นจงโพล่งออกมาโดยไม่ต้องคิดให้มาก
“เป็นความคิดที่ดี!”จี้เฟิงหัวเราะและกลับไปพูดกับโทรศัพท์ “พี่รอง พี่ได้ยินแล้วใช่มั้ย วิธีจะจัดการกับคนบ้าเราก็แค่ส่งเธอไปโรงพยาบาลบ้า ง่ายๆแค่นั้นเอง”
อีกฟากของปลายสายจี้ช่าวเหลยแทบจะสำลักเมื่อได้ยินจี้เฟิงพูดประโยคเหล่านี้หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ยิ้มอย่างบิดเบี้ยวและกล่าวว่า “ด้วยตัวตนของเฉียวหรงใครมันจะกล้าส่งเธอไปโรงพยาบาลบ้า ถ้านายกล้าก็เอาเลยแต่ฉันไม่กล้า!”
จี้เฟิงยิ้ม“พี่รองรอแป็บ”
จี้เฟิงหันหน้าไปหาฮั่นจงเขายิ้มและถามว่า“ฮั่นจงถ้ามีคนบ้าที่อยากจะฆ่านาย แล้วตัวตนของเธอคนนั้นก็ไม่ธรรมดาจนเราไม่สามารถส่งเธอไปโรงพยาบาลบ้าได้ ถ้าเป็นแบบนั้นเราควรจะทำยังไงดี”
“งั้น…มันก็ออกจะยากไปสักหน่อย” ฮั่นจงมองไปที่จี้เฟิงอย่างสงสัย “นายกำลังคุยกับใครทำไมถึงพูดถึงแต่คนบ้า”
จี้เฟิงยิ้ม“ฉันแค่คุยเล่นๆกับเพื่อน มันเป็นบททดสอบทางปัญญาแต่ฉันดันคิดไม่ออกเลยมาถามนายดู”
“อ๋องี้นี่เอง!” ฮั่นจงรู้สึกสนใจขึ้นมาทันทีและพูดด้วยรอยยิ้ม “งั้นก็ง่ายมาก ในเมื่อเขาเป็นคนบ้าเขาก็ต้องทำเรื่องบ้าๆอย่างแน่นอนและยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่เขาทำคนทั่วไปก็คงไม่อาจเข้าใจถึงเหตุผลของเขาได้”
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า“อืม..ที่พูดมาก็ถูกนะ”
จี้ช่าวเหลยที่อยู่อีกฟากของปลายสายได้ยินทั้งหมดเกี่ยวกับการพูดคุยอย่างเป็นกันเองของจี้เฟิงกับฮั่นจงเขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ววันนี้น้องสามดูผิดปกติ มันเกิดอะไรขึ้นทำไมเขาถึงพูดเรื่องนี้กับคนอื่น ปัญหาแบบนี้มันไม่สมควรที่จะให้คนอื่นรู้ไม่ใช่หรือ
ฮั่นจงยิ้มและพูดต่อว่า“แล้วถ้าคนบ้าคนนี้ฆ่าตัวตายล่ะ”
“เธอจะฆ่าตัวตายไปทำไม”จี้เฟิงถาม
“คนบ้ามักจะทำในสิ่งที่คนปกติทั่วไปไม่เข้าใจอยู่แล้วถ้าจู่ๆเธอฆ่าตัวตายขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าสงสัยอะไรไม่ใช่เหรอในเมื่อเธอเป็นคนบ้า!” ฮั่นจงยิ้ม “นี่คือคำตอบของฉัน นายลองถามเพื่อนนายให้หน่อยสิ ฉันตอบแบบนี้ถูกหรือเปล่า”
“โอเคเดี๋ยวฉันถามให้!”จี้เฟิงเม้มปากพยายามกลั้นยิ้มและหันไปพูดกับโทรศัพท์ “พี่รอง พี่ได้ยินที่เราคุยกันแล้วใช่มั้ย การฆ่าตัวตายก็เป็นวิธีที่ไม่เลวนะ!”
จี้ช่าวเหลยตกใจทันทีเม็ดเหงื่อเย็นๆผุดขึ้นเต็มหน้าผาก เขาพูดอย่างรีบร้อน “น้องสามพูดเป็นเรื่องตลกไปได้ ให้ผู้หญิงคนนั้นบ้าไปคนเดียวก็พอ นายไม่ต้องไปบ้ากับเธอ! ทุกคนที่รู้จักเฉียวหรงต่างก็รู้ดีว่าเธอไม่ใช่คนที่จะฆ่าตัวตายและยิ่งไปกว่านั้น ถ้าจู่ๆเธอมาตายที่เจียงโจวไม่ว่าจะด้วยวิธีการไหนหรือสาเหตุอะไร คนอื่นจะต้องรู้แน่ๆว่าเธอมาที่เจียงโจวเพื่ออะไร ความแตกต่างระหว่างทำเรื่องแบบนี้กับการมองหาความตายให้ตัวเองมันจะต่างกันตรงไหน”
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็คิดวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ!”จี้เฟิงพูดอย่างไร้ความรับผิดชอบ “หากต้องการจะจัดการกับคนบ้านอกจากจะส่งเธอไปโรงพยาบาลบ้าแล้วก็เหลือวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้น!”
“อะ..ไอ้เด็กตัวแสบ!” จี้ช่าวเหลยได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น “ช่างมัน เรายังไม่ต้องคิดถึงเรื่องนี้ให้ปวดหัว เราควรมุ่งเน้นไปที่เรื่องความปลอดภัยของนายก่อน เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะส่งคนไปยังที่อยู่ของคนพวกนั้นและให้คอยเฝ้าสังเกตการณ์ ถ้ามีอะไรผิดปกติฉันจะรีบโทรบอกนายให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน!”
“โอเคตามนั้น!” หลังจากที่พูดคุยกับจี้ช่าวเหลย อารมณ์โกรธก่อนหน้านี้ของจี้เฟิงก็เบาบางลงไปมาก
หลังจากที่วางสายไปจี้เฟิงก็เหมือนตระหนักรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างบางทีการมองปัญหาจากมุมมองอื่นก็อาจจะได้วิธีที่แตกต่างออกไป ที่จี้เฟิงถามถึงปัญหานี้กับฮั่นจงนั่นเป็นเพราะเขารู้ตัวดีว่าเขานั้นเต็มไปด้วยความโกรธและไม่อยากคิดเรื่องนี้ในตอนนี้ เขาเลยต้องการถามใครสักคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว มันอาจจะได้วิธีแก้ปัญหาที่คิดไม่ถึง
เมื่อคิดได้แบบนี้เขาจึงรีบถามฮั่นจงอีกครั้งทันที“ฮั่นจง มันเป็นคำถามเดียวกันกับเมื่อกี้นี้ ถ้าเกิดคนบ้าคนนั้นแกล้งเป็นบ้า เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นมาควบคุมเธอ เพื่อที่เธอจะทำอะไรต่างๆได้ตามใจและเธอจะได้มีโอกาสทำเรื่องเหล่านั้นให้สำเร็จได้โดยง่ายเพราะเธอจะได้มุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียวโดยไม่ต้องสนวิธีการ ถ้าเป็นคนแบบนี้เราจะมีวิธีจัดการยังไง”
“เพื่อนของนายนี่แปลกจริงๆถ้าจะให้นายเล่นบททดสอบทางปัญญาก็มีวิธีอื่นตั้งเยอะแยะทำไมจะต้องให้นายไปแข่งกับคนบ้าอยู่เสมอเลย” ฮั่นจงพึมพำด้วยความประหลาดใจและพูดว่า “มันน่าจะง่ายกว่าเดิมอีกนะถ้าจะจัดการกับคนแบบนี้ เราก็แค่ทุบตีเธอแรงๆ เอาให้หายบ้าไปเลย ไม่ก็ทำร้ายเขาจนกว่าเธอจะเข็ดจะได้ไม่กล้าแกล้งบ้าอีก เราต้องเอาชนะเธอจนกว่าเธอจะกลับมาเป็นคนปกติแบบเดิม แบบนี้ถือว่าเป็นคำตอบที่ถูกต้องหรือเปล่า”
“เข้าท่า!”จู่ๆดวงตาของจี้เฟิงก็สว่างขึ้น “ถูกของนาย เราก็แค่ทำร้ายเธอ เธอจะได้ไม่กล้าแกล้งบ้าอีก อืม.. คำตอบนี้สมเหตุสมผลดีจริงๆ! ฉันพูดตรงๆนะฮั่นจง ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคำพูดแบบไม่ต้องคิดอะไรมากของนายมันจะทำให้ฉันมีวิธีดีๆ แล้วอีกอย่างถ้าไม่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนาจริงๆก็คิดวิธีแบบนี้ไม่ได้นะเนี่ย!”
ฮั่นจงอดไม่ได้ที่จะกลอกตาจากนั้นเขาก็ยกนิ้วกลางของเขาขึ้นและชูให้กับจี้เฟิงพร้อมกับสบถเสียงดัง“_วยเหอะ!” ไอรีนโนเวล
“ฮ่าฮ่า~!”จี้เฟิงหัวเราะลั่น “ไปๆ ชั้นเรียนจะเริ่มแล้วเรารีบไปกันดีกว่า!”
ในชั่วโมงเรียนจี้เฟิงนั่งคิดถึงคำพูดของฮั่นจงที่เขาบอกให้ทำร้ายเธอและเอาชนะเธอด้วยวิธีรุนแรงจนกว่าเธอจะกลับสู่สภาพเดิม! เมื่อนึกถึงประโยคนี้จี้เฟิงก็เหมือนรู้แจ้งวิธีการมองปัญหาจากอีกมุมหนึ่งมันก็ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้แตกต่างไปจากเดิม ถ้าเธอแกล้งบ้า ฉันก็ต้องบ้ามากกว่าเธอ จะทุบตีเธอจนกว่าเธอจะกลับมาเป็นปกติ และไม่ว่าเวลาไหนที่เธอเอ่ยชื่อฉัน เธอจะต้องเหมือนจมอยู่กับฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่น เธอจะต้องหวาดกลัวจนหวาดผวา
วิธีนี้แหละมันถึงจะได้ผลการจะจัดการคนชั่วก็ต้องให้คนที่ชั่วกว่าจัดการ
จี้เฟิงขบคิดว่าถ้าเขายังเป็นแบบนี้เขาอาจจะกลายเป็นมืออาชีพที่คอยสั่งสอนบทเรียนให้กับคนชั่วโดยการที่เขาจะต้องสวมบทบาทที่ชั่วร้ายกว่าแต่ถ้าเป็นการจัดการกับตระกูลเฉียวที่ชั่วร้ายเขาก็ยอมรับบทชั่วร้ายนี้ด้วยความเต็มใจ
และที่สำคัญไปกว่านั้นดูเหมือนว่านอกจากตัวเขาเองแล้วไม่ว่าจะพี่รองหรืออาสองของเขา ก็ไม่มีใครที่มีคุณสมบัติและความสามารถในการรับบทเป็นคนชั่วร้ายนี้ได้เลย
“เฉียวหรงเธอมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง…มันดีจริงๆ!” จี้เฟิงที่นั่งอยู่แถวสุดท้ายของห้องเรียนขนาดใหญ่ ในเวลานี้ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น “ฉันจะขอคิดบัญชีหนี้แค้นที่แกทำไว้กับแม่ของฉัน! สิ่งที่เฉียวเจียไคเพิ่งโดนไปก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ดอกเบี้ยเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ต่อจากนี้ฉันจะขอเงินต้นที่เหลือทั้งหมดคืนจากแก!”
“เป๊าะ!”
ปากกาพลาสติกในมือของจี้เฟิงหักและแตกละเอียดในทันที
นักศึกษาคนอื่นๆที่นั่งอยู่ใกล้ๆกับจี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกพวกเขาดึงเสื้อโค้ตของตัวเองให้กระชับแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งใกล้จี้เฟิงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ทำให้อึดอัดจนหายใจไม่ออกมาจากจี้เฟิง
เมื่อจี้เฟิงผ่อนลมหายใจออกมานักศึกษาคนอื่นๆก็พากันรู้สึกผ่อนคลายลงอย่างช้าๆตามไปด้วย
พวกเขาต่างมองไปยังทิศทางที่จี้เฟิงอยู่โดยไม่รู้ตัว
“การมาเรียนมันทำให้เขาเครียดขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เมื่อกี้ฉันรู้สึกราวกับว่าตัวเองตกอยู่ในนรกยังไงก็ไม่รู้”
นักศึกษาหลายคนต่างคิดในใจ
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเพื่อนร่วมชั้นโดยรอบจี้เฟิงก็ตระหนักได้ว่าเขาเป็นคนทำให้คนอื่นๆรู้สึกอึดอัดและพยายามเลิกคิดถึงเรื่องนั้น เขาแกล้งขยับตัวเหมือนกับว่ากำลังหาท่านั่งที่สบายๆและแสร้งทำเป็นตั้งใจฟังอาจารย์บรรยายต่อไป
หลังจากที่ฟังไปได้สักพักจี้เฟิงก็รู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาอีกครั้ง อันที่จริงแล้วเอกวิชาการเงินและเศรษฐศาสตร์นั้นเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากอยู่แล้วเว้นแต่ว่าอาจารย์ผู้สอนจะเป็นคนที่มีประสบการณ์การสอนที่เข้มข้นมาก พวกเขาจะสามารถเพิ่มตัวอย่างในชีวิตจริงมาปรับการสอนได้อย่างมีอรรถรส เพื่อให้นักเรียนมีความสนใจในการฟัง
อย่างไรก็ตามตอนนี้เห็นได้ชัดว่าอาจารย์คนนี้ไม่ได้อยู่ในจำพวกที่เรียกว่าอาจารย์ผู้มีประสบการณ์การสอนที่เข้มข้นแม้ว่าจี้เฟิงจะจดจำเนื้อหาเหล่านี้ได้แล้วแต่เขาก็ไม่อาจเข้าใจคำศัพท์บางอย่างได้อยู่ดี
แต่ไม่ว่าอย่างไรจี้เฟิงก็ไม่อาจโดดเรียนได้เพราะก่อนหน้านี้อาจารย์ได้แจ้งให้ทราบโดยทั่วกันแล้วว่าในชั้นเรียนของนักศึกษาปีแรกใครที่ไม่มาเข้าเรียนตามกำหนดถึงแม้จะสอบผ่านคุณก็จะไม่ผ่านและไม่สามารถเลื่อนชั้นเรียนได้!
ภายใต้นโยบายที่มีความกดดันสูงเช่นนี้น้องใหม่ที่เพิ่งเข้าเรียนเหล่านี้จะกล้าโดดเรียนได้อย่างไรดังนั้นไม่ว่าการบรรยายของอาจารย์จะแย่แค่ไหนนักเรียนนักศึกษาที่เข้าร่วมการบรรยายก็เกือบเต็มในทุกๆครั้ง
น่าเบื่อจริงๆ…จี้เฟิงที่กำลังเบื่อๆและไม่รู้จะทำอะไร นึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้เขาสงสัยในความสามารถความจำระดับเทพของตัวเองว่ามันยังอยู่ดีหรือเปล่า ทำไมเขาถึงได้นึกไม่ออกเมื่อตอนที่เห็นหน้าและได้ยินชื่อของเว่ยเฉียง
เขาจึงหยิบหนังสือขึ้นมาและสุ่มเปิดขึ้นมาและอ่านมันจากนั้นก็หลับตาลง เนื้อหาหน้าหนึ่งในหนังสือปรากฏขึ้นในหัวของเขาอย่างชัดเจนราวกับว่ามันเป็นการฉายซ้ำของภาพยนตร์
“โชคดีที่มันยังไม่หายไป!”จี้เฟิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะไอ้ความจำระดับเทพนี้เองที่ช่วยให้เขาค่อยๆเปลี่ยนไป และสาเหตุที่ทำให้เด็กยากจนอย่างเขากลายมาเป็นได้อย่างทุกวันนี้ก็เพราะการมีอยู่ของสมองหมายเลข 1 มันช่วยทำให้เขามีความสามารถและทักษะพิเศษต่างๆ
หากทักษะเหล่านั้นหายไปจี้เฟิงก็คงรู้สึกเหมือนแขนขวาของเขาหักมันคือการสูญเสียที่ร้ายแรง
ในขณะนั้นเองเสียงโทรศัพท์ของจี้เฟิงก็ดังขึ้น
“เจ้าบ้าเจอกันที่โรงอาหารตอนเที่ยงฉันมีเรื่องจะคุย” ในสหพันธ์มหาวิทยาลัยทั้งหมดหรือแม้แต่ทั้งประเทศจีนมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เรียกจี้เฟิงว่าเจ้าบ้า คนคนนั้นก็คือจางเล่ย
“โอเคไม่มีปัญหา”จี้เฟิงตอบทันที
“โทรบอกเล่ยเล่ยด้วยนะ”จางเล่ยพูดเสริม
จี้เฟิงถาม“โทรหาเล่ยเล่ย มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
“ก็เรื่องงานต้อนรับน้องใหม่ของมหาลัยนี่แหละฉันได้ยินข่าวมาบ้างเลยว่าจะคุยรายละเอียดกันที่โรงอาหาร คุยผ่านโทรศัพท์มันไม่ค่อยสะดวก!” จางเล่ยพูด
เมื่อทั้งสองคนนัดแนะกันเรียบร้อยและวางสายไปจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย เรื่องงานเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่อีกแล้วเหรอ งานเลี้ยงเล็กๆมันมีอะไรให้คุยกันเยอะแยะขนาดนั้นเลยเหรอ?