The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 255 ยื้อเวลา
จี้เฟิงและจางเล่ยยืนรออยู่ในร้านเฟอร์นิเจอร์นานกว่าสิบนาทีแต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของจางหย่งเฉียงเขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว หากปราศจากพลังอำนาจของผู้ที่มีอิทธิพลคอยหนุนหลัง ลูกชายของรองผู้กำกับก็แทบจะกลายเป็นเสือที่ไร้เขี้ยวเล็บในทันที
จี้เฟิงคาดเดาว่าตอนนี้จางหย่งเฉียงคงจะกัดฟันด้วยความโกรธแค้นและมองหาวิธีใดวิธีหนึ่งเพื่อจะมาจัดการกับเขาหลังจากที่ใช้อิทธิพลของพ่อตัวเองไม่ได้
จางเล่ยอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว“เจ้าบ้า เรากลับกันดีกว่า ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่มีอะไรสนุกๆให้ทำแล้วล่ะ!”
“เคกลับกัน!”จี้เฟิงยิ้ม “แต่ไม่ต้องเป็นกังวลไป โอกาสหน้ายังมี”
ตอนนี้จี้เฟิงรู้แล้วว่าพ่อของจางหย่งเฉียงมีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลเฉียวแถมตอนนี้เฉียวหรงก็อยู่ที่เจียงโจวเพราะลูกชายของเธอได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยฝีมือของเขาเองและถ้าเฉียวหรงเป็นผู้หญิงบ้าเหมือนอย่างที่พี่รองของเขาบอกไว้ คงจะเป็นเรื่องแปลกถ้าเธอไม่ได้มาเพื่อแก้แค้น
กับผู้หญิงบ้าคนนี้เพียงแค่สิ่งที่จี้ช่าวเหลยพี่ชายคนที่สองเล่าให้เขาฟังมันก็สร้างภาพจำของจี้เฟิงที่มีต่อเฉียวหรงได้อย่างชัดเจนแล้วแล้วที่ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่มีข่าวว่าเฉียวหรงได้มาที่เจียงโจวก็ดูเหมือนว่าผู้คนในแวดวงจะมีการเคลื่อนไหวกันอย่างลับๆ จากสิ่งนี้เองจะทำให้สังเกตได้ว่าเฉียวหรงยังคงมีอิทธิพลมากแค่ไหน แม้ว่าตอนนี้เธอจะไม่ได้เป็นผู้นำของตระกูลเฉียวแล้วก็ตามแต่การกระทำของเธอที่ส่งผลต่อคนอื่นๆก็แทบไม่ต่างจากผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนของตระกูลเฉียวเลย
และไม่ว่าเฉียวหรงเธอจะดูบ้ามากแค่ไหนก็ตามจี้เฟิงก็ไม่อาจมองเห็นเธอเป็นแค่ผู้หญิงไร้ค่าไม่มีพิษสงได้อย่างเด็ดขาด เพราะไม่เช่นนั้นคนอื่นๆ คงไม่เห็นเธอเป็นตัวแทนของตระกูลเฉียว และนั่นก็หมายความว่าเฉียวหรงจะต้องเคยแสดงพลังอำนาจของเธอมาไม่น้อยถึงได้ทำให้ผู้คนพากันระมัดระวังตัวเพียงแค่ได้รู้ข่าวการเคลื่อนไหวของเฉียวหรง และสิ่งที่จะเห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องที่แม้แต่จี้เจิ้นกั๋วอาคนที่สองของเขาก็ไม่อาจปะทะกับเฉียวหรงอย่างซึ่งๆหน้าได้ ดังนั้นจี้เฟิงจะไม่ละเลยในเรื่องนี้อย่างแน่นอน
ใครจะรู้ว่าในขณะที่จี้เฟิงและจางเล่ยกำลังจะกลับพวกเขาก็ได้ยินเสียงของผู้ชายคนหนึ่งที่ฟังดูเร่งรีบลนลานดังมาจากข้างหลัง “น้องชายทั้งสอง โปรดรอสักครู่!”
จี้เฟิงและจางเล่ยหันกลับไปทันทีและเห็นผู้ชายคนหนึ่งอยู่ตรงบันไดชั้นสองของร้านเฟอร์นิเจอร์เขาเป็นผู้ชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างอ้วน กำลังวิ่งลงบันไดมาอย่างกระหืดกระหอบ มีเหงื่อไหล่พลั่กเต็มหน้า
“น้องชายทั้งสองฉันขอแนะนำตัวฉันชื่อหวังอี้ฉวนเป็นผู้จัดการของเรดซันเฟอร์นิเจอร์ซิตี้ ฉันต้องขอโทษจริงๆที่ปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น” ผู้จัดการอ้วนพูดอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูฝืนๆเพราะเหนื่อยจากการที่รีบวิ่งลงบันไดมา “เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบในฐานะตัวแทนของทางร้านฉันจึงตัดสินใจจะส่งชุดโซฟาให้กับน้องชายทั้งสองโดยหวังว่าน้องชายจะยินดีรับคำขอโทษจากทางร้าน”
จี้เฟิงและจางเล่ยหันมามองหน้ากันพวกเขาต่างก็เห็นความสงสัยอยู่ในแววตาของกันและกัน มันดูไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไหร่
ในตอนที่พวกเขาทะเลาะกับจางหย่งเฉียงตั้งแต่แรกที่มีการถกเถียงกันไปมาก็ไม่ใช่เสียงที่เบาเลย แล้วไหนจะตอนที่ผู้หญิงคนนั้นลงไปกรีดร้องโวยวายด้วยความเจ็บปวดทรมานอีก มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้จัดการจะไม่ได้ยินเสียง แต่พวกเขาก็ไม่เห็นว่าผู้จัดการหรือพนักงานคนไหนจะมาสอบถามหรือจัดการอะไร แต่พอตอนนี้พวกเขาสองคนกำลังจะกลับออกไปจู่ๆผู้จัดการร่างอ้วนคนนี้ก็รีบมาขอโทษขอโพยด้วยท่าทีรีบร้อน ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็คาดเดาความเป็นไปได้อยู่ในใจว่าเหตุผลที่ผู้จัดการหวังอี้ฉวนทำแบบนี้มีความเป็นไปได้อยู่สองทาง อย่างแรก เหตุผลที่หวังอี้ฉวนไม่มาปรากฏตัวในตอนที่เขามีปัญหากับจางหย่งเฉียงตั้งแต่แรกอาจเป็นเพราะเขากังวลเกี่ยวกับตัวตนของจางหย่งเฉียง แต่พอเรื่องราวสงบลงเขาอาจจะเป็นกังวลว่าจะถูกรายงาน จึงได้มามอบโซฟาให้เป็นการขอโทษ
ส่วนความเป็นไปได้อย่างที่สองคือหวังอี้ฉวนไม่ได้มีเจตนาที่อยากจะมาขอโทษพวกเขาจริงๆแต่แรกแล้ว แต่ที่จู่ๆก็มาปรากฏตัวเป็นเพราะเห็นว่าเขาและจางเล่ยกำลังจะออกจากร้าน หวังอี้ฉวนจึงใช้เรื่องการขอโทษเพื่อเป็นการซื้อเวลาให้ใครสักคน ส่วนจะเป็นใครนั้นก็คงไม่ต้องบอก
จี้เฟิงมองไปที่หวังอี้ฉวนอย่างไม่แยแสในความคิดของเขาเขาคิดว่าหวังอี้ฉวนคนนี้ไม่ได้มาที่นี่เพื่อขอโทษ ความจริงแล้วความเป็นไปได้อย่างที่สองนั้นมีมากกว่า จี้เฟิงไม่คิดว่าหวังอี้ฉวนจะรู้จักตัวตนของเขา ดังนั้นทำไมหวังอี้ฉวนถึงจะต้องยอมเสี่ยงทำเรื่องที่ทำให้จางหย่งเฉียงไม่พอใจ ด้วยการ ‘ขอโทษ’ และถึงกับเสนอชุดโซฟาเป็นการแสดงความรับผิดชอบให้กับพวกเขาด้วย
เห็นได้ชัดว่าเขาทำแบบนี้ก็เพื่อรักษาเสถียรภาพของตัวเอง!
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยอยู่ในใจดูเหมือนว่าจะหมดหวังกับผู้ชายอย่างจางเว่ยเฉียงแล้วจริงๆ ส่วนหวังอี้ฉวนคนนี้ก็เห็นได้ชัดจากท่าทีอันร้อนรนของเขาว่าไม่ต่างจากสุนัขรับใช้ตัวหนึ่งของจางเว่ยเฉียงเลย
สีหน้าของจางเล่ยค่อยๆจมลงเห็นได้ชัดว่าจางเล่ยก็น่าจะเดาออกไม่ต่างจากจี้เฟิง เขาจ้องมองไปที่หวังอี้ฉวนอย่างเย็นชา
“เหอๆ…”เมื่อเห็นสายตาของจี้เฟิงและจางเล่ยที่มองเขาอย่างเย็นชา หวังอี้ฉวนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแห้งๆก่อนจะพูดว่า “ทำไมน้องชายทั้งสองมองฉันด้วยสายตาแบบนั้นล่ะ หรือว่าคำขอโทษอย่างจริงใจกับโซฟาหนึ่งชุดมันน้อยไปเหรอ”
“ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอนในเมื่อผู้จัดการอุตส่าห์ขอโทษพวกเราอย่างจริงใจ พวกเขาก็ขอน้อมรับมันไว้ก็แล้วกัน” จางเล่ยเหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ถูกสายตาของจี้เฟิงห้ามไว้เสียก่อน
หวังอี้ฉวนถอนหายใจอย่างโล่งอกและถามด้วยรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นรบกวนน้องชายช่วยบอกที่อยู่ของน้องชายอย่างละเอียดมาให้หน่อยก็แล้วกัน ฉันจะได้จัดการให้พนักงานไปส่งของให้น้องชายทั้งสองได้อย่างถูกต้อง”
“บ้านของฉันมันไม่น่าอวดสักเท่าไหร่เอาเป็นว่าผู้จัดการช่วยให้พนักงานไปส่งของในเขตที่พักของสหพันธ์มหาวิทยาลัยให้หน่อยก็แล้วกัน เพราะก่อนหน้านี้พวกเราก็บอกพนักงานส่งของให้ไปส่งเฟอร์นิเจอร์ที่นั่นด้วยเหมือนกัน” จางเล่ยยิ้มตาหยี แต่ในใจของเขาแอบหัวเราะเยาะเย้ย “คิดว่าพวกกูโง่งั้นดิ ถึงได้ใช้ลูกไม้กากๆแบบนี้!”
หวังอี้ฉวนรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันทีเขาเริ่มรู้สึกเป็นกังวลและอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “น้องชาย พวกคุณไม่จำเป็นต้องคิดมากขนาดนี้ก็ได้ ให้พนักงานไปส่งโซฟาถึงที่บ้านน้องชายโดยตรงเลยมันจะไม่สะดวกกว่าเหรอ”
“โอเค!”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย“แต่ฉันกลัวว่าถ้าฉันบอกที่อยู่ไปแล้วผู้จัดการจะไม่กล้าไปส่งน่ะสิ”
หัวใจของหวังอี้ฉวนเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อยเขาหัวเราะแห้งสองสามครั้งและกล่าวว่า “มุกของน้องชายฮาใช้ได้เลยนะเนี่ย! วันนี้ฟ้าฝนก็ไม่ได้ตก ไม่ว่าน้องชายจะอยู่ที่ไหนฉันก็กล้าไปส่งทั้งนั้นแหละ!”
“ชุมชนหวังเยว่ผู้จัดการกล้าไปส่งหรือเปล่าล่ะ” จี้เฟิงถามเบาๆ
“อะไรนะชุมชนหวังเยว่?!” หัวใจของหวังอี้ฉวนเต้นรัว ความตกใจและมึนงงถาโถมเข้ามาอย่างกะทันหัน มันจะเป็นที่นี่ไปได้ยังไง? หนุ่มสาวกลุ่มนี้อาศัยอยู่ที่ชุมชนหวังเยว่จริงๆงั้นเหรอ? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆฉันก็ไม่แปลกใจแล้วล่ะว่าทำไมพวกเขาถึงกล้ามีปัญหากับจางหย่งเฉียง!
มีคนไม่มากที่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของชุมชนหวังเยว่เนื่องจากในเจียงโจวมีชุมชนอยู่มากมายและคนทั่วไปก็ไม่ได้สนใจปัญหาเหล่านี้ แต่หวังอี้ฉวนเคยได้ยินเกี่ยวกับชุมชนหวังเยว่ ในมุมมองของคนที่สันทัดกรณีแบบนี้ชุมชนหวังเยว่ก็เปรียบเสมือนสถานที่ที่ไม่ควรย่างก้าวเข้าไปอย่างเด็ดขาดถ้าไม่มีเหตุจำเป็น!
ผู้คนที่อาศัยอยู่ในชุมชนหวังเยว่ล้วนร่ำรวยหรือไม่ก็มีอิทธิพลในด้านมืดที่สำคัญเงินของพวกเขาส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากช่องทางที่ใสสะอาด ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ล้วนมีบทบาทสำคัญ มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายหากต้องการจะจัดการกับพวกเขาและก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะเป็นฝ่ายไปหาเรื่องคนเหล่านี้
ถ้าหากเด็กหนุ่มทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้อาศัยอยู่ในชุมชนหวังเยว่จริงๆบางทีพวกเขาอาจจะไม่ใช่บุคคลที่น่ากลัว เพราะบุคคลที่น่ากลัวจริงๆนั้นคือพ่อแม่หรือผู้อาวุโสของพวกเขาต่างหาก
หวังอี้ฉวนเกิดอาการลังเลคำสั่งที่เขาได้รับคือทำยังไงก็ได้ให้เด็กหนุ่มสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้อยู่ที่นี่ให้ได้นานที่สุดและห้ามให้พวกเขากลับออกไปได้เป็นอันขาด อันที่จริงคำสั่งนี้รวมถึงหญิงสาวอีกสองคนที่เพิ่งกลับออกไปด้วย ไอรีนโนเวล
อย่างไรก็ตามเมื่อตอนที่เซียวหยูซวนและถงเล่ยจากไปหวังอี้ฉวนยังคงอยู่ในห้องทำงานของผู้จัดการที่อยู่ชั้นบน เขาไม่กล้าที่จะก้าวออกมาจากห้องแม้แต่ก้าวเดียวแล้วนับประสาอะไรกับการห้ามไม่ให้พวกเธอกลับไป
หวังอี้ฉวนรับรู้ถึงความขัดแย้งนี้ตั้งแต่แรกแล้วเพราะตั้งแต่ที่จางหย่งเฉียงก้าวเข้ามาที่เรดซันเฟอร์นิเจอร์ซิตี้ เขาต้องการออกมาต้อนรับขับสู้เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีกับจางหย่งเฉียง แต่เมื่อเขาเห็นว่าจางหย่งเฉียงกำลังคุยกับหญิงสาวสองคน เขาก็ยังคงไม่ปรากฏตัวออกไปเพราะเกรงว่ามันจะเป็นการรบกวนจางหย่งเฉียง
แม้ว่าเขาจะปรากฏตัวออกไปแต่เขาก็ให้ความสำคัญกับกระทำของจางหย่งเฉียงอยู่ตลอดเวลาเพื่อหวังว่าจะสบโอกาสที่ดี ดังนั้นหวังอี้ฉวนจึงได้เห็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างฝ่ายของจี้เฟิงและจางหย่งเฉียงตั้งแต่ต้นจนจบ
ทักษะที่น่ากลัวและวิธีการอันเยือกเย็นของจี้เฟิงทำให้หวังอี้ฉวนตื่นตระหนกตกใจกลัวจนทำอะไรไม่ถูกโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นสายตาอันเย็นชาของจี้เฟิงที่กระทำเรื่องเช่นนี้อย่างไม่แยแส เหงื่อเย็นๆของหวังอี้ฉวนก็ผุดขึ้นและไหลออกมาที่หลังของเขาทันที หน้าที่และความรับผิดชอบของเขาคือการเข้าไปไกล่เกลี่ยความขัดแย้งนี้ แต่เขาไม่มีความกล้ามากพอ
แต่ที่ตอนนี้เขาต้องออกมาปรากฏตัวนั่นเป็นเพราะว่าเจ้านายได้โทรมาสั่งให้เขารั้งตัวหนุ่มสาวกลุ่มนี้ไว้ให้นานที่สุดอย่างน้องก็ต้องให้พวกเขาอยู่ที่นี่จนกว่าจางหย่งเฉียงจะพาคนมาถึง
หวังอี้ฉวนอดไม่ได้ที่จะโอดครวญอยู่ในใจคนอย่างเขาจะหยุดเด็กหนุ่มที่โหดร้ายสองคนนี้ได้ยังไง
และเห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มสองคนนี้ระวังตัวมากพวกเขาไม่คล้อยตามแผนการของเขาเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ท่าทีของพวกเขาก็ยังคงเย็นชาและวางตัวอย่างเย่อหยิ่ง
ลักษณะท่าทีของจี้เฟิงและจางเล่ยยิ่งทำให้หวังอี้ฉวนแน่ใจมากยิ่งขึ้นไปอีกว่าเด็กหนุ่มทั้งสองคนนี้เป็นบุคคลที่อาศัยอยู่ในชุมชนหวังเยว่จริงๆมันเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่มีอำนาจที่จะแสดงท่าทีที่เย็นชาและหยิ่งทระนงในตัวเองเช่นนี้
แน่นอนว่าจี้เฟิงไม่รู้ว่าความเฉยเมยของเขาได้ถูกมองเป็นความเย่อหยิ่งในสายตาของหวังอี้ฉวน
“น้องชายทั้งสองโปรดรอสักครู่ฉันจะจัดการให้พนักงานไปส่งของให้พวกคุณ” หวังอี้ฉวน ปาดเหงื่อเล็กน้อยและได้แต่แอบคร่ำครวญอยู่ในใจ เขาพยายามยิ้มให้ดูสดใสมากที่สุดและกำลังจะเดินออกไป
“โอเคแต่รีบหน่อยนะ พวกเราไม่อยากรออยู่ที่นี่นาน!” จี้เฟิงพูดยิ้มๆ
หวังอี้ฉวนรู้สึกราวกับว่าความคิดและเจตนาของเขาถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งเขาพยักหน้าอย่างรีบร้อนและวิ่งขึ้นไปชั้นบน
เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ตอนนี้มันซับซ้อนมากกว่าที่คิดเขาจึงต้องรีบรายงานเรื่องนี้ให้เจ้านายของเขารู้โดยเร็วที่สุด แม้ว่าตัวตนของจางหย่งเฉียงนั้นควรค่าแก่การใส่ใจแต่เด็กหนุ่มสองคนนี้ก็ไม่ใช่คนธรรมดาที่ควรมองข้ามและแน่นอนว่าไม่ควรทำให้พวกเขาขุ่นเคืองใจ
“เจ้าบ้าไอ้ผู้จัดการคนนี้มันน่าจะสร้างปัญหาให้เรามากกว่าหวังดีนะ!” จางเล่ยอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นในขณะที่แผ่นหลังของหวังอี้ฉวนเพิ่งจะหายวับไปที่บันไดชั้นบน
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและยิ้ม“อ้าว! ฉันก็คิดว่านายอยากเห็นอะไรแบบนี้”
“ฮึ!ฉันจะคอยดูว่าคนแบบนี้มันจะใช้กลเม็ดกากๆอะไรอีก!” จางเล่ยตะคอกอย่างดูถูก “ไอ้อ้วนนี้มันก็แค่สุนัขรับใช้ ฉันล่ะสงสัยจริงๆว่าเป็นขี้ข้ามาคอยทำเรื่องแบบนี้ให้กับลูกชายของรองผู้กำกับมันจะคุ้มค่ามั้ย”
“คนเรามีมากมายหลายแบบจะเจอคนแบบนี้บ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เล่ยซือ ถ้าจางหย่งเฉียงมันพาใครมาที่นี่จริงๆ สิ่งที่นายจะต้องทำมีเพียงอย่างเดียวคือปกป้องตัวเองให้ดีที่สุด แต่ถ้าจะให้ดีกว่านั้นฉันว่านายควรไปหาที่ซ่อนแล้วคอยดูฉันอยู่ห่างๆดีกว่า”
จางเล่ยไม่พอใจทันที“เจ้าบ้าอย่ามาพูดจาเพ้อเจ้อ จะให้ฉันไปซ่อนตัวแล้วปล่อยให้นายต้องต่อสู้อยู่คนเดียวเนี่ยนะ”
“หรือว่านายอยากจะให้ฉันโทรหาเล่ยเล่ยตอนนี้”จี้เฟิงไม่คิดที่จะโต้เถียงกับเขาให้เสียเวลา เขาเพียงแค่ถามกลับอย่างเฉยเมย
จางเล่ยผงะไปเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็พูดออกมาด้วยความโกรธ“นายนี่มันโหดร้ายมาก ถ้าไอ้จางหย่งเฉียงมันพาพวกมาจริงๆ สิ่งแรกที่นายต้องทำคือจัดการกับฉันก่อน ฉันถึงจะทำตามคำพูดของนายได้!”
ในขณะนั้นเองมีพนักงานของเรดซันเฟอร์นิเจอร์ซิตี้คนหนึ่งเดินมาทางพวกเขาแต่สีหน้าและท่าทางของเขาเหมือนแค่เดินผ่านไปเฉยๆ แต่ในขณะที่เขากำลังจะเดินผ่านจี้เฟิงกับจางเล่ย พนักงานคนดังกล่าวก็กระซิบว่า “ทั้งสองรีบออกไปจากที่นี่ ผู้จัดการกำลังโทรหาใครบางคนอยู่!”
เสียงของเขาเบามากจนจางเล่ยแทบจะไม่ได้ยินและจับใจความไม่ได้แต่นั่นไม่ใช่กับจี้เฟิงเขาได้ยินมันอย่างชัดเจน จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและหันไปมองที่ชายคนนั้น
เขาเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปีเขาสวมชุดพนักงานของเรดซันเฟอร์นิเจอร์ซิตี้ บัตรพนักงานที่แขวนอยู่ที่หน้าอกของเขาเขียนว่า
‘ฮั่นรุ่ยเชา!’นี่คือชื่อของเขาและตำแหน่งของเขาคือหัวหน้าแผนกขาย
จี้เฟิงยิ้มให้เขาอย่างจริงใจมันช่วยเตือนสติเขาได้อย่างหนึ่งว่าอย่างน้อยก็ยังมีคนดีๆอยู่บนโลกใบนี้ และเห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มที่ชื่อฮั่นรุ่ยเชาคนนี้เป็นคนที่มีจิตใจดี