The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 282 ช่วยชีวิต
“ใช่!พลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพ!”
เมื่อคิดได้แบบนี้จี้เฟิงจึงต้องการที่จะเข้าสู่จิตใต้สำนึกทั้งทีเขาอยากจะถามสมองหมายเลข 1 ให้ชัดเจนไปเลยว่าการคาดเดาของเขานั้นถูกต้องหรือไม่ แต่หลังจากคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เกิดความลังเลและรู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าสิ่งที่เขาคิดอยู่มันผิด!
น้อยครั้งมากที่จี้เฟิงจะมีอาการลังเลและครั้งนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ตี๊.. ♫ ดี่.. ♪ ”
ในขณะที่จี้เฟิงกำลังรู้สึกลังเลอยู่นั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นเสียงพิเศษที่เป็นเบอร์โทรจากหยานจิง เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและรับสายทันที “แม่!”
“เฟิงเอ๋อ!”หลังจากที่ไม่ได้ยินเสียงของลูกชายเป็นเวลานาน น้ำเสียงของเซียวซูเหม่ยฟังดูตื่นเต้นมาก และถามด้วยความเป็นห่วง “เฟิงเอ๋อ อยู่ที่เจียงโจวเป็นยังไงบ้าง สะดวกสบายดีหรือเปล่า”
“ผมโอเคทุกอย่างเรียบร้อยดีแม่ไม่ต้องเป็นห่วง!” หัวใจของจี้เฟิงรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของผู้เป็นแม่ ไม่ว่าเขาจะอยู่ห่างจากแม่ของเขามากแค่ไหน แม่ก็ยังคงเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ “แล้วแม่ล่ะ อยู่ที่หยานจิงเป็นยังไงบ้าง พ่อดีกับแม่รึเปล่า!”
“อื้มแม่สบายดี!” เซียวซูเหม่ยยังคงอยู่ในอาการตื่นเต้นเล็กน้อยแต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็รู้สึกสงบลง “ส่วนพ่อของลูกก็งานยุ่งเหมือนเดิม แต่ช่วงนี้… ดูเหมือนจะยุ่งมากกว่าปกตินิดหน่อย เพราะขนาดกลับมาบ้านก็ยังคงง่วนอยู่กับงาน บางวันยุ่งเสียจนลืมกินข้าวไปเลยก็มี”
เมื่อได้ยินแม่ของเขาพูดพร้อมกับมีเสียงถอนหายใจเบาๆจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว สมัยก่อนไม่ว่าแม่จะลำบากมากแค่ไหน แม่ก็ไม่เคยทอดถอนใจแบบนี้ จี้เฟิงเริ่มรู้สึกเป็นกังวล เขาไม่น่าจะฟังผิด เมื่อกี้คือเสียงถอนหายใจของแม่จริงๆ
หัวใจของจี้เฟิงสั่นไหวเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความเป็นกังวล“แม่อยู่ที่หยานจิงไม่สะดวกสบายเหรอ พ่อได้ทำอะไรไม่ดีกับแม่รึเปล่า”
“เด็กโง่!ทำไมถึงได้สงสัยในตัวพ่อของลูกขนาดนั้นล่ะ!” เซียวซูเหม่ยอดหัวเราะไม่ได้ “ก็ไม่มีอะไรหรอก ช่วงนี้พ่อของลูกเครียดจากงานมากไปหน่อย เลยอาจจะไม่ได้มีเวลามาสนใจแม่ แต่ลูกอยู่ตัวคนเดียวในเจียงโจวต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ เข้าใจมั้ย?”
จี้เฟิงยิ้ม“เข้าใจแล้วคร้าบบบ ถ้าพ่อยุ่งขนาดนั้น แม่ก็ต้องดูแลสุขภาพตัวเองด้วยเพราะสุขภาพร่างกายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด!”
“เดี๋ยวนี้แม่ต้องให้เราสอนแล้วเหรอเนี่ยเจ้าเด็กตัวเหม็น! ชักจะเก่งใหญ่แล้ว!” เซียวซูเหม่ยพูดอย่างดุๆแต่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
จี้เฟิงหัวเราะอย่างร่าเริงบางครั้งการถูกแม่ดุมันก็ทำให้รู้สึกมีความสุขเช่นกัน
จากนั้นทั้งสองแม่ลูกก็พูดถึงความห่วงใยที่มีต่อกันอีกสองสามคำก่อนจะวางสายเซียวซูเหม่ยยังคงกำชับจี้เฟิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่เรื่องเสื้อผ้าต้องสะอาด ทานอาหารให้ครบทุกมื้อ และการทำความสะอาดที่อยู่อาศัยอย่างสม่ำเสมอไปจนถึงการพบปะผู้คน ควรมีน้ำใจและควรให้เกียรติผู้อื่นเสมอ ไม่ว่าลูกชายของเธอจะโตมากสักแค่ไหน แต่คนเป็นแม่ก็ไม่เคยเบื่อที่จะสั่งสอนเลย หัวใจของจี้เฟิงรู้สึกอบอุ่นมากเมื่อได้ฟัง
เซียวซูเหม่ยวางสายหลังจากเวลาผ่านไปสองชั่วโมงโทรศัพท์ของจี้เฟิงถึงกับร้อนขึ้นเล็กน้อย
จี้เฟิงนำโทรศัพท์ไปชาร์จแต่ในขณะนั้นเองใบหน้าของเขาก็มืดมนขึ้นมาทันที
แม้ว่าเซียวซูเหม่ยจะไม่ได้พูดถึงความทุกข์ร้อนใดๆของเธอเลยตั้งแต่ต้นจนจบแต่จี้เฟิงนั้นรู้ดีว่าแม่ของเขาต้องมีเรื่องไม่สบายใจอยู่อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ความคับข้องใจนี้ไม่ได้มาจากพ่อของเขา แต่มาจากคนอื่น!
แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานใดๆที่บ่งชี้แน่ชัดแต่จี้เฟิงก็สามารถรู้สึกได้ และเขาก็เชื่อมั่นใจความรู้สึกของตัวเองเป็นอย่างมาก เพราะในวันนี้แม่ของเขาดูตื่นเต้นผิดปกติ
แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานใดๆที่บ่งชี้แน่ชัดแต่จี้เฟิงก็สามารถรู้สึกได้ และเขาก็เชื่อมั่นในความรู้สึกของตัวเองเป็นอย่างมาก เพราะแม่ไม่เคยตื่นเต้นเหมือนอย่างวันนี้มาก่อน เห็นได้ชัดว่าแม่อยู่ในหยานจิงแล้วไม่ได้มีความสุขอย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้นการได้พูดคุยกับลูกชายจึงทำให้เธอดูตื่นเต้นมากกว่าทุกครั้ง
อย่างไรก็ตามเซียวซูเหม่ยนั้นกลัวว่าลูกชายของเธอจะเป็นกังวลเธอจึงพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบตามปกติ และเธอก็พอใจมากเมื่อได้รู้ว่าลูกชายของเธอสุขสบายดี
ยิ่งครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้คิ้วของจี้เฟิงก็ยิ่งขมวดแน่นเขาแทบอดใจไม่ไหวและอยากจะเดินทางไปที่หยานจิงเสียตั้งแต่ตอนนี้ เขาต้องการที่จะดูว่าใครหน้าไหนที่มันกล้ามาล้วงคองูเห่า และแม้แต่แม่ของเขามันยังรังแก ก็คอยดูแล้วกันว่าจี้เฟิงเด็กยากจนที่มาจากชนบทคนนี้จะจิตใจดีโอบอ้อมอารีและไม่กล้าลงมือฆ่าคนจริงหรือเปล่า!
จี้เฟิงหยิบบุหรี่จากโต๊ะหน้าโซฟาด้วยใบหน้าที่มืดมนเขาจุดบุหรี่ตัวหนึ่งและสูบมัน ความกระวนกระวายใจก็ค่อยๆสงบลง
หลังจากที่สูบบุหรี่เข้าไปเต็มปอดครั้งสุดท้ายเสร็จเขาก็ดับบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่และรีบขึ้นไปชั้นบน เขาล็อกประตูห้องนอนและรีบเข้าไปสู่จิตใต้สำนึกของเขาทันที
“ยินดีต้อนรับการกลับมาครับมาสเตอร์!”สมองหมายเลข 1 เป็นฝ่ายทักทายเขาก่อน
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและถามเข้าเรื่องทันที“คุณสมอง ตอนนี้กระแสไฟฟ้าของผมมันสามารถถ่ายทอดเข้าสู่ร่างกายของคนอื่นได้ใช่มั้ย ดังนั้นนอกจากมันจะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่นแล้ว มันจะสามารถก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ด้วยหรือเปล่า?” เมื่อแม่ถูกรังแกจี้เฟิงจึงละทิ้งความลังเลใจไปอย่างหมดสิ้น ในใจของเขาตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าแม่ของเขา จี้เฟิงพอจะจับพิรุธได้บางอย่างจากคำพูดของแม่ แม้ว่าชีวิตความเป็นอยู่ของแม่ในตอนนี้จะดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน แต่แม่คงต้องอดทนต่อคำซุบซิบนินทามากมายจนรู้สึกกดดัน ไม่เช่นนั้นแม่คงจะไม่แสดงอาการตื่นเต้นมากขนาดนี้
จี้เฟิงรู้ดีว่าแม่ของเขาเป็นคนจิตใจเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งมากเพียงใดไม่เช่นนั้นเธอคงไม่จากหยานจิงมาโดยไม่พูดสักคำทั้งๆที่เธอกำลังตั้งครรภ์อยู่ เพียงเพราะได้รู้มาว่าสามีของเธอได้ทิ้งผู้หญิงคนหนึ่งเพื่อมาแต่งงานกับเธอ จากนั้นเธอจึงจากมาและใช้ชีวิตที่ยากลำบากเลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียวมานานกว่าสิบปี
แล้วผู้หญิงคนหนึ่งที่เข้มแข็งขนาดนี้เธอกำลังอยู่อย่างทุกข์ทรมานใจมากขนาดไหน
นอกจากเรื่องแม่แล้วที่เขาจะต้องจัดการจี้เฟิงยังต้องหาวิธีฟื้นฟูสุขภาพของคุณปู่เพื่อให้พ่อของเขาได้มีเวลาจัดการสิ่งต่างๆได้นานมากขึ้น เขามีปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะจากกาแล็กซีแกมมาอยู่ในหัว มันจะไม่มีทางออกในเรื่องนี้เลยงั้นหรือ
จี้เฟิงไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด!
“มาสเตอร์พลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพเป็นพลังงานที่พิเศษมาก มันเป็นสิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างใช้ร่วมกัน…” ก่อนที่สมองหมายเลข 1 จะพูดจบ จี้เฟิงก็พูดขัดจังหวะด้วยความหงุดหงิด
“อย่าเพิ่งอธิบายรายละเอียดหรือหลักการในตอนนี้!แค่บอกผมมาว่าพลังงานไฟฟ้าชีวภาพสามารถช่วยคนอื่นได้หรือเปล่า!” น้ำเสียงของจี้เฟิงดูร้อนรนเล็กน้อย เขาไม่สามารถทำให้ความโกรธที่อยู่ในใจเขาตอนนี้สงบลงได้
สมองหมายเลข1 ไม่ได้รู้สึกโกรธที่ถูกขัดจังหวะ อันที่จริงแล้วปัญญาประดิษฐ์นั้นถูกป้อนคำสั่งให้จงรักภักดีต่อเจ้านายและแน่นอนว่ามันไม่มีอารมณ์หรือรู้สึกโกรธ “ได้!”สมองหมายเลข 1 ตอบสั้นๆ
จี้เฟิงรู้สึกดีใจมากในทันที“แล้วมันต้องทำยังไง!”
“โฮสต์จำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับลักษณะของกระแสไฟฟ้าชีวภาพก่อนที่เขาจะเริ่มทำมันได้!”สมองหมายเลข 1 กล่าว
“…..”
สุดท้ายสิ่งที่จี้เฟิงต้องทำก็คือต้องเข้าใจหลักการเหล่านี้ก่อนอยู่ดีถึงจะทำในสิ่งที่เขาต้องการได้จี้เฟิงได้แต่ยิ้มอย่างเขินอายและกล่าวขอโทษ “คุณสมอง ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆที่ทำนิสัยไม่ดีออกมา ผมหวังว่าคุณสมองจะไม่โกรธกันนะ”
ปัญญาประดิษฐ์ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความผันผวนทางอารมณ์เขาเพียงแค่กล่าวว่า “เจตจำนงของมาสเตอร์เป็นคำสั่งที่สมองต้องปฏิบัติตามและมาสเตอร์ไม่จำเป็นต้องขอโทษ”
แม้ว่าจะต้องเผชิญกับปัญญาประดิษฐ์จี้เฟิงก็ยังรู้สึกผิดและกล่าวขอโทษอยู่ดี ลองคิดดูสิว่าถ้าเขาไม่มีสมองหมายเลข 1 เขาก็จะยังคงเป็นเด็กยากจนที่ไร้ค่าอยู่ในตอนนี้ และเขาก็รู้สึกขึ้นมาได้ว่าเขาไม่ควรใจร้อนและพาลใส่สมองหมายเลข 1 เลย
เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้น้ำเสียงของจี้เฟิงก็ฟังดูนุ่มนวลขึ้น“คุณสมอง ถ้าอย่างนั้นฉันจะใช้ไฟฟ้าชีวภาพเพื่อช่วยคนอื่นได้อย่างไร”
ก่อนหน้านี้สิ่งที่จี้เฟิงกังวลเพียงอย่างเดียวคือเขาจะสามารถใช้ไฟฟ้าชีวภาพเพื่อเอาชนะคนอื่นๆได้หรือไม่เพราะเขาได้เรียนรู้สิ่งที่เรียกว่าการเป็นสายลับมาตั้งแต่แรก แล้วถ้าอยากจะช่วยชีวิตคนด้วยพลังที่เขามีมันจะยังคงเรียกว่าสายลับได้อยู่อีกเหรอ ทำไมถึงไม่เรียกว่าการฝึกฝนเพื่อเป็นหมอไปเลยตั้งแต่แรก?
สมองหมายเลข1 อธิบายว่า “มาสเตอร์ พลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพเป็นพลังงานที่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดใช้ร่วมกัน ซึ่งมีโครงสร้างของเซลล์ จริง ๆ แล้วเซลล์แต่ละเซลล์นั้นเทียบเท่ากับพลังงานของร่างกาย ตราบใดที่การเผาผลาญของสิ่งมีชีวิตยังคงดำเนินต่อไป เซลล์จะผลิตไฟฟ้าชีวภาพอย่างต่อเนื่อง แน่นอนพลังงานชีวภาพที่สร้างขึ้นในลักษณะนี้อ่อนแอเกินไปที่จะตอบสนองความต้องการกิจกรรมพื้นฐานของร่างกายมนุษย์”
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อตอนที่เขาได้สัมผัสกับกระแสไฟฟ้าชีวภาพเป็นครั้งแรก สมองหมายเลข 1 ก็เคยอธิบายไว้อย่างละเอียดแล้ว
“สาเหตุที่กระแสไฟฟ้าชีวภาพในตัวโฮสต์หรือมาสเตอร์นั้นมากกว่าคนทั่วไปหลายสิบเท่าก็เพราะตัวโฮสต์ได้ยืนกรานที่จะฝึกฝนชุดยิมนาสติกจึงทำให้ความเร็วในการผลิตกระแสไฟฟ้าชีวภาพนั้นเร็วกว่าคนทั่วไปถึงสิบเท่าและร่างกายขอโฮสต์ยังคงดูดซับพลังงานจากโลกภายนอกและแปลงเป็นพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพได้อีกด้วยจึงทำให้เกิดผลลัพธ์ที่มีอยู่ในตอนนี้!” สมองหมายเลข 1 กล่าว “ผมรู้เรื่องนี้แล้ว”จี้เฟิงพยักหน้าและพูดว่า “แล้วผมจะใช้ไฟฟ้าชีวภาพเพื่อช่วยชีวิตคนอื่นได้ยังไงล่ะ”
“เนื่องจากเซลล์ของร่างกายมนุษย์สามารถผลิตไฟฟ้าชีวภาพได้ร่างกายมนุษย์จึงต้องการพลังงานชีวภาพตามธรรมชาติ” สมองหมายเลข 1 กล่าว “หากมาสเตอร์ต้องการใช้ไฟฟ้าชีวภาพเพื่อช่วยชีวิตผู้คน สามารถแบ่งออกเป็นสองกรณีด้วยกัน ประการแรก เป้าหมายที่ได้รับการช่วยเหลือนั้นได้รับบาดเจ็บทางร่างกายจากไวรัสหรือร่างกายได้รับการบอบช้ำนั่นเอง ประการที่สอง การทำงานในร่างกายของเป้าหมายได้รับการช่วยเหลือลดลง และทั้งสองกรณีมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือพลังงานชีวภาพที่สร้างขึ้นโดยเซลล์ในร่างกายไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการตามปกติของร่างกายอีกต่อไป!
“ช่วยได้จริงๆด้วย!”ดวงตาของจี้เฟิงเป็นประกาย เรื่องที่ซับซ้อนมากมายพอได้รับการอธิบายจากสมองหมายเลข 1 ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ทำให้ผู้คนเข้าใจได้ในทันที
จี้เฟิงไม่รู้ว่าแม้ว่าคนอื่นจะได้ยินการอธิบายของสมองหมายเลข 1 แต่เขาก็จะไม่สามารถรู้แจ้งได้เลยในทันที เพราะคนอื่นไม่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพและแทบจะไม่เคยได้ยินคำว่าพลังงานไฟฟ้าชีวภาพมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
“ถ้าอย่างนั้นหากฉันต้องการช่วยชีวิตคนอื่น ฉันก็แค่ต้องเสริมกระแสไฟฟ้าชีวภาพเข้าไปในร่างกายของเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลือเท่านั้นใช่มั้ย!” จี้เฟิงถามอย่างตื่นเต้น
“แค่นั้นยังไม่เพียงพอครับมาสเตอร์”สมองหมายเลข 1 กล่าว “ตามคำให้การของมาสเตอร์ สิ่งนี้สามารถบรรเทาความเร่งด่วนได้เท่านั้น เพราะถึงแม้พลังงานไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของเป้าหมายที่ได้รับการช่วยเหลือจะได้รับการเติมเต็ม แต่การทำงานของร่างกายยังไม่ได้รับการฟื้นฟู วิธีการช่วยเหลือที่ถูกต้องคือการเปิดใช้พลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพในเซลล์ของเป้าหมายที่ได้รับการช่วยเหลือเพื่อให้เซลล์สามารถสร้างพลังชีวิตใหม่เพื่อให้สามารถดูดซับพลังงานจากภายนอกได้ และด้วยวิธีนี้จะทำให้เกิดความสมดุลของการไหลเวียนของพลังงานและเข้าไปรักษาระบบการทำงานของร่างกายในระยะยาว!”
จี้เฟิงรับฟังด้วยความงุนงงและพยายามทำความเข้าใจแต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดขึ้นด้วยความเข้าใจ“คุณสมองสิ่งที่นายพูดมันหมายถึงตราบใดที่ยังมีพลังงานจากโลกภายนอก คนคนนั้นก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปงั้นเหรอ”
“ไม่ครับ!”สมองหมายเลข 1 ตอบอย่างตรงไปตรงมา “หลังจากที่เซลล์ถูกกระตุ้นใหม่ การทำงานของร่างกายจะกลับสู่การทำงานปกติ แต่ในระหว่างการทำงานร่างกายจะยังคงสูญเสียประสิทธิภาพไปตามกาลเวลาเพียงแต่การสูญเสียนี้จะต่ำกว่าคนปกติเล็กน้อยและเมื่อการสูญเสียไปถึงระดับหนึ่งจะไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้อีก ตามอายุที่มากขึ้นร่างกายของมนุษย์ก็จะค่อยๆเติบโตจนแก่ชรา”
หลังจากนั้นไม่นานจี้เฟิงก็ผ่อนลมหายใจยาวเขาชกหมัดใส่มือของตัวเองพร้อมกับใบหน้าที่มีความสุข “เพียงใช้วิธีนี้เท่านั้น! คุณสมอง! ผมรักคุณ!”
“มาสเตอร์สมองต้องขออภัยด้วย ตามโปรแกรมฐานข้อมูลของสมองไม่มีการตั้งค่าทางอารมณ์ที่เรียกว่าความรัก!” น้ำเสียงของสมองหมายเลข 1 ยังคงสงบนิ่งราบเรียบเช่นเคย
“บ้าเอ๊ย!”จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะกลอกตา แต่ในใจของเขารู้สึกยินดีปรีดาและมีความสุขมากและอดไม่ได้ที่จะตะโกนลั่น
“คุณปู่รอดแล้ว!”
เมื่อคิดได้แบบนี้จี้เฟิงจึงต้องการที่จะเข้าสู่จิตใต้สำนึกทั้งทีเขาอยากจะถามสมองหมายเลข 1 ให้ชัดเจนไปเลยว่าการคาดเดาของเขานั้นถูกต้องหรือไม่ แต่หลังจากคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เกิดความลังเลและรู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าสิ่งที่เขาคิดอยู่มันผิด!
น้อยครั้งมากที่จี้เฟิงจะมีอาการลังเลและครั้งนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ตี๊.. ♫ ดี่.. ♪ ”
ในขณะที่จี้เฟิงกำลังรู้สึกลังเลอยู่นั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นเสียงพิเศษที่เป็นเบอร์โทรจากหยานจิง เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและรับสายทันที “แม่!”
“เฟิงเอ๋อ!”หลังจากที่ไม่ได้ยินเสียงของลูกชายเป็นเวลานาน น้ำเสียงของเซียวซูเหม่ยฟังดูตื่นเต้นมาก และถามด้วยความเป็นห่วง “เฟิงเอ๋อ อยู่ที่เจียงโจวเป็นยังไงบ้าง สะดวกสบายดีหรือเปล่า”
“ผมโอเคทุกอย่างเรียบร้อยดีแม่ไม่ต้องเป็นห่วง!” หัวใจของจี้เฟิงรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของผู้เป็นแม่ ไม่ว่าเขาจะอยู่ห่างจากแม่ของเขามากแค่ไหน แม่ก็ยังคงเป็นห่วงเขาอยู่เสมอ “แล้วแม่ล่ะ อยู่ที่หยานจิงเป็นยังไงบ้าง พ่อดีกับแม่รึเปล่า!”
“อื้มแม่สบายดี!” เซียวซูเหม่ยยังคงอยู่ในอาการตื่นเต้นเล็กน้อยแต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็รู้สึกสงบลง “ส่วนพ่อของลูกก็งานยุ่งเหมือนเดิม แต่ช่วงนี้… ดูเหมือนจะยุ่งมากกว่าปกตินิดหน่อย เพราะขนาดกลับมาบ้านก็ยังคงง่วนอยู่กับงาน บางวันยุ่งเสียจนลืมกินข้าวไปเลยก็มี”
เมื่อได้ยินแม่ของเขาพูดพร้อมกับมีเสียงถอนหายใจเบาๆจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว สมัยก่อนไม่ว่าแม่จะลำบากมากแค่ไหน แม่ก็ไม่เคยทอดถอนใจแบบนี้ จี้เฟิงเริ่มรู้สึกเป็นกังวล เขาไม่น่าจะฟังผิด เมื่อกี้คือเสียงถอนหายใจของแม่จริงๆ
หัวใจของจี้เฟิงสั่นไหวเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความเป็นกังวล“แม่อยู่ที่หยานจิงไม่สะดวกสบายเหรอ พ่อได้ทำอะไรไม่ดีกับแม่รึเปล่า”
“เด็กโง่!ทำไมถึงได้สงสัยในตัวพ่อของลูกขนาดนั้นล่ะ!” เซียวซูเหม่ยอดหัวเราะไม่ได้ “ก็ไม่มีอะไรหรอก ช่วงนี้พ่อของลูกเครียดจากงานมากไปหน่อย เลยอาจจะไม่ได้มีเวลามาสนใจแม่ แต่ลูกอยู่ตัวคนเดียวในเจียงโจวต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ เข้าใจมั้ย?”
จี้เฟิงยิ้ม“เข้าใจแล้วคร้าบบบ ถ้าพ่อยุ่งขนาดนั้น แม่ก็ต้องดูแลสุขภาพตัวเองด้วยเพราะสุขภาพร่างกายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด!”
“เดี๋ยวนี้แม่ต้องให้เราสอนแล้วเหรอเนี่ยเจ้าเด็กตัวเหม็น! ชักจะเก่งใหญ่แล้ว!” เซียวซูเหม่ยพูดอย่างดุๆแต่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
จี้เฟิงหัวเราะอย่างร่าเริงบางครั้งการถูกแม่ดุมันก็ทำให้รู้สึกมีความสุขเช่นกัน
จากนั้นทั้งสองแม่ลูกก็พูดถึงความห่วงใยที่มีต่อกันอีกสองสามคำก่อนจะวางสายเซียวซูเหม่ยยังคงกำชับจี้เฟิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่เรื่องเสื้อผ้าต้องสะอาด ทานอาหารให้ครบทุกมื้อ และการทำความสะอาดที่อยู่อาศัยอย่างสม่ำเสมอไปจนถึงการพบปะผู้คน ควรมีน้ำใจและควรให้เกียรติผู้อื่นเสมอ ไม่ว่าลูกชายของเธอจะโตมากสักแค่ไหน แต่คนเป็นแม่ก็ไม่เคยเบื่อที่จะสั่งสอนเลย หัวใจของจี้เฟิงรู้สึกอบอุ่นมากเมื่อได้ฟัง
เซียวซูเหม่ยวางสายหลังจากเวลาผ่านไปสองชั่วโมงโทรศัพท์ของจี้เฟิงถึงกับร้อนขึ้นเล็กน้อย
จี้เฟิงนำโทรศัพท์ไปชาร์จแต่ในขณะนั้นเองใบหน้าของเขาก็มืดมนขึ้นมาทันที
แม้ว่าเซียวซูเหม่ยจะไม่ได้พูดถึงความทุกข์ร้อนใดๆของเธอเลยตั้งแต่ต้นจนจบแต่จี้เฟิงนั้นรู้ดีว่าแม่ของเขาต้องมีเรื่องไม่สบายใจอยู่อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ความคับข้องใจนี้ไม่ได้มาจากพ่อของเขา แต่มาจากคนอื่น!
แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานใดๆที่บ่งชี้แน่ชัดแต่จี้เฟิงก็สามารถรู้สึกได้ และเขาก็เชื่อมั่นใจความรู้สึกของตัวเองเป็นอย่างมาก เพราะในวันนี้แม่ของเขาดูตื่นเต้นผิดปกติ
แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานใดๆที่บ่งชี้แน่ชัดแต่จี้เฟิงก็สามารถรู้สึกได้ และเขาก็เชื่อมั่นในความรู้สึกของตัวเองเป็นอย่างมาก เพราะแม่ไม่เคยตื่นเต้นเหมือนอย่างวันนี้มาก่อน เห็นได้ชัดว่าแม่อยู่ในหยานจิงแล้วไม่ได้มีความสุขอย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้นการได้พูดคุยกับลูกชายจึงทำให้เธอดูตื่นเต้นมากกว่าทุกครั้ง
อย่างไรก็ตามเซียวซูเหม่ยนั้นกลัวว่าลูกชายของเธอจะเป็นกังวลเธอจึงพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบตามปกติ และเธอก็พอใจมากเมื่อได้รู้ว่าลูกชายของเธอสุขสบายดี
ยิ่งครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้คิ้วของจี้เฟิงก็ยิ่งขมวดแน่นเขาแทบอดใจไม่ไหวและอยากจะเดินทางไปที่หยานจิงเสียตั้งแต่ตอนนี้ เขาต้องการที่จะดูว่าใครหน้าไหนที่มันกล้ามาล้วงคองูเห่า และแม้แต่แม่ของเขามันยังรังแก ก็คอยดูแล้วกันว่าจี้เฟิงเด็กยากจนที่มาจากชนบทคนนี้จะจิตใจดีโอบอ้อมอารีและไม่กล้าลงมือฆ่าคนจริงหรือเปล่า!
จี้เฟิงหยิบบุหรี่จากโต๊ะหน้าโซฟาด้วยใบหน้าที่มืดมนเขาจุดบุหรี่ตัวหนึ่งและสูบมัน ความกระวนกระวายใจก็ค่อยๆสงบลง
หลังจากที่สูบบุหรี่เข้าไปเต็มปอดครั้งสุดท้ายเสร็จเขาก็ดับบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่และรีบขึ้นไปชั้นบน เขาล็อกประตูห้องนอนและรีบเข้าไปสู่จิตใต้สำนึกของเขาทันที
“ยินดีต้อนรับการกลับมาครับมาสเตอร์!”สมองหมายเลข 1 เป็นฝ่ายทักทายเขาก่อน
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและถามเข้าเรื่องทันที“คุณสมอง ตอนนี้กระแสไฟฟ้าของผมมันสามารถถ่ายทอดเข้าสู่ร่างกายของคนอื่นได้ใช่มั้ย ดังนั้นนอกจากมันจะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่นแล้ว มันจะสามารถก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ด้วยหรือเปล่า?” เมื่อแม่ถูกรังแกจี้เฟิงจึงละทิ้งความลังเลใจไปอย่างหมดสิ้น ในใจของเขาตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าแม่ของเขา จี้เฟิงพอจะจับพิรุธได้บางอย่างจากคำพูดของแม่ แม้ว่าชีวิตความเป็นอยู่ของแม่ในตอนนี้จะดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน แต่แม่คงต้องอดทนต่อคำซุบซิบนินทามากมายจนรู้สึกกดดัน ไม่เช่นนั้นแม่คงจะไม่แสดงอาการตื่นเต้นมากขนาดนี้
จี้เฟิงรู้ดีว่าแม่ของเขาเป็นคนจิตใจเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งมากเพียงใดไม่เช่นนั้นเธอคงไม่จากหยานจิงมาโดยไม่พูดสักคำทั้งๆที่เธอกำลังตั้งครรภ์อยู่ เพียงเพราะได้รู้มาว่าสามีของเธอได้ทิ้งผู้หญิงคนหนึ่งเพื่อมาแต่งงานกับเธอ จากนั้นเธอจึงจากมาและใช้ชีวิตที่ยากลำบากเลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียวมานานกว่าสิบปี
แล้วผู้หญิงคนหนึ่งที่เข้มแข็งขนาดนี้เธอกำลังอยู่อย่างทุกข์ทรมานใจมากขนาดไหน
นอกจากเรื่องแม่แล้วที่เขาจะต้องจัดการจี้เฟิงยังต้องหาวิธีฟื้นฟูสุขภาพของคุณปู่เพื่อให้พ่อของเขาได้มีเวลาจัดการสิ่งต่างๆได้นานมากขึ้น เขามีปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะจากกาแล็กซีแกมมาอยู่ในหัว มันจะไม่มีทางออกในเรื่องนี้เลยงั้นหรือ
จี้เฟิงไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด!
“มาสเตอร์พลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพเป็นพลังงานที่พิเศษมาก มันเป็นสิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างใช้ร่วมกัน…” ก่อนที่สมองหมายเลข 1 จะพูดจบ จี้เฟิงก็พูดขัดจังหวะด้วยความหงุดหงิด
“อย่าเพิ่งอธิบายรายละเอียดหรือหลักการในตอนนี้!แค่บอกผมมาว่าพลังงานไฟฟ้าชีวภาพสามารถช่วยคนอื่นได้หรือเปล่า!” น้ำเสียงของจี้เฟิงดูร้อนรนเล็กน้อย เขาไม่สามารถทำให้ความโกรธที่อยู่ในใจเขาตอนนี้สงบลงได้
สมองหมายเลข1 ไม่ได้รู้สึกโกรธที่ถูกขัดจังหวะ อันที่จริงแล้วปัญญาประดิษฐ์นั้นถูกป้อนคำสั่งให้จงรักภักดีต่อเจ้านายและแน่นอนว่ามันไม่มีอารมณ์หรือรู้สึกโกรธ “ได้!”สมองหมายเลข 1 ตอบสั้นๆ
จี้เฟิงรู้สึกดีใจมากในทันที“แล้วมันต้องทำยังไง!”
“โฮสต์จำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับลักษณะของกระแสไฟฟ้าชีวภาพก่อนที่เขาจะเริ่มทำมันได้!”สมองหมายเลข 1 กล่าว
“…..”
สุดท้ายสิ่งที่จี้เฟิงต้องทำก็คือต้องเข้าใจหลักการเหล่านี้ก่อนอยู่ดีถึงจะทำในสิ่งที่เขาต้องการได้จี้เฟิงได้แต่ยิ้มอย่างเขินอายและกล่าวขอโทษ “คุณสมอง ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆที่ทำนิสัยไม่ดีออกมา ผมหวังว่าคุณสมองจะไม่โกรธกันนะ”
ปัญญาประดิษฐ์ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความผันผวนทางอารมณ์เขาเพียงแค่กล่าวว่า “เจตจำนงของมาสเตอร์เป็นคำสั่งที่สมองต้องปฏิบัติตามและมาสเตอร์ไม่จำเป็นต้องขอโทษ”
แม้ว่าจะต้องเผชิญกับปัญญาประดิษฐ์จี้เฟิงก็ยังรู้สึกผิดและกล่าวขอโทษอยู่ดี ลองคิดดูสิว่าถ้าเขาไม่มีสมองหมายเลข 1 เขาก็จะยังคงเป็นเด็กยากจนที่ไร้ค่าอยู่ในตอนนี้ และเขาก็รู้สึกขึ้นมาได้ว่าเขาไม่ควรใจร้อนและพาลใส่สมองหมายเลข 1 เลย
เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้น้ำเสียงของจี้เฟิงก็ฟังดูนุ่มนวลขึ้น“คุณสมอง ถ้าอย่างนั้นฉันจะใช้ไฟฟ้าชีวภาพเพื่อช่วยคนอื่นได้อย่างไร”
ก่อนหน้านี้สิ่งที่จี้เฟิงกังวลเพียงอย่างเดียวคือเขาจะสามารถใช้ไฟฟ้าชีวภาพเพื่อเอาชนะคนอื่นๆได้หรือไม่เพราะเขาได้เรียนรู้สิ่งที่เรียกว่าการเป็นสายลับมาตั้งแต่แรก แล้วถ้าอยากจะช่วยชีวิตคนด้วยพลังที่เขามีมันจะยังคงเรียกว่าสายลับได้อยู่อีกเหรอ ทำไมถึงไม่เรียกว่าการฝึกฝนเพื่อเป็นหมอไปเลยตั้งแต่แรก?
สมองหมายเลข1 อธิบายว่า “มาสเตอร์ พลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพเป็นพลังงานที่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดใช้ร่วมกัน ซึ่งมีโครงสร้างของเซลล์ จริง ๆ แล้วเซลล์แต่ละเซลล์นั้นเทียบเท่ากับพลังงานของร่างกาย ตราบใดที่การเผาผลาญของสิ่งมีชีวิตยังคงดำเนินต่อไป เซลล์จะผลิตไฟฟ้าชีวภาพอย่างต่อเนื่อง แน่นอนพลังงานชีวภาพที่สร้างขึ้นในลักษณะนี้อ่อนแอเกินไปที่จะตอบสนองความต้องการกิจกรรมพื้นฐานของร่างกายมนุษย์”
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อตอนที่เขาได้สัมผัสกับกระแสไฟฟ้าชีวภาพเป็นครั้งแรก สมองหมายเลข 1 ก็เคยอธิบายไว้อย่างละเอียดแล้ว
“สาเหตุที่กระแสไฟฟ้าชีวภาพในตัวโฮสต์หรือมาสเตอร์นั้นมากกว่าคนทั่วไปหลายสิบเท่าก็เพราะตัวโฮสต์ได้ยืนกรานที่จะฝึกฝนชุดยิมนาสติกจึงทำให้ความเร็วในการผลิตกระแสไฟฟ้าชีวภาพนั้นเร็วกว่าคนทั่วไปถึงสิบเท่าและร่างกายขอโฮสต์ยังคงดูดซับพลังงานจากโลกภายนอกและแปลงเป็นพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพได้อีกด้วยจึงทำให้เกิดผลลัพธ์ที่มีอยู่ในตอนนี้!” สมองหมายเลข 1 กล่าว “ผมรู้เรื่องนี้แล้ว”จี้เฟิงพยักหน้าและพูดว่า “แล้วผมจะใช้ไฟฟ้าชีวภาพเพื่อช่วยชีวิตคนอื่นได้ยังไงล่ะ”
“เนื่องจากเซลล์ของร่างกายมนุษย์สามารถผลิตไฟฟ้าชีวภาพได้ร่างกายมนุษย์จึงต้องการพลังงานชีวภาพตามธรรมชาติ” สมองหมายเลข 1 กล่าว “หากมาสเตอร์ต้องการใช้ไฟฟ้าชีวภาพเพื่อช่วยชีวิตผู้คน สามารถแบ่งออกเป็นสองกรณีด้วยกัน ประการแรก เป้าหมายที่ได้รับการช่วยเหลือนั้นได้รับบาดเจ็บทางร่างกายจากไวรัสหรือร่างกายได้รับการบอบช้ำนั่นเอง ประการที่สอง การทำงานในร่างกายของเป้าหมายได้รับการช่วยเหลือลดลง และทั้งสองกรณีมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือพลังงานชีวภาพที่สร้างขึ้นโดยเซลล์ในร่างกายไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการตามปกติของร่างกายอีกต่อไป!
“ช่วยได้จริงๆด้วย!”ดวงตาของจี้เฟิงเป็นประกาย เรื่องที่ซับซ้อนมากมายพอได้รับการอธิบายจากสมองหมายเลข 1 ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ทำให้ผู้คนเข้าใจได้ในทันที
จี้เฟิงไม่รู้ว่าแม้ว่าคนอื่นจะได้ยินการอธิบายของสมองหมายเลข 1 แต่เขาก็จะไม่สามารถรู้แจ้งได้เลยในทันที เพราะคนอื่นไม่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพและแทบจะไม่เคยได้ยินคำว่าพลังงานไฟฟ้าชีวภาพมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
“ถ้าอย่างนั้นหากฉันต้องการช่วยชีวิตคนอื่น ฉันก็แค่ต้องเสริมกระแสไฟฟ้าชีวภาพเข้าไปในร่างกายของเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลือเท่านั้นใช่มั้ย!” จี้เฟิงถามอย่างตื่นเต้น
“แค่นั้นยังไม่เพียงพอครับมาสเตอร์”สมองหมายเลข 1 กล่าว “ตามคำให้การของมาสเตอร์ สิ่งนี้สามารถบรรเทาความเร่งด่วนได้เท่านั้น เพราะถึงแม้พลังงานไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของเป้าหมายที่ได้รับการช่วยเหลือจะได้รับการเติมเต็ม แต่การทำงานของร่างกายยังไม่ได้รับการฟื้นฟู วิธีการช่วยเหลือที่ถูกต้องคือการเปิดใช้พลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพในเซลล์ของเป้าหมายที่ได้รับการช่วยเหลือเพื่อให้เซลล์สามารถสร้างพลังชีวิตใหม่เพื่อให้สามารถดูดซับพลังงานจากภายนอกได้ และด้วยวิธีนี้จะทำให้เกิดความสมดุลของการไหลเวียนของพลังงานและเข้าไปรักษาระบบการทำงานของร่างกายในระยะยาว!”
จี้เฟิงรับฟังด้วยความงุนงงและพยายามทำความเข้าใจแต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดขึ้นด้วยความเข้าใจ“คุณสมองสิ่งที่นายพูดมันหมายถึงตราบใดที่ยังมีพลังงานจากโลกภายนอก คนคนนั้นก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปงั้นเหรอ”
“ไม่ครับ!”สมองหมายเลข 1 ตอบอย่างตรงไปตรงมา “หลังจากที่เซลล์ถูกกระตุ้นใหม่ การทำงานของร่างกายจะกลับสู่การทำงานปกติ แต่ในระหว่างการทำงานร่างกายจะยังคงสูญเสียประสิทธิภาพไปตามกาลเวลาเพียงแต่การสูญเสียนี้จะต่ำกว่าคนปกติเล็กน้อยและเมื่อการสูญเสียไปถึงระดับหนึ่งจะไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้อีก ตามอายุที่มากขึ้นร่างกายของมนุษย์ก็จะค่อยๆเติบโตจนแก่ชรา”
หลังจากนั้นไม่นานจี้เฟิงก็ผ่อนลมหายใจยาวเขาชกหมัดใส่มือของตัวเองพร้อมกับใบหน้าที่มีความสุข “เพียงใช้วิธีนี้เท่านั้น! คุณสมอง! ผมรักคุณ!”
“มาสเตอร์สมองต้องขออภัยด้วย ตามโปรแกรมฐานข้อมูลของสมองไม่มีการตั้งค่าทางอารมณ์ที่เรียกว่าความรัก!” น้ำเสียงของสมองหมายเลข 1 ยังคงสงบนิ่งราบเรียบเช่นเคย
“บ้าเอ๊ย!”จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะกลอกตา แต่ในใจของเขารู้สึกยินดีปรีดาและมีความสุขมากและอดไม่ได้ที่จะตะโกนลั่น
“คุณปู่รอดแล้ว!”