The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 283 เรโซแนนซ์
หลังจากที่ได้รับคำตอบจากสมองหมายเลข1 จี้เฟิงก็รู้สึกประหลาดใจมาก เขาดีใจจนแทบจะกระโดดขึ้น เมื่อใดที่เขาได้ถ่ายทอดพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพเข้าไปในร่างกายของชายชราได้ มันก็จะไปช่วยกระตุ้นกระแสไฟฟ้าชีวภาพในเซลล์ของชายชราและทำให้เกิดเสถียรภาพของระบบการทำงานในร่างกาย ถ้าหากการคาดเดาของจี้เฟิงไม่ผิด ปู่ของเขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกอย่างน้อยก็ 10 ปี!
เป็นตัวเลขที่ไม่ใช่น้อยๆเลย!
รู้หรือไม่ในวัยอย่างปู่ของจี้เฟิงที่อยู่ในวัยชรานอกจากอายุที่มากแล้วเขายังมีอาการบาดเจ็บจากเมื่อในอดีตอีกด้วย ดังนั้นการมีชีวิตอยู่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวันก็นับได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว นับประสาอะไรกับ 10 ปี แถมนี่ยังเป็นการคาดเดาเพียงคร่าวๆเท่านั้น เพราะถ้าหากจี้เฟิงสามารถทำสิ่งนี้ออกมาได้ดี ก็เกรงว่าเขาจะมีอายุที่ยืนยาวมากกว่านี้เสียอีก!
เมื่อทราบหลักการแล้วตอนนี้สิ่งที่เหลือก็คือการดำเนินการซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด!
วิธีการก็คือจี้เฟิงต้องถ่ายทอดกระแสไฟฟ้าชีวภาพเข้าสู่ร่างกายของชายชราเพื่อกระตุ้นกระแสไฟฟ้าชีวภาพภายในเซลล์และให้กระแสไฟฟ้าชีวภาพเหล่านี้ไหลตามธรรมชาติในร่างกายเพื่อดูดซับพลังงานจากภายนอกให้ร่างกายได้ปรับตัวเขาสู่ภาวะที่สมดุล
ความสมดุลที่สมบูรณ์แบบ!
อย่างไรก็ตามยังมีสิ่งที่จี้เฟิงขาดมากที่สุดนั่นก็คือประสบการณ์ในด้านนี้จนถึงตอนนี้พลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของเขาที่เขาเคยใช้นั้นใช้ไปในทางอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น เขาสามารถรวบรวมพลังงานไว้ที่ดวงตาเพื่อให้ได้ความสามารถในการมองเห็นไม่ว่าจะการมองในที่มืดได้ไม่ต่างจากเวลากลางวันและในแง่ของระยะทางที่ทำให้เขามองเห็นได้ไกลมากขึ้น หรือใช้ไปกับหมัดและเท้าของเขาเพื่อทำให้การโจมตีของเขารุนแรงและน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
หรืออย่างล่าสุดเขาถ่ายเทกระแสไฟฟ้าชีวภาพเข้าสู่ร่างกายของเฉียวหรง เทียนกั๋วถงและคนอื่นๆ เพื่อทำลายเซลล์ในร่างกายของพวกเขาโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอมเพื่อทำให้คนเหล่านั้นรู้สึกถึงความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน
ส่วนเรื่องของการช่วยชีวิตคนจี้เฟิงไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนเลย และเขาก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการป้อนพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพเพื่อช่วยชีวิตคนนั้นเหมือนกับการป้อนพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพเพื่อทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดเหมือนตอนที่เขาทำกับเฉียวหรงและคนอื่นๆหรือเปล่า
แม้จะใช้กระแสไฟฟ้าชีวภาพเหมือนกันแต่การช่วยชีวิตและการทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแน่นอนว่าผลลัพธ์ก็แตกต่างเช่นกัน
จี้เฟิงจำเป็นต้องถามสมองหมายเลข1 ให้ได้มากที่สุด “คุณสมอง ผมควรจะต้องทำยังไงบ้างเพื่อที่จะได้เปิดการใช้งานไฟฟ้าชีวภาพในเซลล์ของเป้าหมายที่ผมต้องการจะช่วยเหลือ”
“เรโซแนนซ์ (Resonance)” สมองหมายเลข 1 ตอบทันที “ไม่ว่าจะเป็นพลังงานไฟฟ้าชีวภาพหรือพลังงานรูปแบบใด ต่างก็มีความผันผวน และความถี่ของความผันผวนของไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของทุกคนต่างไม่เหมือนกัน และการเปิดใช้พลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของเป้าหมายที่ได้รับการช่วยเหลือจะต้องให้โฮสต์ปรับความผันผวนของกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของตัวโฮสต์เองให้เหมือนกับความผันผวนของกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของเป้าหมายที่จะได้รับการช่วยเหลือเพื่อให้เกิดเรโซแนนซ์จึงจะสามารถกระตุ้นกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของอีกฝ่ายได้”
“การสั่นพ้อง!”
ดวงตาของจี้เฟิงเป็นประกายเป็นเช่นนั้นจริงๆ จี้เฟิงเคยเรียนรู้เกี่ยวกับเรโซแนนซ์หรือที่เรียกว่าการสั่นพ้องในวิชาฟิสิกส์ตอนม.ปลาย เพียงแต่เขาไม่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับมันในเชิงลึก เขาจึงไม่รู้สึกคุ้นเคยกับแนวคิดนี้
เมื่อสร้างเรโซแนนซ์จนเกิดความถี่ที่ตรงกันจะสามารถเปิดใช้งานกระแสชีวภาพในร่างกายของคุณปู่ได้!
หลักการก็รู้แล้ววิธีการรักษาก็รู้แล้ว จี้เฟิงนั่งยิ้มอย่างอารมณ์ดีอยู่พักใหญ่ๆ “คุณสมอง ผมโชคดีมากจริงๆที่ได้พบกับนาย!”
สมองหมายเลข1 กล่าวว่า “การได้รับใช้มาสเตอร์เป็นความหมายเดียวของการดำรงอยู่ของสมอง”
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์ที่เอ่อล้นถ้าหากเขาไม่ได้พบกับสมองอัจฉริยะ(คน)นี้ ชีวิตของเขาในตอนนี้จะเป็นยังไง?
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็นึกสงสัยบางอย่างจึงถามอีกครั้ง “คุณสมอง แล้วการใช้กระแสไฟฟ้าชีวภาพเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นนี้มันจะใช้เวลานานแค่ไหน”
จี้เฟิงต้องรู้ข้อมูลโดยละเอียดและการวางแผนจะต้องสมบูรณ์แบบที่สุดเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าไปรักษาคุณปู่ของเขาได้
ทราบหรือไม่ว่าด้วยตัวตนของชายชราผู้อาวุโสสูงสุดแห่งตระกูลจี้ไม่ใช่ว่าใครจะได้รับอนุญาตให้เข้ามารักษาเขาได้ตามใจชอบ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพร่างกาย ทุกอย่างจะต้องผ่านการตรวจตราอย่างเข้มงวดของผู้นำระดับสูง เพราะการดำรงอยู่ของชายชราไม่ได้มีความหมายแค่ตัวของเขาเองเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนของกลุ่มบุคคลกลุ่มใหญ่ ไม่มีใครกล้าที่จะประมาท
ดังนั้นจี้เฟิงจึงต้องรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไรก่อนที่จะตัดสินใจจะลงมือทำจริงๆ
การลงมือรักษาชายชราอาจจะไม่ยากแต่หากต้องการที่จะไม่ให้คนอื่นได้ล่วงรู้นั้นยากกว่ามาก อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ต่อให้เป็นชายชรารู้ขึ้นมา เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้นคงเป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย เด็กยากจนที่มาจากชนบทแถมตอนนี้ก็เพิ่งเรียนอยู่ปี1 จะมารักษาชายชราที่กำลังจะตายได้อย่างไร และก่อนหน้านี้ต่างมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมากมายมาดูอาการและพวกเขาหลายคนต่างทำอะไรไม่ถูก แต่คนที่ประสบความสำเร็จกลับเป็นเด็กยากจนที่ไม่เคยเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์มาก่อนด้วยซ้ำ?!
คนเราจะขาดอะไรก็ขาดได้แต่ไม่เคยขาดความสงสัย
จี้เฟิงไม่ต้องการให้ความลับของเขาถูกเปิดเผยเพราะการที่จะต้องถูกจับไปทดลองหรือถูกผ่าเหมือนหนูตะเภา เขายอมตายเสียดีกว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีอยู่ของสมองอัจฉริยะที่อยู่ในจิตใจของเขามันยิ่งไม่สมควรที่จะให้คนอื่นล่วงรู้ได้โดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเกรงว่าแม้แต่คุณปู่ผู้นำแห่งตระกูลจี้ก็คงไม่อาจช่วยเขาไว้ได้ เพราะอย่างน้อยที่สุดสิ่งแรกที่ใครบางคนจะทำคือป้องกันไม่ให้สมองอัจฉริยะที่อยู่ในจิตใจของเขาต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของประเทศอื่นๆ และสิ่งต่อมาที่พวกเขาจะทำก็คือ หาวิธีที่จะใช้มัน! และจะทำอย่างไร นอกจากจะนำตัวเขาไปวิจัย…
สมองของจี้เฟิงกำลังหมุนอย่างรวดเร็วจนกระทั่งได้ยินเสียงของสมองหมายเลข 1 พูดขึ้นมาว่า “มาสเตอร์ เรื่องนี้จะต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับสภาพร่างกายของเป้าหมายที่จะได้รับการช่วยเหลือถึงจะสามารถตัดสินได้อย่างแม่นยำ!”
“นั่นสินะ…”จี้เฟิงทำหน้าครุ่นคิด ถ้าหากเป็นกรณีนี้ฉันคงต้องไปพบกับพ่อก่อนถึงจะเริ่มวางแผนได้สินะ
“ตอนนี้ดูเหมือนว่าฉันคงได้แต่รอข่าวจากพี่รองเท่านั้นอย่างน้อยที่สุดฉันก็หวังว่าร่างกายคุณปู่จะพอทรงตัวได้และแม้ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหนตราบใดที่ร่างกายคุณปู่ยังพอทรงตัวได้ มันจะต้องไม่มีเรื่องโศกเศร้าเกิดขึ้น!” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ ทำไมเขาถึงไม่ไปหาคุณปู่ของเขาให้เร็วกว่านี้ แต่อย่างน้อยๆปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือเรื่องการรักษาได้รับการแก้ไขแล้วจี้เฟิงจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาเริ่มคิดถึงสิ่งที่จี้ช่าวเหลยได้บอกกับเขาในวันนี้ทางโทรศัพท์
เรื่องความไม่พอใจของญาติๆในตระกูลจี้
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชาความคับข้องใจของคนพวกนั้นและสิ่งที่ทำให้แม่ของเขาต้องเป็นทุกข์ ในไม่ช้าก็เร็วบัญชีเหล่านั้นจะต้องถูกสะสาง
อย่างไรก็ตามก่อนที่จี้เฟิงจะไปคิดบัญชีเขาคงต้องพักการชำระหนี้เอาไว้ก่อน ตอนนี้เขายังไม่แข็งแกร่งพอจนสามารถไปคิดบัญชีกับพวกเขาได้
ลองคิดดูสิว่าสิ่งเดียวที่จะทำให้จี้เฟิงเฉิดฉายได้ก็คือตัวตนของเขาในฐานะหลานชายคนโตของตระกูลจี้ แต่ญาติคนอื่นๆก็รู้ถึงสถานะนี้ของเขาแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ได้ช่วยอะไรเลย
นอกจากนี้จี้เฟิงยังจำเป็นต้องมีทักษะอื่นๆ นอกจากฝีมือการต่อสู้ เพราะความรุนแรงเพียงอย่างเดียวไม่อาจแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง เว้นเสียแต่ว่าจี้เฟิงจะสามารถทำลายโลกทั้งใบด้วยมือเพียงข้างเดียว เขาจึงจะสามารถแก้ปัญหาทั้งหมดได้อย่างแท้จริงด้วยพลังที่เหนือมนุษย์
แต่น่าเสียดายเพราะตามข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้โดยสมองหมายเลข 1 ไม่เคยมีตัวละครที่ทรงพลังเช่นนี้มาก่อน และจี้เฟิงก็เป็นคนที่เพิ่งจะฝึกยิมนาสติกมาได้ไม่ถึง 2 ปี แล้วทำไมเขาถึงได้มีอาการหลงผิดนี้!
เนื่องจากทั้งสองข้อนี้ไม่สามารถใช้เป็นบทบาทในการชี้ขาดถึงความสามารถและความแข็งแกร่งของเขาได้จี้เฟิงจึงต้องหาทางอื่นเพื่อเป็นการปิดปากเหม็นๆของพวกคนขี้นินทาให้สนิท!
จี้เฟิงคิดอย่างรอบคอบถึงวิธีที่จะปิดปากญาติๆขี้นินทาเหล่านั้นได้มันมีอยู่สองวิธีที่เขาพอจะนึกออกในตอนนี้ วิธีแรกคือการนำพาตระกูลไปสู่ความรุ่งโรจน์ ด้วยวิธีนี้ เสียงนกเสียงกาที่สงสัยความสามารถในตัวเขาก็จะหายไปเองโดยปริยาย อย่างไรก็ตามตอนนี้เขายังเป็นเพียงนักศึกษา จะเอาโอกาสอะไรไปเป็นผู้นำของตระกูล มันยังห่างไกลมากนัก!
ก็เหลืออีกวิธีหนึ่ง..เริ่มต้นธุรกิจด้วยพละกำลังของตัวเอง!
ใช้ฝีมือตัวเองเพื่อสร้างข้อได้เปรียบอันทรงพลังที่จะไม่มีใครสามารถมาหยุดยั้งได้จะเอาให้คนพวกนั้นต้องหุบปากไปเลย!
จากมุมมองในปัจจุบันวิธีที่สองนี้แหละที่เหมาะสมที่สุดและมันก็เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดด้วย!
เพราะจี้เฟิงมีข้อได้เปรียบที่คนอื่นๆไม่มีเทคโนโลยีจากต่างดาว!
สำหรับจี้เฟิงในตอนนี้เขาได้เรียนรู้เทคโนโลยีจากต่างดาวหลายๆอย่างจนเชี่ยวชาญ ตั้งแต่อาวุธยุทโธปกรณ์ไปจนถึงความรู้ด้านกลไก ไม่ว่าจี้เฟิงจะเลือกนำสิ่งใดออกมาใช้ เขาจะทำให้ทั้งโลกต้องตกตะลึงและทำให้ผู้คนพากันบ้าคลั่ง แต่เทคโนโลยีเหล่านี้ก็น่าตกใจเกินไปจริงๆแน่นอนว่าจี้เฟิงไม่ได้วางแผนไว้ว่าเขาจะถูกล่วงรู้ความลับและถูกจับไปทำการวิจัยตั้งแต่การทำธุรกิจของตัวเองเป็นครั้งแรก มันจะต้องเป็นอะไรที่ไม่เด่นสะดุดตาและดูเหนือจริง เขาต้องการเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่านี้
จี้เฟิงทบทวนความรู้ต่างๆที่เขาเชี่ยวชาญอย่างระมัดระวังและเลือกความรู้ที่มีความเป็นไปได้สอดคล้องกับเทคโนโลยีปัจจุบันบนโลก
แต่หลังจากที่เขาครุ่นคิดมาพักใหญ่ๆเทคโนโลยีจากต่างดาวที่เขาเรียนรู้จนเชี่ยวชาญแล้วนั้นล้วนเกี่ยวข้องกับสนามรบหรือสายลับพิเศษ แทบไม่มีอะไรตรงกับความต้องการของเขาเลย มันจะต้องเป็นเทคโนโลยีที่ไม่ต้องล้ำหน้ามากแต่ใช้ในการเริ่มต้นทำธุรกิจได้
สำหรับม่านแสงที่จี้เฟิงชื่นชอบมาโดยตลอดก็ยังทำไม่ได้เนื่องจากเขายังไม่จบการเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการสื่อสารและเทคโนโลยีเครือข่าย เขาจึงไม่สามารถทำมันได้ในตอนนี้ และถึงแม้เขาจะมีความรู้ในด้านนี้แล้วก็ตาม เขาก็ไม่อาจทำมันได้อยู่ดีถ้าเขาไม่มีอุปกรณ์
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วด้วยความตึงเครียดการพูดว่าจะเริ่มทำธุรกิจเป็นของตัวเองนี่มันง่ายๆจริงๆ แต่พอจะเริ่มทำจริงๆจังๆขึ้นมากลับเจอแต่ปัญหาเต็มไปหมดและไม่พบสิ่งใดที่เหมาะสมเลย
จี้เฟิงตัดสินใจออกจากจิตใต้สำนึกมาก่อนเพราะเขาคิดว่าถ้าเขายังครุ่นคิดในขณะที่เขาต้องทำสมาธิและอยู่ภายใต้จิตสำนึกของตัวเองมันอาจจะทำให้เขาคิดอะไรไม่ออกยิ่งไปกว่าเดิม ดังนั้นต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติจะดีกว่า
เมื่อกลับสู่โลกภายนอกจี้เฟิงมองดูเวลาทันที และพบว่าเป็นเวลาสี่โมงกว่าแล้ว
“เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ!”จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้ม เขาลุกขึ้นจากเตียงและเดินออกจากห้องนอน เมื่อเขามาถึงห้องนั่งเล่นและนั่งเฉยๆอยู่สักพักเขารู้สึกว่าไม่มีอะไรจะทำ ดังนั้นเขาจึงเปิดทีวีและหาอะไรดูเพื่อเป็นการผ่อนคลายบ้าง
ทันทีที่จี้เฟิงเปิดทีวีละครต่อต้านสงครามกับญี่ปุ่นก็ปรากฏขึ้น จี้เฟิงรู้สึกสนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์ในอดีตมาก เขาจึงตั้งใจที่จะดูมัน แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
หลังจากที่ละครเพิ่งเล่นไปไม่ถึง10 วินาที ภาพก็ถูกตัดไปที่โฆษณาและโฆษณาและโฆษณา ในความรู้สึกของจี้เฟิงมันช่างยาวนานมาก
“……”หนังหัวของจี้เฟิงเต้นตุ้บๆแทบจะระเบิด จนอยากจะเขวี้ยงรีโมททีวี
แต่จี้เฟิงก็พยายามข่มอารมณ์และเลือกที่จะเปลี่ยนช่องแต่ไม่ว่าจะเป็นช่องไหนรายการอะไรก็เต็มไปด้วยโฆษณา ในที่สุดจี้เฟิงก็ตัดสินใจกดปุ่มปิดบนรีโมทคอนโทรลอย่างหมดความอดทน
“XXXลดน้ำหนักสามารถเห็นผลได้ภายใน 15 วัน ถ้าไม่เห็นผลทางเรายินดีคืนเงิน….”
เสียงของโฆษณาอันสุดท้ายดังขึ้นก่อนที่ทีวีจะปิดลง
“ลดน้ำหนัก”
จี้เฟิงผงะและลุกขึ้นยืนทันทีเขาพูดซ้ำอีกครั้ง “ลดน้ำหนักเหรอ!”
เขาเปิดทีวีขึ้นมาอีกครั้งแต่โฆษณาลดน้ำหนักได้ผ่านไปแล้ว ตอนนี้เป็นโฆษณาที่มีผู้ชายกับผู้หญิงสองคนที่ดูงี่เง่ายืนกินอะไรโง่ๆสักอย่างอยู่ เมื่อเห็นแบบนั้นจี้เฟิงก็ส่ายหัวเล็กน้อยและปิดทีวีอีกครั้ง แต่หัวใจของเขากลับรู้สึกมีชีวิตชีวา
“ยาลดน้ำหนัก…”จี้เฟิงพูดซ้ำไปซ้ำมา แต่ภายในใจเขาเริ่มคิดอะไรบางอย่างที่น่าจะมีความเป็นไปได้ “ถ้ามียาวิเศษที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแถมยังมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักอย่างมาก ยอดขายจะดีมากรึเปล่านะ” จี้เฟิงพอจะรู้อยู่ว่าสิ่งที่เรียกว่ายาลดน้ำหนักที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคำโฆษณาที่เกินจริง ถึงแม้จะมียาบางตัวที่ทำให้น้ำหนักลดลงได้จริง แต่ยาเหล่านั้นล้วนมีส่วนผสมที่มีผลต่อฮอร์โมนและเป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายอย่างมาก
ในกาแล็กซีแกมมามียาลดความอ้วนตัวหนึ่งที่มีส่วนผสมที่เรียบง่ายแต่ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากและยาตัวนี้ไม่มีผลข้างเคียงใดๆเลยและสิ่งที่สำคัญที่สุดคือมันได้ผลเร็วมาก!
เป็นตัวเลขที่ไม่ใช่น้อยๆเลย!
รู้หรือไม่ในวัยอย่างปู่ของจี้เฟิงที่อยู่ในวัยชรานอกจากอายุที่มากแล้วเขายังมีอาการบาดเจ็บจากเมื่อในอดีตอีกด้วย ดังนั้นการมีชีวิตอยู่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวันก็นับได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว นับประสาอะไรกับ 10 ปี แถมนี่ยังเป็นการคาดเดาเพียงคร่าวๆเท่านั้น เพราะถ้าหากจี้เฟิงสามารถทำสิ่งนี้ออกมาได้ดี ก็เกรงว่าเขาจะมีอายุที่ยืนยาวมากกว่านี้เสียอีก!
เมื่อทราบหลักการแล้วตอนนี้สิ่งที่เหลือก็คือการดำเนินการซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด!
วิธีการก็คือจี้เฟิงต้องถ่ายทอดกระแสไฟฟ้าชีวภาพเข้าสู่ร่างกายของชายชราเพื่อกระตุ้นกระแสไฟฟ้าชีวภาพภายในเซลล์และให้กระแสไฟฟ้าชีวภาพเหล่านี้ไหลตามธรรมชาติในร่างกายเพื่อดูดซับพลังงานจากภายนอกให้ร่างกายได้ปรับตัวเขาสู่ภาวะที่สมดุล
ความสมดุลที่สมบูรณ์แบบ!
อย่างไรก็ตามยังมีสิ่งที่จี้เฟิงขาดมากที่สุดนั่นก็คือประสบการณ์ในด้านนี้จนถึงตอนนี้พลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของเขาที่เขาเคยใช้นั้นใช้ไปในทางอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น เขาสามารถรวบรวมพลังงานไว้ที่ดวงตาเพื่อให้ได้ความสามารถในการมองเห็นไม่ว่าจะการมองในที่มืดได้ไม่ต่างจากเวลากลางวันและในแง่ของระยะทางที่ทำให้เขามองเห็นได้ไกลมากขึ้น หรือใช้ไปกับหมัดและเท้าของเขาเพื่อทำให้การโจมตีของเขารุนแรงและน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
หรืออย่างล่าสุดเขาถ่ายเทกระแสไฟฟ้าชีวภาพเข้าสู่ร่างกายของเฉียวหรง เทียนกั๋วถงและคนอื่นๆ เพื่อทำลายเซลล์ในร่างกายของพวกเขาโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอมเพื่อทำให้คนเหล่านั้นรู้สึกถึงความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน
ส่วนเรื่องของการช่วยชีวิตคนจี้เฟิงไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนเลย และเขาก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการป้อนพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพเพื่อช่วยชีวิตคนนั้นเหมือนกับการป้อนพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพเพื่อทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดเหมือนตอนที่เขาทำกับเฉียวหรงและคนอื่นๆหรือเปล่า
แม้จะใช้กระแสไฟฟ้าชีวภาพเหมือนกันแต่การช่วยชีวิตและการทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแน่นอนว่าผลลัพธ์ก็แตกต่างเช่นกัน
จี้เฟิงจำเป็นต้องถามสมองหมายเลข1 ให้ได้มากที่สุด “คุณสมอง ผมควรจะต้องทำยังไงบ้างเพื่อที่จะได้เปิดการใช้งานไฟฟ้าชีวภาพในเซลล์ของเป้าหมายที่ผมต้องการจะช่วยเหลือ”
“เรโซแนนซ์ (Resonance)” สมองหมายเลข 1 ตอบทันที “ไม่ว่าจะเป็นพลังงานไฟฟ้าชีวภาพหรือพลังงานรูปแบบใด ต่างก็มีความผันผวน และความถี่ของความผันผวนของไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของทุกคนต่างไม่เหมือนกัน และการเปิดใช้พลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของเป้าหมายที่ได้รับการช่วยเหลือจะต้องให้โฮสต์ปรับความผันผวนของกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของตัวโฮสต์เองให้เหมือนกับความผันผวนของกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของเป้าหมายที่จะได้รับการช่วยเหลือเพื่อให้เกิดเรโซแนนซ์จึงจะสามารถกระตุ้นกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของอีกฝ่ายได้”
“การสั่นพ้อง!”
ดวงตาของจี้เฟิงเป็นประกายเป็นเช่นนั้นจริงๆ จี้เฟิงเคยเรียนรู้เกี่ยวกับเรโซแนนซ์หรือที่เรียกว่าการสั่นพ้องในวิชาฟิสิกส์ตอนม.ปลาย เพียงแต่เขาไม่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับมันในเชิงลึก เขาจึงไม่รู้สึกคุ้นเคยกับแนวคิดนี้
เมื่อสร้างเรโซแนนซ์จนเกิดความถี่ที่ตรงกันจะสามารถเปิดใช้งานกระแสชีวภาพในร่างกายของคุณปู่ได้!
หลักการก็รู้แล้ววิธีการรักษาก็รู้แล้ว จี้เฟิงนั่งยิ้มอย่างอารมณ์ดีอยู่พักใหญ่ๆ “คุณสมอง ผมโชคดีมากจริงๆที่ได้พบกับนาย!”
สมองหมายเลข1 กล่าวว่า “การได้รับใช้มาสเตอร์เป็นความหมายเดียวของการดำรงอยู่ของสมอง”
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์ที่เอ่อล้นถ้าหากเขาไม่ได้พบกับสมองอัจฉริยะ(คน)นี้ ชีวิตของเขาในตอนนี้จะเป็นยังไง?
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็นึกสงสัยบางอย่างจึงถามอีกครั้ง “คุณสมอง แล้วการใช้กระแสไฟฟ้าชีวภาพเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นนี้มันจะใช้เวลานานแค่ไหน”
จี้เฟิงต้องรู้ข้อมูลโดยละเอียดและการวางแผนจะต้องสมบูรณ์แบบที่สุดเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าไปรักษาคุณปู่ของเขาได้
ทราบหรือไม่ว่าด้วยตัวตนของชายชราผู้อาวุโสสูงสุดแห่งตระกูลจี้ไม่ใช่ว่าใครจะได้รับอนุญาตให้เข้ามารักษาเขาได้ตามใจชอบ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพร่างกาย ทุกอย่างจะต้องผ่านการตรวจตราอย่างเข้มงวดของผู้นำระดับสูง เพราะการดำรงอยู่ของชายชราไม่ได้มีความหมายแค่ตัวของเขาเองเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนของกลุ่มบุคคลกลุ่มใหญ่ ไม่มีใครกล้าที่จะประมาท
ดังนั้นจี้เฟิงจึงต้องรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไรก่อนที่จะตัดสินใจจะลงมือทำจริงๆ
การลงมือรักษาชายชราอาจจะไม่ยากแต่หากต้องการที่จะไม่ให้คนอื่นได้ล่วงรู้นั้นยากกว่ามาก อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ต่อให้เป็นชายชรารู้ขึ้นมา เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้นคงเป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย เด็กยากจนที่มาจากชนบทแถมตอนนี้ก็เพิ่งเรียนอยู่ปี1 จะมารักษาชายชราที่กำลังจะตายได้อย่างไร และก่อนหน้านี้ต่างมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมากมายมาดูอาการและพวกเขาหลายคนต่างทำอะไรไม่ถูก แต่คนที่ประสบความสำเร็จกลับเป็นเด็กยากจนที่ไม่เคยเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์มาก่อนด้วยซ้ำ?!
คนเราจะขาดอะไรก็ขาดได้แต่ไม่เคยขาดความสงสัย
จี้เฟิงไม่ต้องการให้ความลับของเขาถูกเปิดเผยเพราะการที่จะต้องถูกจับไปทดลองหรือถูกผ่าเหมือนหนูตะเภา เขายอมตายเสียดีกว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีอยู่ของสมองอัจฉริยะที่อยู่ในจิตใจของเขามันยิ่งไม่สมควรที่จะให้คนอื่นล่วงรู้ได้โดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเกรงว่าแม้แต่คุณปู่ผู้นำแห่งตระกูลจี้ก็คงไม่อาจช่วยเขาไว้ได้ เพราะอย่างน้อยที่สุดสิ่งแรกที่ใครบางคนจะทำคือป้องกันไม่ให้สมองอัจฉริยะที่อยู่ในจิตใจของเขาต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของประเทศอื่นๆ และสิ่งต่อมาที่พวกเขาจะทำก็คือ หาวิธีที่จะใช้มัน! และจะทำอย่างไร นอกจากจะนำตัวเขาไปวิจัย…
สมองของจี้เฟิงกำลังหมุนอย่างรวดเร็วจนกระทั่งได้ยินเสียงของสมองหมายเลข 1 พูดขึ้นมาว่า “มาสเตอร์ เรื่องนี้จะต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับสภาพร่างกายของเป้าหมายที่จะได้รับการช่วยเหลือถึงจะสามารถตัดสินได้อย่างแม่นยำ!”
“นั่นสินะ…”จี้เฟิงทำหน้าครุ่นคิด ถ้าหากเป็นกรณีนี้ฉันคงต้องไปพบกับพ่อก่อนถึงจะเริ่มวางแผนได้สินะ
“ตอนนี้ดูเหมือนว่าฉันคงได้แต่รอข่าวจากพี่รองเท่านั้นอย่างน้อยที่สุดฉันก็หวังว่าร่างกายคุณปู่จะพอทรงตัวได้และแม้ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหนตราบใดที่ร่างกายคุณปู่ยังพอทรงตัวได้ มันจะต้องไม่มีเรื่องโศกเศร้าเกิดขึ้น!” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ ทำไมเขาถึงไม่ไปหาคุณปู่ของเขาให้เร็วกว่านี้ แต่อย่างน้อยๆปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือเรื่องการรักษาได้รับการแก้ไขแล้วจี้เฟิงจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาเริ่มคิดถึงสิ่งที่จี้ช่าวเหลยได้บอกกับเขาในวันนี้ทางโทรศัพท์
เรื่องความไม่พอใจของญาติๆในตระกูลจี้
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชาความคับข้องใจของคนพวกนั้นและสิ่งที่ทำให้แม่ของเขาต้องเป็นทุกข์ ในไม่ช้าก็เร็วบัญชีเหล่านั้นจะต้องถูกสะสาง
อย่างไรก็ตามก่อนที่จี้เฟิงจะไปคิดบัญชีเขาคงต้องพักการชำระหนี้เอาไว้ก่อน ตอนนี้เขายังไม่แข็งแกร่งพอจนสามารถไปคิดบัญชีกับพวกเขาได้
ลองคิดดูสิว่าสิ่งเดียวที่จะทำให้จี้เฟิงเฉิดฉายได้ก็คือตัวตนของเขาในฐานะหลานชายคนโตของตระกูลจี้ แต่ญาติคนอื่นๆก็รู้ถึงสถานะนี้ของเขาแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ได้ช่วยอะไรเลย
นอกจากนี้จี้เฟิงยังจำเป็นต้องมีทักษะอื่นๆ นอกจากฝีมือการต่อสู้ เพราะความรุนแรงเพียงอย่างเดียวไม่อาจแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง เว้นเสียแต่ว่าจี้เฟิงจะสามารถทำลายโลกทั้งใบด้วยมือเพียงข้างเดียว เขาจึงจะสามารถแก้ปัญหาทั้งหมดได้อย่างแท้จริงด้วยพลังที่เหนือมนุษย์
แต่น่าเสียดายเพราะตามข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้โดยสมองหมายเลข 1 ไม่เคยมีตัวละครที่ทรงพลังเช่นนี้มาก่อน และจี้เฟิงก็เป็นคนที่เพิ่งจะฝึกยิมนาสติกมาได้ไม่ถึง 2 ปี แล้วทำไมเขาถึงได้มีอาการหลงผิดนี้!
เนื่องจากทั้งสองข้อนี้ไม่สามารถใช้เป็นบทบาทในการชี้ขาดถึงความสามารถและความแข็งแกร่งของเขาได้จี้เฟิงจึงต้องหาทางอื่นเพื่อเป็นการปิดปากเหม็นๆของพวกคนขี้นินทาให้สนิท!
จี้เฟิงคิดอย่างรอบคอบถึงวิธีที่จะปิดปากญาติๆขี้นินทาเหล่านั้นได้มันมีอยู่สองวิธีที่เขาพอจะนึกออกในตอนนี้ วิธีแรกคือการนำพาตระกูลไปสู่ความรุ่งโรจน์ ด้วยวิธีนี้ เสียงนกเสียงกาที่สงสัยความสามารถในตัวเขาก็จะหายไปเองโดยปริยาย อย่างไรก็ตามตอนนี้เขายังเป็นเพียงนักศึกษา จะเอาโอกาสอะไรไปเป็นผู้นำของตระกูล มันยังห่างไกลมากนัก!
ก็เหลืออีกวิธีหนึ่ง..เริ่มต้นธุรกิจด้วยพละกำลังของตัวเอง!
ใช้ฝีมือตัวเองเพื่อสร้างข้อได้เปรียบอันทรงพลังที่จะไม่มีใครสามารถมาหยุดยั้งได้จะเอาให้คนพวกนั้นต้องหุบปากไปเลย!
จากมุมมองในปัจจุบันวิธีที่สองนี้แหละที่เหมาะสมที่สุดและมันก็เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดด้วย!
เพราะจี้เฟิงมีข้อได้เปรียบที่คนอื่นๆไม่มีเทคโนโลยีจากต่างดาว!
สำหรับจี้เฟิงในตอนนี้เขาได้เรียนรู้เทคโนโลยีจากต่างดาวหลายๆอย่างจนเชี่ยวชาญ ตั้งแต่อาวุธยุทโธปกรณ์ไปจนถึงความรู้ด้านกลไก ไม่ว่าจี้เฟิงจะเลือกนำสิ่งใดออกมาใช้ เขาจะทำให้ทั้งโลกต้องตกตะลึงและทำให้ผู้คนพากันบ้าคลั่ง แต่เทคโนโลยีเหล่านี้ก็น่าตกใจเกินไปจริงๆแน่นอนว่าจี้เฟิงไม่ได้วางแผนไว้ว่าเขาจะถูกล่วงรู้ความลับและถูกจับไปทำการวิจัยตั้งแต่การทำธุรกิจของตัวเองเป็นครั้งแรก มันจะต้องเป็นอะไรที่ไม่เด่นสะดุดตาและดูเหนือจริง เขาต้องการเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่านี้
จี้เฟิงทบทวนความรู้ต่างๆที่เขาเชี่ยวชาญอย่างระมัดระวังและเลือกความรู้ที่มีความเป็นไปได้สอดคล้องกับเทคโนโลยีปัจจุบันบนโลก
แต่หลังจากที่เขาครุ่นคิดมาพักใหญ่ๆเทคโนโลยีจากต่างดาวที่เขาเรียนรู้จนเชี่ยวชาญแล้วนั้นล้วนเกี่ยวข้องกับสนามรบหรือสายลับพิเศษ แทบไม่มีอะไรตรงกับความต้องการของเขาเลย มันจะต้องเป็นเทคโนโลยีที่ไม่ต้องล้ำหน้ามากแต่ใช้ในการเริ่มต้นทำธุรกิจได้
สำหรับม่านแสงที่จี้เฟิงชื่นชอบมาโดยตลอดก็ยังทำไม่ได้เนื่องจากเขายังไม่จบการเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการสื่อสารและเทคโนโลยีเครือข่าย เขาจึงไม่สามารถทำมันได้ในตอนนี้ และถึงแม้เขาจะมีความรู้ในด้านนี้แล้วก็ตาม เขาก็ไม่อาจทำมันได้อยู่ดีถ้าเขาไม่มีอุปกรณ์
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วด้วยความตึงเครียดการพูดว่าจะเริ่มทำธุรกิจเป็นของตัวเองนี่มันง่ายๆจริงๆ แต่พอจะเริ่มทำจริงๆจังๆขึ้นมากลับเจอแต่ปัญหาเต็มไปหมดและไม่พบสิ่งใดที่เหมาะสมเลย
จี้เฟิงตัดสินใจออกจากจิตใต้สำนึกมาก่อนเพราะเขาคิดว่าถ้าเขายังครุ่นคิดในขณะที่เขาต้องทำสมาธิและอยู่ภายใต้จิตสำนึกของตัวเองมันอาจจะทำให้เขาคิดอะไรไม่ออกยิ่งไปกว่าเดิม ดังนั้นต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติจะดีกว่า
เมื่อกลับสู่โลกภายนอกจี้เฟิงมองดูเวลาทันที และพบว่าเป็นเวลาสี่โมงกว่าแล้ว
“เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ!”จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้ม เขาลุกขึ้นจากเตียงและเดินออกจากห้องนอน เมื่อเขามาถึงห้องนั่งเล่นและนั่งเฉยๆอยู่สักพักเขารู้สึกว่าไม่มีอะไรจะทำ ดังนั้นเขาจึงเปิดทีวีและหาอะไรดูเพื่อเป็นการผ่อนคลายบ้าง
ทันทีที่จี้เฟิงเปิดทีวีละครต่อต้านสงครามกับญี่ปุ่นก็ปรากฏขึ้น จี้เฟิงรู้สึกสนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์ในอดีตมาก เขาจึงตั้งใจที่จะดูมัน แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
หลังจากที่ละครเพิ่งเล่นไปไม่ถึง10 วินาที ภาพก็ถูกตัดไปที่โฆษณาและโฆษณาและโฆษณา ในความรู้สึกของจี้เฟิงมันช่างยาวนานมาก
“……”หนังหัวของจี้เฟิงเต้นตุ้บๆแทบจะระเบิด จนอยากจะเขวี้ยงรีโมททีวี
แต่จี้เฟิงก็พยายามข่มอารมณ์และเลือกที่จะเปลี่ยนช่องแต่ไม่ว่าจะเป็นช่องไหนรายการอะไรก็เต็มไปด้วยโฆษณา ในที่สุดจี้เฟิงก็ตัดสินใจกดปุ่มปิดบนรีโมทคอนโทรลอย่างหมดความอดทน
“XXXลดน้ำหนักสามารถเห็นผลได้ภายใน 15 วัน ถ้าไม่เห็นผลทางเรายินดีคืนเงิน….”
เสียงของโฆษณาอันสุดท้ายดังขึ้นก่อนที่ทีวีจะปิดลง
“ลดน้ำหนัก”
จี้เฟิงผงะและลุกขึ้นยืนทันทีเขาพูดซ้ำอีกครั้ง “ลดน้ำหนักเหรอ!”
เขาเปิดทีวีขึ้นมาอีกครั้งแต่โฆษณาลดน้ำหนักได้ผ่านไปแล้ว ตอนนี้เป็นโฆษณาที่มีผู้ชายกับผู้หญิงสองคนที่ดูงี่เง่ายืนกินอะไรโง่ๆสักอย่างอยู่ เมื่อเห็นแบบนั้นจี้เฟิงก็ส่ายหัวเล็กน้อยและปิดทีวีอีกครั้ง แต่หัวใจของเขากลับรู้สึกมีชีวิตชีวา
“ยาลดน้ำหนัก…”จี้เฟิงพูดซ้ำไปซ้ำมา แต่ภายในใจเขาเริ่มคิดอะไรบางอย่างที่น่าจะมีความเป็นไปได้ “ถ้ามียาวิเศษที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแถมยังมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักอย่างมาก ยอดขายจะดีมากรึเปล่านะ” จี้เฟิงพอจะรู้อยู่ว่าสิ่งที่เรียกว่ายาลดน้ำหนักที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคำโฆษณาที่เกินจริง ถึงแม้จะมียาบางตัวที่ทำให้น้ำหนักลดลงได้จริง แต่ยาเหล่านั้นล้วนมีส่วนผสมที่มีผลต่อฮอร์โมนและเป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายอย่างมาก
ในกาแล็กซีแกมมามียาลดความอ้วนตัวหนึ่งที่มีส่วนผสมที่เรียบง่ายแต่ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากและยาตัวนี้ไม่มีผลข้างเคียงใดๆเลยและสิ่งที่สำคัญที่สุดคือมันได้ผลเร็วมาก!