The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 286 สามี
เนื่องจากวันรุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ถงเล่ยจึงตื่นแต่เช้าและบอกให้จี้เฟิงกับเซียวหยูซวนไปหาเซียวฉางเหอเพื่อสอบถามเกี่ยวกับโรงงานผลิตยา
จี้เฟิงรู้สึกนับถือน้ำใจของถงเล่ยมากเท่าที่จำได้เขาไม่เคยใส่ใจอะไรแบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงความรักที่ถงเล่ยมีต่อเขาว่ามันเต็มไปด้วยความจริงใจมากขนาดไหน
เซียวหยูซวนเองก็รู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจไม่หยิ่งหย่อนไปกว่ากันเธอลองนึกว่าถ้าเป็นตัวเธอเองเธอจะยังรักและแคร์จี้เฟิงได้ขนาดนี้อยู่ไหมถ้ารู้ว่าเขามีผู้หญิงอื่น
เมื่อลองคิดดูดีๆแล้วต่อให้รักและห่วงใยมากขนาดไหน แต่ในใจก็คงจะโกรธมากอยู่ดี และแน่นอนว่าคงไม่มีทางคิดบวกได้มากขนาดนี้
เหตุผลที่ถงเล่ยทำแบบนี้ได้นั่นก็ต้องเป็นเพราะเธอรักจี้เฟิงและรักมากด้วย
ฉันเองยังรักจี้เฟิงไม่ได้มากเท่ากับที่ถงเล่ยรักเลย
เซียวหยูซวนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆความรู้สึกรักที่เธอมีต่อถงเล่ยนั้นมันเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นและความคิดที่จะแข่งขันกับถงเล่ยไม่ได้อยู่ในหัวของเธอเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงเซียวหยูซวนนั้นรู้ดีว่าต่อให้ไม่ใช่เธอแต่เป็นผู้หญิงคนอื่นมาเห็นถงเล่ยที่รักจี้เฟิงด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ เธอจะไม่รู้สึกอิจฉาอย่างแน่นอน เพราะความรักอันแรงกล้าระหว่างถงเล่ยและจี้เฟิงเป็นอะไรที่พวกเธอไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้!
เมื่อเห็นว่าจี้เฟิงรู้สึกซาบซึ้งในความรักของถงเล่ยที่มีต่อเขาหัวใจของเซียวหยูซวนก็รู้สึกถึงความอ่อนโยนที่เพิ่มมากขึ้น เธอจะต้องรักจี้เฟิงให้ได้มากกว่าที่ถงเล่ยรัก เพราะเขายืนกรานที่จะคบหากับเธอ เขาจึงเสี่ยงที่จะทำให้ถงเล่ยโกรธ และแค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของจี้เฟิงที่มีต่อเธอ!
“น้องเล็กไม่ต้องห่วงพี่สาวจะพยายามช่วยเขาให้ได้มากที่สุด” เซียวหยูซวนจับมือเล็กๆของถงเล่ยและพูดเบาๆ แม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะนุ่มนวลแต่คำพูดของเธอเต็มไปด้วยความแน่วแน่ ในเมื่อถงเล่ยสามารถทุ่มเทเพื่อจี้เฟิงได้ขนาดนี้ แล้วทำไมเธอถึงจะทำไม่ได้!
นี่ไม่ใช่การเปรียบเทียบหรือแข่งขันด้วยอารมณ์ที่หึงหวงแต่เป็นความหวังดีที่ออกมาจากใจจริง
“ถ้าพี่พูดแบบนี้ฉันก็โล่งใจ”ถงเล่ยยิ้มหวาน จิตใจอันแสนบอบบางและบริสุทธิ์ของเธอสามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในหัวใจของเซียวหยูซวนได้อย่างชัดเจนและมันก็ทำให้เธอรู้สึกมีความสุขมาก
เมื่อได้ยินเซียวหยูซวนพูดออกมาแบบนี้นั่นก็หมายความว่าจี้เฟิงไม่ได้เลือกคนผิดและการยินยอมที่เธอทำไปมันก็ไม่ไร้ประโยชน์ อย่างน้อยพี่สาวหยูซวนก็รักจี้เฟิงเหมือนอย่างที่เธอรัก
ดูเหมือนว่าจี้เฟิงจะไม่เข้าใจการสื่อสารระหว่างผู้หญิงทั้งสองคนแต่เขาก็ยังรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไประหว่างพวกเธอ ราวกับว่าพวกเธอดูเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกันและรักกันมากกว่าเมื่อวาน
ความสัมพันธ์ระหว่างสาวๆนี่ช่างเป็นอะไรที่เข้าใจได้ยากจริงๆ!จี้เฟิงรู้สึกมึนงง เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อยและตัดสินที่จะเลิกคิดเรื่องนี้ไป
เขายิ้มและพูดว่า“เล่ยเล่ย วันนี้เธอมีแผนจะทำอะไรเหรอ”
การไปบ้านของเซียวหยูซวนในครั้งนี้มันเป็นเรื่องไม่เหมาะไม่ควรสักเท่าไหร่ที่ถงเล่ยจะติดตามไปด้วย เพราะฉางเหอกับภรรยารู้อยู่แล้วว่าจี้เฟิงเป็นแฟนของเซียวหยูซวน ในสายตาของผู้ใหญ่จี้เฟิงก็เปรียบเสมือนเป็นลูกเขยของครอบครัวเซียวไปแล้วครึ่งหนึ่ง
แล้วในเมื่อลูกเขยคนนี้จะไปพบพ่อตาแม่ยายโดยที่พาแฟนไปด้วยเหตุการณ์จะออกมาในรูปแบบไหนล่ะ
ถงเล่ยกัดนิ้วขาวๆเล็กๆของเธอเบาๆพร้อมกับเอียงคอทำท่าครุ่นคิดมันดูน่ารักมากจนทำให้คนที่มองแทบจะอดใจไม่ไหว แล้วคว้าตัวเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขนด้วยความรักความเอ็นดู
“ฉันว่าจะไปที่ห้องโสตของห้องสมุดแล้วลองหาอะไรที่เกี่ยวกับหลักสูตรภาษาเยอรมันและศึกษามันดูซักหน่อย”ถงเล่ยพูดขึ้นหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ภาษาเยอรมัน”จี้เฟิงแปลกใจเล็กน้อย “เล่ยเล่ย เธอไม่เรียนภาษาอังกฤษแล้วหรอ? ทำไมถึงเลือกเรียนภาษาเยอรมันแทนล่ะ?”
“น้องเล็กเธอจะเลือกภาษาเยอรมันเป็นภาษาต่างชาติภาษาที่สองใช่มั้ย” เซียวหยูซวนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและเธอก็เข้าใจด้วยว่าเพราะอะไร เธอจึงอดไม่ได้ที่จะชื่นชม “เล่ยเล่ยของเราขยันมากจริงๆ แผนกภาษาต่างประเทศของเราเพิ่งเริ่มเรียนภาษาหลักไปไม่เท่าไหร่ แถมกว่าจะเริ่มเลือกเรียนภาษาที่สองก็ตอนขึ้นปีสอง แต่ตอนนี้เล่ยเล่ยของเราเตรียมพร้อมที่จะเรียนรู้ภาษาต่างประเทศภาษาที่สองแล้ว”
นักศึกษาแผนกภาษาต่างประเทศไม่ใช่แค่เรียนภาษาใดภาษาหนึ่งเท่านั้นแต่ที่สหพันธ์มหาวิทยาลัยมีข้อบังคับว่านักศึกษาจากแผนกภาษาต่างประเทศที่อยู่ปีสองเป็นต้นไปจะต้องเลือกภาษาต่างประเทศภาษาที่สองนอกเหนือจากวิชาเอก
ภาษาต่างประเทศทางเลือกจะถูกรวมอยู่ในขอบเขตของการสอบในตอนท้ายด้วยแม้ว่าสัดส่วนของคะแนนสอบจะไม่มากเท่าภาษาต่างประเทศที่เป็นวิชาเอก แต่ก็เรียกได้ว่ามีความสำคัญมากเช่นกัน
ถงเล่ยยิ้มหวาน“ไม่ขนาดนั้นหรอกพี่ ฉันแค่คิดว่าภาษาเยอรมันค่อนข้างกว้างและหลักสูตรภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยก็ช้านิดหน่อย ฉันเลยคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าใช้เวลาว่างเพื่อที่จะเรียนรู้ภาษาต่างประเทศเพิ่มอีกซักภาษานึง ถือซะว่าเป็นการเตรียมพื้นฐานไว้ล่วงหน้า!”
สำหรับความคิดของถงเล่ยจี้เฟิงสนับสนุนอย่างเต็มที่โดยไม่ลังเลเลย แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับภาษาเยอรมันมากนักและไม่รู้ว่าภาษาเยอรมันใช้กันอย่างแพร่หลายในที่ใด แต่มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขาที่จะสนับสนุนถงเล่ย
“โอเคงั้นฉันจะไปส่งเธอที่มหาลัยก่อน!” จี้เฟิงยิ้ม
“ไม่ต้องๆฉันนั่งรถเมล์ไปเองได้ แค่ไม่กี่ป้ายก็ถึงแล้ว!” ถงเล่ยรีบโบกมือปฏิเสธและส่งยิ้มหวาน
“ไม่มีทาง!”จี้เฟิงส่ายหัวทันที “เล่ยเล่ยของเราสวยมากขนาดนี้ ถ้าหากขึ้นรถเมล์จะต้องตกเป็นเป้าสายตาพวกคนโรคจิตอย่างแน่นอน แล้วจะไม่ให้ฉันเป็นห่วงเธอได้ยังไง!”
“นายก็พูดซะเว่อร์เลย!”ถงเล่ยเขินอายเล็กน้อย แต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความหวาน ความห่วงใยและคำชมของจี้เฟิงทำให้เธอรู้สึกมีความสุข รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยๆของเซียวหยูซวนเธอจับมือเล็กๆของถงเล่ยและพูดด้วยรอยยิ้ม “ตกลงนะเล่ยเล่ย ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องให้จี้เฟิงไปส่ง นั่งรถเมล์ไปเองอันตรายจะตาย ถ้าเราประมาทและไม่ป้องกันตั้งแต่แรกเมื่อถึงเวลาถ้ามันมีเรื่องขึ้นมาจริงๆ มาแก้ไขทีหลังมันก็สายเกินไปแล้ว ไปเถอะ ไปทำอาหารเช้ากัน!”
“อื้อก็ได้!”
ถงเล่ยทำเสียงขึ้นจมูกเบาๆและไม่ได้ยืนกรานที่จะนั่งรถเมล์ด้วยตัวเองอีกต่อไป พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นครอบครัวเดียวกันและไม่จำเป็นต้องเกรงใจในเรื่องแบบนี้
เมื่อเห็นเซียวหยูซวนและถงเล่ยเดินจูงมือกันเข้าไปในครัวจี้เฟิงก็ได้แต่ยืนตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองสาวจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจว่ามันเป็นเพราะอะไร
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเช้านี้แฟนสาวทั้งสองคนของเขาเป็นคนลงมือทำอาหารเช้าเองหรือเปล่าเขาคิดว่าอาหารเช้าวันนี้อร่อยเป็นพิเศษ โดยเฉพาะนมถั่วเหลืองที่หญิงสาวทั้งสองคนทำเอง จี้เฟิงถึงกับดื่มติดต่อกันสองแก้ว ทำให้หญิงสาวทั้งสองยิ้มแฉ่งจนดวงตาโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว
ระหว่างทางไปส่งถงเล่ยไปมหาวิทยาลัยจี้เฟิงได้รับโทรศัพท์จากโจวหลี่รองกัปตันทีมรักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัย เขาโทรมาแจ้งจี้เฟิงว่าบัตรรับรองที่พักของเขากับถงเล่ยทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าจี้เฟิงพร้อมเมื่อไหร่ก็ให้เข้าไปรับได้เลย
จี้เฟิงจึงตั้งใจที่จะแวะไปทันทีหลังจากที่ไปส่งถงเล่ยที่ห้องสมุดเขาขับรถตรงไปที่แผนกรักษาความปลอดภัยที่ใกล้กับประตูมหาวิทยาลัยและรับบัตรรับรองที่พักจากมือของโจวหลี่
เมื่อเขาเห็นจี้เฟิงอีกครั้งคราวนี้โจวหลี่ดูมีท่าทางกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ สีหน้าและท่าทางของเขาราวกับได้เจอเพื่อนเก่าอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปี ไม่เพียงแค่โจวหลี่เท่านั้นแต่แม้กระทั่งสมาชิกทีมคนอื่นๆก็ดูจะมีท่าทีกระตือรือร้นเมื่อได้เจอกับจี้เฟิง
แต่จี้เฟิงไม่รู้สึกแปลกใจเลยเพราะเขารู้ว่าน่าจะเป็นเพราะบุหรี่ชนิดพิเศษสามสี่มวนในวันนั้นที่เขาบังเอิญแจกไปในคราวที่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าโจวหลี่และสมาชิกทีมจะต้องรู้จักมันอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงจะไม่มีท่าทีที่ดูกระตือรือร้นขนาดนี้ แต่อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่ได้คบหาสนิทสนมกันไปจนถึงขั้นนั้น
จี้เฟิงไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องที่แย่นักดังคำกล่าวที่ว่า ‘เก้าอี้เก๋งที่ต้องใช้คนแบกคน’ (คล้ายๆสุภาษิตไทยที่ว่า น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า) ยิ่งไปกว่านั้นภายในมหาวิทยาลัยคนที่มีบุคลิกคล่องแคล่วปราดเปรียวอย่างโจวหลี่อาจจะกลายเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในอนาคต การที่พวกเขาทำตัวสนิทสนมกับจี้เฟิงมันทำให้โจวหลี่และสมาชิกทีมรักษาความปลอดภัยต่างรู้สึกมีหน้ามีตาขึ้นมาก แต่ในขณะเดียวกันจี้เฟิงก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้มาก่อปัญหาหรือรบกวนมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
สำหรับตัวตนของคนที่สามารถแจกจ่ายบุหรี่ที่เป็นสินค้าพิเศษให้แก่คนอื่นได้นั้นมันมีความชัดเจนในตัวเองอยู่แล้วหากจี้เฟิงทำตัวเฉยเมยมากกว่านี้อีกหน่อยพวกเขาก็ไม่แปลกใจเลย อย่างไรก็ตามคุณชายแห่งตระกูลระดับสูงก็เป็นบุคคลที่เข้าถึงได้ยากอยู่แล้ว
แต่เมื่อจี้เฟิงเออออห่อหมกไปกับพวกเขามันก็ทำให้พวกเขามีความสุขมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้ว่าโจวหลี่และคนเหล่านี้ยังเป็นนักศึกษาที่ทำงานอยู่ในสหพันธ์มหาวิทยาลัยแต่ตราบใดที่ยังมีผู้คน ก็ต้องมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และพวกเขาผู้ที่เคยชินกับสิ่งเหล่านี้ จะมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่านักศึกษาทั่วไปโดยธรรมชาติ
พวกเขารู้ดีว่านักศึกษาที่จบสถาบันที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ล้วนเลือกที่จะติดต่อกับผู้ที่น่าจะมีผลประโยชน์ต่อตัวพวกเขาในอนาคตทั้งนั้นและการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจี้เฟิงย่อมไม่ส่งผลเสียกับพวกเขา
จี้เฟิงยินดีที่ได้คุยกับพวกเขาอีกหลายประโยคแม้ว่าปกติเขาจะไม่ค่อยได้เข้าสังคมมากเท่าไหร่นัก แต่ในระบบฝึกอบรมสายลับระดับสูง การสื่อสารที่ดีก็เป็นทักษะอย่างหนึ่ง เขาใช้มันอย่างง่ายดายและเป็นธรรมชาติ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะเมื่อก่อนจี้เฟิงเคยทนทุกข์ทรมานจากคำพูดแย่ๆของคนอื่น แต่ด้วยความที่ต้องอดทนอย่างต่อเนื่องนั่นเองจึงทำให้เขามีมันมากกว่าคนทั่วไปในวัยเดียวกัน และเขาก็สามารถแสดงท่าทางได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นเมื่อพูดคุยกับโจวหลี่และสมาชิกทีมรักษาความปลอดภัยคนอื่นๆ
เซียวหยูซวนแอบพยักหน้าอยู่ในใจในขณะที่มองดูจี้เฟิงในสายตาของเธอจี้เฟิงมีบุคลิกที่เต็มไปด้วยความเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะทักษะกาต่อสู้ วิธีคิดหรือวิธีการ เขามักจะเลือกสิ่งที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมาเป็นอันดับแรก เขาวางตัวของเขาไม่เหมือนคนอื่นๆในวัยเดียวกัน ไม่ว่าจะเปรียบเทียบกับลูกคนรวยที่มักจะหยิ่งผยองเอาแต่ใจหรือเปรียบเทียบกับนักศึกษาธรรมดาทั่วไปหลายคนที่มักจะมีปมด้อยและไม่มั่นใจในตัวเอง
มันเป็นเรื่องยากมากที่จะมีความอ่อนโยนแต่ในขณะเดียวกันก็มีความสง่างามน่าเกรงขามเหมือนอย่างจี้เฟิงเขาดูเป็นคนที่มีวุฒิภาวะเกินกว่าอายุของเขามาก
คนที่มาจากครอบครัวที่ยากจนต้องผ่านความทุกข์ทรมานแบบไหนถึงได้เติบโตจนมาถึงจุดนี้ได้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เซียวหยูซวนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นทุกข์
“ในอดีตไม่ว่านายจะเคยผ่านความทุกข์ทรมานแบบไหนมาฉันจะไม่มีวันปล่อยให้นายต้องทุกข์ทรมานแบบนั้นอีกแล้ว แม้ว่าฉันจะไม่สามารถช่วยเหลือนายในทุกๆที่ได้ แต่อย่างน้อยฉันจะดูแลความเป็นอยู่ของนายให้ดีที่สุด ฉันกับเล่ยเล่ยจะรักและถนอมน้ำใจซึ่งกันและกันเพื่อไม่ให้นายต้องเป็นกังวล และเพื่ออนาคตของพวกเรา!” หัวใจของเซียวหยูซวนนั้นอ่อนนุ่มอ่อนโยนแต่ก็เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
หลังจากที่พวกเขาออกมาจากมหาวิทยาลัยจี้เฟิงและเซียวหยูซวนก็ขับรถตรงไปที่บ้านตระกูลเซียว
ระหว่างทางเซียวหยูซวนได้แต่นั่งเงียบซึ่งทำให้จี้เฟิงรู้สึกแปลกๆ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “หยูซวน อารมณ์ไม่ดีเหรอ”
เซียวหยูซวนส่ายหัวเล็กน้อยและหันหน้าไปมองจี้เฟิงด้วยแววตาเด็ดเดี่ยวแต่เต็มไปด้วยความรัก“สามี ต่อจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะไม่มีวันทิ้งคุณ”
จี้เฟิงที่กำลังขับรถอยู่ก็ถึงกับสั่นสะท้านทันทีและแทบจะจับพวงมาลัยไม่อยู่
เขามองไปที่เซียวหยูซวนด้วยความประหลาดใจ“หยูซวน คุณโอเคมั้ย เมื่อกี้คุณเรียกฉันว่าอะไรนะ?!” เมื่อกี้ดูเหมือนว่าเซียวหยูซวนจะเรียกฉันว่า…สามี
หลังจากที่ทั้งสองตัดสินใจแน่วแน่เกี่ยวกับความสัมพันธ์อย่างที่เป็นในปัจจุบันของพวกเขาดูเหมือนว่าเซียวหยูซวนจะไม่เคยเรียกเขาแบบนั้นอีกเลย แม้จี้เฟิงจะรู้สึกดีใจที่ได้ยินเธอเรียกแบบนั้นแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะกังวลเล็กน้อย เพราะถึงแม้ภายนอกเซียวหยูซวนจะดูเหมือนผู้หญิงที่เต็มไปด้วยเสน่ห์อารมณ์ดีและใจเย็น แต่ความจริงแล้วเธอเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา
เซียวหยูซวนมองเขาอย่างดุๆและบ่นอุบอิบ“ทำไม! ไม่อยากให้ฉันเรียกว่าสามีอย่างนั้นเหรอ? งั้นต่อไปนี้ฉันจะไม่เรียกนายแบบนั้นอีก!”
“เรียก!อยากให้เรียกแบบนั้นแน่นอน!” จี้เฟิงรีบพูดทันที “สามีเหรอ… อืม ฉันชอบการเรียกแบบนี้นะ แต่เหมือนมันยังขาดอะไรไป… ทำไมเราไม่ลองทำอะไรที่สามีภรรยาเขาทำกันล่ะ ฉันว่ามันน่าจะขาดสิ่งนั้นแหละ!” “ตาบ้าคนลามก คิดแต่เรื่องชั่วร้ายได้ทั้งวัน!” เซียวหยูซวนโวยวายขึ้นมาทันที
“ฮ่าฮ่าฮ่า!!”จี้เฟิงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี จนกระทั่งรถหายไปจนสุดปลายถนนแต่ทั้งสองคนก็ยังคงหัวเราะกันอยู่
จี้เฟิงรู้สึกนับถือน้ำใจของถงเล่ยมากเท่าที่จำได้เขาไม่เคยใส่ใจอะไรแบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงความรักที่ถงเล่ยมีต่อเขาว่ามันเต็มไปด้วยความจริงใจมากขนาดไหน
เซียวหยูซวนเองก็รู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจไม่หยิ่งหย่อนไปกว่ากันเธอลองนึกว่าถ้าเป็นตัวเธอเองเธอจะยังรักและแคร์จี้เฟิงได้ขนาดนี้อยู่ไหมถ้ารู้ว่าเขามีผู้หญิงอื่น
เมื่อลองคิดดูดีๆแล้วต่อให้รักและห่วงใยมากขนาดไหน แต่ในใจก็คงจะโกรธมากอยู่ดี และแน่นอนว่าคงไม่มีทางคิดบวกได้มากขนาดนี้
เหตุผลที่ถงเล่ยทำแบบนี้ได้นั่นก็ต้องเป็นเพราะเธอรักจี้เฟิงและรักมากด้วย
ฉันเองยังรักจี้เฟิงไม่ได้มากเท่ากับที่ถงเล่ยรักเลย
เซียวหยูซวนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆความรู้สึกรักที่เธอมีต่อถงเล่ยนั้นมันเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นและความคิดที่จะแข่งขันกับถงเล่ยไม่ได้อยู่ในหัวของเธอเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงเซียวหยูซวนนั้นรู้ดีว่าต่อให้ไม่ใช่เธอแต่เป็นผู้หญิงคนอื่นมาเห็นถงเล่ยที่รักจี้เฟิงด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ เธอจะไม่รู้สึกอิจฉาอย่างแน่นอน เพราะความรักอันแรงกล้าระหว่างถงเล่ยและจี้เฟิงเป็นอะไรที่พวกเธอไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้!
เมื่อเห็นว่าจี้เฟิงรู้สึกซาบซึ้งในความรักของถงเล่ยที่มีต่อเขาหัวใจของเซียวหยูซวนก็รู้สึกถึงความอ่อนโยนที่เพิ่มมากขึ้น เธอจะต้องรักจี้เฟิงให้ได้มากกว่าที่ถงเล่ยรัก เพราะเขายืนกรานที่จะคบหากับเธอ เขาจึงเสี่ยงที่จะทำให้ถงเล่ยโกรธ และแค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของจี้เฟิงที่มีต่อเธอ!
“น้องเล็กไม่ต้องห่วงพี่สาวจะพยายามช่วยเขาให้ได้มากที่สุด” เซียวหยูซวนจับมือเล็กๆของถงเล่ยและพูดเบาๆ แม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะนุ่มนวลแต่คำพูดของเธอเต็มไปด้วยความแน่วแน่ ในเมื่อถงเล่ยสามารถทุ่มเทเพื่อจี้เฟิงได้ขนาดนี้ แล้วทำไมเธอถึงจะทำไม่ได้!
นี่ไม่ใช่การเปรียบเทียบหรือแข่งขันด้วยอารมณ์ที่หึงหวงแต่เป็นความหวังดีที่ออกมาจากใจจริง
“ถ้าพี่พูดแบบนี้ฉันก็โล่งใจ”ถงเล่ยยิ้มหวาน จิตใจอันแสนบอบบางและบริสุทธิ์ของเธอสามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในหัวใจของเซียวหยูซวนได้อย่างชัดเจนและมันก็ทำให้เธอรู้สึกมีความสุขมาก
เมื่อได้ยินเซียวหยูซวนพูดออกมาแบบนี้นั่นก็หมายความว่าจี้เฟิงไม่ได้เลือกคนผิดและการยินยอมที่เธอทำไปมันก็ไม่ไร้ประโยชน์ อย่างน้อยพี่สาวหยูซวนก็รักจี้เฟิงเหมือนอย่างที่เธอรัก
ดูเหมือนว่าจี้เฟิงจะไม่เข้าใจการสื่อสารระหว่างผู้หญิงทั้งสองคนแต่เขาก็ยังรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไประหว่างพวกเธอ ราวกับว่าพวกเธอดูเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกันและรักกันมากกว่าเมื่อวาน
ความสัมพันธ์ระหว่างสาวๆนี่ช่างเป็นอะไรที่เข้าใจได้ยากจริงๆ!จี้เฟิงรู้สึกมึนงง เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อยและตัดสินที่จะเลิกคิดเรื่องนี้ไป
เขายิ้มและพูดว่า“เล่ยเล่ย วันนี้เธอมีแผนจะทำอะไรเหรอ”
การไปบ้านของเซียวหยูซวนในครั้งนี้มันเป็นเรื่องไม่เหมาะไม่ควรสักเท่าไหร่ที่ถงเล่ยจะติดตามไปด้วย เพราะฉางเหอกับภรรยารู้อยู่แล้วว่าจี้เฟิงเป็นแฟนของเซียวหยูซวน ในสายตาของผู้ใหญ่จี้เฟิงก็เปรียบเสมือนเป็นลูกเขยของครอบครัวเซียวไปแล้วครึ่งหนึ่ง
แล้วในเมื่อลูกเขยคนนี้จะไปพบพ่อตาแม่ยายโดยที่พาแฟนไปด้วยเหตุการณ์จะออกมาในรูปแบบไหนล่ะ
ถงเล่ยกัดนิ้วขาวๆเล็กๆของเธอเบาๆพร้อมกับเอียงคอทำท่าครุ่นคิดมันดูน่ารักมากจนทำให้คนที่มองแทบจะอดใจไม่ไหว แล้วคว้าตัวเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขนด้วยความรักความเอ็นดู
“ฉันว่าจะไปที่ห้องโสตของห้องสมุดแล้วลองหาอะไรที่เกี่ยวกับหลักสูตรภาษาเยอรมันและศึกษามันดูซักหน่อย”ถงเล่ยพูดขึ้นหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ภาษาเยอรมัน”จี้เฟิงแปลกใจเล็กน้อย “เล่ยเล่ย เธอไม่เรียนภาษาอังกฤษแล้วหรอ? ทำไมถึงเลือกเรียนภาษาเยอรมันแทนล่ะ?”
“น้องเล็กเธอจะเลือกภาษาเยอรมันเป็นภาษาต่างชาติภาษาที่สองใช่มั้ย” เซียวหยูซวนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและเธอก็เข้าใจด้วยว่าเพราะอะไร เธอจึงอดไม่ได้ที่จะชื่นชม “เล่ยเล่ยของเราขยันมากจริงๆ แผนกภาษาต่างประเทศของเราเพิ่งเริ่มเรียนภาษาหลักไปไม่เท่าไหร่ แถมกว่าจะเริ่มเลือกเรียนภาษาที่สองก็ตอนขึ้นปีสอง แต่ตอนนี้เล่ยเล่ยของเราเตรียมพร้อมที่จะเรียนรู้ภาษาต่างประเทศภาษาที่สองแล้ว”
นักศึกษาแผนกภาษาต่างประเทศไม่ใช่แค่เรียนภาษาใดภาษาหนึ่งเท่านั้นแต่ที่สหพันธ์มหาวิทยาลัยมีข้อบังคับว่านักศึกษาจากแผนกภาษาต่างประเทศที่อยู่ปีสองเป็นต้นไปจะต้องเลือกภาษาต่างประเทศภาษาที่สองนอกเหนือจากวิชาเอก
ภาษาต่างประเทศทางเลือกจะถูกรวมอยู่ในขอบเขตของการสอบในตอนท้ายด้วยแม้ว่าสัดส่วนของคะแนนสอบจะไม่มากเท่าภาษาต่างประเทศที่เป็นวิชาเอก แต่ก็เรียกได้ว่ามีความสำคัญมากเช่นกัน
ถงเล่ยยิ้มหวาน“ไม่ขนาดนั้นหรอกพี่ ฉันแค่คิดว่าภาษาเยอรมันค่อนข้างกว้างและหลักสูตรภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยก็ช้านิดหน่อย ฉันเลยคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าใช้เวลาว่างเพื่อที่จะเรียนรู้ภาษาต่างประเทศเพิ่มอีกซักภาษานึง ถือซะว่าเป็นการเตรียมพื้นฐานไว้ล่วงหน้า!”
สำหรับความคิดของถงเล่ยจี้เฟิงสนับสนุนอย่างเต็มที่โดยไม่ลังเลเลย แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับภาษาเยอรมันมากนักและไม่รู้ว่าภาษาเยอรมันใช้กันอย่างแพร่หลายในที่ใด แต่มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขาที่จะสนับสนุนถงเล่ย
“โอเคงั้นฉันจะไปส่งเธอที่มหาลัยก่อน!” จี้เฟิงยิ้ม
“ไม่ต้องๆฉันนั่งรถเมล์ไปเองได้ แค่ไม่กี่ป้ายก็ถึงแล้ว!” ถงเล่ยรีบโบกมือปฏิเสธและส่งยิ้มหวาน
“ไม่มีทาง!”จี้เฟิงส่ายหัวทันที “เล่ยเล่ยของเราสวยมากขนาดนี้ ถ้าหากขึ้นรถเมล์จะต้องตกเป็นเป้าสายตาพวกคนโรคจิตอย่างแน่นอน แล้วจะไม่ให้ฉันเป็นห่วงเธอได้ยังไง!”
“นายก็พูดซะเว่อร์เลย!”ถงเล่ยเขินอายเล็กน้อย แต่หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความหวาน ความห่วงใยและคำชมของจี้เฟิงทำให้เธอรู้สึกมีความสุข รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยๆของเซียวหยูซวนเธอจับมือเล็กๆของถงเล่ยและพูดด้วยรอยยิ้ม “ตกลงนะเล่ยเล่ย ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องให้จี้เฟิงไปส่ง นั่งรถเมล์ไปเองอันตรายจะตาย ถ้าเราประมาทและไม่ป้องกันตั้งแต่แรกเมื่อถึงเวลาถ้ามันมีเรื่องขึ้นมาจริงๆ มาแก้ไขทีหลังมันก็สายเกินไปแล้ว ไปเถอะ ไปทำอาหารเช้ากัน!”
“อื้อก็ได้!”
ถงเล่ยทำเสียงขึ้นจมูกเบาๆและไม่ได้ยืนกรานที่จะนั่งรถเมล์ด้วยตัวเองอีกต่อไป พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นครอบครัวเดียวกันและไม่จำเป็นต้องเกรงใจในเรื่องแบบนี้
เมื่อเห็นเซียวหยูซวนและถงเล่ยเดินจูงมือกันเข้าไปในครัวจี้เฟิงก็ได้แต่ยืนตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองสาวจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจว่ามันเป็นเพราะอะไร
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเช้านี้แฟนสาวทั้งสองคนของเขาเป็นคนลงมือทำอาหารเช้าเองหรือเปล่าเขาคิดว่าอาหารเช้าวันนี้อร่อยเป็นพิเศษ โดยเฉพาะนมถั่วเหลืองที่หญิงสาวทั้งสองคนทำเอง จี้เฟิงถึงกับดื่มติดต่อกันสองแก้ว ทำให้หญิงสาวทั้งสองยิ้มแฉ่งจนดวงตาโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว
ระหว่างทางไปส่งถงเล่ยไปมหาวิทยาลัยจี้เฟิงได้รับโทรศัพท์จากโจวหลี่รองกัปตันทีมรักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัย เขาโทรมาแจ้งจี้เฟิงว่าบัตรรับรองที่พักของเขากับถงเล่ยทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าจี้เฟิงพร้อมเมื่อไหร่ก็ให้เข้าไปรับได้เลย
จี้เฟิงจึงตั้งใจที่จะแวะไปทันทีหลังจากที่ไปส่งถงเล่ยที่ห้องสมุดเขาขับรถตรงไปที่แผนกรักษาความปลอดภัยที่ใกล้กับประตูมหาวิทยาลัยและรับบัตรรับรองที่พักจากมือของโจวหลี่
เมื่อเขาเห็นจี้เฟิงอีกครั้งคราวนี้โจวหลี่ดูมีท่าทางกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ สีหน้าและท่าทางของเขาราวกับได้เจอเพื่อนเก่าอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปี ไม่เพียงแค่โจวหลี่เท่านั้นแต่แม้กระทั่งสมาชิกทีมคนอื่นๆก็ดูจะมีท่าทีกระตือรือร้นเมื่อได้เจอกับจี้เฟิง
แต่จี้เฟิงไม่รู้สึกแปลกใจเลยเพราะเขารู้ว่าน่าจะเป็นเพราะบุหรี่ชนิดพิเศษสามสี่มวนในวันนั้นที่เขาบังเอิญแจกไปในคราวที่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าโจวหลี่และสมาชิกทีมจะต้องรู้จักมันอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงจะไม่มีท่าทีที่ดูกระตือรือร้นขนาดนี้ แต่อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่ได้คบหาสนิทสนมกันไปจนถึงขั้นนั้น
จี้เฟิงไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องที่แย่นักดังคำกล่าวที่ว่า ‘เก้าอี้เก๋งที่ต้องใช้คนแบกคน’ (คล้ายๆสุภาษิตไทยที่ว่า น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า) ยิ่งไปกว่านั้นภายในมหาวิทยาลัยคนที่มีบุคลิกคล่องแคล่วปราดเปรียวอย่างโจวหลี่อาจจะกลายเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในอนาคต การที่พวกเขาทำตัวสนิทสนมกับจี้เฟิงมันทำให้โจวหลี่และสมาชิกทีมรักษาความปลอดภัยต่างรู้สึกมีหน้ามีตาขึ้นมาก แต่ในขณะเดียวกันจี้เฟิงก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้มาก่อปัญหาหรือรบกวนมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
สำหรับตัวตนของคนที่สามารถแจกจ่ายบุหรี่ที่เป็นสินค้าพิเศษให้แก่คนอื่นได้นั้นมันมีความชัดเจนในตัวเองอยู่แล้วหากจี้เฟิงทำตัวเฉยเมยมากกว่านี้อีกหน่อยพวกเขาก็ไม่แปลกใจเลย อย่างไรก็ตามคุณชายแห่งตระกูลระดับสูงก็เป็นบุคคลที่เข้าถึงได้ยากอยู่แล้ว
แต่เมื่อจี้เฟิงเออออห่อหมกไปกับพวกเขามันก็ทำให้พวกเขามีความสุขมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้ว่าโจวหลี่และคนเหล่านี้ยังเป็นนักศึกษาที่ทำงานอยู่ในสหพันธ์มหาวิทยาลัยแต่ตราบใดที่ยังมีผู้คน ก็ต้องมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และพวกเขาผู้ที่เคยชินกับสิ่งเหล่านี้ จะมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่านักศึกษาทั่วไปโดยธรรมชาติ
พวกเขารู้ดีว่านักศึกษาที่จบสถาบันที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ล้วนเลือกที่จะติดต่อกับผู้ที่น่าจะมีผลประโยชน์ต่อตัวพวกเขาในอนาคตทั้งนั้นและการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจี้เฟิงย่อมไม่ส่งผลเสียกับพวกเขา
จี้เฟิงยินดีที่ได้คุยกับพวกเขาอีกหลายประโยคแม้ว่าปกติเขาจะไม่ค่อยได้เข้าสังคมมากเท่าไหร่นัก แต่ในระบบฝึกอบรมสายลับระดับสูง การสื่อสารที่ดีก็เป็นทักษะอย่างหนึ่ง เขาใช้มันอย่างง่ายดายและเป็นธรรมชาติ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะเมื่อก่อนจี้เฟิงเคยทนทุกข์ทรมานจากคำพูดแย่ๆของคนอื่น แต่ด้วยความที่ต้องอดทนอย่างต่อเนื่องนั่นเองจึงทำให้เขามีมันมากกว่าคนทั่วไปในวัยเดียวกัน และเขาก็สามารถแสดงท่าทางได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นเมื่อพูดคุยกับโจวหลี่และสมาชิกทีมรักษาความปลอดภัยคนอื่นๆ
เซียวหยูซวนแอบพยักหน้าอยู่ในใจในขณะที่มองดูจี้เฟิงในสายตาของเธอจี้เฟิงมีบุคลิกที่เต็มไปด้วยความเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะทักษะกาต่อสู้ วิธีคิดหรือวิธีการ เขามักจะเลือกสิ่งที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมาเป็นอันดับแรก เขาวางตัวของเขาไม่เหมือนคนอื่นๆในวัยเดียวกัน ไม่ว่าจะเปรียบเทียบกับลูกคนรวยที่มักจะหยิ่งผยองเอาแต่ใจหรือเปรียบเทียบกับนักศึกษาธรรมดาทั่วไปหลายคนที่มักจะมีปมด้อยและไม่มั่นใจในตัวเอง
มันเป็นเรื่องยากมากที่จะมีความอ่อนโยนแต่ในขณะเดียวกันก็มีความสง่างามน่าเกรงขามเหมือนอย่างจี้เฟิงเขาดูเป็นคนที่มีวุฒิภาวะเกินกว่าอายุของเขามาก
คนที่มาจากครอบครัวที่ยากจนต้องผ่านความทุกข์ทรมานแบบไหนถึงได้เติบโตจนมาถึงจุดนี้ได้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เซียวหยูซวนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นทุกข์
“ในอดีตไม่ว่านายจะเคยผ่านความทุกข์ทรมานแบบไหนมาฉันจะไม่มีวันปล่อยให้นายต้องทุกข์ทรมานแบบนั้นอีกแล้ว แม้ว่าฉันจะไม่สามารถช่วยเหลือนายในทุกๆที่ได้ แต่อย่างน้อยฉันจะดูแลความเป็นอยู่ของนายให้ดีที่สุด ฉันกับเล่ยเล่ยจะรักและถนอมน้ำใจซึ่งกันและกันเพื่อไม่ให้นายต้องเป็นกังวล และเพื่ออนาคตของพวกเรา!” หัวใจของเซียวหยูซวนนั้นอ่อนนุ่มอ่อนโยนแต่ก็เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
หลังจากที่พวกเขาออกมาจากมหาวิทยาลัยจี้เฟิงและเซียวหยูซวนก็ขับรถตรงไปที่บ้านตระกูลเซียว
ระหว่างทางเซียวหยูซวนได้แต่นั่งเงียบซึ่งทำให้จี้เฟิงรู้สึกแปลกๆ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “หยูซวน อารมณ์ไม่ดีเหรอ”
เซียวหยูซวนส่ายหัวเล็กน้อยและหันหน้าไปมองจี้เฟิงด้วยแววตาเด็ดเดี่ยวแต่เต็มไปด้วยความรัก“สามี ต่อจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะไม่มีวันทิ้งคุณ”
จี้เฟิงที่กำลังขับรถอยู่ก็ถึงกับสั่นสะท้านทันทีและแทบจะจับพวงมาลัยไม่อยู่
เขามองไปที่เซียวหยูซวนด้วยความประหลาดใจ“หยูซวน คุณโอเคมั้ย เมื่อกี้คุณเรียกฉันว่าอะไรนะ?!” เมื่อกี้ดูเหมือนว่าเซียวหยูซวนจะเรียกฉันว่า…สามี
หลังจากที่ทั้งสองตัดสินใจแน่วแน่เกี่ยวกับความสัมพันธ์อย่างที่เป็นในปัจจุบันของพวกเขาดูเหมือนว่าเซียวหยูซวนจะไม่เคยเรียกเขาแบบนั้นอีกเลย แม้จี้เฟิงจะรู้สึกดีใจที่ได้ยินเธอเรียกแบบนั้นแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะกังวลเล็กน้อย เพราะถึงแม้ภายนอกเซียวหยูซวนจะดูเหมือนผู้หญิงที่เต็มไปด้วยเสน่ห์อารมณ์ดีและใจเย็น แต่ความจริงแล้วเธอเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา
เซียวหยูซวนมองเขาอย่างดุๆและบ่นอุบอิบ“ทำไม! ไม่อยากให้ฉันเรียกว่าสามีอย่างนั้นเหรอ? งั้นต่อไปนี้ฉันจะไม่เรียกนายแบบนั้นอีก!”
“เรียก!อยากให้เรียกแบบนั้นแน่นอน!” จี้เฟิงรีบพูดทันที “สามีเหรอ… อืม ฉันชอบการเรียกแบบนี้นะ แต่เหมือนมันยังขาดอะไรไป… ทำไมเราไม่ลองทำอะไรที่สามีภรรยาเขาทำกันล่ะ ฉันว่ามันน่าจะขาดสิ่งนั้นแหละ!” “ตาบ้าคนลามก คิดแต่เรื่องชั่วร้ายได้ทั้งวัน!” เซียวหยูซวนโวยวายขึ้นมาทันที
“ฮ่าฮ่าฮ่า!!”จี้เฟิงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี จนกระทั่งรถหายไปจนสุดปลายถนนแต่ทั้งสองคนก็ยังคงหัวเราะกันอยู่