The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 290 การแทรกแซงของจี้เฟิง
- Home
- The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ
- บทที่ 290 การแทรกแซงของจี้เฟิง
“คุณกำลังพูดถึงอะไร!”
คำพูดของจี้เฟิงทำให้ทั้งหัวหน้าซูและเจ้าหน้าที่จางโกรธจัดโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่จางที่นั่งเอนหลังด้วยท่วงท่าสบายถึงกับเด้งตัวขึ้นมานั่งหลังตรงและกำลังจะยกเท้าขึ้นมาฟาดโต๊ะกลางที่อยู่ตรงหน้า
ในขณะนั้นเองมีแสงเย็นวาบฉายออกมาจากดวงตาของจี้เฟิงแต่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย
ตูม!
โต๊ะกาแฟถูกเท้าของเจ้าหน้าที่จางฟาดลงมาอย่างแรงจนทำให้กาน้ำชาตกลงบนพื้นจนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยน้ำชาหกเลอะเทอะไปทั่วพื้น
“เจ้าเด็กน้อยนายอายุเท่าไหร่กันถึงได้พูดจากับพวกฉันแบบนี้!” เจ้าหน้าที่จางทุบโต๊ะอีกครั้งและคำราม “นายลองออกไปถามใครก็ได้ในเจียงโจวดูนะว่ามีใครหน้าไหนกล้าพูดกับฉันแบบนี้หรือเปล่า อย่าว่าแต่โต๊ะน้ำชาจะสกปรกเลย แม้ว่าห้องทำงานของนายจะถูกชั้นทุบทำลายก็ไม่มีใครกล้าพูดจาดูหมิ่นฉันแบบนี้!”
เซียวฉางเหอและคนอื่นๆที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ที่ทางเดินไม่ไกลนักจากห้องทำงานต่างพากันตกใจ พวกเขาจึงรีบเดินกลับเข้ามาในห้องทำงานทันทีและเห็นเศษกระเบื้องแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่ที่พื้น รวมถึงที่โต๊ะก็มีร่องรอยของการถูกทำลาย และทันใดนั้นเองใบหน้าของทุกคนก็บูดบึ้งอย่างน่ากลัว
“พวกคุณเป็นเจ้าหน้าที่หรือว่าเป็นนักเลงข้างถนนกันแน่ทำไมถึงได้มาทำลายข้าวของของเราแบบนี้!” ใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวของเซียวหยูซวนแดงก่ำและอดไม่ได้ที่จะถามอย่างไม่พอใจ
เซียวฉางเหอกับหลินเซิงผิงต่างมีสีหน้ามืดมนด้วยความโกรธไม่แพ้กันพวกเขาเคยพบเจอกับเจ้าหน้าที่จากสำนักงานต่างๆมาไม่น้อย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเจ้าหน้าที่แสดงท่าทีอวดดีและทำตัวหยิ่งผยองเช่นนี้ การถูกทุบโต๊ะน้ำชาในห้องทำงานของตัวเองมันก็ไม่ต่างจากการโดนหยามเกียรติด้วยการตบหน้า!
“ฉันจะทำมากกว่าทุบโต๊ะน้ำชาแล้วจะทำไมพวกคุณจะทำอะไรฉัน? จะเข้ามาทำร้ายร่างกายฉันงั้นเหรอ? ฮ่าฮ่า! ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอนั่งรอเลยก็แล้วกัน อยากเห็นเหมือนกันว่าจะมีใครมาทำอะไรฉันได้!” เจ้าหน้าที่จางหัวเราะอย่างเย่อหยิ่งพร้อมกับยกเท้าของเขาวางไว้บนโซฟาเพื่อโชว์พาว
ทางหัวหน้าซูได้แต่ขมวดคิ้วอยู่ในใจและแอบคิดว่าคนอย่างจางเก๋อหลานไม่มีวันที่จะประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ!
จุดประสงค์ที่พวกเขามาที่นี่ในวันนี้มีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือทำยังไงก็ได้เพื่อยื้อเวลาไม่ให้เซียวฉางเหอจัดส่งสินค้าได้ทันภายในวันนี้ และการสั่งปิดโกดังจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสักสองสามวัน ดังนั้นเซียวฉางเหอจะไม่เพียงแต่ละเมิดสัญญากับโรงพยาบาลกว่าสิบแห่งเท่านั้น แต่เมื่อเซียวฉางเหอรอไม่ไหว เขาและจางเก๋อหลานก็มีหน้าที่คอยยั่วโมโหเซียวฉางเหอเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
หัวหน้าซูเชื่อว่าเมื่อเซียวฉางเหอโกรธและหลังจากที่เขากับจางเก๋อหลานออกไปแล้ว เซียวฉางเหอจะต้องฉีกตราของสำนักงานอาหารและยาเพื่อเปิดโกดังและทำการจัดส่งสินค้า และเมื่อถึงเวลานั้นต่อให้มีร้อยปากเขาก็เถียงไม่ออก แม้ว่าสำนักงานอาหารและยาจะไม่ใช่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย แต่การฉีกตราประทับนั้นมีผลทางกฎหมายเหมือนกัน
และเมื่อเซียวฉางเหอฉีกตราผนึกของสำนักงานก็เท่ากับว่าเขาได้ทำการละเมิดกฎหมายโดยธรรมชาติ นี่คือแผนการทั้งหมดที่พวกเขาควรจะทำ
แต่เรื่องมันกลับยากขึ้นเพราะจางเก๋อหลานทำตัวกร่างไม่เข้าเรื่องนอกจากจะไม่ได้นำหัวข้อเรื่องยาปลอมและยาด้อยคุณภาพมาใช้ เขายังทุบโต๊ะน้ำชาของเป้าหมายจนทำให้เกิดความขัดแย้งที่พวกเขาเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน ซึ่งสิ่งนี้มันตรงข้ามกันแผนการที่พวกเขาวางไว้อย่างสิ้นเชิง
นอกเหนือจากนั้นเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาตอนนี้แค่ดูก็พอจะรู้ได้อายุไม่น่าจะเกิน20-21ปี เป็นวัยที่เลือดร้อนโมโหง่าย แต่เขากลับทนการยั่วยุเช่นนี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะสิ่งที่จางเก๋อหลานพูดมีแต่ความเย่อหยิ่ง หยาบคาย จนแม้แต่หัวหน้าซูเองยังคิดว่าถ้าเป็นเขา เขาคงไม่อาจสงบนิ่งและทนกับสิ่งยั่วยุแบบนี้ได้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกินความคาดหมายของหัวหน้าซูก็คือจี้เฟิงดูเหมือนจะไม่เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้อยู่ในสายตาเขาแค่ยิ้มและโบกมือให้เซียวหยูซวน เซียวฉางเหอและผู้จัดการหลินนั่งลงก่อนจะจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบอีกมวนหนึ่ง เมื่อสูบบุหรี่เสร็จแล้วเขาก็ลุกนั่งหลังตรงขึ้นเล็กน้อย
เดิมทีจางเก๋อหลานจงใจทุบโต๊ะชาเพื่อที่จะยั่วยุจี้เฟิงแต่เมื่อเห็นว่าจี้เฟิงไม่แยแสเลยเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ไอ้เด็กนี่มันไม่โมโหเพราะมันเป็นแค่คนนอกเฉยๆ หรือเพราะว่ามันไม่เห็นเรื่องแบบนี้อยู่ในสายตาจริงๆกันแน่
ถ้าจี้เฟิงไม่เล่นด้วยจางเก๋อหลานก็ไม่รู้จะแสดงต่อยังไงดีหรือเขาควรจะคว้าอะไรสักอย่างขึ้นมาและทุบมันอย่างแรงดี
ในขณะที่จางเก๋อหลานกำลังตกตะลึงอยู่นั้นเองเขาก็เห็นจี้เฟิงนั่งตัวตรงราวกับว่ากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เขาจึงหันไปมองหน้าจี้เฟิงทันที จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างยั่วยุที่มุมปากและจ้องมองจี้เฟิงอยู่แบบนั้น
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของเขาจี้เฟิงก็ได้แต่ส่ายหัวและยิ้มเล็กน้อยจากนั้นก็พูดอย่างช้าๆว่า “จบแล้วเหรอ จะทำลายข้าวของอย่างอื่นอีกหรือเปล่า? ถ้าไม่มีแล้วเรามาเคลียร์บัญชีกันเลยแล้วกันนะ! อย่างแรกเลย โต๊ะกลางที่อยู่ตรงหน้าพวกคุณตอนนี้ เป็นโต๊ะของผมและคุณลุงเซียวก็ชอบมันมาก แล้วก็ชุดกาน้ำชากระเบื้องเคลือบอย่างดีที่เป็นของรักของหวงของลุงเซียว สิ่งของที่มีคุณค่าทางจิตใจบวกกับคำข่มขู่ของคุณที่ทำร้ายจิตใจประชาชนตาดำๆพวกเรา เมื่อรวมกันแล้วก็ไม่มากเท่าไหร่ แค่สองล้านหยวนเท่านั้น!”
จางเก๋อหลานลุกพรวดขึ้นทันทีเขาโมโหจนสั่นไปทั้งตัว “เพ้อเจ้ออะไรของแก พวกแกนั่นแหละเป็นฝ่ายผิด แล้วยังจะมาแบล็กเมล์คนอื่น!”
จี้เฟิงยังคงสงบนิ่งและไม่ได้เข้าร่วมตามอารมณ์โกรธของจางเก๋อหลานเลยแม้แต่น้อย“แบล็กเมล์หรือเปล่าเดี๋ยวคุณก็จะได้รู้ ตอนนี้เรามาพูดเรื่องที่สองกันดีกว่า สิ่งที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้ที่บอกว่า ถ้าคุณพูดจาดูหมิ่นไม่ให้เกียรติผู้อื่นหรือพูดจาหยาบคายให้ฉันได้ยินอีกแม้แต่คำเดียว คุณจะไม่มีวันได้ใช้ปากเน่าๆของคุณอีก เอาเป็นว่านอกจากจะไม่ได้ใช้ปากแล้ว คุณก็จะมีชีวิตอยู่ไม่เกินวันพรุ่งนี้ด้วย!”
เสียงของเขาราบเรียบมากแต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นโดยเฉพาะจางเก๋อหลานรู้สึกได้ว่าจี้เฟิงจะทำตามที่เขาพูดจริงๆ
แม้ว่าจางเก๋อหลานจะไม่รู้เหตุผลว่าทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนี้แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนนั่นคือหัวใจของเขามันเย็นชาจนไม่สามารถควบคุมได้เลย
หัวหน้าซูมองไปที่ใบหน้าที่สงบนิ่งนั้นหลังของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากปาก
ทั้งสองคนค่อยๆตระหนักว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่น่าจะใช่ลูกจ้างของเซียวฉางเหออย่างแน่นอนพนักงานธรรมดาจะไม่มีทางมีแรงกดดันมหาศาลขนาดนี้ แล้วไหนจะน้ำเสียงที่แม้ว่าเขาจะพูดเบาๆแต่ดังก้องเข้าไปในหูจนฝังลึกเข้าไปในจิตใจจนทำให้ผู้ฟังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งแผ่นหลัง
“เหอะคิดว่ากฎหมายเป็นแค่ลมหรือยังไงถึงได้กล้าพูดจาใหญ่โตขนาดนี้” จางเก๋อหลานแค่นเสียงอย่างเย็นชา แต่ตราบใดที่ไม่ใช่คนหูหนวก ก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจนว่าเขารู้สึกกลัวจริงๆ เซียวหยูซวนยิ้มทันทีและกล่าวว่า“คนอย่างคุณยังมีหน้าที่จะพูดเรื่องกฎหมายด้วยเหรอ”
ใบหน้าของจางเก๋อหลานแดงขึ้นมาทันทีด้วยความโกรธแต่เมื่อเขากำลังจะด่ากลับ เขาก็จำได้ว่าจี้เฟิงที่ตอนนี้นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานเพิ่งพูดเตือนเขาว่าอะไรบ้าง มันทำให้เขาต้องกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอไป
จี้เฟิงไม่แม้แต่จะเหลือบมองไปที่จางเก๋อหลานเลยเขาหันหน้าไปหาเซียวฉางเหอและพูดว่า “คุณลุงเซียว เรื่องในวันนี้ให้ผมเป็นคนจัดการได้หรือเปล่าครับ”
เซียวฉางเหอลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ในที่สุดเขาก็พยักหน้าแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจกับตัวเอง เขาคงแก่มากแล้วจริงๆ ต่อจากนี้ก็ต้องยกให้เป็นหน้าที่ของคนหนุ่มสาว และตอนนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าลูกสาวของเขาได้คบหากับผู้ชายที่แข็งแกร่งและพร้อมจะดูแลเธอได้ และหวังว่าชายหนุ่มคนนี้จะไม่เปลี่ยนไปในอนาคต! ในช่วงเวลาที่สำคัญของบริษัทสิ่งที่เซียวฉางเหอคิดกลับเป็นสิ่งนี้ บางทีนี่อาจจะเป็นเพราะความแก่ชราที่มากขึ้นของเขา
เมื่อเซียวหยูซวนได้ยินว่าจี้เฟิงจะยื่นมือเข้ามามีส่วนในเรื่องนี้เธอก็รู้สึกโล่งใจ เธอแอบขยิบตาให้กับจี้เฟิง ดวงตาที่สวยงามของเธอเต็มไปด้วยความรัก
จี้เฟิงส่งยิ้มน้อยๆให้กับเธอแต่เพียงแวบเดียวใบหน้าของเขาก็กลับมาเฉยเมย เขาหันไปมองหัวหน้าซู “ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ โทรไปหาคนที่บอกให้พวกคุณมาก่อกวนและบอกกับเขาว่า พวกเขากำลังจัดส่งสินค้าตามกำหนดการเดิมเพราะตราปิดผนึกของพวกคุณนั้นผิดกฎหมาย พวกเราจึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม แต่ถ้าเขายังอยากจะจัดการกับคุณลุงเซียวอยู่อีกล่ะก็ ให้เขามาหาฉันที่นี่โดยตรง ฉันให้เวลาเขาถึงหนึ่งทุ่มตรงเท่านั้น… และเมื่อถึงเวลานั้นเขายังไม่มาปรากฏตัว ก็บอกให้เขาเตรียมตัวรับผลของการกระทำด้วยตัวเองได้เลย!” แม้จะพูดด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉยแต่คำพูดของจี้เฟิงก็หนักแน่นมากพอที่จะไปกระแทกใจของหัวหน้าซูและเจ้าหน้าที่จางจนพวกเขาตระหนักรู้ได้ว่าวันนี้พวกเขาได้ก่อปัญหาใหญ่มากกว่าที่คิดเข้าซะแล้ว
“อ้อ!พวกคุณสามารถโทรตอนนี้ได้เลยนะ เพราะพวกคุณไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปจากที่นี่ได้ถ้ายังไม่ได้จ่ายค่าเสียหายให้กับทางเรา” จี้เฟิงกล่าวเสริม
ตอนนี้ในใจของหัวหน้าซูและเจ้าหน้าที่จางเริ่มเต็มไปด้วยความวิตกกังวลทันทีที่จี้เฟิงเข้ามาที่นี่ก็เหมือนกับว่าเขามีเป้าหมายที่จะคุยกับคนที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้วและเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในสายตาของจี้เฟิงเลย ชายหนุ่มคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่ เขามีความมั่นใจขนาดนี้ได้ยังไง?
คุณรู้หรือไม่ว่านักธุรกิจรายย่อยอย่างเซียวฉางเหอกลัวที่สุดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหน่วยงานต่างๆเหล่านี้เพราะการมีปัญหากับหน่วยงานต่างๆจะไม่ส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจของพวกเขาเลย ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกใช้วิธีที่ง่ายและนักธุรกิจส่วนใหญ่จะทำกัน นั่นก็คือใช้เงินเพื่อจบปัญหาหรือแบ่งปันผลประโยชน์บางส่วน ด้วยวิธีนี้พวกเขาจึงอยู่รอดมาได้ อย่างไรก็ตามชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้เห็นเรื่องเหล่านี้อยู่ในสายตาของเขาเลยเห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจที่จะแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกับผู้อื่น
จี้เฟิงยืนขึ้น“ฉันจะให้พวกคุณยืมห้องทำงานนี้ไปก่อนก็แล้วกัน รีบๆโทรหน่อยล่ะ พวกเราไม่ได้มีเวลาว่างทั้งวัน!”
หลังจากพูดจบจี้เฟิงก็ยิ้มให้เซียวฉางเหอและกล่าวว่า“คุณลุงเซียว พวกเราออกไปกันดีมั้ยครับ อย่ารบกวนพวกเขาเลย!”
เมื่อเห็นว่าจี้เฟิงยื่นมือเข้ามาแทรกแซงเพื่อช่วยเหลือในเรื่องนี้เซียวฉางเหอจะรู้สึกผ่อนคลายลงไปบ้าง แต่สีหน้าของเขาก็ยังคงเคร่งเครียดอยู่
“ผู้จัดการหลินคุณก็ออกมาด้วยกันเถอะ!กับแขกคุณต้องใช้ความสุภาพ แต่ถ้าจะจัดการกับหมาจิ้งจอกคุณก็ควรจะใช้ปืนลูกซอง” เซียวฉางเหอกล่าวอย่างเย็นชา
แน่นอนว่าตัวหลินเซิงผิงเองก็ไม่อยากจะอยู่ที่นี่เขาไม่ค่อยชอบขี้หน้าเจ้าหน้าที่สองคนนี้เท่าไหร่นัก ดังนั้นพอได้ยินเจ้านายของเขาพูดเช่นนั้น เขาจึงรีบพยักหน้าด้วยความยินดีแล้วเดินตามออกไป
ตอนนี้ในห้องทำงานเหลือเพียงหัวหน้าซูกับเจ้าหน้าที่จางที่นั่งหน้าตาบูดบึ้งอยู่เพียงสองคนเท่านั้น
“หัวหน้าซู!แล้วตอนนี้พวกเราจะทำยังไงกันดี!” จางเก๋อหลานรู้สึกทำอะไรไม่ถูก
หัวหน้าซูสาปแช่งอยู่ในใจถ้าไม่ใช่เพราะไอ้โง่อย่างแกทำให้เรื่องมันยุ่งวุ่นวาย ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะมาถึงจุดนี้ได้ยังไง!
แต่เมื่อนึกถึงตัวตนของจางเก๋อหลานหัวหน้าซูก็ไม่ได้ก่นด่าในสิ่งที่คิดออกไป เขาทำได้แค่เพียงยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันจะทำอะไรได้อีก นอกเสียจากโทรหาพี่สาวกับพี่เขยของคุณและขอคำแนะนำให้พวกเขาช่วยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
เมื่อพูดถึงพี่สาวและพี่เขยของเขาจางเก๋อหลานก็ใจชื้นขึ้นมาทันที เขารีบพูดออกมาว่า “ใช่ๆ ไม่ว่าเจ้าเด็กนั่นจะใหญ่โตแค่ไหน เขาก็ไม่ใหญ่ไปกว่าพี่เขยของฉันแน่นอน! ฉันจะโทรหาพี่เขยของฉันเอง!”
เมื่อเห็นท่าทางที่ลนลานของจางเก๋อหลานหัวหน้าซูก็รู้สึกรังเกียจและกระวนกระวายใจอยู่เล็กน้อย พี่เขยกับพี่สาวของจางเก๋อหลานคือเหตุผลที่พวกเขามาที่นี่ในวันนี้ เป็นเพราะก่อนหน้านี้พี่เขยกับพี่สาวของจางเก๋อหลานมองเห็นช่องทางในการทำกำไรของอุตสาหกรรมยาจึงได้จัดตั้งบริษัทยาขึ้นมา
และตอนนี้พวกเขากำลังใช้อำนาจในมือเพื่อโจมตีบริษัทยาอื่นๆและตระกูลเซียวที่ไม่มีภูมิหลังใดๆได้กลายเป็นเป้าหมายแรกของการโจมตี
นอกจากนี้ตระกูลเซียวได้ทำธุรกิจร่วมกับโรงพยาบาลเจียงโจวซึ่งเป็นโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ถึงสามแห่งสิ่งนี้ยิ่งทำให้พี่เขยของจางเก๋อหลานตาลุกวาวด้วยความอิจฉา ดังนั้นเขาจึงวางแผนและเลือกปิดโกดังสินค้าในวันนี้ซึ่งเป็นวันที่บริษัทยาของเซียวฉางเหอจะต้องจัดส่งสินค้าไปยังโรงพยาบาลเหล่านั้น และเมื่อการจัดส่งสินค้าล่าช้าหรือไม่สำเร็จ จะเท่ากับว่าบริษัทยาของฉางเหอได้ทำการผิดสัญญา และทางโรงพยาบาลจะมีสิทธิยกเลิกสัญญาได้ทุกเมื่อ
และมันจะดีกว่านี้มากหากนำยาทั้งหมดในโกดังยาของเซียวฉางเหอออกมาในนามของยาปลอมและยาด้อยคุณภาพเพราะยาทั้งหมดในบริษัทของพี่เขยของจางเก๋อหลาน ก็คือยาที่ถูกยึดโดยสำนักงานอาหารและยาไม่ใช่หรือ
สิ่งเดียวที่ทำให้หัวหน้าซูรู้สึกเป็นกังวลนั่นก็คือพี่เขยของจางเก๋อหลานที่เป็นเพียงลูกชายของรองผู้อำนวยการสำนักงานอาหารและยาเท่านั้น เขาจะยิ่งใหญ่ไปกว่าภูมิหลังของชายหนุ่มคนนั้นจริงๆน่ะหรือ!
คำพูดของจี้เฟิงทำให้ทั้งหัวหน้าซูและเจ้าหน้าที่จางโกรธจัดโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่จางที่นั่งเอนหลังด้วยท่วงท่าสบายถึงกับเด้งตัวขึ้นมานั่งหลังตรงและกำลังจะยกเท้าขึ้นมาฟาดโต๊ะกลางที่อยู่ตรงหน้า
ในขณะนั้นเองมีแสงเย็นวาบฉายออกมาจากดวงตาของจี้เฟิงแต่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย
ตูม!
โต๊ะกาแฟถูกเท้าของเจ้าหน้าที่จางฟาดลงมาอย่างแรงจนทำให้กาน้ำชาตกลงบนพื้นจนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยน้ำชาหกเลอะเทอะไปทั่วพื้น
“เจ้าเด็กน้อยนายอายุเท่าไหร่กันถึงได้พูดจากับพวกฉันแบบนี้!” เจ้าหน้าที่จางทุบโต๊ะอีกครั้งและคำราม “นายลองออกไปถามใครก็ได้ในเจียงโจวดูนะว่ามีใครหน้าไหนกล้าพูดกับฉันแบบนี้หรือเปล่า อย่าว่าแต่โต๊ะน้ำชาจะสกปรกเลย แม้ว่าห้องทำงานของนายจะถูกชั้นทุบทำลายก็ไม่มีใครกล้าพูดจาดูหมิ่นฉันแบบนี้!”
เซียวฉางเหอและคนอื่นๆที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ที่ทางเดินไม่ไกลนักจากห้องทำงานต่างพากันตกใจ พวกเขาจึงรีบเดินกลับเข้ามาในห้องทำงานทันทีและเห็นเศษกระเบื้องแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่ที่พื้น รวมถึงที่โต๊ะก็มีร่องรอยของการถูกทำลาย และทันใดนั้นเองใบหน้าของทุกคนก็บูดบึ้งอย่างน่ากลัว
“พวกคุณเป็นเจ้าหน้าที่หรือว่าเป็นนักเลงข้างถนนกันแน่ทำไมถึงได้มาทำลายข้าวของของเราแบบนี้!” ใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวของเซียวหยูซวนแดงก่ำและอดไม่ได้ที่จะถามอย่างไม่พอใจ
เซียวฉางเหอกับหลินเซิงผิงต่างมีสีหน้ามืดมนด้วยความโกรธไม่แพ้กันพวกเขาเคยพบเจอกับเจ้าหน้าที่จากสำนักงานต่างๆมาไม่น้อย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเจ้าหน้าที่แสดงท่าทีอวดดีและทำตัวหยิ่งผยองเช่นนี้ การถูกทุบโต๊ะน้ำชาในห้องทำงานของตัวเองมันก็ไม่ต่างจากการโดนหยามเกียรติด้วยการตบหน้า!
“ฉันจะทำมากกว่าทุบโต๊ะน้ำชาแล้วจะทำไมพวกคุณจะทำอะไรฉัน? จะเข้ามาทำร้ายร่างกายฉันงั้นเหรอ? ฮ่าฮ่า! ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอนั่งรอเลยก็แล้วกัน อยากเห็นเหมือนกันว่าจะมีใครมาทำอะไรฉันได้!” เจ้าหน้าที่จางหัวเราะอย่างเย่อหยิ่งพร้อมกับยกเท้าของเขาวางไว้บนโซฟาเพื่อโชว์พาว
ทางหัวหน้าซูได้แต่ขมวดคิ้วอยู่ในใจและแอบคิดว่าคนอย่างจางเก๋อหลานไม่มีวันที่จะประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ!
จุดประสงค์ที่พวกเขามาที่นี่ในวันนี้มีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือทำยังไงก็ได้เพื่อยื้อเวลาไม่ให้เซียวฉางเหอจัดส่งสินค้าได้ทันภายในวันนี้ และการสั่งปิดโกดังจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสักสองสามวัน ดังนั้นเซียวฉางเหอจะไม่เพียงแต่ละเมิดสัญญากับโรงพยาบาลกว่าสิบแห่งเท่านั้น แต่เมื่อเซียวฉางเหอรอไม่ไหว เขาและจางเก๋อหลานก็มีหน้าที่คอยยั่วโมโหเซียวฉางเหอเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
หัวหน้าซูเชื่อว่าเมื่อเซียวฉางเหอโกรธและหลังจากที่เขากับจางเก๋อหลานออกไปแล้ว เซียวฉางเหอจะต้องฉีกตราของสำนักงานอาหารและยาเพื่อเปิดโกดังและทำการจัดส่งสินค้า และเมื่อถึงเวลานั้นต่อให้มีร้อยปากเขาก็เถียงไม่ออก แม้ว่าสำนักงานอาหารและยาจะไม่ใช่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย แต่การฉีกตราประทับนั้นมีผลทางกฎหมายเหมือนกัน
และเมื่อเซียวฉางเหอฉีกตราผนึกของสำนักงานก็เท่ากับว่าเขาได้ทำการละเมิดกฎหมายโดยธรรมชาติ นี่คือแผนการทั้งหมดที่พวกเขาควรจะทำ
แต่เรื่องมันกลับยากขึ้นเพราะจางเก๋อหลานทำตัวกร่างไม่เข้าเรื่องนอกจากจะไม่ได้นำหัวข้อเรื่องยาปลอมและยาด้อยคุณภาพมาใช้ เขายังทุบโต๊ะน้ำชาของเป้าหมายจนทำให้เกิดความขัดแย้งที่พวกเขาเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน ซึ่งสิ่งนี้มันตรงข้ามกันแผนการที่พวกเขาวางไว้อย่างสิ้นเชิง
นอกเหนือจากนั้นเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาตอนนี้แค่ดูก็พอจะรู้ได้อายุไม่น่าจะเกิน20-21ปี เป็นวัยที่เลือดร้อนโมโหง่าย แต่เขากลับทนการยั่วยุเช่นนี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะสิ่งที่จางเก๋อหลานพูดมีแต่ความเย่อหยิ่ง หยาบคาย จนแม้แต่หัวหน้าซูเองยังคิดว่าถ้าเป็นเขา เขาคงไม่อาจสงบนิ่งและทนกับสิ่งยั่วยุแบบนี้ได้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกินความคาดหมายของหัวหน้าซูก็คือจี้เฟิงดูเหมือนจะไม่เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้อยู่ในสายตาเขาแค่ยิ้มและโบกมือให้เซียวหยูซวน เซียวฉางเหอและผู้จัดการหลินนั่งลงก่อนจะจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบอีกมวนหนึ่ง เมื่อสูบบุหรี่เสร็จแล้วเขาก็ลุกนั่งหลังตรงขึ้นเล็กน้อย
เดิมทีจางเก๋อหลานจงใจทุบโต๊ะชาเพื่อที่จะยั่วยุจี้เฟิงแต่เมื่อเห็นว่าจี้เฟิงไม่แยแสเลยเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ไอ้เด็กนี่มันไม่โมโหเพราะมันเป็นแค่คนนอกเฉยๆ หรือเพราะว่ามันไม่เห็นเรื่องแบบนี้อยู่ในสายตาจริงๆกันแน่
ถ้าจี้เฟิงไม่เล่นด้วยจางเก๋อหลานก็ไม่รู้จะแสดงต่อยังไงดีหรือเขาควรจะคว้าอะไรสักอย่างขึ้นมาและทุบมันอย่างแรงดี
ในขณะที่จางเก๋อหลานกำลังตกตะลึงอยู่นั้นเองเขาก็เห็นจี้เฟิงนั่งตัวตรงราวกับว่ากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เขาจึงหันไปมองหน้าจี้เฟิงทันที จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างยั่วยุที่มุมปากและจ้องมองจี้เฟิงอยู่แบบนั้น
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของเขาจี้เฟิงก็ได้แต่ส่ายหัวและยิ้มเล็กน้อยจากนั้นก็พูดอย่างช้าๆว่า “จบแล้วเหรอ จะทำลายข้าวของอย่างอื่นอีกหรือเปล่า? ถ้าไม่มีแล้วเรามาเคลียร์บัญชีกันเลยแล้วกันนะ! อย่างแรกเลย โต๊ะกลางที่อยู่ตรงหน้าพวกคุณตอนนี้ เป็นโต๊ะของผมและคุณลุงเซียวก็ชอบมันมาก แล้วก็ชุดกาน้ำชากระเบื้องเคลือบอย่างดีที่เป็นของรักของหวงของลุงเซียว สิ่งของที่มีคุณค่าทางจิตใจบวกกับคำข่มขู่ของคุณที่ทำร้ายจิตใจประชาชนตาดำๆพวกเรา เมื่อรวมกันแล้วก็ไม่มากเท่าไหร่ แค่สองล้านหยวนเท่านั้น!”
จางเก๋อหลานลุกพรวดขึ้นทันทีเขาโมโหจนสั่นไปทั้งตัว “เพ้อเจ้ออะไรของแก พวกแกนั่นแหละเป็นฝ่ายผิด แล้วยังจะมาแบล็กเมล์คนอื่น!”
จี้เฟิงยังคงสงบนิ่งและไม่ได้เข้าร่วมตามอารมณ์โกรธของจางเก๋อหลานเลยแม้แต่น้อย“แบล็กเมล์หรือเปล่าเดี๋ยวคุณก็จะได้รู้ ตอนนี้เรามาพูดเรื่องที่สองกันดีกว่า สิ่งที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้ที่บอกว่า ถ้าคุณพูดจาดูหมิ่นไม่ให้เกียรติผู้อื่นหรือพูดจาหยาบคายให้ฉันได้ยินอีกแม้แต่คำเดียว คุณจะไม่มีวันได้ใช้ปากเน่าๆของคุณอีก เอาเป็นว่านอกจากจะไม่ได้ใช้ปากแล้ว คุณก็จะมีชีวิตอยู่ไม่เกินวันพรุ่งนี้ด้วย!”
เสียงของเขาราบเรียบมากแต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นโดยเฉพาะจางเก๋อหลานรู้สึกได้ว่าจี้เฟิงจะทำตามที่เขาพูดจริงๆ
แม้ว่าจางเก๋อหลานจะไม่รู้เหตุผลว่าทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนี้แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนนั่นคือหัวใจของเขามันเย็นชาจนไม่สามารถควบคุมได้เลย
หัวหน้าซูมองไปที่ใบหน้าที่สงบนิ่งนั้นหลังของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากปาก
ทั้งสองคนค่อยๆตระหนักว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่น่าจะใช่ลูกจ้างของเซียวฉางเหออย่างแน่นอนพนักงานธรรมดาจะไม่มีทางมีแรงกดดันมหาศาลขนาดนี้ แล้วไหนจะน้ำเสียงที่แม้ว่าเขาจะพูดเบาๆแต่ดังก้องเข้าไปในหูจนฝังลึกเข้าไปในจิตใจจนทำให้ผู้ฟังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งแผ่นหลัง
“เหอะคิดว่ากฎหมายเป็นแค่ลมหรือยังไงถึงได้กล้าพูดจาใหญ่โตขนาดนี้” จางเก๋อหลานแค่นเสียงอย่างเย็นชา แต่ตราบใดที่ไม่ใช่คนหูหนวก ก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจนว่าเขารู้สึกกลัวจริงๆ เซียวหยูซวนยิ้มทันทีและกล่าวว่า“คนอย่างคุณยังมีหน้าที่จะพูดเรื่องกฎหมายด้วยเหรอ”
ใบหน้าของจางเก๋อหลานแดงขึ้นมาทันทีด้วยความโกรธแต่เมื่อเขากำลังจะด่ากลับ เขาก็จำได้ว่าจี้เฟิงที่ตอนนี้นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานเพิ่งพูดเตือนเขาว่าอะไรบ้าง มันทำให้เขาต้องกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอไป
จี้เฟิงไม่แม้แต่จะเหลือบมองไปที่จางเก๋อหลานเลยเขาหันหน้าไปหาเซียวฉางเหอและพูดว่า “คุณลุงเซียว เรื่องในวันนี้ให้ผมเป็นคนจัดการได้หรือเปล่าครับ”
เซียวฉางเหอลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ในที่สุดเขาก็พยักหน้าแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจกับตัวเอง เขาคงแก่มากแล้วจริงๆ ต่อจากนี้ก็ต้องยกให้เป็นหน้าที่ของคนหนุ่มสาว และตอนนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าลูกสาวของเขาได้คบหากับผู้ชายที่แข็งแกร่งและพร้อมจะดูแลเธอได้ และหวังว่าชายหนุ่มคนนี้จะไม่เปลี่ยนไปในอนาคต! ในช่วงเวลาที่สำคัญของบริษัทสิ่งที่เซียวฉางเหอคิดกลับเป็นสิ่งนี้ บางทีนี่อาจจะเป็นเพราะความแก่ชราที่มากขึ้นของเขา
เมื่อเซียวหยูซวนได้ยินว่าจี้เฟิงจะยื่นมือเข้ามามีส่วนในเรื่องนี้เธอก็รู้สึกโล่งใจ เธอแอบขยิบตาให้กับจี้เฟิง ดวงตาที่สวยงามของเธอเต็มไปด้วยความรัก
จี้เฟิงส่งยิ้มน้อยๆให้กับเธอแต่เพียงแวบเดียวใบหน้าของเขาก็กลับมาเฉยเมย เขาหันไปมองหัวหน้าซู “ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ โทรไปหาคนที่บอกให้พวกคุณมาก่อกวนและบอกกับเขาว่า พวกเขากำลังจัดส่งสินค้าตามกำหนดการเดิมเพราะตราปิดผนึกของพวกคุณนั้นผิดกฎหมาย พวกเราจึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม แต่ถ้าเขายังอยากจะจัดการกับคุณลุงเซียวอยู่อีกล่ะก็ ให้เขามาหาฉันที่นี่โดยตรง ฉันให้เวลาเขาถึงหนึ่งทุ่มตรงเท่านั้น… และเมื่อถึงเวลานั้นเขายังไม่มาปรากฏตัว ก็บอกให้เขาเตรียมตัวรับผลของการกระทำด้วยตัวเองได้เลย!” แม้จะพูดด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉยแต่คำพูดของจี้เฟิงก็หนักแน่นมากพอที่จะไปกระแทกใจของหัวหน้าซูและเจ้าหน้าที่จางจนพวกเขาตระหนักรู้ได้ว่าวันนี้พวกเขาได้ก่อปัญหาใหญ่มากกว่าที่คิดเข้าซะแล้ว
“อ้อ!พวกคุณสามารถโทรตอนนี้ได้เลยนะ เพราะพวกคุณไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปจากที่นี่ได้ถ้ายังไม่ได้จ่ายค่าเสียหายให้กับทางเรา” จี้เฟิงกล่าวเสริม
ตอนนี้ในใจของหัวหน้าซูและเจ้าหน้าที่จางเริ่มเต็มไปด้วยความวิตกกังวลทันทีที่จี้เฟิงเข้ามาที่นี่ก็เหมือนกับว่าเขามีเป้าหมายที่จะคุยกับคนที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้วและเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในสายตาของจี้เฟิงเลย ชายหนุ่มคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่ เขามีความมั่นใจขนาดนี้ได้ยังไง?
คุณรู้หรือไม่ว่านักธุรกิจรายย่อยอย่างเซียวฉางเหอกลัวที่สุดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหน่วยงานต่างๆเหล่านี้เพราะการมีปัญหากับหน่วยงานต่างๆจะไม่ส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจของพวกเขาเลย ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกใช้วิธีที่ง่ายและนักธุรกิจส่วนใหญ่จะทำกัน นั่นก็คือใช้เงินเพื่อจบปัญหาหรือแบ่งปันผลประโยชน์บางส่วน ด้วยวิธีนี้พวกเขาจึงอยู่รอดมาได้ อย่างไรก็ตามชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้เห็นเรื่องเหล่านี้อยู่ในสายตาของเขาเลยเห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจที่จะแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกับผู้อื่น
จี้เฟิงยืนขึ้น“ฉันจะให้พวกคุณยืมห้องทำงานนี้ไปก่อนก็แล้วกัน รีบๆโทรหน่อยล่ะ พวกเราไม่ได้มีเวลาว่างทั้งวัน!”
หลังจากพูดจบจี้เฟิงก็ยิ้มให้เซียวฉางเหอและกล่าวว่า“คุณลุงเซียว พวกเราออกไปกันดีมั้ยครับ อย่ารบกวนพวกเขาเลย!”
เมื่อเห็นว่าจี้เฟิงยื่นมือเข้ามาแทรกแซงเพื่อช่วยเหลือในเรื่องนี้เซียวฉางเหอจะรู้สึกผ่อนคลายลงไปบ้าง แต่สีหน้าของเขาก็ยังคงเคร่งเครียดอยู่
“ผู้จัดการหลินคุณก็ออกมาด้วยกันเถอะ!กับแขกคุณต้องใช้ความสุภาพ แต่ถ้าจะจัดการกับหมาจิ้งจอกคุณก็ควรจะใช้ปืนลูกซอง” เซียวฉางเหอกล่าวอย่างเย็นชา
แน่นอนว่าตัวหลินเซิงผิงเองก็ไม่อยากจะอยู่ที่นี่เขาไม่ค่อยชอบขี้หน้าเจ้าหน้าที่สองคนนี้เท่าไหร่นัก ดังนั้นพอได้ยินเจ้านายของเขาพูดเช่นนั้น เขาจึงรีบพยักหน้าด้วยความยินดีแล้วเดินตามออกไป
ตอนนี้ในห้องทำงานเหลือเพียงหัวหน้าซูกับเจ้าหน้าที่จางที่นั่งหน้าตาบูดบึ้งอยู่เพียงสองคนเท่านั้น
“หัวหน้าซู!แล้วตอนนี้พวกเราจะทำยังไงกันดี!” จางเก๋อหลานรู้สึกทำอะไรไม่ถูก
หัวหน้าซูสาปแช่งอยู่ในใจถ้าไม่ใช่เพราะไอ้โง่อย่างแกทำให้เรื่องมันยุ่งวุ่นวาย ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะมาถึงจุดนี้ได้ยังไง!
แต่เมื่อนึกถึงตัวตนของจางเก๋อหลานหัวหน้าซูก็ไม่ได้ก่นด่าในสิ่งที่คิดออกไป เขาทำได้แค่เพียงยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันจะทำอะไรได้อีก นอกเสียจากโทรหาพี่สาวกับพี่เขยของคุณและขอคำแนะนำให้พวกเขาช่วยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
เมื่อพูดถึงพี่สาวและพี่เขยของเขาจางเก๋อหลานก็ใจชื้นขึ้นมาทันที เขารีบพูดออกมาว่า “ใช่ๆ ไม่ว่าเจ้าเด็กนั่นจะใหญ่โตแค่ไหน เขาก็ไม่ใหญ่ไปกว่าพี่เขยของฉันแน่นอน! ฉันจะโทรหาพี่เขยของฉันเอง!”
เมื่อเห็นท่าทางที่ลนลานของจางเก๋อหลานหัวหน้าซูก็รู้สึกรังเกียจและกระวนกระวายใจอยู่เล็กน้อย พี่เขยกับพี่สาวของจางเก๋อหลานคือเหตุผลที่พวกเขามาที่นี่ในวันนี้ เป็นเพราะก่อนหน้านี้พี่เขยกับพี่สาวของจางเก๋อหลานมองเห็นช่องทางในการทำกำไรของอุตสาหกรรมยาจึงได้จัดตั้งบริษัทยาขึ้นมา
และตอนนี้พวกเขากำลังใช้อำนาจในมือเพื่อโจมตีบริษัทยาอื่นๆและตระกูลเซียวที่ไม่มีภูมิหลังใดๆได้กลายเป็นเป้าหมายแรกของการโจมตี
นอกจากนี้ตระกูลเซียวได้ทำธุรกิจร่วมกับโรงพยาบาลเจียงโจวซึ่งเป็นโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ถึงสามแห่งสิ่งนี้ยิ่งทำให้พี่เขยของจางเก๋อหลานตาลุกวาวด้วยความอิจฉา ดังนั้นเขาจึงวางแผนและเลือกปิดโกดังสินค้าในวันนี้ซึ่งเป็นวันที่บริษัทยาของเซียวฉางเหอจะต้องจัดส่งสินค้าไปยังโรงพยาบาลเหล่านั้น และเมื่อการจัดส่งสินค้าล่าช้าหรือไม่สำเร็จ จะเท่ากับว่าบริษัทยาของฉางเหอได้ทำการผิดสัญญา และทางโรงพยาบาลจะมีสิทธิยกเลิกสัญญาได้ทุกเมื่อ
และมันจะดีกว่านี้มากหากนำยาทั้งหมดในโกดังยาของเซียวฉางเหอออกมาในนามของยาปลอมและยาด้อยคุณภาพเพราะยาทั้งหมดในบริษัทของพี่เขยของจางเก๋อหลาน ก็คือยาที่ถูกยึดโดยสำนักงานอาหารและยาไม่ใช่หรือ
สิ่งเดียวที่ทำให้หัวหน้าซูรู้สึกเป็นกังวลนั่นก็คือพี่เขยของจางเก๋อหลานที่เป็นเพียงลูกชายของรองผู้อำนวยการสำนักงานอาหารและยาเท่านั้น เขาจะยิ่งใหญ่ไปกว่าภูมิหลังของชายหนุ่มคนนั้นจริงๆน่ะหรือ!