The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 313 ความคับข้องใจของเสี่ยวหยู
- Home
- The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ
- บทที่ 313 ความคับข้องใจของเสี่ยวหยู
“จี้เจิ้นผิง!”
จี้เฟิงตกใจในทันทีและรอยยิ้มอันสดใสก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาจี้เสี่ยวหยูเป็นลูกสาวของอาสาม ไม่ใช่แค่ลูกของญาติห่างๆ!
แม้ว่าจี้เฟิงจะรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนในตระกูลจี้ที่มีความเห็นเกี่ยวกับตัวเขาในด้านลบแต่สุดท้ายแล้วถ้ามีใครรู้เรื่องในวันนี้ มันจะต้องถูกนำมาใช้สร้างความยุ่งยากให้กับเขาและคนที่อยู่ข้างเขาอย่างแน่นอน โชคดีที่เสี่ยวหยูไม่ใช่*เครือญาติสายรอง
เมื่อเห็นการแสดงออกของจี้เฟิงหัวใจของจี้เสี่ยวหยูก็เต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย เธอรีบถามทันทีว่า “สุภาพบุรุษท่านนี้ คุณคงต้องตอบฉันแล้วล่ะว่าคุณเป็นใคร”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างพวกเขาหรือเปล่าพอเห็นสีหน้าของจี้เสี่ยวหยู จี้เฟิงก็รู้สึกเอ็นดูเธอเล็กน้อยโชคดีที่เด็กคนนี้ไม่ได้มีนิสัยดื้อรั้นพูดจาหยาบคายเหมือนผู้หญิงที่สวมหมวกแก๊ป!
“เสี่ยวหยูเธอจะมัวเสียเวลาพูดจาไร้สาระกับเขาอยู่ทำไม บอกให้บอดี้การ์ดของเธอจับเขาไปส่งตำรวจ ให้เขาได้ใช้ชีวิตที่เหลือในคุก…”
สาวสวมหมวกยังไม่ทันได้พูดจนจบประโยคจู่ๆจี้เสี่ยวหยูก็ตะคอกอย่างไม่พอใจ “หุบปาก!”
“สะ…เสี่ยวหยู เธอ!” หญิงสาวสวมหมวกถึงกับตกตะลึง นี่เสี่ยวหยูถึงกับตะคอกเธอ บอกให้เธอหุบปาก?! เธอมองไปที่เสี่ยวหยูด้วยความงุนงง เธอได้แต่นิ่งอึ้งไปพักใหญ่ๆ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ดังนั้นเธอจึงได้แต่ยืนงงอยู่อย่างนั้น
“ยัยเด็กนี่น่ากลัวเหมือนกันแฮะ!”จี้เฟิงหัวเราะออกมาอย่างเซ่อๆ แม้เขาจะเกลียดผู้หญิงหมวกแก๊ปคนนั้นมากก็ตามที แต่พอเขารู้ว่าเสี่ยวหยูเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา จี้เฟิงก็เห็นแก่หน้าของเสี่ยวหยูเขาจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไร แต่ใครจะรู้ว่าคนที่หมดความอดทนก่อนจนต้องตะคอกออกมาแบบนั้นจะเป็นเสี่ยวหยู เด็กสาวที่ดูสงบนิ่งคนนี้
อย่างไรก็ตามทันทีที่เขาพูดจบใบหน้าของชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนก็มืดครึ้มลงทันที และหนึ่งในนั้นก็พูดอย่างเคร่งขรึม “คุณสุภาพบุรุษ โปรดระวังคำพูดของคุณด้วย หากยังมีวาจาหรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ก็อย่าโทษว่าเราไม่สุภาพ!”
จี้เฟิงมองพวกเขาทั้งสี่คนอย่างพินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า“ทีมเรดแอร์โรว์”
ใบหน้าของผู้ชายมาดเข้มทั้งสี่คนเปลี่ยนไปพร้อมๆกันและดวงตาที่สดใสของจี้เสี่ยวหยูก็สว่างวาบขึ้นในทันที
“ฟึ่บ~!!!”
ชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนแยกกันไปคนละทิศพวกเขารายล้อมจี้เฟิงไว้ตรงกลางอย่างรวดเร็ว ร่างกายของพวกเขาแข็งเกร็งและตั้งท่าพร้อมต่อสู้! “คุณสุภาพบุรุษคุณกำลังพูดถึงอะไร” ชายคนหนึ่งถามขึ้น ในขณะที่ชายร่างใหญ่อีกสามคนค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ เพื่อปิดเส้นทางการหลบหนีของจี้เฟิงจนหมด
แต่จี้เฟิงทำเหมือนไม่เห็นเขาแค่โบกมือแล้วพูดว่า “พี่ชายไม่เห็นต้องซีเรียสขนาดนั้นเลยนี่นา ฉันก็แค่คิดว่าทหารธรรมดาทั่วไปคงไม่มีออร่าที่น่าเกรงขามแบบนี้หรอก นอกจากทีมเรดแอร์โรว์ฉันก็นึกไม่ออกแล้วล่ะว่าจะมีทหารกองไหนที่สามารถฝึกทหารออกมาได้แบบนี้… อันที่จริงฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทหารมีกี่หน่วยกี่กองกันแน่…”
ความจริงจี้เฟิงรู้ดีว่าคนที่เป็นผู้นำโดยตรงของกองทหารทีมเรดแอร์โรว์คืออาสามของเขาดังนั้นผู้ที่คุ้มกันจี้เสี่ยวหยูในตอนนี้ถ้าไม่ใช่ทหารจากทีมเรดแอร์โรว์แล้วจะเป็นใครไปได้อีก
สายตาที่ระแวดระวังของผู้ชายร่างใหญ่ทั้งสี่คนไม่ได้ลดน้อยลงเลยแต่พวกเขาไม่เร่งรีบที่จะบุกเข้าไปโจมตีจี้เฟิง จี้เฟิงยังคงยืนอยู่ตรงนั้นเมื่อมองแวบแรกร่างกายของจี้เฟิงเต็มไปด้วยช่องโหว่ หากเขาขยับแม้เพียงเล็กน้อยเพื่อที่จะลงมือ ก็ไม่สามารถทำได้โดยง่าย เพราะช่องโหว่บนร่างกายของเขาชัดเจนเกินไป แต่ถ้ามองให้ดี ช่องโหว่ที่เป็นเหมือนข้อบกพร่องบนร่างกายของเขานั้นเป็นเหมือนกับดัก มันดูง่ายเกินไปจึงทำให้ผู้คนไม่กล้าลงมือโจมตีเขาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า
“เหมือนพวกเราจะเจอยอดฝีมือเข้าให้แล้ว!”ทหารทั้งสี่คนมองสอบตากันอย่างรวดเร็วและไร้ร่องรอย การที่พวกเขาร่วมมือกันมานาน พวกเขาจึงคิดแผนอย่างเดียวกันได้ขึ้นมาในทันที ใช้คนหนึ่งหลอกล่อจี้เฟิง และสามคนที่เหลือเข้าโจมตี
ถ้ามีใครล่วงรู้แผนการของทหารเหล่านี้พวกเขาจะต้องตกใจอย่างแน่นอน เพียงแค่สบตากันพวกเขาก็เข้าใจแผนได้ในทันที และเป็นแผนที่ต้องใจเด็ดมากเลยทีเดียวใช้หนึ่งคนเป็นเหยื่อล่อ และอีกสามคนที่เหลือโจมตีแม้จะต้องเสียสละคนคนหนึ่งไป แต่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายพวกเขาก็จะไม่ลังเลเลย
นี่มันจะไม่ดูเกินจริงไปหน่อยใช่มั้ย
หลี่ลู่หนานรู้สึกได้ว่าเริ่มมีบางอย่างผิดปกติเธอก้าวไปข้างหน้าและยืนเคียงข้างคู่กับจี้เฟิงทันที “จี้เฟิง นายมีแผนยังไง!”
จี้เฟิงมองเธอด้วยความประหลาดใจในสถานการณ์ที่เริ่มมีบางอย่างผิดปกติ จี้เฟิงมั่นใจว่าหลี่ลู่หนานจะต้องสัมผัสได้ แต่เธอก็ยังตัดสินใจที่จะก้าวออกมายืนเคียงข้าง อย่างน้อยสิ่งนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาไม่ได้ช่วยคนผิด ตำรวจจราจรหญิงคนนี้แม้ว่าเธอจะเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่เธอก็เป็นคนดี
ชายทั้งสี่คนไม่สนใจและกำลังจะเริ่มโจมตี
ในขณะนั้นเองจู่ๆจี้เฟิงก็ยิ้มและพูดขึ้นว่า“เสี่ยวหยู ฉันขอคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวหน่อยได้มั้ย”
ชายทั้งสี่คนหยุดชะงักอย่างกะทันหันความรู้สึกเหมือนรถที่เร่งเครื่องมาแรงๆแล้วต้องเบรกจนล้อฟรี ความรู้สึกนี้มันช่างน่าอึดอัดจริงๆ ส่งผลให้ใบหน้าของพวกเขาตอนนี้ค่อนข้างน่าเกลียด
จี้เสี่ยวหยูพยักหน้าทันทีอย่างไม่ลังเล“โอเค งั้นไปที่รถ”
“คุณหนู!”ชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนตกใจพร้อมกัน ถ้าปล่อยให้พวกเขาทั้งสองคนเข้าไปอยู่ในรถกันตามลำพัง ก็เท่ากับว่าเป็นการปล่อยให้ผู้ชายคนนี้เป็นผู้ควบคุมสถานการณ์อย่างสมบูรณ์ เพราะถ้าหากชายหนุ่มคนนี้ต้องการจะทำอะไรกับคุณหนูในขณะนั้น ต่อให้มีความสามารถเหนือฟ้าก็คงไม่สามารถช่วยเหลือได้ทัน
แต่จี้เสี่ยวหยูกลับยิ้มและพูดกับชายทั้งสี่คนว่า“ฉันเชื่อว่าสุภาพบุรุษคนนี้จะไม่ทำร้ายฉันอย่างแน่นอน ฉันพูดถูกหรือเปล่า”
“ต่อให้ฉันต้องเป็นฝ่ายเจ็บตัวฉันก็จะไม่ทำร้ายเธอ!” แม้ว่าจี้เฟิงจะกล่าวด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม แต่น้ำเสียงที่แน่วแน่ของเขาทำให้ทุกคนเชื่อว่าเขาจะทำตามอย่างที่พูดแน่นอน
จี้เสี่ยวหยูยิ้มหวานทันทีและพยักหน้าเล็กน้อยเธอหันหลังกลับและเดินตรงไปทางรถปอร์เช่ที่จอดอยู่ด้านหลัง
“ไอ้หนูถ้านายกล้าทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อคุณหนูที่นี่คือหลุมฝังศพของนาย!” ชายร่างใหญ่เตือนจี้เฟิงด้วยน้ำเสียงที่ทุ่มต่ำ
จี้เฟิงเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยและเดิมตามจี้เสี่ยวหยูไป
ตั้งแต่ถูกสั่งให้หุบปากจนตอนนี้หญิงสาวสวมหมวกเพิ่งจะมีปฏิกิริยา เธอมองดูจี้เสี่ยวหยูและจี้เฟิงเดินตรงไปที่รถปอร์เช่ด้วยความงุนงง ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่เชื่อและพึมพำกับตัวเอง “เสี่ยวหยูเธอเห็นคนอื่นดีกว่าฉันงั้นเหรอ เธอถึงกับตะคอกบอกให้ฉันหุบปาก”
ยิ่งพูดเธอก็ยิ่งโมโหจนสุดท้ายเธอก็ตะโกน“เสี่ยวหยู! เธอบอกให้ฉันหุบปากเพราะเห็นไอ้บ้านนอกนั้นดีกว่าฉันจริงๆน่ะเหรอ!” จี้เสี่ยวหยูที่กำลังเดินนำจี้เฟิงไปที่รถปอร์เช่หันหลังกลับมาทันทีใบหน้าที่น่ารักและสงบนิ่งของเธอบึ้งตึงเล็กน้อยและกล่าวว่า “เว่ยซินจะพูดอะไรก็ช่วยดูสถานะของตัวเองด้วย”
หญิงสาวที่ชื่อเว่ยซินตกตะลึงอีกครั้งเธอจ้องมองจี้เสี่ยวหยูอย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่เธอคือจี้เสี่ยวหยูที่อ่อนโยนและเงียบขรึมจริงๆหรือเปล่า จี้เสี่ยวหยูคนนั้นจะตำหนิฉันอย่างรุนแรงต่อหน้าคนนอกได้ยังไง?!
เว่ยซินรู้สึกแย่มากเธอแก่กว่าจี้เสี่ยวหยูหลายปีแต่พวกเธอนั้นเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก จี้เสี่ยวหยูคอยตามเธอเหมือนเงาตามตัว ไม่ว่าเธอจะทำอะไร จะไปไหน จี้เสี่ยวหยูก็จะคอยทำตามและเชื่อฟังเธอเสมอ
ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเธอจึงคิดว่าจี้เสี่ยวหยูคงจะเชื่อฟังเธอตลอดไป เธอจึงไม่คาดคิดว่าจู่ๆจี้เสี่ยวหยูจะตำหนิเธอถึงสองครั้งภายในวันเดียว!
ในเวลานี้จี้เสี่ยวหยูหันหน้ากลับมาใบหน้าของเธอแดงขึ้นเล็กน้อย นั่นเป็นเพราะว่าเธอรู้สึกเขินอายที่เผลอตัวทำตัวไม่มีมารยาทและอารมณ์เสียต่อหน้าจี้เฟิง เธอจึงรีบอธิบายว่า “สุภาพบุรุษท่านนี้ ฉันต้องขอโทษจริงๆ ช่วงนี้เพื่อนของฉันอารมณ์ไม่ค่อยดี หากมีอะไรที่ทำให้คุณต้องขุ่นเคืองใจ โปรดยกโทษให้พวกเราด้วย”
“เรียกฉันว่าสุภาพบุรุษท่านนี้”จี้เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันว่าเธอน่าจะเดาได้แล้วนะว่าฉันเป็นใคร?”
จี้เสี่ยวหยูแลบลิ้นน้อยๆน่ารักออกมาทันทีและพูดเสียงหวานว่า“เสี่ยวหยูเพิ่งจะแน่ใจ ว่าคุณคงจะเป็นพี่จี้เฟิงใช่มั้ย”
“ช่างเป็นเด็กที่ฉลาดจริงๆ!”จี้เฟิงหัวเราะออกมาทันที “ทำไมจู่ๆถึงมาที่เจียงโจวได้ล่ะ ที่เจียงโจวมีอะไรน่าสนใจงั้นเหรอ?”
แม้จี้เฟิงจะไม่ตอบมาตามตรงแต่การที่เขาพูดแบบนี้ก็เป็นการยอมรับเป็นนัยๆแล้วว่าเขาคือจี้เฟิงจริงๆ จี้เสี่ยวหยูรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย“พี่ชาย นี่คือพี่จริงๆใช่มั้ย”
จี้เฟิงหัวเราะอย่างว่างเปล่า“เด็กโง่ ถ้าไม่ใช่แล้วเธอคิดว่าฉันเป็นใคร”
ดวงตาที่สดใสของเธอแดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อยเธอกัดริมฝีปากแน่นพยายามที่จะไม่ร้องไห้ออกมา
“เกิดอะไรขึ้นทำไมเธอถึงร้องไห้?” จี้เฟิงอึ้งไปแน่นอนว่าเขาสังเกตเห็นความตื่นเต้นของจี้เสี่ยวหยู แต่ในความตื่นเต้นเหมือนเธอจะมีความคับข้องใจอะไรบางอย่าง ซึ่งนั่นทำให้เขางุนงงมาก หรือเขาเผลอไปรังแกเธอโดยไม่รู้ตัว?
จี้เสี่ยวหยูรีบส่ายหัวทันที“พี่สาม ในที่สุดฉันก็ได้เจอพี่แล้ว!”
“ห๊ะ..”ไม่ว่าจี้เฟิงจะฉลาดแค่ไหน เขาก็ไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้ “อย่าบอกนะว่าเธอมาที่เจียงโจวเพื่อมาตามหาฉัน?”
“ใช่แล้ว”จี้เสี่ยวหยูหน้างอและพูดอย่างไม่พอใจ “ฉันได้ยินพี่รองบอกว่า พี่สามเรียนอยู่ที่สหพันธ์มหาวิทยาลัยในเจียงโจว ฉันก็เลยอยากมาหาพี่แต่พ่อไม่ยอม โชคดีที่ซินซินมีแสดงที่มหาวิทยาลัยของพี่พอดี ฉันก็เลยแอบตามมา…”
“ซินซิน”จี้เฟิงยังคงอึ้งอยู่ “ผู้หญิงคนนั้นคือเว่ยซินเหรอ?”
“ใช่เธอดังมากเลยนะเธอมีแสดงที่มหาวิทยาลัยของพี่คืนนี้!” จี้เสี่ยวหยูพยักหน้าเล็กน้อย
ใบหน้าของจี้เฟิงบิดเบี้ยวแบบแปลกๆเขาหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจก่อนจะหัวเราะออกมา “ที่แท้นักร้องที่ได้รับการขนานนามว่ามีเสียงไพเราะและอบอุ่นแถมยังเป็นไอดอลของวัยรุ่นยุคนี้ ก็คือผู้หญิงตัวแสบที่สวมหมวกแก๊ปคนเมื่อกี้นี้สินะ เธอคือเว่ยซินนักร้องดังคนนั้น?”
จี้เฟิงส่ายหัวยิ้มๆไม่น่าเชื่อ! เรื่องนี้ทำให้ฉันคาดไม่ถึงเลยจริงๆ
นี่น่ะเหรอเจ้าของเสียงอันไพเราะและอบอุ่นซุปเปอร์สตาร์คนดัง เพลงก็ฮอตฮิตติดชาร์ต!
แววตาที่ดูถูกเหยียดหยามของจี้เฟิงฉายชัดออกมาอย่างไม่ปิดบังหากคนแบบนี้เป็นตัวอย่างของนักร้องคนอื่นๆและเป็นตัวอย่างที่ดีของวัยรุ่นในยุคนี้จริงๆ เขาก็คงไม่คิดที่จะดูทีวีไปอีกสักพัก!
จี้เสี่ยวหยูอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอายเล็กน้อยเธอพูดเบาๆว่า“พี่สามอย่าทำหน้าแบบนั้นสิ วันนี้ซินซินแค่อารมณ์ไม่ดี จริงๆแล้วเธอเป็นคนดีมากเลยนะ คอยดูแลฉันอย่างดีมาโดยตลอด!”
“อย่างนั้นเหรอ”จี้เฟิงพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรตอบรับ ไม่ว่าใครก็ตามหากอยู่ต่อหน้าจี้เสี่ยวหยู อย่างน้อยเขาคนนั้นก็ต้องพยายามแสดงท่าทีห่วงใยอย่างดีที่สุดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้รู้ว่าภูมิหลังของครอบครัวของเธอ….
“เสี่ยวหยูแล้วทำไมเธอถึงมาที่เจียงโจวเพื่อตามหาฉันล่ะ”จี้เฟิงเปลี่ยนเรื่องคุย เขาไม่อยากคุยเรื่องของเว่ยซินต่อ พระเจ้า! ใครจะรู้ว่าหากยังคุยกันต่อไป เขาจะพูดจาหยาบคายหรือเปล่า กับซุปเปอร์สตาร์นิสัยเสียแบบนั้น เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย
สิ่งที่ทำให้จี้เฟิงรู้สึกเป็นกังวลมากกว่าก็คือสีหน้าของเสี่ยวหยูเมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่าเธอรู้สึกไม่สบายใจ
จี้เฟิงให้ความสำคัญกับพี่น้องเสมอแม้ตอนนี้เขาเพิ่งจะพบกับเสี่ยวหยู แต่เมื่อเห็นว่าเธอดูไม่ดื้อรั้นเหมือนลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงคนอื่นๆ เธอมีนิสัยอ่อนโยนและเรียบร้อย เขาก็ถือว่าเธอคือน้องสาวแท้ๆของเขาคนหนึ่งทันที แล้วในเมื่อน้องสาวกำลังพบกับความลำบาก เขาจะทนดูเฉยๆได้อย่างไร
เมื่อได้ยินเช่นนี้เสี่ยวหยูก็อดไม่ได้ที่จะลังเล เธอเปิดปากทำท่าเมื่อต้องการจะพูด แต่เธอก็หยุด
คิ้วของจี้เฟิงขมวดเข้าหากันทันที“เสี่ยวหยู มีอะไรที่เธอยังไม่ได้บอกพี่อีกใช่มั้ย มีคนรังแกเธอหรือเปล่า?”
จี้เสี่ยวหยูลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าแล้วพูดว่า“พี่สามจริงๆแล้วแม่ของฉันเป็นคนบอกให้ฉันมาที่เจียงโจวเพื่อมาตามหาพี่ มีบางคนในตระกูลที่ทำตัวแย่ๆ ตอนนี้คุณปู่สุขภาพไม่ค่อยดี พวกเขาเลยทำตัวประหลาดๆ เหมือนพวกเขาจะกล้าทำอะไรมากขึ้นโดยไม่เกรงใจใครเลย วันนี้มีลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งพาแฟนสาวตัวร้ายกลับบ้าน ฉันแค่บอกว่าคุณปู่อาจจะไม่ชอบ เขาก็เอาเรื่องนี้ไปบอกแฟนสาวของเขา แล้วผู้หญิงคนนั้นก็มาดุฉัน….”
จี้เฟิงตกใจในทันทีและรอยยิ้มอันสดใสก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาจี้เสี่ยวหยูเป็นลูกสาวของอาสาม ไม่ใช่แค่ลูกของญาติห่างๆ!
แม้ว่าจี้เฟิงจะรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนในตระกูลจี้ที่มีความเห็นเกี่ยวกับตัวเขาในด้านลบแต่สุดท้ายแล้วถ้ามีใครรู้เรื่องในวันนี้ มันจะต้องถูกนำมาใช้สร้างความยุ่งยากให้กับเขาและคนที่อยู่ข้างเขาอย่างแน่นอน โชคดีที่เสี่ยวหยูไม่ใช่*เครือญาติสายรอง
เมื่อเห็นการแสดงออกของจี้เฟิงหัวใจของจี้เสี่ยวหยูก็เต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย เธอรีบถามทันทีว่า “สุภาพบุรุษท่านนี้ คุณคงต้องตอบฉันแล้วล่ะว่าคุณเป็นใคร”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างพวกเขาหรือเปล่าพอเห็นสีหน้าของจี้เสี่ยวหยู จี้เฟิงก็รู้สึกเอ็นดูเธอเล็กน้อยโชคดีที่เด็กคนนี้ไม่ได้มีนิสัยดื้อรั้นพูดจาหยาบคายเหมือนผู้หญิงที่สวมหมวกแก๊ป!
“เสี่ยวหยูเธอจะมัวเสียเวลาพูดจาไร้สาระกับเขาอยู่ทำไม บอกให้บอดี้การ์ดของเธอจับเขาไปส่งตำรวจ ให้เขาได้ใช้ชีวิตที่เหลือในคุก…”
สาวสวมหมวกยังไม่ทันได้พูดจนจบประโยคจู่ๆจี้เสี่ยวหยูก็ตะคอกอย่างไม่พอใจ “หุบปาก!”
“สะ…เสี่ยวหยู เธอ!” หญิงสาวสวมหมวกถึงกับตกตะลึง นี่เสี่ยวหยูถึงกับตะคอกเธอ บอกให้เธอหุบปาก?! เธอมองไปที่เสี่ยวหยูด้วยความงุนงง เธอได้แต่นิ่งอึ้งไปพักใหญ่ๆ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ดังนั้นเธอจึงได้แต่ยืนงงอยู่อย่างนั้น
“ยัยเด็กนี่น่ากลัวเหมือนกันแฮะ!”จี้เฟิงหัวเราะออกมาอย่างเซ่อๆ แม้เขาจะเกลียดผู้หญิงหมวกแก๊ปคนนั้นมากก็ตามที แต่พอเขารู้ว่าเสี่ยวหยูเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา จี้เฟิงก็เห็นแก่หน้าของเสี่ยวหยูเขาจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไร แต่ใครจะรู้ว่าคนที่หมดความอดทนก่อนจนต้องตะคอกออกมาแบบนั้นจะเป็นเสี่ยวหยู เด็กสาวที่ดูสงบนิ่งคนนี้
อย่างไรก็ตามทันทีที่เขาพูดจบใบหน้าของชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนก็มืดครึ้มลงทันที และหนึ่งในนั้นก็พูดอย่างเคร่งขรึม “คุณสุภาพบุรุษ โปรดระวังคำพูดของคุณด้วย หากยังมีวาจาหรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ก็อย่าโทษว่าเราไม่สุภาพ!”
จี้เฟิงมองพวกเขาทั้งสี่คนอย่างพินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า“ทีมเรดแอร์โรว์”
ใบหน้าของผู้ชายมาดเข้มทั้งสี่คนเปลี่ยนไปพร้อมๆกันและดวงตาที่สดใสของจี้เสี่ยวหยูก็สว่างวาบขึ้นในทันที
“ฟึ่บ~!!!”
ชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนแยกกันไปคนละทิศพวกเขารายล้อมจี้เฟิงไว้ตรงกลางอย่างรวดเร็ว ร่างกายของพวกเขาแข็งเกร็งและตั้งท่าพร้อมต่อสู้! “คุณสุภาพบุรุษคุณกำลังพูดถึงอะไร” ชายคนหนึ่งถามขึ้น ในขณะที่ชายร่างใหญ่อีกสามคนค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ เพื่อปิดเส้นทางการหลบหนีของจี้เฟิงจนหมด
แต่จี้เฟิงทำเหมือนไม่เห็นเขาแค่โบกมือแล้วพูดว่า “พี่ชายไม่เห็นต้องซีเรียสขนาดนั้นเลยนี่นา ฉันก็แค่คิดว่าทหารธรรมดาทั่วไปคงไม่มีออร่าที่น่าเกรงขามแบบนี้หรอก นอกจากทีมเรดแอร์โรว์ฉันก็นึกไม่ออกแล้วล่ะว่าจะมีทหารกองไหนที่สามารถฝึกทหารออกมาได้แบบนี้… อันที่จริงฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทหารมีกี่หน่วยกี่กองกันแน่…”
ความจริงจี้เฟิงรู้ดีว่าคนที่เป็นผู้นำโดยตรงของกองทหารทีมเรดแอร์โรว์คืออาสามของเขาดังนั้นผู้ที่คุ้มกันจี้เสี่ยวหยูในตอนนี้ถ้าไม่ใช่ทหารจากทีมเรดแอร์โรว์แล้วจะเป็นใครไปได้อีก
สายตาที่ระแวดระวังของผู้ชายร่างใหญ่ทั้งสี่คนไม่ได้ลดน้อยลงเลยแต่พวกเขาไม่เร่งรีบที่จะบุกเข้าไปโจมตีจี้เฟิง จี้เฟิงยังคงยืนอยู่ตรงนั้นเมื่อมองแวบแรกร่างกายของจี้เฟิงเต็มไปด้วยช่องโหว่ หากเขาขยับแม้เพียงเล็กน้อยเพื่อที่จะลงมือ ก็ไม่สามารถทำได้โดยง่าย เพราะช่องโหว่บนร่างกายของเขาชัดเจนเกินไป แต่ถ้ามองให้ดี ช่องโหว่ที่เป็นเหมือนข้อบกพร่องบนร่างกายของเขานั้นเป็นเหมือนกับดัก มันดูง่ายเกินไปจึงทำให้ผู้คนไม่กล้าลงมือโจมตีเขาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า
“เหมือนพวกเราจะเจอยอดฝีมือเข้าให้แล้ว!”ทหารทั้งสี่คนมองสอบตากันอย่างรวดเร็วและไร้ร่องรอย การที่พวกเขาร่วมมือกันมานาน พวกเขาจึงคิดแผนอย่างเดียวกันได้ขึ้นมาในทันที ใช้คนหนึ่งหลอกล่อจี้เฟิง และสามคนที่เหลือเข้าโจมตี
ถ้ามีใครล่วงรู้แผนการของทหารเหล่านี้พวกเขาจะต้องตกใจอย่างแน่นอน เพียงแค่สบตากันพวกเขาก็เข้าใจแผนได้ในทันที และเป็นแผนที่ต้องใจเด็ดมากเลยทีเดียวใช้หนึ่งคนเป็นเหยื่อล่อ และอีกสามคนที่เหลือโจมตีแม้จะต้องเสียสละคนคนหนึ่งไป แต่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายพวกเขาก็จะไม่ลังเลเลย
นี่มันจะไม่ดูเกินจริงไปหน่อยใช่มั้ย
หลี่ลู่หนานรู้สึกได้ว่าเริ่มมีบางอย่างผิดปกติเธอก้าวไปข้างหน้าและยืนเคียงข้างคู่กับจี้เฟิงทันที “จี้เฟิง นายมีแผนยังไง!”
จี้เฟิงมองเธอด้วยความประหลาดใจในสถานการณ์ที่เริ่มมีบางอย่างผิดปกติ จี้เฟิงมั่นใจว่าหลี่ลู่หนานจะต้องสัมผัสได้ แต่เธอก็ยังตัดสินใจที่จะก้าวออกมายืนเคียงข้าง อย่างน้อยสิ่งนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาไม่ได้ช่วยคนผิด ตำรวจจราจรหญิงคนนี้แม้ว่าเธอจะเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่เธอก็เป็นคนดี
ชายทั้งสี่คนไม่สนใจและกำลังจะเริ่มโจมตี
ในขณะนั้นเองจู่ๆจี้เฟิงก็ยิ้มและพูดขึ้นว่า“เสี่ยวหยู ฉันขอคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวหน่อยได้มั้ย”
ชายทั้งสี่คนหยุดชะงักอย่างกะทันหันความรู้สึกเหมือนรถที่เร่งเครื่องมาแรงๆแล้วต้องเบรกจนล้อฟรี ความรู้สึกนี้มันช่างน่าอึดอัดจริงๆ ส่งผลให้ใบหน้าของพวกเขาตอนนี้ค่อนข้างน่าเกลียด
จี้เสี่ยวหยูพยักหน้าทันทีอย่างไม่ลังเล“โอเค งั้นไปที่รถ”
“คุณหนู!”ชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนตกใจพร้อมกัน ถ้าปล่อยให้พวกเขาทั้งสองคนเข้าไปอยู่ในรถกันตามลำพัง ก็เท่ากับว่าเป็นการปล่อยให้ผู้ชายคนนี้เป็นผู้ควบคุมสถานการณ์อย่างสมบูรณ์ เพราะถ้าหากชายหนุ่มคนนี้ต้องการจะทำอะไรกับคุณหนูในขณะนั้น ต่อให้มีความสามารถเหนือฟ้าก็คงไม่สามารถช่วยเหลือได้ทัน
แต่จี้เสี่ยวหยูกลับยิ้มและพูดกับชายทั้งสี่คนว่า“ฉันเชื่อว่าสุภาพบุรุษคนนี้จะไม่ทำร้ายฉันอย่างแน่นอน ฉันพูดถูกหรือเปล่า”
“ต่อให้ฉันต้องเป็นฝ่ายเจ็บตัวฉันก็จะไม่ทำร้ายเธอ!” แม้ว่าจี้เฟิงจะกล่าวด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม แต่น้ำเสียงที่แน่วแน่ของเขาทำให้ทุกคนเชื่อว่าเขาจะทำตามอย่างที่พูดแน่นอน
จี้เสี่ยวหยูยิ้มหวานทันทีและพยักหน้าเล็กน้อยเธอหันหลังกลับและเดินตรงไปทางรถปอร์เช่ที่จอดอยู่ด้านหลัง
“ไอ้หนูถ้านายกล้าทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อคุณหนูที่นี่คือหลุมฝังศพของนาย!” ชายร่างใหญ่เตือนจี้เฟิงด้วยน้ำเสียงที่ทุ่มต่ำ
จี้เฟิงเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยและเดิมตามจี้เสี่ยวหยูไป
ตั้งแต่ถูกสั่งให้หุบปากจนตอนนี้หญิงสาวสวมหมวกเพิ่งจะมีปฏิกิริยา เธอมองดูจี้เสี่ยวหยูและจี้เฟิงเดินตรงไปที่รถปอร์เช่ด้วยความงุนงง ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่เชื่อและพึมพำกับตัวเอง “เสี่ยวหยูเธอเห็นคนอื่นดีกว่าฉันงั้นเหรอ เธอถึงกับตะคอกบอกให้ฉันหุบปาก”
ยิ่งพูดเธอก็ยิ่งโมโหจนสุดท้ายเธอก็ตะโกน“เสี่ยวหยู! เธอบอกให้ฉันหุบปากเพราะเห็นไอ้บ้านนอกนั้นดีกว่าฉันจริงๆน่ะเหรอ!” จี้เสี่ยวหยูที่กำลังเดินนำจี้เฟิงไปที่รถปอร์เช่หันหลังกลับมาทันทีใบหน้าที่น่ารักและสงบนิ่งของเธอบึ้งตึงเล็กน้อยและกล่าวว่า “เว่ยซินจะพูดอะไรก็ช่วยดูสถานะของตัวเองด้วย”
หญิงสาวที่ชื่อเว่ยซินตกตะลึงอีกครั้งเธอจ้องมองจี้เสี่ยวหยูอย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่เธอคือจี้เสี่ยวหยูที่อ่อนโยนและเงียบขรึมจริงๆหรือเปล่า จี้เสี่ยวหยูคนนั้นจะตำหนิฉันอย่างรุนแรงต่อหน้าคนนอกได้ยังไง?!
เว่ยซินรู้สึกแย่มากเธอแก่กว่าจี้เสี่ยวหยูหลายปีแต่พวกเธอนั้นเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก จี้เสี่ยวหยูคอยตามเธอเหมือนเงาตามตัว ไม่ว่าเธอจะทำอะไร จะไปไหน จี้เสี่ยวหยูก็จะคอยทำตามและเชื่อฟังเธอเสมอ
ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเธอจึงคิดว่าจี้เสี่ยวหยูคงจะเชื่อฟังเธอตลอดไป เธอจึงไม่คาดคิดว่าจู่ๆจี้เสี่ยวหยูจะตำหนิเธอถึงสองครั้งภายในวันเดียว!
ในเวลานี้จี้เสี่ยวหยูหันหน้ากลับมาใบหน้าของเธอแดงขึ้นเล็กน้อย นั่นเป็นเพราะว่าเธอรู้สึกเขินอายที่เผลอตัวทำตัวไม่มีมารยาทและอารมณ์เสียต่อหน้าจี้เฟิง เธอจึงรีบอธิบายว่า “สุภาพบุรุษท่านนี้ ฉันต้องขอโทษจริงๆ ช่วงนี้เพื่อนของฉันอารมณ์ไม่ค่อยดี หากมีอะไรที่ทำให้คุณต้องขุ่นเคืองใจ โปรดยกโทษให้พวกเราด้วย”
“เรียกฉันว่าสุภาพบุรุษท่านนี้”จี้เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันว่าเธอน่าจะเดาได้แล้วนะว่าฉันเป็นใคร?”
จี้เสี่ยวหยูแลบลิ้นน้อยๆน่ารักออกมาทันทีและพูดเสียงหวานว่า“เสี่ยวหยูเพิ่งจะแน่ใจ ว่าคุณคงจะเป็นพี่จี้เฟิงใช่มั้ย”
“ช่างเป็นเด็กที่ฉลาดจริงๆ!”จี้เฟิงหัวเราะออกมาทันที “ทำไมจู่ๆถึงมาที่เจียงโจวได้ล่ะ ที่เจียงโจวมีอะไรน่าสนใจงั้นเหรอ?”
แม้จี้เฟิงจะไม่ตอบมาตามตรงแต่การที่เขาพูดแบบนี้ก็เป็นการยอมรับเป็นนัยๆแล้วว่าเขาคือจี้เฟิงจริงๆ จี้เสี่ยวหยูรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย“พี่ชาย นี่คือพี่จริงๆใช่มั้ย”
จี้เฟิงหัวเราะอย่างว่างเปล่า“เด็กโง่ ถ้าไม่ใช่แล้วเธอคิดว่าฉันเป็นใคร”
ดวงตาที่สดใสของเธอแดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อยเธอกัดริมฝีปากแน่นพยายามที่จะไม่ร้องไห้ออกมา
“เกิดอะไรขึ้นทำไมเธอถึงร้องไห้?” จี้เฟิงอึ้งไปแน่นอนว่าเขาสังเกตเห็นความตื่นเต้นของจี้เสี่ยวหยู แต่ในความตื่นเต้นเหมือนเธอจะมีความคับข้องใจอะไรบางอย่าง ซึ่งนั่นทำให้เขางุนงงมาก หรือเขาเผลอไปรังแกเธอโดยไม่รู้ตัว?
จี้เสี่ยวหยูรีบส่ายหัวทันที“พี่สาม ในที่สุดฉันก็ได้เจอพี่แล้ว!”
“ห๊ะ..”ไม่ว่าจี้เฟิงจะฉลาดแค่ไหน เขาก็ไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้ “อย่าบอกนะว่าเธอมาที่เจียงโจวเพื่อมาตามหาฉัน?”
“ใช่แล้ว”จี้เสี่ยวหยูหน้างอและพูดอย่างไม่พอใจ “ฉันได้ยินพี่รองบอกว่า พี่สามเรียนอยู่ที่สหพันธ์มหาวิทยาลัยในเจียงโจว ฉันก็เลยอยากมาหาพี่แต่พ่อไม่ยอม โชคดีที่ซินซินมีแสดงที่มหาวิทยาลัยของพี่พอดี ฉันก็เลยแอบตามมา…”
“ซินซิน”จี้เฟิงยังคงอึ้งอยู่ “ผู้หญิงคนนั้นคือเว่ยซินเหรอ?”
“ใช่เธอดังมากเลยนะเธอมีแสดงที่มหาวิทยาลัยของพี่คืนนี้!” จี้เสี่ยวหยูพยักหน้าเล็กน้อย
ใบหน้าของจี้เฟิงบิดเบี้ยวแบบแปลกๆเขาหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจก่อนจะหัวเราะออกมา “ที่แท้นักร้องที่ได้รับการขนานนามว่ามีเสียงไพเราะและอบอุ่นแถมยังเป็นไอดอลของวัยรุ่นยุคนี้ ก็คือผู้หญิงตัวแสบที่สวมหมวกแก๊ปคนเมื่อกี้นี้สินะ เธอคือเว่ยซินนักร้องดังคนนั้น?”
จี้เฟิงส่ายหัวยิ้มๆไม่น่าเชื่อ! เรื่องนี้ทำให้ฉันคาดไม่ถึงเลยจริงๆ
นี่น่ะเหรอเจ้าของเสียงอันไพเราะและอบอุ่นซุปเปอร์สตาร์คนดัง เพลงก็ฮอตฮิตติดชาร์ต!
แววตาที่ดูถูกเหยียดหยามของจี้เฟิงฉายชัดออกมาอย่างไม่ปิดบังหากคนแบบนี้เป็นตัวอย่างของนักร้องคนอื่นๆและเป็นตัวอย่างที่ดีของวัยรุ่นในยุคนี้จริงๆ เขาก็คงไม่คิดที่จะดูทีวีไปอีกสักพัก!
จี้เสี่ยวหยูอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอายเล็กน้อยเธอพูดเบาๆว่า“พี่สามอย่าทำหน้าแบบนั้นสิ วันนี้ซินซินแค่อารมณ์ไม่ดี จริงๆแล้วเธอเป็นคนดีมากเลยนะ คอยดูแลฉันอย่างดีมาโดยตลอด!”
“อย่างนั้นเหรอ”จี้เฟิงพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรตอบรับ ไม่ว่าใครก็ตามหากอยู่ต่อหน้าจี้เสี่ยวหยู อย่างน้อยเขาคนนั้นก็ต้องพยายามแสดงท่าทีห่วงใยอย่างดีที่สุดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้รู้ว่าภูมิหลังของครอบครัวของเธอ….
“เสี่ยวหยูแล้วทำไมเธอถึงมาที่เจียงโจวเพื่อตามหาฉันล่ะ”จี้เฟิงเปลี่ยนเรื่องคุย เขาไม่อยากคุยเรื่องของเว่ยซินต่อ พระเจ้า! ใครจะรู้ว่าหากยังคุยกันต่อไป เขาจะพูดจาหยาบคายหรือเปล่า กับซุปเปอร์สตาร์นิสัยเสียแบบนั้น เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย
สิ่งที่ทำให้จี้เฟิงรู้สึกเป็นกังวลมากกว่าก็คือสีหน้าของเสี่ยวหยูเมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่าเธอรู้สึกไม่สบายใจ
จี้เฟิงให้ความสำคัญกับพี่น้องเสมอแม้ตอนนี้เขาเพิ่งจะพบกับเสี่ยวหยู แต่เมื่อเห็นว่าเธอดูไม่ดื้อรั้นเหมือนลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงคนอื่นๆ เธอมีนิสัยอ่อนโยนและเรียบร้อย เขาก็ถือว่าเธอคือน้องสาวแท้ๆของเขาคนหนึ่งทันที แล้วในเมื่อน้องสาวกำลังพบกับความลำบาก เขาจะทนดูเฉยๆได้อย่างไร
เมื่อได้ยินเช่นนี้เสี่ยวหยูก็อดไม่ได้ที่จะลังเล เธอเปิดปากทำท่าเมื่อต้องการจะพูด แต่เธอก็หยุด
คิ้วของจี้เฟิงขมวดเข้าหากันทันที“เสี่ยวหยู มีอะไรที่เธอยังไม่ได้บอกพี่อีกใช่มั้ย มีคนรังแกเธอหรือเปล่า?”
จี้เสี่ยวหยูลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าแล้วพูดว่า“พี่สามจริงๆแล้วแม่ของฉันเป็นคนบอกให้ฉันมาที่เจียงโจวเพื่อมาตามหาพี่ มีบางคนในตระกูลที่ทำตัวแย่ๆ ตอนนี้คุณปู่สุขภาพไม่ค่อยดี พวกเขาเลยทำตัวประหลาดๆ เหมือนพวกเขาจะกล้าทำอะไรมากขึ้นโดยไม่เกรงใจใครเลย วันนี้มีลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งพาแฟนสาวตัวร้ายกลับบ้าน ฉันแค่บอกว่าคุณปู่อาจจะไม่ชอบ เขาก็เอาเรื่องนี้ไปบอกแฟนสาวของเขา แล้วผู้หญิงคนนั้นก็มาดุฉัน….”