The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 316 หลอกล่อให้พลาดพลั้ง
ทำไมจี้เฟิงถึงจะไม่รู้ว่าเล่ยเล่ยนั้นรักเขามากขนาดไหน
เขาพูดอย่างจริงจังและหนักแน่น“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะไม่มีวันทำให้เล่ยเล่ยต้องเสียใจ!”
จางเล่ยส่ายหัวเล็กน้อยแล้วพูดว่า“ฉันไม่อยากแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้อีก แต่พี่ชายคนนี้ขอเพียงอย่างเดียว นายอย่าทำให้เล่ยเล่ยต้องเสียใจ!”
จี้เฟิงได้แต่พยักหน้าอย่างจริงจัง
จางเล่ยผ่อนคลายลงทันทีแน่นอนว่าเขารู้ว่านิสัยของจี้เฟิงเป็นอย่างไร จี้เฟิงไม่ใช่คนที่จะรับปากหรือให้สัญญากับใครง่ายๆ เพราะเมื่อเขาได้เอ่ยปากให้คำมั่นกับใครไปแล้ว เขาจะต้องทำตามคำพูดของเขาให้สำเร็จอย่างแน่นอน ปกติจี้เฟิงเป็นคนที่จริงจังอยู่แล้วไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเรื่องสำคัญแบบนี้เขาจะจริงจังมากขนาดไหน “ถ้าอย่างนั้นฉันก็สบายใจ!”จางเล่ยพูดพลางหัวเราะ “พูดก็พูดเถอะ นายนี่มีไม่ธรรมดาจริงๆ! นายจีบอาจารย์เลยนะเว้ย! แต่เอาเข้าจริง มันก็ไม่ได้ผิดความคาดหมายของฉันเท่าไหร่หรอกนะ! เพราะฉันก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วระหว่างนายกับอาจารย์เซียวจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น…”
จี้เฟิงอึ้ง“ทำไมนายถึงคิดอย่างนั้น”
“ฉันไม่ใช่คนตาบอด!”จางเล่ยเบ้ปากอย่างเหยียดหยาม “พวกนายสองคนทำตัวอย่างกับเป็นสามีภรรยาที่รักกันปานจะกลืนกินขนาดนั้น อ่า.. ไม่สิ เป็นอนุภรรยา เซียวหยูซวนอยู่ในฐานะอาจารย์ แต่นายกลับกล้าไปดื่มกินกับเธอชิวๆ แถมยังพูดจาสบายๆกับเธออีก เห็นได้ชัดว่านายไม่ได้ปฏิบัติต่อเธอในฐานะอาจารย์คนหนึ่งเลย แล้วแบบนี้นายจะไม่ให้ฉันรู้ได้ยังไงว่าสักวันมันต้องมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น!”
จี้เฟิงถลึงตาใส่เขาและอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น“นายนี่รู้ดีกว่าตัวฉันเองซะอีกนะ!” จางเล่ยยิ้มและยักไหล่โดยไม่พูดอะไร
“แล้ววันนี้อะไรที่ทำให้นายมั่นใจ”จี้เฟิงถามอีกครั้ง
จี้เฟิงลองคิดย้อนกลับไปเขามั่นใจว่าเมื่อครู่นี้ไม่น่าจะมีการกระทำใกล้ชิดอะไรระหว่างเขากับเซียวหยูซวน แล้วจางเล่ยสังเกตเห็นได้จากอะไร
จางเล่ยพึมพำ“เวลาที่เซียวหยูซวนมองนาย แม้แต่คนตาบอดก็สามารถมองเห็นความรักที่อยู่ในดวงตาของเธอได้ นับประสาอะไรกับคนฉลาดอย่างฉันล่ะเพื่อน!”
จี้เฟิงพูดไม่ออกเรื่องบางเรื่องยากที่จะปกปิด โชคดีที่เขาไม่เคยคิดที่จะปกปิด เขาตั้งใจจะบอกเรื่องนี้กับจางเล่ยอยู่แล้ว เพียงแต่ช่วงนี้เขาไม่ค่อยมีเวลา
“ไปกันเถอะไปงานปาร์ตี้กัน!” จางเล่ยพูดขึ้น ตอนนี้เขาได้รับคำมั่นจากจี้เฟิงแล้วดังนั้นเขาจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก เขาเชื่อว่าจี้เฟิงจะรักษาสัญญาและตราบใดที่เขาและจี้เฟิงยังเป็นพี่น้องกัน จี้เฟิงจะไม่ทำให้เล่ยเล่ยต้องเจ็บปวดใจอย่างแน่นอน
ทั้งสองเพิ่งเริ่มเดินไปได้ไม่กี่ก้าวจางเล่ยก็หันกลับมาแล้วถามว่า “เออเจ้าบ้า ในกลุ่มคนที่มาพร้อมกับนายเมื่อกี้ ฉันเห็นผู้ชายสามคน พวกเขาดู… แข็งแกร่ง อืม… ดูเหมือนจะเป็นคนที่มีทักษะการต่อสู้ที่ดีมากใช่มั้ย?”
“นายว่าไงนะ”จี้เฟิงถามกลับ แน่นอนว่าเขารู้ว่าจางเล่ยกำลังพูดถึงใคร แต่จางเล่ยสามารถบอกได้ทันทีเลยว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป สิ่งนี้ทำให้จี้เฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ตราบใดที่ทหารสามคนนั้นไม่ได้ลงมือคนธรรมดาส่วนใหญ่จะคิดว่าพวกเขาเป็นเพียงบอดี้การ์ดทั่วไปเท่านั้น
จางเล่ยหรี่ตาใส่จี้เฟิง“นายอย่าได้คิดที่จะปิดบังฉันอีก! ผู้ชายสามคนนี้ออร่าที่น่าเกรงขามพุ่งซะขนาดนั้น ต่อให้เป็นฉันก็ยังรู้สึกได้ พวกเขามีบรรยากาศรอบตัวเหมือนกับคนที่คอยคุ้มกันคุณปู่ของฉัน… พวกเขามาจากหยานจิงใช่มั้ย” จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า“ใช่ นายเห็นเด็กสาวน่ารักๆที่ดูเรียบร้อยคนนั้นมั้ย เธอคือจี้เสี่ยวหยู ลูกพี่ลูกน้องของฉันเอง ส่วนผู้ชายที่มีออร่าน่าเกรงขามที่นายพูดถึงคือคนที่อาสามส่งมาคอยคุ้มกันเธอ เขาคงกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ” อันที่จริงคนที่ส่งทหารสามคนนั้นมาคืออาสะใภ้สาม แต่รายละเอียดอื่นๆคงไม่จำเป็นต้องบอกจางเล่ย ไม่เช่นนั้นฉันเกรงว่าผู้ชายคนนี้คงจะโกรธทันที
“ฉันว่าแล้ว!”จางเล่ยรู้สึกโล่งใจในทันที เขารู้ว่าอาสามของจี้เฟิงเป็นบุคคลสำคัญในกองทัพ การที่คนระดับนั้นจะส่งทหารสามคนมาคอยดูแลความปลอดภัยของลูกสาวก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินไปเลย
“แล้วผู้หญิงอีกคนที่สวมหมวกล่ะเธอเป็นใคร เธอก็มาจากหยานจิงเหมือนกันเหรอ” จางเล่ยถาม
“เธอคนนั้นน่ะเหรอ”จี้เฟิงยิ้ม “ใช่แล้ว เธอชื่อเว่ยซิน เธอมาจากหยานจิงพร้อมกับลูกพี่ลูกน้องของฉัน…” ใครจะรู้ว่าก่อนที่จี้เฟิงจะทันได้พูดจบจางเล่ยก็เบิกตากว้างและตะโกนว่า “นายบอกว่าเธอคือใครนะ เหวินเว่ยซินงั้นเหรอ!
“ใช่…มีอะไร ทำไมนายถึงต้องทำท่าโอเวอร์ขนาดนั้นด้วย?” จี้เฟิงเหลือบมองจางเล่ยด้วยสายตาแปลกๆ เขาไม่ได้มีความประทับใจที่ดีต่อผู้หญิงคนนั้นเลยสักนิด ไม่ใช่แค่ความดื้อรั้นเอาแต่ใจของผู้หญิงคนนั้นเท่านั้นที่ทำให้จี้เฟิงไม่ค่อยชอบเธอ แต่ท่าทางที่หยิ่งยโสของเธอก็ทำให้จี้เฟิงรู้สึกไม่ดีต่อเธอมากยิ่งขึ้นไปอีกด้วย
คนบางคนถูกเลี้ยงดูมาให้เสียคนตั้งแต่เด็กคนแบบนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนไม่มีเหตุผลและชอบคิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่น
“ดูเหมือนนายจะไม่ชอบเธอนะ”
จางเล่ยเหล่มองจี้เฟิงราวกับว่าเขาเป็นมนุษย์ต่างดาว“เจ้าบ้า นายไม่รู้จริงๆเหรอว่าเว่ยซินเป็นใคร ตอนนี้เธอได้ชื่อว่าเป็นนักร้องที่ฮอตที่สุดในประเทศจีนเลยนะ! ตอนนี้แทบจะไม่มีใครไม่รู้จักเธอแล้วมั้ง! สถานะของเธอพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจนถูกยกย่องว่าเธอนี่แหละคือซุปเปอร์สตาร์ตัวจริงที่ขึ้นแท่นเป็นเจ้าหญิงแห่งวงการนักร้องของประเทศ! แต่นายกลับพูดถึงเธอด้วยน้ำเสียงและสีหน้าแบบนี้เนี่ยนะ?!”
จี้เฟิงขี้เกียจจะเถียงกับจางเล่ยเขาแค่ยิ้มและถามว่า “ทำไมล่ะ นายก็เป็นแฟนคลับที่คอยตามไปเชียร์พวกนักร้องดาราเหมือนกันเหรอเนี่ย?”
จี้เฟิงส่ายหัวทันที“ไอ้บ้า! นายเข้าใจผิดแล้ว อย่างฉันไม่ได้เรียกว่าแฟนคลับ ระดับฉันไม่จำเป็นต้องไปไล่ตามใคร ฉันแค่ชอบเพลงของพวกเขาก็เท่านั้น แต่ถ้าจะแค่หน้าตาดีอย่างเดียวแล้วผลงานไม่ได้เรื่อง ก็ไม่คู่ควรให้คนอย่างฉันไปติดตามหรอก!”
จี้เฟิงอดหัวเราะไม่ได้ผู้ชายคนนี้มองอะไรได้ทะลุปรุโปร่งเสมอเสียงเพลงเป็นเพียงการแสดงออกถึงความสามารถเท่านั้น การชื่นชอบผลงานและความสามารถของคนนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องชอบที่ตัวบุคคลด้วยอันที่จริงทุกคนล้วนมีความสามารถเฉพาะตัวของตัวเอง เพียงแต่ว่าบางคนค้นพบแล้ว บางคนยังไม่ค้นพบ
“บอกฉันมาซะดีๆเจ้าบ้าเธอไปทำอะไรให้นายไม่พอใจใช่มั้ย” จางเล่ยรู้จักจี้เฟิงเป็นอย่างดี ปกติแล้วจี้เฟิงมักจะเป็นคนที่สงบสติอารมณ์ได้ดีอยู่เสมอ เขาไม่ค่อยพูดเรื่องของคนอื่นลับหลังไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี แต่ครั้งนี้เขาพูดมากกว่าปกติแค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเว่ยซินจะต้องทำอะไรให้เขาไม่พอใจอย่างแน่นอน
จี้เฟิงส่ายหัว“เรื่องไม่เป็นเรื่อง อย่าไปพูดถึงมันเลย”
“ตามใจนายแล้วกันมันน่าเบื่อจริงๆที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ว่าแต่นายจัดการเรื่องเขียนคำสารภาพของเล่ยเล่ยไปรึยัง” จางเล่ยเปลี่ยนเรื่องถาม
จี้เฟิงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า“อืม แต่เหมือนว่ามีบางคนต้องการจะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่….” จี้เฟิงเล่าถึงสาเหตุต่างๆให้จางเล่ยฟังและมันก็ทำให้สีหน้าของจางเล่ยมืดครึ้มลงทันทีและเขาก็พูดขึ้นว่า “นายไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ ปล่อยให้ฉันจัดการเอง! ในเมื่อเรามีบัตรรับรองที่พักแล้ว ที่เหลือก็แค่รอให้ไอ้สารเลวพวกนั้นมาตกหลุมพราง!”
จี้เฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าตกลง“ถ้านายมีปัญหาอะไรก็ติดต่อหาโจวหลี่รองหัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยได้เลย”
จางเล่ยยิ้มชั่วร้าย“ฮี่ฮี่ มีใครบางคนกำลังจะโชคร้าย!”
จี้เฟิงยิ้มและส่ายหัวจากนั้นก็เดินเข้าหอประชุมไปพร้อมกับจางเล่ยในใจของเขากลับรู้สึกเสียใจกับเว่ยเฉินหลิงอย่างเงียบๆ เพราะถ้าเขาตกอยู่ในเงื้อมมือของจางเล่ย เกรงว่าจุดจบของเขาคงจะไม่สวยนัก จางเล่ยไม่เคยเป็นคนใจอ่อน!
เมื่อทั้งสองมาถึงหอประชุมการแสดงได้เริ่มไปแล้ว นอกจากแสงไฟบนเวทีแล้วที่อื่นๆนั้นมืดสนิท อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่อาจหยุดความสามารถในการมองเห็นของจี้เฟิงได้เขายืนอยู่หน้าประตูและมองไปรอบๆ จนพบเซียวหยูซวนกับเล่ยเล่ย
จี้เฟิงและจางเล่ยเดินเข้าไปข้างในและนั่งลงขณะนั้นเองการแสดงล่าสุดก็จบลง และรายการต่อไปเป็นการแสดงเดี่ยวของเว่ยซิน
ทันทีที่เว่ยซินปรากฏตัวบรรยากาศในหอประชุมก็เพิ่มขึ้นทันทีผู้ชมทุกคนปรบมืออย่างกระตือรือร้นและตะโกนออกมาอย่างสนุกสนาน เสียงที่ดังสนั่นแทบจะทำหลังคาของหอประชุมถล่ม
ในตอนนี้จี้เฟิงได้เห็นแล้วว่าเว่ยซินนั้นเป็นที่นิยมมากขนาดไหนฉายาซุปเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งของประเทศจีนไม่ใช่แค่ข่าวลือจริงๆ!
จี้เฟิงมองไปรอบๆและเห็นว่าใบหน้าของนักเรียนนักศึกษาหลายคนนั้นแดงก่ำไปด้วยความตื่นเต้นจี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน หากแฟนคลับเหล่านี้ได้รู้จักนิสัยที่แท้จริงของสิ่งที่เรียกว่าซุปเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาจะยังมีสีหน้าแบบนี้อยู่อีกหรือเปล่า!
อย่างไรก็ตามความคิดนี้ก็แค่แวบผ่านมาในหัวของเขาเท่านั้นจี้เฟิงหยุดคิดถึงเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหญิงแห่งวงการนักร้องหรือจะเป็นซุปเปอร์สตาร์อันดับหนึ่ง ก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขา จี้เฟิงจึงไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องนี้
ในขณะที่มองดูการเต้นและการร้องเพลงที่ไพเราะของเว่ยซินจี้เฟิงก็ค่อยๆจมลงไปในความคิดของเขา
การมาถึงเจียงโจวพร้อมกับความคับข้องใจของจี้เสี่ยวหยูก็พอจะบอกได้ว่าสถานการณ์ของผู้อาวุโสนั้นเลวร้ายมาก
ถ้าหากว่าร่างกายของผู้อาวุโสยังพอมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นหรือไม่ก็ทนอยู่ให้ได้นานขึ้นอีกสักระยะ พวกญาติสายรองคงไม่กล้าทำตัวไร้ยางอายขนาดนี้ แต่ในเมื่อพวกมันกล้าผยองตัวขนาดนี้นั่นก็หมายความว่าร่างกายของผู้อาวุโสคงย่ำแย่มาก แม้ว่าพวกเขาจะอาละวาดมากแค่ไหนแต่ผู้อาวุโสก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาลงโทษพวกเขาได้ หรือแม้กระทั่งจะเอ่ยปากออกคำสั่ง!
นี่ยังมีอีกอย่างที่จี้เฟิงยังไม่เข้าใจว่าทำไมผู้อาวุโสที่เป็นญาติสายรองถึงได้ต่อต้านพ่อและอาๆของเขาจนถึงขนาดปล่อยให้ลูกหลานมาบีบบังคับแม่ของเขาและเสี่ยวหยูตรงๆ ซึ่งดูไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด!
จี้ช่าวเหลยพี่ชายคนที่สองของจี้เฟิงเคยบอกไว้ว่าแม้ว่าสายตรงและสายรองจะแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันอย่างดุเดือดเพื่อตำแหน่งผู้นำตระกูลจี้คนต่อไป แต่อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลจี้ และทุกคนยังคงมีเป้าหมายเดียวกันนั่นคือทำให้ตระกูลจี้รุ่งโรจน์ยิ่งขึ้น
การแข่งขันทั้งหมดดำเนินการภายใต้เป้าหมายนี้
แต่ตอนนี้สิ่งที่สายรองทำอยู่ไม่เป็นเช่นนั้น
มันต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างสิ….ที่ทำให้พวกเขากล้าทำได้ขนาดนี้
หรือว่า!!หัวใจของจี้เฟิงเต้นรัว นี่คงไม่ใช่ว่าพวกญาติสายรองที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำได้รับแรงสนับสนุนจากผู้อาวุโสของเขาให้ทำเรื่องพวกนี้
“เป็นไปได้มาก!”จี้เฟิงพยักหน้าอยู่ในใจ
“แต่ถ้าหากพฤติกรรมของลูกพี่ลูกน้องสายรองได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสของเขาจริงๆ…”จี้เฟิงลูบคางส่วนมืออีกข้างหนึ่งแตะเบาๆบนเก้าอี้ นี่เป็นนิสัยของเขาเวลาที่กำลังคิดอะไรอยู่
“ถ้าเป็นอย่างนั้นเป้าหมายของพวกเขาก็ง่ายมาก!จงใจทำให้ฉันรู้เรื่องนี้เพื่อทำให้ฉันโกรธ ที่เหลือก็แค่รอให้ฉันลงมือทำเรื่องโง่ๆ แล้วพวกเขาก็ใช้เรื่องนี้มาเป็นกลีบกุหลาบโรยทางให้พวกเขาขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำได้ง่ายขึ้น!”
จี้เฟิงอดยิ้มออกมาไม่ได้“ดูท่าว่าเสี่ยวหยูและอาสะใภ้จะถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยไม่รู้ตัว และอาสามคงรู้เรื่องนี้เลยห้ามไม่ให้อาสะใภ้ไปทะเลาะกับลูกพี่ลูกน้องคนนั้นสินะ”
“ในเมื่อพวกแกอยากให้ฉันขาดสติจนทำเรื่องไม่ดีฉันจะทำให้พวกแกผิดหวังได้ยังไง” มุมปากของจี้เฟิงโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่เย็นชา ดวงตาฉายแววเย็นยะเยือก “ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอื่น เพียงแค่สิ่งที่พวกแกทำให้แม่ของฉันต้องทุกข์ใจ ฉันก็จะไม่ทำให้พวกแกต้องผิดหวัง!”
เขาพูดอย่างจริงจังและหนักแน่น“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะไม่มีวันทำให้เล่ยเล่ยต้องเสียใจ!”
จางเล่ยส่ายหัวเล็กน้อยแล้วพูดว่า“ฉันไม่อยากแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้อีก แต่พี่ชายคนนี้ขอเพียงอย่างเดียว นายอย่าทำให้เล่ยเล่ยต้องเสียใจ!”
จี้เฟิงได้แต่พยักหน้าอย่างจริงจัง
จางเล่ยผ่อนคลายลงทันทีแน่นอนว่าเขารู้ว่านิสัยของจี้เฟิงเป็นอย่างไร จี้เฟิงไม่ใช่คนที่จะรับปากหรือให้สัญญากับใครง่ายๆ เพราะเมื่อเขาได้เอ่ยปากให้คำมั่นกับใครไปแล้ว เขาจะต้องทำตามคำพูดของเขาให้สำเร็จอย่างแน่นอน ปกติจี้เฟิงเป็นคนที่จริงจังอยู่แล้วไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเรื่องสำคัญแบบนี้เขาจะจริงจังมากขนาดไหน “ถ้าอย่างนั้นฉันก็สบายใจ!”จางเล่ยพูดพลางหัวเราะ “พูดก็พูดเถอะ นายนี่มีไม่ธรรมดาจริงๆ! นายจีบอาจารย์เลยนะเว้ย! แต่เอาเข้าจริง มันก็ไม่ได้ผิดความคาดหมายของฉันเท่าไหร่หรอกนะ! เพราะฉันก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วระหว่างนายกับอาจารย์เซียวจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น…”
จี้เฟิงอึ้ง“ทำไมนายถึงคิดอย่างนั้น”
“ฉันไม่ใช่คนตาบอด!”จางเล่ยเบ้ปากอย่างเหยียดหยาม “พวกนายสองคนทำตัวอย่างกับเป็นสามีภรรยาที่รักกันปานจะกลืนกินขนาดนั้น อ่า.. ไม่สิ เป็นอนุภรรยา เซียวหยูซวนอยู่ในฐานะอาจารย์ แต่นายกลับกล้าไปดื่มกินกับเธอชิวๆ แถมยังพูดจาสบายๆกับเธออีก เห็นได้ชัดว่านายไม่ได้ปฏิบัติต่อเธอในฐานะอาจารย์คนหนึ่งเลย แล้วแบบนี้นายจะไม่ให้ฉันรู้ได้ยังไงว่าสักวันมันต้องมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น!”
จี้เฟิงถลึงตาใส่เขาและอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น“นายนี่รู้ดีกว่าตัวฉันเองซะอีกนะ!” จางเล่ยยิ้มและยักไหล่โดยไม่พูดอะไร
“แล้ววันนี้อะไรที่ทำให้นายมั่นใจ”จี้เฟิงถามอีกครั้ง
จี้เฟิงลองคิดย้อนกลับไปเขามั่นใจว่าเมื่อครู่นี้ไม่น่าจะมีการกระทำใกล้ชิดอะไรระหว่างเขากับเซียวหยูซวน แล้วจางเล่ยสังเกตเห็นได้จากอะไร
จางเล่ยพึมพำ“เวลาที่เซียวหยูซวนมองนาย แม้แต่คนตาบอดก็สามารถมองเห็นความรักที่อยู่ในดวงตาของเธอได้ นับประสาอะไรกับคนฉลาดอย่างฉันล่ะเพื่อน!”
จี้เฟิงพูดไม่ออกเรื่องบางเรื่องยากที่จะปกปิด โชคดีที่เขาไม่เคยคิดที่จะปกปิด เขาตั้งใจจะบอกเรื่องนี้กับจางเล่ยอยู่แล้ว เพียงแต่ช่วงนี้เขาไม่ค่อยมีเวลา
“ไปกันเถอะไปงานปาร์ตี้กัน!” จางเล่ยพูดขึ้น ตอนนี้เขาได้รับคำมั่นจากจี้เฟิงแล้วดังนั้นเขาจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก เขาเชื่อว่าจี้เฟิงจะรักษาสัญญาและตราบใดที่เขาและจี้เฟิงยังเป็นพี่น้องกัน จี้เฟิงจะไม่ทำให้เล่ยเล่ยต้องเจ็บปวดใจอย่างแน่นอน
ทั้งสองเพิ่งเริ่มเดินไปได้ไม่กี่ก้าวจางเล่ยก็หันกลับมาแล้วถามว่า “เออเจ้าบ้า ในกลุ่มคนที่มาพร้อมกับนายเมื่อกี้ ฉันเห็นผู้ชายสามคน พวกเขาดู… แข็งแกร่ง อืม… ดูเหมือนจะเป็นคนที่มีทักษะการต่อสู้ที่ดีมากใช่มั้ย?”
“นายว่าไงนะ”จี้เฟิงถามกลับ แน่นอนว่าเขารู้ว่าจางเล่ยกำลังพูดถึงใคร แต่จางเล่ยสามารถบอกได้ทันทีเลยว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป สิ่งนี้ทำให้จี้เฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ตราบใดที่ทหารสามคนนั้นไม่ได้ลงมือคนธรรมดาส่วนใหญ่จะคิดว่าพวกเขาเป็นเพียงบอดี้การ์ดทั่วไปเท่านั้น
จางเล่ยหรี่ตาใส่จี้เฟิง“นายอย่าได้คิดที่จะปิดบังฉันอีก! ผู้ชายสามคนนี้ออร่าที่น่าเกรงขามพุ่งซะขนาดนั้น ต่อให้เป็นฉันก็ยังรู้สึกได้ พวกเขามีบรรยากาศรอบตัวเหมือนกับคนที่คอยคุ้มกันคุณปู่ของฉัน… พวกเขามาจากหยานจิงใช่มั้ย” จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า“ใช่ นายเห็นเด็กสาวน่ารักๆที่ดูเรียบร้อยคนนั้นมั้ย เธอคือจี้เสี่ยวหยู ลูกพี่ลูกน้องของฉันเอง ส่วนผู้ชายที่มีออร่าน่าเกรงขามที่นายพูดถึงคือคนที่อาสามส่งมาคอยคุ้มกันเธอ เขาคงกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ” อันที่จริงคนที่ส่งทหารสามคนนั้นมาคืออาสะใภ้สาม แต่รายละเอียดอื่นๆคงไม่จำเป็นต้องบอกจางเล่ย ไม่เช่นนั้นฉันเกรงว่าผู้ชายคนนี้คงจะโกรธทันที
“ฉันว่าแล้ว!”จางเล่ยรู้สึกโล่งใจในทันที เขารู้ว่าอาสามของจี้เฟิงเป็นบุคคลสำคัญในกองทัพ การที่คนระดับนั้นจะส่งทหารสามคนมาคอยดูแลความปลอดภัยของลูกสาวก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินไปเลย
“แล้วผู้หญิงอีกคนที่สวมหมวกล่ะเธอเป็นใคร เธอก็มาจากหยานจิงเหมือนกันเหรอ” จางเล่ยถาม
“เธอคนนั้นน่ะเหรอ”จี้เฟิงยิ้ม “ใช่แล้ว เธอชื่อเว่ยซิน เธอมาจากหยานจิงพร้อมกับลูกพี่ลูกน้องของฉัน…” ใครจะรู้ว่าก่อนที่จี้เฟิงจะทันได้พูดจบจางเล่ยก็เบิกตากว้างและตะโกนว่า “นายบอกว่าเธอคือใครนะ เหวินเว่ยซินงั้นเหรอ!
“ใช่…มีอะไร ทำไมนายถึงต้องทำท่าโอเวอร์ขนาดนั้นด้วย?” จี้เฟิงเหลือบมองจางเล่ยด้วยสายตาแปลกๆ เขาไม่ได้มีความประทับใจที่ดีต่อผู้หญิงคนนั้นเลยสักนิด ไม่ใช่แค่ความดื้อรั้นเอาแต่ใจของผู้หญิงคนนั้นเท่านั้นที่ทำให้จี้เฟิงไม่ค่อยชอบเธอ แต่ท่าทางที่หยิ่งยโสของเธอก็ทำให้จี้เฟิงรู้สึกไม่ดีต่อเธอมากยิ่งขึ้นไปอีกด้วย
คนบางคนถูกเลี้ยงดูมาให้เสียคนตั้งแต่เด็กคนแบบนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนไม่มีเหตุผลและชอบคิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่น
“ดูเหมือนนายจะไม่ชอบเธอนะ”
จางเล่ยเหล่มองจี้เฟิงราวกับว่าเขาเป็นมนุษย์ต่างดาว“เจ้าบ้า นายไม่รู้จริงๆเหรอว่าเว่ยซินเป็นใคร ตอนนี้เธอได้ชื่อว่าเป็นนักร้องที่ฮอตที่สุดในประเทศจีนเลยนะ! ตอนนี้แทบจะไม่มีใครไม่รู้จักเธอแล้วมั้ง! สถานะของเธอพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจนถูกยกย่องว่าเธอนี่แหละคือซุปเปอร์สตาร์ตัวจริงที่ขึ้นแท่นเป็นเจ้าหญิงแห่งวงการนักร้องของประเทศ! แต่นายกลับพูดถึงเธอด้วยน้ำเสียงและสีหน้าแบบนี้เนี่ยนะ?!”
จี้เฟิงขี้เกียจจะเถียงกับจางเล่ยเขาแค่ยิ้มและถามว่า “ทำไมล่ะ นายก็เป็นแฟนคลับที่คอยตามไปเชียร์พวกนักร้องดาราเหมือนกันเหรอเนี่ย?”
จี้เฟิงส่ายหัวทันที“ไอ้บ้า! นายเข้าใจผิดแล้ว อย่างฉันไม่ได้เรียกว่าแฟนคลับ ระดับฉันไม่จำเป็นต้องไปไล่ตามใคร ฉันแค่ชอบเพลงของพวกเขาก็เท่านั้น แต่ถ้าจะแค่หน้าตาดีอย่างเดียวแล้วผลงานไม่ได้เรื่อง ก็ไม่คู่ควรให้คนอย่างฉันไปติดตามหรอก!”
จี้เฟิงอดหัวเราะไม่ได้ผู้ชายคนนี้มองอะไรได้ทะลุปรุโปร่งเสมอเสียงเพลงเป็นเพียงการแสดงออกถึงความสามารถเท่านั้น การชื่นชอบผลงานและความสามารถของคนนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องชอบที่ตัวบุคคลด้วยอันที่จริงทุกคนล้วนมีความสามารถเฉพาะตัวของตัวเอง เพียงแต่ว่าบางคนค้นพบแล้ว บางคนยังไม่ค้นพบ
“บอกฉันมาซะดีๆเจ้าบ้าเธอไปทำอะไรให้นายไม่พอใจใช่มั้ย” จางเล่ยรู้จักจี้เฟิงเป็นอย่างดี ปกติแล้วจี้เฟิงมักจะเป็นคนที่สงบสติอารมณ์ได้ดีอยู่เสมอ เขาไม่ค่อยพูดเรื่องของคนอื่นลับหลังไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี แต่ครั้งนี้เขาพูดมากกว่าปกติแค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเว่ยซินจะต้องทำอะไรให้เขาไม่พอใจอย่างแน่นอน
จี้เฟิงส่ายหัว“เรื่องไม่เป็นเรื่อง อย่าไปพูดถึงมันเลย”
“ตามใจนายแล้วกันมันน่าเบื่อจริงๆที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ว่าแต่นายจัดการเรื่องเขียนคำสารภาพของเล่ยเล่ยไปรึยัง” จางเล่ยเปลี่ยนเรื่องถาม
จี้เฟิงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า“อืม แต่เหมือนว่ามีบางคนต้องการจะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่….” จี้เฟิงเล่าถึงสาเหตุต่างๆให้จางเล่ยฟังและมันก็ทำให้สีหน้าของจางเล่ยมืดครึ้มลงทันทีและเขาก็พูดขึ้นว่า “นายไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ ปล่อยให้ฉันจัดการเอง! ในเมื่อเรามีบัตรรับรองที่พักแล้ว ที่เหลือก็แค่รอให้ไอ้สารเลวพวกนั้นมาตกหลุมพราง!”
จี้เฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าตกลง“ถ้านายมีปัญหาอะไรก็ติดต่อหาโจวหลี่รองหัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยได้เลย”
จางเล่ยยิ้มชั่วร้าย“ฮี่ฮี่ มีใครบางคนกำลังจะโชคร้าย!”
จี้เฟิงยิ้มและส่ายหัวจากนั้นก็เดินเข้าหอประชุมไปพร้อมกับจางเล่ยในใจของเขากลับรู้สึกเสียใจกับเว่ยเฉินหลิงอย่างเงียบๆ เพราะถ้าเขาตกอยู่ในเงื้อมมือของจางเล่ย เกรงว่าจุดจบของเขาคงจะไม่สวยนัก จางเล่ยไม่เคยเป็นคนใจอ่อน!
เมื่อทั้งสองมาถึงหอประชุมการแสดงได้เริ่มไปแล้ว นอกจากแสงไฟบนเวทีแล้วที่อื่นๆนั้นมืดสนิท อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่อาจหยุดความสามารถในการมองเห็นของจี้เฟิงได้เขายืนอยู่หน้าประตูและมองไปรอบๆ จนพบเซียวหยูซวนกับเล่ยเล่ย
จี้เฟิงและจางเล่ยเดินเข้าไปข้างในและนั่งลงขณะนั้นเองการแสดงล่าสุดก็จบลง และรายการต่อไปเป็นการแสดงเดี่ยวของเว่ยซิน
ทันทีที่เว่ยซินปรากฏตัวบรรยากาศในหอประชุมก็เพิ่มขึ้นทันทีผู้ชมทุกคนปรบมืออย่างกระตือรือร้นและตะโกนออกมาอย่างสนุกสนาน เสียงที่ดังสนั่นแทบจะทำหลังคาของหอประชุมถล่ม
ในตอนนี้จี้เฟิงได้เห็นแล้วว่าเว่ยซินนั้นเป็นที่นิยมมากขนาดไหนฉายาซุปเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งของประเทศจีนไม่ใช่แค่ข่าวลือจริงๆ!
จี้เฟิงมองไปรอบๆและเห็นว่าใบหน้าของนักเรียนนักศึกษาหลายคนนั้นแดงก่ำไปด้วยความตื่นเต้นจี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน หากแฟนคลับเหล่านี้ได้รู้จักนิสัยที่แท้จริงของสิ่งที่เรียกว่าซุปเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาจะยังมีสีหน้าแบบนี้อยู่อีกหรือเปล่า!
อย่างไรก็ตามความคิดนี้ก็แค่แวบผ่านมาในหัวของเขาเท่านั้นจี้เฟิงหยุดคิดถึงเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหญิงแห่งวงการนักร้องหรือจะเป็นซุปเปอร์สตาร์อันดับหนึ่ง ก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขา จี้เฟิงจึงไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องนี้
ในขณะที่มองดูการเต้นและการร้องเพลงที่ไพเราะของเว่ยซินจี้เฟิงก็ค่อยๆจมลงไปในความคิดของเขา
การมาถึงเจียงโจวพร้อมกับความคับข้องใจของจี้เสี่ยวหยูก็พอจะบอกได้ว่าสถานการณ์ของผู้อาวุโสนั้นเลวร้ายมาก
ถ้าหากว่าร่างกายของผู้อาวุโสยังพอมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นหรือไม่ก็ทนอยู่ให้ได้นานขึ้นอีกสักระยะ พวกญาติสายรองคงไม่กล้าทำตัวไร้ยางอายขนาดนี้ แต่ในเมื่อพวกมันกล้าผยองตัวขนาดนี้นั่นก็หมายความว่าร่างกายของผู้อาวุโสคงย่ำแย่มาก แม้ว่าพวกเขาจะอาละวาดมากแค่ไหนแต่ผู้อาวุโสก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาลงโทษพวกเขาได้ หรือแม้กระทั่งจะเอ่ยปากออกคำสั่ง!
นี่ยังมีอีกอย่างที่จี้เฟิงยังไม่เข้าใจว่าทำไมผู้อาวุโสที่เป็นญาติสายรองถึงได้ต่อต้านพ่อและอาๆของเขาจนถึงขนาดปล่อยให้ลูกหลานมาบีบบังคับแม่ของเขาและเสี่ยวหยูตรงๆ ซึ่งดูไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด!
จี้ช่าวเหลยพี่ชายคนที่สองของจี้เฟิงเคยบอกไว้ว่าแม้ว่าสายตรงและสายรองจะแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันอย่างดุเดือดเพื่อตำแหน่งผู้นำตระกูลจี้คนต่อไป แต่อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลจี้ และทุกคนยังคงมีเป้าหมายเดียวกันนั่นคือทำให้ตระกูลจี้รุ่งโรจน์ยิ่งขึ้น
การแข่งขันทั้งหมดดำเนินการภายใต้เป้าหมายนี้
แต่ตอนนี้สิ่งที่สายรองทำอยู่ไม่เป็นเช่นนั้น
มันต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างสิ….ที่ทำให้พวกเขากล้าทำได้ขนาดนี้
หรือว่า!!หัวใจของจี้เฟิงเต้นรัว นี่คงไม่ใช่ว่าพวกญาติสายรองที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำได้รับแรงสนับสนุนจากผู้อาวุโสของเขาให้ทำเรื่องพวกนี้
“เป็นไปได้มาก!”จี้เฟิงพยักหน้าอยู่ในใจ
“แต่ถ้าหากพฤติกรรมของลูกพี่ลูกน้องสายรองได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสของเขาจริงๆ…”จี้เฟิงลูบคางส่วนมืออีกข้างหนึ่งแตะเบาๆบนเก้าอี้ นี่เป็นนิสัยของเขาเวลาที่กำลังคิดอะไรอยู่
“ถ้าเป็นอย่างนั้นเป้าหมายของพวกเขาก็ง่ายมาก!จงใจทำให้ฉันรู้เรื่องนี้เพื่อทำให้ฉันโกรธ ที่เหลือก็แค่รอให้ฉันลงมือทำเรื่องโง่ๆ แล้วพวกเขาก็ใช้เรื่องนี้มาเป็นกลีบกุหลาบโรยทางให้พวกเขาขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำได้ง่ายขึ้น!”
จี้เฟิงอดยิ้มออกมาไม่ได้“ดูท่าว่าเสี่ยวหยูและอาสะใภ้จะถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยไม่รู้ตัว และอาสามคงรู้เรื่องนี้เลยห้ามไม่ให้อาสะใภ้ไปทะเลาะกับลูกพี่ลูกน้องคนนั้นสินะ”
“ในเมื่อพวกแกอยากให้ฉันขาดสติจนทำเรื่องไม่ดีฉันจะทำให้พวกแกผิดหวังได้ยังไง” มุมปากของจี้เฟิงโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่เย็นชา ดวงตาฉายแววเย็นยะเยือก “ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอื่น เพียงแค่สิ่งที่พวกแกทำให้แม่ของฉันต้องทุกข์ใจ ฉันก็จะไม่ทำให้พวกแกต้องผิดหวัง!”