The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 317 - 318
เจ้าบ้า!นายคิดอะไรอยู่ ทำไมดูหมกมุ่นขนาดนั้น จางเล่ยที่นั่งอยู่ข้างๆเอาศอกกระทุ้งจี้เฟิงเบาๆ ผู้หญิงคนนี้ร้องไม่เก่งอย่างที่คิดเลยแฮะ เสียงสูงก็ขึ้นไม่ถึง เสียงต่ำก็ต่ำไม่สุด เพลงของเธอที่เป็นที่นิยมอยู่ตอนนี้คงไม่ใช่ให้คนอื่นมาร้องแทนแล้วลิปซิงค์เอาหรอกนะ? ฉันได้ยินมาว่าการลิปซิงค์กำลังเป็นที่นิยมในวงการเพลงเลยล่ะ!
จี้เฟิงที่จมอยู่ในความคิดก็ได้สติกลับคืนมาพอได้ยินคำวิจารณ์ของจางเล่ยเขาก็หัวเราะออกมาอย่างเซ่อๆ ‘เจ้าหมอนี่ก็พูดซะเสียความเป็นนักร้องดังเลย’
อย่างไรก็ตามจี้เฟิงต้องยอมรับว่าการพูดของจางเล่ยนั้นมีเหตุมีผล
เมื่อพูดถึงความสามารถในการร้องเพลงของเว่ยซินแม้จะไม่ถึงกับทนฟังไม่ได้อย่างที่จางเล่ยพูด แต่เธอร้องเพลงขึ้นเสียงสูงไม่ได้จริงๆ พอท่อนที่ลงต่ำเสียงของเธอก็สั่นเล็กน้อย มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง อย่างแรกคือร่างกายของเธอแย่มาก ปอดของเธอไม่แข็งแรงพอ ปกติแล้วคนที่เป็นนักร้องมักจะกักเก็บลมหายใจและเลือกใช้ให้ถูกจังหวะได้อย่างดีเยี่ยม แต่การร้องด้วยเสียงที่สั่นเครือแบบนี้เห็นได้ชัดว่าร่างกายของเธอไม่สมบูรณ์พร้อม
และอย่างที่สองเธอกำลังกลัว คนเรามักจะตัวสั่นเมื่อรู้สึกกลัว
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเพลงก่อนหน้านี้ของเธอใช้การลิปซิงค์หรือเปล่า และก็ไม่สนใจที่จะรู้ด้วย
ร้องอะไรวะไม่ฟงไม่ฟังมันแล้ว ถ้าขืนยังฟังต่อฉันคงอ้วกแตกแน่ๆ! จางเล่ยส่ายหัวอย่างหงุดหงิด เจ้าบ้า เราออกไปเดินเล่นข้างนอกกันมั้ย!
ออกไปตอนนี้เลยเหรอ จี้เฟิงคิดอยู่เล็กน้อยและพยักหน้า เอาสิน่าจะดีกว่าอยู่ที่นี่!
ทันทีที่เขาพูดจบชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆเขาก็พูดขึ้นอย่างหมดความอดทน พวกนายสองคนพูดคุยกันไม่จบไม่สิ้นสักที ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องฟังไม่มีใครบังคับให้พวกนายฟังนี่ มานั่งบ่นพึมพำรบกวนคนอื่นอยู่ได้!
นายว่าไงนะ! จางเล่ยโกรธขึ้นมาทันที จี้เฟิงรีบดึงเขาไว้และหันไปพูดกับชายหนุ่มคนนั้นด้วยรอยยิ้มว่า ฉันต้องขอโทษด้วย พวกเราจะออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะ!
จี้เฟิงต้องลากจางเล่ยไปตลอดทางและจางเล่ยยังคงตะโกนด่าไม่หยุด นักร้องที่ร้องเพลงแบบนี้ แต่กลับถูกขนานนามว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งวงการเพลงเนี่ยนะ! ความสามารถในการร้องเพลงแทบไม่ต่างจากคนทั่วไปร้องคาราโอเกะ! แต่ไอ้หมอนั่นก็ยังหลงเสน่ห์ ไม่รู้ว่าหัวสมองคิดอะไรอยู่?!
จี้เฟิงยิ้มอย่างอ่อนใจ ลางเนื้อชอบลางยา นายไม่ชอบก็อย่าไปบังคับให้คนอื่นเขาไม่ชอบด้วยสิ
ฉันล่ะไม่รู้จริงๆเลยว่านักเรียนสมัยนี้คิดอะไรกันอยู่! จางเล่ยส่ายหัวและเดินออกจากห้องประชุม จี้เฟิงได้แต่ยิ้มอย่างบิดเบี้ยวและเดินตามไป‘พูดอย่างกะตัวเองอายุ 40!’
แต่จริงๆแล้วที่การแสดงของเว่นซินออกมาเป็นแบบนี้เป็นเพราะมีจี้เฟิงเป็นสาเหตุแต่แน่นอนว่าจี้เฟิงไม่รู้
เป็นเพราะก่อนหน้านี้เว่ยซินมีความคิดที่จะทำร้ายจี้เฟิงแถมยังพูดจาดูถูกเหยียดหยาม มันจึงทำให้เธอรู้สึกกลัว แม้ว่าภูมิหลังของตระกูลเธอจะค่อนข้างดีไม่อย่างนั้นเธอคงไม่เติบโตมาพร้อมกับจี้เสี่ยวหยูตั้งแต่เด็ก
แต่เมื่อเทียบกับจี้เฟิงแล้วตระกูลของเหวินเว่ยซินนั้นเทียบไม่ได้เลยจริงๆ แล้วเธอดันไปล่วงเกินจี้เฟิง ต่อให้พระเจ้าก็คงไม่รู้ว่าเขาจะเล่นงานเธอรึเปล่า
ถ้าตระกูลของเธอรู้ว่าเธอทำให้จี้เฟิงโกรธถึงตอนนั้นก็คงจะแปลกถ้าไม่พวกเขาไม่ลงโทษเธอ!
แล้วไหนจะจี้เสี่ยวหยูอีก
เมื่อเทียบกับความโกรธของจี้เฟิงสิ่งที่เธอกังวลมากกว่าคือทัศนคติของจี้เสี่ยวหยูที่มีต่อเธอจะเปลี่ยนแปลงไป
เว่ยซินรู้ดีว่าเหตุผลที่เธอเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ไม่ใช่เพียงเพราะเธอร้องเพลงได้ดีมีนักร้องหญิงที่มีชื่อเสียงและมีพรสวรรค์มากมาย แต่ในสายตาของตระกูลชนชั้นสูงเหล่านั้นดารานักร้องแม้ว่าจะถูกคนทั่วไปยกย่องว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งวงการหรือซุปเปอร์สตาร์ก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วพวกเธอก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ไว้สร้างความบันเทิงเท่านั้น พวกเขาไม่เคยเห็นนักร้องอย่างเธออยู่ในสายตา
ดังนั้นเหตุผลที่ตระกูลไม่วุ่นวายกับเธอที่เธออยู่ในวงการบันเทิงและมีสถานะอย่างทุกวันนี้ก็เพราะความสัมพันธ์ของเธอกับจี้เสี่ยวหยูเหมือนพี่น้อง อย่างน้อยก็ในสายตาของพวกคนนอก
ตอนนี้เธอทำให้จี้เฟิงไม่พอใจแล้วถ้าทัศนคติของจี้เสี่ยวหยูที่มีต่อเธอเปลี่ยนไปก็คงจะบอกได้ยากว่าคนในตระกูลจะปฏิบัติต่อเธออย่างไรในตอนนั้น และเพราะความกังวลใจเหล่านี้เองที่ทำให้การแสดงของเธอในวันนี้ต่ำกว่ามาตรฐานของเธอมาก
เป็นเพียงว่าโดยธรรมชาติแล้วจี้เฟิงไม่รู้ถึงสิ่งเหล่านี้หรือแม้ว่าเขาจะรู้ เขาก็คงทำได้แค่เพียงส่ายหัวและยิ้ม ตอนนี้เขายังมีอีกหลายสิ่งต้องทำ เขาไม่มีเวลามาสนใจผู้หญิงที่ไม่รู้แม้กระทั่งฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
ทันทีที่พวกเขาเดินออกจากหอประชุมจี้เฟิงกับจางเล่ยก็เห็นชายฉกรรจ์สามคนที่ติดตามจี้เสี่ยวหยูยืนอยู่ ร่างกายตั้งตรงราวกับหอก สองในสามคนนั้นซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด… ถ้าไม่ดูดีๆคงมองไม่เห็น
จางเล่ยรู้สึกประหลาดใจทันที เจ้าบ้าสามหนุ่มสามมุมตรงนั้นน่าทึ่งชะมัด! ถ้าฉันไม่เคยเห็นองครักษ์ที่อยู่ข้างๆคุณปู่ของฉันมาก่อน ฉันคงไม่รู้ว่ามีพวกเขาสามคนยืนอยู่ตรงนั้น
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย พวกเขาก็แค่ระมัดระวังตัวเท่านั้น เพราะถ้าพวกเขาต้องการจะซ่อนตัวจริงๆ ต่อให้นายจริงจังแค่ไหน ก็ไม่เห็นพวกเขาง่ายๆหรอก
เหมือนจางเล่ยจะนึกอะไรบางอย่างออกเขาคว้าคอจี้เฟิงทันที เจ้าบ้า! เจ้าตัวแสบ! ไหนนายบอกจะสอนกังฟูให้ฉันไง เมื่อไหร่จะสอนซักที?!
ฉันไม่ได้บอกนายไปแล้วเหรอว่าอีกประมาณ2-3เดือน! จี้เฟิงนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะและหักข้อมือของจางเล่ยออกไป ทำไมนายถึงใจร้อนนัก?
ถ้าเป็นนายนายจะไม่ใจร้อนเหรอ จางเล่ยแค่นเสียง งั้นบอกฉันมาหน่อยสิว่าถ้าเป็นนาย นายจะทำยังไงถ้าผู้หญิงที่นายชอบไปชอบหัวหน้าสมาคมเทควันโด! แล้วถ้าฉันไม่มีแม้แต่ศิลปะป้องกันตัว ฉันจะไปคว้าหัวใจของผู้หญิงที่ฉันชอบได้ยังไง?!
จี้เฟิงหัวเราะอย่างเย้ยหยันทันที แค่อยากเอาชนะใจผู้หญิงอย่างเดียวแน่เหรอ แค่นั้นก็ทำให้นายมีความมุ่งมั่นได้ขนาดนั้นเชียว? เล่ยซือบอกฉันมาตามตรง นายอยากเรียนกังฟูเพื่อจะได้เอาไปจัดการหัวหน้าสมาคมเทควันโดคนนั้นใช่มั้ย?
จางเล่ยยิ้มเจื่อนๆออกมาทันที เอ่อ… อันที่จริงฉันคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องยากถ้าฉันจะจัดการหมอนั่น แต่ด้วยวิธีอื่นน่ะนะ… แต่พอมาคิดดูแล้วฉันว่ามันก็ออกจะดูใจร้ายเกินไปหน่อย ฉันเลยคิดว่าถ้าฉันได้เรียนกังฟูกับนาย แล้วไปสั่งสอนบทเรียนให้ไอ้หมอนั่นด้วยตัวเอง ก็คงจะดีไม่น้อย นอกจากสะใจแล้วผู้หญิงก็คงจะหันมาชอบฉันแน่ๆ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวแบบนี้ มันไม่ดีตรงไหน
…..เวรเอ๊ย! จี้เฟิงอึ้งไปพักใหญ่และในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะสบถออกมา จากนั้นเขาก็ส่ายหัวและกล่าวว่า แล้วอย่างหลังมันไม่เรียกว่าใจร้ายหรือไง ผู้หญิงคนอื่นไม่ว่าเธอจะชอบใคร มันก็เป็นสิทธิของเธอ นายคิดว่าจะเปลี่ยนใจเธอได้ง่ายๆแบบนั้นเลยเหรอ? แล้วอีกอย่างอีกฝ่ายเป็นถึงหัวหน้าสมาคมเทควันโด! ต่อให้นายเรียนรู้กังฟูก็ใช่ว่าจะเอาชนะเขาได้ง่ายๆ หรือนายคิดว่าเรียนกังฟูไม่กี่กระบวนท่าก็นับว่าตัวเองเป็นยอดฝีมือแล้ว?
จางเล่ยเบ้ปากทันทีและกล่าวอย่างเหยียดหยามว่า เจ้าบ้า ไม่เห็นนายจะต้องดูถูกตัวเองขนาดนั้นเลย ไอ้เทควันโดนั่นน่ะก็ไม่ต่างจาก… เขาเรียกอะไรนะ อ้อ! เต้นแอโรบิค! เมื่อเทียบกับกังฟูของนายแล้วเทควันโดก็ไม่ต่างจากการเต้นแอโรบิค ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วฉันจะต้องกลัวมันอีกทำไม
สีหน้าของจี้เฟิงมืดครึ้มลงทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า เล่ยซือ อย่าหาว่าฉันสอนเลยนะ แต่ฉันขอเตือนนายเอาไว้อย่างนึง ไม่ว่าจะเป็นศิลปะการต่อสู้ชนิดไหน ก็ล้วนมีจุดแข็งในตัวของมันเอง ผู้ที่เชี่ยวชาญในวิชาเทควันโดที่แท้จริงนั้นแข็งแกร่งมาก อย่าดูถูกพวกเขาโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นตอนจบจะเป็นนายเองที่ต้องทุกข์ทรมาน!
จางเล่ยส่ายหัวและยิ้ม ฉันรู้แต่เรื่องนี้มันทำให้ฉันรู้สึกโกรธนิดหน่อย ในที่สุดฉันก็เจอผู้หญิงที่ฉันชอบ แล้วจะปล่อยให้มันจบโดยที่ยังไม่ได้เริ่มต้นเลยเนี่ยนะ และถึงแม้ว่ามันจะจบลง แต่ถ้าฉันได้ลองทำดู มันก็ต้องมีจุดจบที่เปลี่ยนไปจากเดิมบ้างแหละหน่า!
จี้เฟิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีตรรกะการคิดของผู้ชายคนนี้มีปัญหาแน่นอน อย่างไรก็ตามหลังจากที่โต้เถียงกับจางเล่ยมาหลายต่อหลายครั้ง เขาก็ไม่เคยเถียงชนะได้เลยสักครั้ง
เอาอย่างนี้แล้วกันเล่ยซือตอนนี้นายอย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่าม จำไว้นะว่าอย่างใจร้อน อย่าหุนหันพลันแล่น จี้เฟิงใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง และรู้สึกว่าเขาต้องอธิบายให้จางเล่ยฟังอย่างชัดเจน ปกติแล้วจางเล่ยจะเป็นคนที่ฉลาดรอบคอบ เข้าใจสถานการณ์ต่างๆได้ดี แต่นี้ครั้งแตกต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่เขาชอบผู้หญิง และจี้เฟิงก็พอจะมองออกว่าจางเล่ยจริงจังมาก
ในสถานการณ์แบบนี้จางเล่ยจะทำอะไรไปบ้างจี้เฟิงก็ไม่กล้ารับประกันดังนั้นเขาจึงต้องกำชับจางเล่ยอย่างละเอียด ช่วงนี้ฉันอาจจะออกจากเจียงโจวไปสักพักฉันเองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าสักพักนี่นานแค่ไหน แต่ฉันจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด! จี้เฟิงพูดด้วยน้ำเสียงที่ลึกล้ำ ถ้านายรู้สึกอึดอัด หรือเจ็บปวดใจ ก็ขอให้รอจนกว่าฉันจะกลับมา ฉันจะไปท้าประลองกับหัวหน้าสมาคมเทควันโดนั่นเอง ฉันจะเป็นคนลงมือเองโอเคมั้ย
โอเค! จางเล่ยดีใจมาก เขาอิจฉาฝีมือของจี้เฟิงมานานแล้ว ตราบใดที่เจ้าบ้านี่เต็มใจที่จะไปสู้ด้วยตัวเอง ต่อให้เป็นปรมาจารย์แห่งเทควันโดนแล้วยังไง
จางเล่ยไม่เชื่อหรอกว่าหัวหน้าสมาคมเทควันโดจะเทียบชั้นกับผู้ชายที่ต่อสู้กับอีกฝ่ายที่มีมากกว่า20 คนมาแล้วได้ แถมยังชนะแบบชิวๆอีกต่างหาก!
จี้เฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตบบ่าของจางเล่ยและพูดว่า เล่ยซือ นายน่าจะรู้สถานการณ์ของตัวเองดี ตอนนี้ไม่ใช่แค่นายต้องการจะไล่ตามจีบผู้หญิงคนหนึ่ง แต่นายคิดที่จะทำร้ายคนๆหนึ่งอยู่นะ
ก็เพราะแบบนั้นฉันเลยตั้งใจที่จะยอมแพ้ จางเล่ยหัวเราะ แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่สามารถปล่อยให้มันจบไปทั้งแบบนี้ได้ อย่างน้อยเวลาที่ฉันเศร้าฉันก็ไม่อยากเห็นพวกเขาหัวเราะอย่างมีความสุข อย่างน้อยก็ต้องทดสอบพวกเขาสักหน่อย เพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้ว่าชีวิตมันไม่ง่าย!
จี้เฟิงตะลึงจากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างโง่งม ตรรกะของนายยังคงแปลกเหมือนเดิม!
จางเล่ยส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น นี่ไม่ได้เรียกว่าตรรกะแปลกๆ แต่ความเป็นจริงฉันมันกากเองต่างหาก!
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้าแน่นอนว่าเขารู้ว่าจางเล่ยหมายถึงอะไร ในฐานะลูกหลานตระกูลถง เส้นทางในอนาคตของจางเล่ยไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง และรวมถึงเรื่องสำคัญอย่างการแต่งงาน แม้ว่าเขาจะไม่เคยกังวลเรื่องเงินทอง แต่ลูกหลานตระกูลใหญ่ก็มีปัญหาของตัวเองเช่นกัน
จู่ๆจางเล่ยก็มีท่าทีลังเลราวกับจะพูดอะไรบางอย่างเขาอ้าปากแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกไป
จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถามว่า เล่ยซือ นายมีอะไรจะบอกฉันหรือเปล่า บอกมาเถอะ
เจ้าบ้าเมื่อวานฉันคุยโทรศัพท์กับตาแก่.. พ่อของฉันน่ะ คำพูดของเขาเหมือนพยายามจะบอกให้ฉันมาเตือนนายว่าช่วงนี้อย่าเพิ่งสร้างปัญหา จางเล่ยทำหน้าสงสัย นายรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่า มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ?!
จี้เฟิงเงียบไปครู่หนึ่งดูเหมือนว่าเรื่องอาการป่วยของผู้เฒ่าตระกูลจี้จะแพร่กระจายออกไปมากขึ้นทุกที ตอนนี้ถงไคเต๋อก็บอกเป็นนัยว่าอย่าสร้างปัญหาในช่วงนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่ภายในตระกูลจี้เท่านั้นที่เริ่มมีความเคลื่อนไหว แม้แต่ภายนอกก็เริ่มเคลื่อนไหวกันแล้ว อันที่จริงลองมาคิดๆดูตระกูลจี้เป็นตระกูลชนชั้นสูงในอันดับต้นๆ มากด้วยอิทธิพลและทรัพย์สมบัติ แล้วตอนนี้ผู้อาวุโสผู้นำแห่งตระกูลจี้กำลังจะล้มลง คงจะแปลกมากถ้าไม่มีคนโลภออกมาเคลื่อนไหว!
ถึงแม้ว่าจี้เฟิงจะยังไม่ได้เข้าสู่ตระกูลจี้อย่างเต็มตัวและไม่เคยติดต่อกับสมาชิกคนอื่นๆภายในตระกูลแต่จี้เฟิงก็รู้ดีว่าไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดๆ ก็มักจะมีความขัดแย้งภายใน แม้ว่าจะเป็นสมาชิกในครอบครัวก็ตาม บางครั้งอาจถึงขั้นทะเลาะวิวาท!
จึงเป็นไปไม่ได้ที่พ่อของเขาจะทำให้สมาชิกในตระกูลจี้ทั้งหมดเชื่อใจและเทคะแนนให้หมดหน้าตักเพราะตอนนี้เขายังไปไม่ถึงระดับนั้น!
และคนที่ดูเหมือนจะมีศักยภาพมากที่สุดในรุ่นที่สามก็คงจะมีแต่พี่ใหญ่จี้ช่าวตง ส่วนคนอื่นๆนั้นยังเด็กเกินไป
ดังนั้นความไม่สมบูรณ์และไม่ลงรอยกันภายในตระกูลจี้ในปัจจุบันสำหรับหลายๆคนแล้วนี่ถือเป็นโอกาสทองที่หาได้ยาก!
จี้เฟิงครุ่นคิดอย่างเงียบๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรหาหยางเต๋อจ้าว ลุงหยาง คืนนี้ผมจะไปที่โรงงาน แจ้งคนของฝ่ายผลิตให้เตรียมตัวให้พร้อม และเตรียมวัตถุดิบดังต่อไปนี้…. ใช่! ผมจะทำยาบางอย่าง … มีความจำเป็นที่เร่งด่วน!
งานเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่ไม่ได้มีความหมายอะไรกับจี้เฟิงแต่สิ่งที่จางเล่ยเพิ่งบอกกับเขาทำให้เขาตัดสินทันทีว่าเขาจะต้องเข้าเมืองใหญ่!
ไม่ว่ายังไงเขาก็จะต้องไปหยานจิง!
หลังจากงานเลี้ยงต้อนรับน้องใหม่จบลงจี้เฟิงและคนอื่นๆก็ขับรถกลับไปที่วิลล่า โชคดีที่มีห้องเพียงพอในวิลล่า จึงตัดปัญหาเรื่องที่พัก จะได้ไม่ต้องไปพักอาศัยอยู่ที่โรงแรมให้สิ้นเปลือง
แม้ว่าเวลานี้จี้เฟิงจะพูดคุยและหัวเราะแต่เซียวหยูซวนและคนอื่นๆก็ตระหนักดีว่ามีความกังวลบางอย่างซ่อนอยู่ในอารมณ์ของจี้เฟิง
จางเล่ยก็ตามไปที่วิลล่าด้วยเช่นกันในฐานะพี่ชายเขาต้องเห็นความสุขของถงเล่ยด้วยตาตัวเองเขาถึงจะวางใจ
เสี่ยวหยูบอดี้การ์ดสามคนของเธอ… เซียวหยูซวนพูดพร้อมกับเหลือบมองชายสามคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงลานบ้านไม่ต่างจากรูปปั้น! ให้พวกเขาเข้ามาพักผ่อนข้างในเถอะ ที่นี่ยังมีห้องเหลืออยู่อีก
จี้เสี่ยวหยูย่นจมูกน้อยๆที่น่ารักของเธอและพูดว่า พี่หยูซวน ต่อให้หนูบอกเขาไปแบบนั้น เขาก็ไม่เข้ามาหรอกค่ะ!
ชายฉกรรจ์ทั้งสามคนเป็นทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีที่สุดพวกเขามีกฎสำหรับการป้องกันของพวกเขาเอง สำหรับพวกเขาแล้วความปลอดภัยของจี้เสี่ยวหยูคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าไปอยู่ในวิลล่า และแน่นอนว่าเซียวหยูซวนที่ไม่เคยสัมผัสกับอะไรแบบนี้จึงไม่เข้าใจ
แต่เมื่อจี้เสี่ยวหยูพูดแบบนี้เซียวหยูซวนจึงไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เธอแค่ดึงจี้เสี่ยวหยูและเล่ยเล่ยมานั่งใกล้ๆกันและพุดคุยกันเรื่องอื่นๆ
เมื่อเห็นว่าจี้เฟิงกำลังอยู่ในอารมณ์ไม่ดีหญิงสาวทั้งสามคนจึงไม่อยากรบกวนจี้เฟิง แต่ถงเล่ยถลึงตาจ้องมองไปที่จางเล่ยที่กำลังเล่นเกมคอมพิวเตอร์อยู่
จางเล่ยที่กำลังนั่งเล่นเกมอย่างเพลิดเพลินจู่ๆก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ไล่ขึ้นมาจากด้านหลังไปจนถึงท้ายทอยเขาจึงเงยหน้าขึ้นมาอย่างกะทันหันและเห็นดวงตาที่ไร้ความปรานีของถงเล่ย
บรื๋ออ~!
จู่ๆจางเล่ยก็รู้สึกหนาวจนร่างกายสั่นสะท้านเขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและพูดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า มีใครเอาอะไรมั้ย ฉันจะไปซื้อของ โอเค! ไม่มีนะ! เขารีบวิ่งออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
ที่ด้านหลังของจางเล่ยหญิงสาวสามคนก็หัวเราะคิกคักออกมาทันที เสียงนั้นสดใสราวกับกระดิ่งสีเงิน
ฉันเป็นพี่ชายไม่ใช่เหรอวะเนี่ยทำไมฉันถึงได้ทำตัวเหมือนน้องเล็กล่ะ?! จางเล่ยพึมพำกับตัวเอง เขาไม่กล้าพูดอะไรกับถงเล่ย ไม่มีทาง! เขากลัวถงเล่ยมาตั้งแต่ยังเด็กๆ คงจะมาเปลี่ยนเอาตอนนี้ไม่ได้แล้วล่ะ
แต่ความจริงตัวเขาเองก็ไม่ต้องการที่จะเปลี่ยนการโดนน้องสาวของตัวเองข่มเหงก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง จางเล่ยช่างเป็นคนแปลกๆ แม้แต่เรื่องที่ทำให้เขามีความสุข!
เมื่อมาถึงที่สนามหน้าบ้านจางเล่ยก็เห็นจี้เฟิงกำลังสูบบุหรี่อยู่ในรถและประตูรถไม่ได้ปิดขาข้างหนึ่งอยู่บนหน้าต่างอีกข้างหนึ่งอยู่บนพวงมาลัย (นั่งยังไงวะน่ะ!) ช่างไม่รักษาภาพลักษณ์เลยสักนิด
คิ้วของจางเล่ยย่นเข้าหากันทันทีเท่าที่เขาจำได้ ไม่ว่าตัวตนของจี้เฟิงจะเป็นแบบไหน เขาก็ไม่เคยเห็นจี้เฟิงเป็นแบบนี้มาก่อน
เมื่อก่อนครอบครัวของจี้เฟิงยากจนมากแม้แต่คนระดับล่างสุดของสังคมก็แทบไม่มีใครใส่เสื้อผ้าที่มีรอยปะชุนกันแล้ว แต่จี้เฟิงยังใส่แบบนั้นจนกระทั่งม.5
แต่เขาไม่เคยรู้สึกอับอายกับเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ไม่ว่ามันจะใหม่หรือเก่าจะมีร่องรอยการเย็บหรือปะชุนมันจะเป็นเสื้อผ้าที่สะอาดและได้รับการสวมใส่อย่างเรียบร้อยอยู่เสมอ แม้เขาจะเป็นคนพูดน้อย แต่ก็ทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงความสุภาพ
แต่ตอนนี้จี้เฟิงดูเป็นคนที่ร้ายกาจขึ้นเล็กน้อยเขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน!
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังมีปัญหาจริงๆ
เมื่อนึกถึงคำพูดของพ่อของเขาที่ฝากบอกจี้เฟิงก่อนหน้านี้จางเล่ยก็ตระหนักได้ว่าปัญหาของจี้เฟิงมาจากหยานจิง
จางเล่ยช่วยอะไรไม่ได้มากเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เขาทำได้เพียงหยิบบุหรี่ที่อยู่ตรงหน้าจี้เฟิงมาและจุดบุหรี่และสูบมันพร้อมกับจี้เฟิงอย่างเงียบๆ
เจ้าบ้านายมีอะไรให้ฉันช่วยมั้ย จางเล่ยสูบบุหรี่อยู่สองสามครั้งก่อนจะถามด้วยเสียงต่ำ พอเห็นจี้เฟิงนิ่งเงียบแบบนี้ ในใจของเขาก็รู้สึกหดหู่ไปด้วย แต่ส่วนใหญ่จะหนักไปทางอารมณ์โกรธมากกว่า เขาจึงอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา ให้ตายสิ! คงมีใครทำเรื่องบ้าๆอีกแล้วสินะ!
จี้เฟิงหดขาของเขากลับและนั่งตัวตรงดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม เออ! จะว่าไปมีบางอย่างที่นายช่วยฉันได้!
จางเล่ยรู้สึกสดชื่นขึ้นทันทีขอแค่พอจะมีอะไรให้เขาช่วยเหลือจี้เฟิงได้บ้าง สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เพียงยืนดูจี้เฟิงจมอยู่กับความเครียดเท่านั้น
จี้เฟิงสูบบุหรี่อัดเข้าปอดอีกเฮือกใหญ่และกล่าวว่า อีกไม่กี่วันฉันจะไปที่หยานจิง เมื่อถึงตอนนั้นฉันคงจะบอกไม่ได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่คงไม่ใช่เรื่องดี…. แต่นายไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ได้เป็นเรื่องที่อันตราย เมื่อจี้เฟิงพูดถึงตรงนี้เขาเห็นว่าดวงตาของจางเล่ยเริ่มแดงขึ้นเล็กน้อยจี้เฟิงจึงอดไม่ได้ที่จะบอกเขาว่าไม่มีอันตรายอะไรที่น่าเป็นห่วง และกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม หลังจากที่ฉันไป ฉันคงต้องฝากทุกอย่างให้นายช่วยดูแล
จี้เฟิงยกฝ่ามือขึ้นมาและงอนิ้วลง อย่างแรก เราต้องแน่ก่อนว่าหยูซวนและเล่ยเล่ยจะไม่พบปัญหาเมื่อไปที่มหาวิทยาลัย หากเหลือบ่ากว่าแรงและเจอปัญหาอะไร ให้นายไปหาโจวหลี่ที่แผนกรักษาความปลอดภัยเขาจะช่วยอำนวยความสะดวกให้นายได้มากกว่าที่คิดเลยล่ะ และนอกจากนี้ยังมีตู้เส้าเฟิงถ้าเกิดต้องปะทะกับใคร ตู้เส้าเฟิงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดทักษะทางการต่อสู้ของเขาไม่ธรรมดาเลย ฉันคิดว่าในมหาวิทยาลัยไม่มีใครเก่งกว่าเขาแล้วล่ะ ปัญหาในมหาวิทยาลัยตอนนี้ก็คงจะมีแค่เรื่องของเว่ยเฉินหลิงและเว่ยเฉียงเท่านั้นแหละ ฉันคงต้องให้นายช่วยจัดการ!
จางเล่ยไม่ได้พูดตอบอะไรเขายังตั้งใจฟังและเก็บรายละเอียด ในฐานะพี่ชาย สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้คือพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อทำตามสิ่งที่จี้เฟิงมอบหมายให้
อย่างที่สองเมื่อไม่กี่วันก่อนฉันได้ซื้อโรงงานผลิตยาแห่งหนึ่งมา มันคงไม่ใช่เรื่องดีถ้าไม่มีใครไปคอยดูแลเป็นระยะเวลานาน ถ้านายพอจะมีเวลาฉันอยากให้นายคอยไปดูให้หน่อย จี้เฟิงกล่าว
โรงงานผลิตยา จางเล่ยเบิกตากว้างทันที แน่นอนว่าเขารู้ว่าจี้เฟิงหาเงินได้มาจากการพนันหินหยก แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าเจ้าบ้าคนนี้จะซื้อโรงงานผลิตยาโดยที่เขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย!
จางเล่ยส่ายหัวทันทีและพูดว่า เจ้าบ้า สำหรับเรื่องนี้นายไม่ต้องการฉันหรอก ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากช่วยนะ แต่ฉันไม่มีความสามารถในด้านนี้ นายก็น่าจะรู้ว่าฉันเป็นคนยังไง ถ้าเรื่องอื่นๆฉันพอจัดการได้ แต่จะให้ฉันจัดการโรงงาน… นายปล่อยทิ้งไว้ยังจะดีซะกว่าเลยมั้ง! ถ้าไม่ใช่นายแล้วฉันจะหาใครมาช่วยได้อีก! จี้เฟิงพูดอย่างหงุดหงิด แม้ว่านิสัยของจางเล่ยจะเป็นคนขี้เล่นไม่จริงจัง แต่เขาก็เป็นคนที่ฉลาดมาก เขาอาจจะไม่เคยมีประสบการณ์ในด้านการบริหาร แต่แค่คอยไปดูแลไม่ให้พนักงานก่อเรื่องก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ฉันจะแนะนำคนให้นายคนนึง! จางเล่ยหัวเราะ คนๆนี้เหมาะสมกว่าฉันแน่นอน!
ใคร จี้เฟิงชะงัก
ฮั่นจง! จางเล่ยยิ้ม เป็นไง เขาเหมาะสมกว่าฉันหรือเปล่า?
จี้เฟิงตกตะลึงจริงๆแล้วเขาไม่ได้คิดที่จะให้ฮั่นจงมาช่วยจัดการโรงงานเพราะเขาไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้มากมายนัก แต่ในบรรดาคนที่เขารู้จัก ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าฮั่นจงเลย
ฮั่นจงคลุกคลีอยู่กับเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เด็กไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องประสบการณ์เลย ต่อให้ไม่เคยลงมือแต่สิ่งที่เห็นมาตั้งแต่เด็กจนโตก็ต้องซึมซับเข้าไปในสมองเขาบ้างล่ะ!
ก็ได้!พรุ่งนี้ฉันจะไปหาฮั่นจง จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อยืนยันว่าเขาเห็นด้วยกับความคิดเห็นของจางเล่ย ตอนนี้ก็เหลือเพียงอย่างสุดท้าย….
จี้เฟิงค่อยๆจมลงสู่ห้วงความคิดจางเล่ยเปิดประตูและนั่งในรถที่ด้านหลังโดยปราศจากเสียง เขารู้ว่าจี้เฟิงได้อธิบายเรื่องในเจียงโจวเสร็จแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาคิดเรื่องการเดินทางไปหยานจิง และเรื่องที่ทำให้จี้เฟิงลำบากใจจริงๆน่าจะเป็นเรื่องที่อยู่ในหยานจิง
จางเล่ยเดาได้ไม่เลวจี้เฟิงหนักใจกับเรื่องนี้จริงๆ
ด้วยสุขภาพร่างกายที่ทรุดหนักลงของผู้เฒ่าตระกูลจี้เขาคงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะหลานชายของผู้เฒ่าตระกูลจี้ และเขาก็เชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นพ่อหรืออาทั้งสองคนของเขาก็คงไม่ยอมปล่อยให้เขาไปเยี่ยมผู้เฒ่าอย่างกะทันหัน
วิธีที่จะเข้าไป…นี่แหละคือปัญหาที่ใหญ่ที่สุด!
ไม่ง่ายเลยที่จะได้เข้าไปเห็นสภาพร่างกายของผู้เฒ่าตามลำพัง
ต่อให้จี้เฟิงเป็นหลานชายแท้ๆก็ต้องรายงานและได้รับการตรวจสอบโดยละเอียดแหละหลังจากได้รับคำอนุมัติจากหัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยและหัวหน้าแพทย์พยาบาลที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเขาถึงจะสามารถเข้าเยี่ยมผู้เฒ่าได้ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้หัวหน้าคงไม่อนุมัติอย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะช่องทางเข้าหาที่เป็นทางการหรือช่องทางส่วนตัวก็ไม่สามารถทำได้!
บุหรี่ในมือของจี้เฟิงหมดลงอย่างรวดเร็วและเขาก็จุดบุหรี่อีกอันหนึ่ง จางเล่ยที่นั่งอยู่ด้านหลังขมวดคิ้วแต่ไม่ได้พูดอะไร ตอนนี้ไม่มีใครสามารถช่วยจี้เฟิงได้จริงๆ แต่การไม่ส่งเสียงรบกวนจี้เฟิงในเวลานี้ก็ถือว่าเป็นการช่วยเหลือที่เขาพอจะทำได้ในเวลานี้ จี้เฟิงนั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่าเขาเกาหัวตัวเองเป็นครั้งคราว
บอกตามตรงว่าเขาไม่เคยรู้สึกหมดหนทางขนาดนี้มาก่อนเลยตอนนี้เขามีวิชารักษาอยู่ในมือแล้ว แต่เขากลับไปพบปู่ของเขาไม่ได้…. ทักษะที่เขามีมันจะช่วยอะไรไม่ได้เลยหรือ
หัวใจของจี้เฟิงเต้นเร็วขึ้นอย่างกะทันหันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาแอบลักลอบเข้าไป
ในระบบฝึกอบรมสายลับระดับสูงมีชุดการฝึกที่เรียกว่าการลอบสังหารเป้าหมายที่ถูกรายล้อมจากองครักษ์อย่างแน่นหนา นี่คือหลักสูตรฝึกอบรมที่สุดยอดสายลับทุกคนต้องทำ
เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อการลอบสังหารแต่เป็นการช่วยชีวิตคน! แม้จุดประสงค์จะต่างกัน แต่แนวทางปฏิบัตินั้นไม่แทบต่างกันเลย
หัวสมองของจี้เฟิงกำลังระดมความคิดอย่างหนักเพื่อมองหาความเป็นไปได้ทางอื่นๆ…แต่ไม่นานเขาก็ส่ายหัวเล็กน้อย แผนนี้เสี่ยงเกินไป ต่อให้ครั้งนี้เขาลอบเข้าไปได้สำเร็จ แต่จะมีเวลาในการรักษาสักเท่าไหร่ แล้วถ้าเกิดมีเรื่องผิดพลาดขึ้นมาระหว่างนั้น มันจะยิ่งกลายเป็นเรื่องใหญ่ และการป้องกันต่างๆก็ยิ่งแน่นหนาขึ้น ความเป็นไปได้ที่เขาจะสามารถลอบเข้าไปอีกก็จะถูกปิดตาย
ในขณะที่จี้เฟิงกำลังหัวเสียสุดๆจู่ๆโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น และผู้ที่โทรมาก็คือหยางเต๋อจ้าวจากโรงงานผลิตยา
จี้เฟิงวัตถุดิบที่เธอต้องการทั้งหมดเตรียมพร้อมแล้ว! หยางเต๋อจ้าวกล่าว
ครบถ้วนดีแล้วใช่มั้ยครับ จี้เฟิงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที เขาถามอย่างรีบร้อน จากอุปกรณ์ในโรงงานของเราตอนนี้ ถ้าผมต้องการใช้วัตถุดิบเหล่านี้ผลิตเป็นตัวยา มันจะสามารถทำได้สำเร็จหรือเปล่าครับ?
แน่นอน! หยางเต๋อจ้าวกล่าว แต่ถ้าเธอต้องการจะผลิตยาตัวใหม่ คุณจะต้องทำให้มันผ่านขั้นตอนอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการทดลองตัวอย่างและการทดสอบผลข้างเคียงต่างๆ เธอต้องไม่รีบร้อนที่จะทำมัน ไม่เช่นนั้น…
หยางเต๋อจ้าวยังไม่ทันพูดจบก็ถูกจี้เฟิงขัดจังหวะ ลุงหยาง ผมไม่มีเวลามากพอที่จะทดสอบ ผมต้องรีบใช้!
ไม่ได้!
ใครจะรู้ว่าหยางเต๋อจ้าวจะปฏิเสธเสียงแข็งขนาดนี้เขาพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า จี้เฟิง ยาชนิดใหม่จะต้องผ่านการทดสอบก่อนถึงจะออกสู่ตลาดได้ ไม่อย่างนั้นมันจะไม่เป็นการรับผิดชอบต่อชีวิตของผู้อื่น! ยิ่งไปกว่านั้นสมุนไพรและวัตถุดิบที่เก็บไว้ในโรงงานตอนนี้ก็ไม่เพียงพอที่จะนำมาผลิตยาตัวนี้ออกมาเป็นจำนวนมาก…
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะเกาหัวของเขาและสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆแล้วพูดว่า โอเคลุงหยาง ผมจะเป็นหนูทดลองเอง โอเคมั้ย ผมจะไปที่โรงงานเดี๋ยวนี้แหละ ลุงหยางรอผมก่อนนะ!
ฟู่ววว~! หลังจากวางสายแล้วในที่สุดจี้เฟิงก็ถอนหายใจออกมา ดีจริงๆ อย่างน้อยก็มียาแล้ว!
ในเรื่องที่หยางเต๋อจ้าวยืนกรานอย่างหนักแน่นนั้นแท้จริงแล้วจี้เฟิงไม่ได้รู้สึกโกรธเลยสักนิด มีคนแบบนี้ถึงจะสามารถควบคุมคุณภาพได้ จี้เฟิงกลับยิ่งวางใจในตัวของหยางเต๋อจ้าวมากขึ้นด้วยซ้ำ
แต่ยาชนิดใหม่ตัวนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เร่งด่วนมากมันเกี่ยวกับความสำเร็จในการที่เขาจะได้พบผู้เฒ่า!
สุดท้ายแล้วถ้าไม่หมดสิ้นหนทางจริงๆจี้เฟิงก็ไม่อยากใช้วิธีลักลอบเข้าไปเพราะมันไม่ปลอดภัย!
แต่ตอนนี้เขาเริ่มสัมผัสได้ถึงแสงแห่งความหวังแล้วแม้ว่ามันจะยังเป็นแสงที่ริบหรี่อยู่ก็ตาม เขาอดไม่ได้ที่ชกหมัดเข้ากับฝ่ามือของตัวเองอย่างตื่นเต้น!