The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 322 นายพลเก่า
ใช่!มันเป็นบุคลิกเฉพาะตัวของทหาร
แม้ว่าพวกเขาสามคนจะแต่งตัวธรรมดามากและมีช่วงอายุที่แตกต่างกัน แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาสามคนมีออร่าที่คนธรรมดาไม่มี!
เสื้อผ้าที่ชายชราสวมใส่นั้นค่อนข้างหลวมเขาสวมเสื้อแขนยาวคอเต่าไว้ด้านใน ส่วนด้านนอกเป็นเสื้อแจ็กเก็ตบุนวมดูอบอุ่นและธรรมดามาก แม้ว่าตอนนี้เพิ่งจะเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ แต่อาจจะเป็นเพราะอายุของเขาจึงทำให้เขารู้สึกหนาวมากกว่าคนในวัยหนุ่มสาว แต่บุคลิกโดยรวมของชายชรายังคงดูแข็งแรงมาก ใบหน้าแดงก่ำไปด้วยสีเลือดฝาด และดูเป็นคนที่จิตใจดี
แต่ในแวบแรกที่จี้เฟิงได้เห็นชายชราเขาก็รู้สึกได้ว่าชายชราคนนี้มีกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันอยู่ไม่น้อย… เสือแม้ว่าจะแก่ แต่ก็ยังคงมีความน่าเกรงขามอยู่ดี! สมัยหนุ่มๆชายชราคนนี้จะต้องเคยเป็นทหารแข็งแกร่งหรือไม่ก็วีรบุรุษที่กล้าหาญอย่างแน่นอน!จี้เฟิงแอบคิดในใจ ความรู้สึกของเขาไม่ค่อยผิดพลาด ชายชราคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน!
จี้เฟิงเหลือบมองไปที่ชายหนุ่มอีกครั้งชายหนุ่มสวมชุดลำลองที่เรียบง่าย แต่ร่างกายของเขาตั้งตรง ดวงตาทั้งสองข้างของเขาส่องประกายออกมาเป็นครั้งคราว ไม่เคยจับจ้องมองที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานานๆ เขามองไปรอบๆแทบจะตลอดเวลา เหมือนกับกำลังตรวจสอบสภาพแวดล้อมอย่างระมัดระวัง
แม้แต่ท่ายืนของเขาที่มีช่องว่างห่างกันเล็กน้อยระหว่างเท้าทั้งสองข้างมันเป็นท่ายืนที่เหมาะสมที่สุดหากต้องใช้กำลังอย่างกะทันหัน
ชายหนุ่มคนนี้คงจะเป็นบอดี้การ์ดหรืออะไรทำนองนั้นจี้เฟิงพยักหน้าอย่างเงียบๆ แม้จะไม่รู้ว่าฝีมือของชายหนุ่มคนนี้จะเป็นยังไงแต่ความระมัดระวังตัวของเขานั้นสูงมาก
สายตาของจี้เฟิงจับจ้องไปที่ชายวัยกลางคนที่พูดกับเขาอีกครั้งกับชายคนนี้จี้เฟิงก็รู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างเช่นกัน ใบหน้าของเขาดูเด็ดเดี่ยวและมีการถือตัวในระดับหนึ่ง แต่การพูดจาของเขากลับสุภาพจนทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความจริงใจ
ผู้ชายสามคนนี้ไม่ธรรมดา!
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะแอบสงสัยตามหลักแล้วมันเป็นไปได้ยากมากที่คนแบบนี้จะเดินทางโดยรถไฟ โดยเฉพาะชายชราคนนี้ ถึงแม้เขาจะยังดูแข็งแรงอยู่ แต่ยังไงเขาก็อายุมากแล้ว รถไฟที่แออัดไปด้วยผู้คนขนาดนี้ หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ก็คงเป็นเรื่องยุ่งยาก
แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นธุระของทั้งสามคนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาดังนั้นจี้เฟิงจึงเลิกสนใจและพยักหน้าอย่างสุภาพพร้อมกับกล่าวว่า “แน่นอนครับ ไม่มีปัญหา!”
ในสมองของเขาเต็มไปด้วยเรื่องที่หยานจิงเขาจึงไม่ได้สนใจเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับทั้งสามคนนี้อีก เขาโยนสัมภาระขึ้นไปที่เตียงชั้นบน จากนั้นก็คว้าราวบันไดข้างเตียงแล้วกระโดดขึ้นไป และทันใดนั้นดวงตาของทั้งสามคนที่เฝ้าดูอยู่ก็เป็นประกาย
“สหายน้อยช่างแข็งแรงคล่องแคล่วดีจริงๆ!”ชายชราพูดด้วยรอยิ้ม เขาดูร่าเริงอารมณ์ดี ไม่เหมือนคนแก่อายุหกสิบเจ็ดสิบปีเลยสักนิด
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย“ผมชอบออกกำลังกายนิดหน่อยน่ะครับ ผู้อาวุโสก็ดูแข็งแรงมากเหมือนกันนะครับ”
“ฮ่าฮ่า!”ชายชราหัวเราะเสียงดัง พร้อมกับที่ชายวัยกลางคนช่วยเขาถอดเสื้อโค้ตออก และพูดขึ้นว่า “ฉันแก่แล้วไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน ส่วนร่างกายก็ค่อยๆอ่อนแอลง…” เมื่อชายชราพูดมาถึงตรงนี้ ไม่รู้ว่าเขานึกอะไรขึ้นมาได้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาค่อยๆหายไป ระหว่างคิ้วเริ่มมีร่องรอยของความกังวลเพิ่มมากขึ้น ชายชราอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว เมื่อเห็นเช่นนี้ชายวันกลางคนก็รีบพูดขึ้นว่า “พ่อหัวใจของพ่อไม่ค่อยดี อย่าคิดเรื่องที่ทำให้เครียดเลยจะดีกว่า พักผ่อนก่อนเถอะ!”
ชายชรารู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อยเขาพ่นลมออกจมูกและพูดว่า “เจ้าก็พูดไปเรื่อย! อายุขนาดข้า สามารถมีชีวิตอยู่มาได้จนถึงป่านนี้ก็ถือว่าเอาเปรียบสหายร่วมรบมากแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนคงต้องฝังทั้งเป็น!”
ชายวัยกลางคนได้แค่เพียงยิ้มอย่างขมขื่นและพยักหน้าอย่างต่อเนื่องแต่ก็ไม่กล้าพูดโต้ตอบอะไรออกมา
“เฮ้อ~!ข้านี่แก่แล้วจริงๆ!” ชายชรายังคงทอดถอนใจด้วยอารมณ์ “สหายเก่าเหล่านั้นค่อยๆจากข้าไปทีละคนๆ แม้แต่ตอนนี้หัวหน้าก็…. โรคหัวใจของข้ามันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร!”
ชายวัยกลางคนกล่าวทันที“พ่อไม่ต้องห่วง ตอนนี้วงการเภสัชนั้นพัฒนาขึ้นมาก ท่านหัวหน้าจะต้องโชคดีอย่างแน่นอน พ่อต้องใจเย็นๆ พักผ่อนก่อนเถอะ!” “สวรรค์โปรด!”
ชายชราถอนหายใจอีกครั้งจากนั้นก็ค่อยๆนอนลงบนเตียงด้วยความช่วยเหลือจากชายวัยกลางคนและชายหนุ่ม
ในตอนนั้นเองจี้เฟิงก็มั่นใจได้ว่าคนเหล่านี้เป็นทหารจริงๆจากสิ่งที่เขาได้ยินมีคำว่า ‘สหายเก่าร่วมรบ’ ก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนแล้ว
จี้เฟิงคิดกับตัวเองถ้าเขาเดาไม่ผิด ชายชราคนนี้อาจจะเคยเป็นถึงนายพลหรืออะไรทำนองนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ดูน่าเกรงขามเต็มไปด้วยพลังแบบนี้
แม้ว่าชายชราจะนอนลงแล้วแต่ดวงตาของชายวัยกลางคนยังจ้องมองไปที่ชายชราด้วยความเป็นห่วง เห็นได้ชัดว่าเขายังรู้สึกเป็นกังวลอยู่
เมื่อชายชราเห็นดังนั้นเขาก็พ่นลมออกจมูกทันที“เจี้ยนกั๋ว เจ้าเป็นห่วงร่างกายตาเฒ่าอย่างข้างั้นรึ มีอะไรให้ต้องกังวล? ทุกชีวิตล้วนมีเกิดแก่เจ็บตาย วันหนึ่งในอนาคตเจ้าก็ต้องแก่เหมือนกับข้านี่แหละ!”
ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างขมขื่น“พ่อครับ! ทำไมถึงได้… เฮ้อ! จริงๆแล้วถ้าให้หมอประจำตัวพ่อมาด้วยก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง…” เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว แต่พอเห็นสายตาไม่พอใจของผู้เป็นพ่อเขาก็ได้แต่หุบปากเงียบ
จี้เฟิงฟังแล้วก็แอบขบขันอยู่ในใจชายชราผู้นี้ดื้อรั้นมากจริงๆ ในเมื่อมีหมอประจำตัว ก็ควรจะพามาด้วย ถึงยังไงก็อายุมากแล้ว ไม่ได้แข็งแรงเหมือนตอนหนุ่มๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนแก่ที่มีโรคประจำตัวแถมยังต้องเดินทางไกล การพาหมอมาด้วยเป็นเรื่องที่สำคัญ
แต่จี้เฟิงเป็นคนนอกเห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีสิทธิพูดอะไร ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เพียงยิ้มน้อยๆแล้วนอนหลับตาพักผ่อนอยู่บนเตียง
เวลาผ่านไปไม่นานนักเสียงกรนของชายชราก็ดังมาจากเตียงด้านล่าง จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอยู่ในใจ ชายชราคนนี้ดูเป็นคนตรงไปตรงมา สมัยหนุ่มๆเขาคงจะเป็นหัวหน้าทหารที่โหดน่าดู!
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงผู้อาวุโสเฒ่าของตัวเองปู่ของเขาก็มีชีวิตผ่านยุคสงครามมาเช่นกัน และบางทีอาจจะเป็นเพราะอายุของเขาที่มากกว่าชายชราที่นอนอยู่ด้านล่าง ดังนั้นร่างกายของเขาจึงแย่กว่ามาก และตอนนี้เขาแทบจะสู่ขิตแล้ว
พอคิดถึงเรื่องนี้จี้เฟิงก็อดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าอะไรมาก เขาเห็นด้วยกับชายชราผู้นี้ว่าทุกคนล้วนต้องตาย อีกอย่างครั้งนี้เขาตั้งใจขึ้นเหนือไปที่หยานจิงก็เพื่อแย่งชิงผู้อาวุโสเฒ่ากลับมาจากมือของเทพแห่งความตาย แน่นอนว่าตอนนี้ยังไม่ควรที่จะโศกเศร้ามากเกินไปนัก
เมื่อรถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออกอย่างช้าๆจี้เฟิงก็เลิกคิดฟุ้งซ่าน เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาและส่งข้อความเดียวกันไปหาถงเล่ยและเซียวหยูซวนแฟนสาวของเขาทั้งสองคนพร้อมกัน
<“ฉันอยู่บนรถไฟแล้ว!” >
อันที่จริงข้อความนี้ก็กะทัดรัดและชัดเจนดีดังนั้นจี้เฟิงจึงเลือกส่งข้อความไปหาหลายๆคนในเวลาเดียวกันจากนั้นเขาก็ส่งข้อความถึงอาของเขาเพื่อที่จะบอกว่าเขาอยู่บนรถไฟขบวนไหนและจะไปถึงหยานจิงประมาณกี่โมง
หลังจากส่งข้อความที่จำเป็นเสร็จจี้เฟิงก็วางโทรศัพท์ลงเขาหยิบผ้าห่มออกมาแล้วหลับไปอย่างช้าๆ
แสงไฟในรถก็มืดลงทุกคนก็เริ่มผล็อยหลับไปสุดท้ายแล้วผู้โดยสารส่วนใหญ่ที่โดยสารรถไฟขบวนนี้ล้วนเป็นผู้ที่เดินทางไกล หากไม่นอนหลับคงยากที่จะยืนหยัดไปถึงสถานีสุดท้ายได้
จี้เฟิงก็หลับไปอย่างรวดเร็วเขาพักผ่อนเติมพลังเพื่อรอการมาถึงของวันพรุ่งนี้
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนเมื่อจู่ๆก็มีนกหวีดดังมาจากข้างนอก จี้เฟิงลืมตาตื่นขึ้นทันที และเห็นแสงไฟวาบผ่าน
เมื่อจี้เฟิงได้ยินเสียงดังกึกก้องของรถไฟข้างนอกเขาก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นช่วงรอการเปลี่ยนรางให้รถไฟอีกขบวนเคลื่อนที่ผ่านไป เนื่องจากเป็นเวลากลางดึก เสียงที่เกิดขึ้นจึงดังมากเป็นธรรมดา และผู้โดยสารภายในรถไฟก็ตื่นขึ้นเกือบจะในเวลาเดียวกัน
บางคนบ่นพึมพำและกลับไปนอนหลับต่ออีกครั้ง
จี้เฟิงเองก็ได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆและกำลังจะนอนต่อเช่นกัน
แต่ในขณะนั้นเองจี้เฟิงก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเสียงกรนของชายชราที่นอนอยู่ข้างล่างดูเหมือนจะเร็วขึ้นเรื่อยๆและมันก็ดังขึ้นเรื่อยๆ… มีบางอย่างผิดปกติ!
อันที่จริงไม่ใช่แค่จี้เฟิงเท่านั้นแต่ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆกับชายชราและชายวัยกลางคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติเช่นกัน พวกเขารีบเปิดไฟที่เตียงและลุกขึ้นทันที
“พ่อ!ท่านพ่อ!” ชายวัยกลางคนตะโกนอย่างร้อนรนและรีบพูดว่า “เสี่ยวหวังรีบเอากล่องปฐมพยาบาลมาให้ฉันเร็วเข้า ผู้อาวุโสมีอาการหัวใจวายอีกแล้ว!”
ชายหนุ่มที่ชื่อเสี่ยวหวังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเขาหยิบขวดยาออกมาจากกล่องปฐมพยาบาลที่อยู่ในกระเป๋าเดินทางทันที “ผู้บัญชาการ นี่ยาครับ!”
หลังจากที่ชายวัยกลางคนรับยามาเสี่ยวหวังก็หยิบกระติกน้ำร้อนออกมาจากกระเป๋าสัมภาระเพื่อเตรียมป้อนยาให้ชายชรา
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามแค่ไหนการหายใจของชายชราก็เร็วเกินไปอีกทั้งยังชายชราก็อยู่ในสภาวะที่สติเลือนรางมากเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถป้อนยาได้สำเร็จ
ผู้คนในรถไฟค่อยๆตื่นขึ้นทีละคนส่วนใหญ่กำลังพูดคุยกันอยู่บนเตียง บ้างก็ชะโงกหน้ามาเพื่อดูสถานการณ์ บางคนทำท่าแสดงความเห็นอกเห็นใจ บางคนถึงขนาดเฝ้าดูอย่างตื่นเต้น แต่ไม่มีใครสักคนที่ลุกออกจากเตียงมาช่วย
จี้เฟิงกวาดสายตามองด้วยความรังเกียจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะกระโดดลงมาจากเตียงชั้นบนแล้วพูดกับชายวัยกลางคนว่า “พี่ชายผมว่ายังไงคุณก็คงป้อนยาผู้อาวุโสไม่ได้ถ้าเขายังอยู่ในสภาพนี้ อีกอย่างดูเหมือนว่าอาการหัวใจวายของผู้อาวุโสดูจะร้ายแรงมาก แค่กินยาปฐมพยาบาลน่าจะไม่มีประโยชน์!”
“ตอนนี้ฉันเหลือแค่ทางเดียวแล้ว!”ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “น้องชายช่วยไปตามหมอมาให้หน่อยได้หรือไม่ ฉันจะไม่ลืมบุญคุณในครั้งนี้เลย!”
จี้เฟิงส่ายหน้า“พี่ชายผมเกรงว่าถ้าไปหาหมอตอนนี้คงจะไม่ทันการ… เอาอย่างนี้มั้ย ผมมียาพิเศษชนิดหนึ่งติดตัวมาพอดี ผมเคยเรียนวิชาแพทย์มานิดหน่อย แต่…”
“น้องชายยังพอมีหนทางรักษางั้นเหรอ”พอได้ยินแบบนั้นชายวัยกลางคนและชายหนุ่มก็พากันดีใจ
จี้เฟิงพยักหน้าเบาๆอย่างลังเล“พอจะมีครับ แต่จะช่วยได้มากน้อยแค่ไหนผมก็ไม่สามารถรับประกันได้ โอกาสที่จะสำเร็จมีแค่ห้าสิบห้าสิบเท่านั้น ด้วยอาการของผู้อาวุโสในตอนนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ แล้วถ้ามันล้มเหลว….”
ชายวัยกลางคนมองชายชราที่ตอนอยู่บนเตียงอย่างลังเลการหายใจของชายชราในเวลานี้ดูลำบากมากขึ้น บวกกับอาการหัวใจวายทำให้สีหน้าของชายชราแทบจะเป็นสีม่วง ดูอาการน่าเป็นห่วงมาก
ทันใดนั้นชายวัยกลางคนก็กัดฟันและพูดขึ้นมาว่า“ตกลง! น้องชายทำใจให้สบายแล้วไปรักษาเถอะ หากมีอะไรผิดพลาดฉันถังเจี้ยนกั๋วขอสัญญาว่าจะไม่เอาความอะไรคุณทั้งสิ้น!”
“โอเค!”จี้เฟิงรับคำของชายวัยกลางคนที่ชื่อถังเจี้ยนกั๋ว เขาพยักหน้าทันทีและหยิบขวดยาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วเทยากระแสไฟฟ้าออกมา
จากนั้นเขาก็คว้าข้อมือของชายชราและกระตุ้นกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของชายชราอย่างระมัดระวังทันใดนั้นปากของชายชราก็เปิดออกอย่างควบคุมไม่ได้
จี้เฟิงประคองชายชราให้พิงกับเตียงเป็นท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนแล้วป้อนยากระแสไฟฟ้าให้เขากิน
หลังจากนี้จี้เฟิงยิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้นนี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำการรักษาอย่างจริงจัง แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ความหวังของชายชรานั้นริบหรี่เหลือเกิน การใช้วิธีปฐมพยาบาลในตอนนี้ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงการไปตามหมอยิ่งไม่ทันการณ์ ดังนั้นในใจของจี้เฟิงจึงไม่มีภาระอะไร
แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นชีวิตคนแถมยังเป็นนายพลเก่าด้วย จี้เฟิงไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
อันที่จริงแล้วสาเหตุที่จี้เฟิงกล้าพูดเรื่องการรักษาก็เพราะว่าเขามีความมั่นใจอย่างเต็มที่ในยาพิเศษและพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของเขา
เพื่อที่จะช่วยคุณปู่ของเขาจี้เฟิงได้ฝึกซ้อมมานับครั้งไม่ถ้วน และเขาก็สามารถควบคุมความผันผวนของกระแสไฟฟ้าชีวภาพได้อย่างชำนาญ! ด้วยเหตุนี้เขาจึงกล้าที่จะลงมือทำเรื่องนี้!
แม้ว่าพวกเขาสามคนจะแต่งตัวธรรมดามากและมีช่วงอายุที่แตกต่างกัน แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาสามคนมีออร่าที่คนธรรมดาไม่มี!
เสื้อผ้าที่ชายชราสวมใส่นั้นค่อนข้างหลวมเขาสวมเสื้อแขนยาวคอเต่าไว้ด้านใน ส่วนด้านนอกเป็นเสื้อแจ็กเก็ตบุนวมดูอบอุ่นและธรรมดามาก แม้ว่าตอนนี้เพิ่งจะเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ แต่อาจจะเป็นเพราะอายุของเขาจึงทำให้เขารู้สึกหนาวมากกว่าคนในวัยหนุ่มสาว แต่บุคลิกโดยรวมของชายชรายังคงดูแข็งแรงมาก ใบหน้าแดงก่ำไปด้วยสีเลือดฝาด และดูเป็นคนที่จิตใจดี
แต่ในแวบแรกที่จี้เฟิงได้เห็นชายชราเขาก็รู้สึกได้ว่าชายชราคนนี้มีกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันอยู่ไม่น้อย… เสือแม้ว่าจะแก่ แต่ก็ยังคงมีความน่าเกรงขามอยู่ดี! สมัยหนุ่มๆชายชราคนนี้จะต้องเคยเป็นทหารแข็งแกร่งหรือไม่ก็วีรบุรุษที่กล้าหาญอย่างแน่นอน!จี้เฟิงแอบคิดในใจ ความรู้สึกของเขาไม่ค่อยผิดพลาด ชายชราคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน!
จี้เฟิงเหลือบมองไปที่ชายหนุ่มอีกครั้งชายหนุ่มสวมชุดลำลองที่เรียบง่าย แต่ร่างกายของเขาตั้งตรง ดวงตาทั้งสองข้างของเขาส่องประกายออกมาเป็นครั้งคราว ไม่เคยจับจ้องมองที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานานๆ เขามองไปรอบๆแทบจะตลอดเวลา เหมือนกับกำลังตรวจสอบสภาพแวดล้อมอย่างระมัดระวัง
แม้แต่ท่ายืนของเขาที่มีช่องว่างห่างกันเล็กน้อยระหว่างเท้าทั้งสองข้างมันเป็นท่ายืนที่เหมาะสมที่สุดหากต้องใช้กำลังอย่างกะทันหัน
ชายหนุ่มคนนี้คงจะเป็นบอดี้การ์ดหรืออะไรทำนองนั้นจี้เฟิงพยักหน้าอย่างเงียบๆ แม้จะไม่รู้ว่าฝีมือของชายหนุ่มคนนี้จะเป็นยังไงแต่ความระมัดระวังตัวของเขานั้นสูงมาก
สายตาของจี้เฟิงจับจ้องไปที่ชายวัยกลางคนที่พูดกับเขาอีกครั้งกับชายคนนี้จี้เฟิงก็รู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างเช่นกัน ใบหน้าของเขาดูเด็ดเดี่ยวและมีการถือตัวในระดับหนึ่ง แต่การพูดจาของเขากลับสุภาพจนทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความจริงใจ
ผู้ชายสามคนนี้ไม่ธรรมดา!
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะแอบสงสัยตามหลักแล้วมันเป็นไปได้ยากมากที่คนแบบนี้จะเดินทางโดยรถไฟ โดยเฉพาะชายชราคนนี้ ถึงแม้เขาจะยังดูแข็งแรงอยู่ แต่ยังไงเขาก็อายุมากแล้ว รถไฟที่แออัดไปด้วยผู้คนขนาดนี้ หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ก็คงเป็นเรื่องยุ่งยาก
แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นธุระของทั้งสามคนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาดังนั้นจี้เฟิงจึงเลิกสนใจและพยักหน้าอย่างสุภาพพร้อมกับกล่าวว่า “แน่นอนครับ ไม่มีปัญหา!”
ในสมองของเขาเต็มไปด้วยเรื่องที่หยานจิงเขาจึงไม่ได้สนใจเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับทั้งสามคนนี้อีก เขาโยนสัมภาระขึ้นไปที่เตียงชั้นบน จากนั้นก็คว้าราวบันไดข้างเตียงแล้วกระโดดขึ้นไป และทันใดนั้นดวงตาของทั้งสามคนที่เฝ้าดูอยู่ก็เป็นประกาย
“สหายน้อยช่างแข็งแรงคล่องแคล่วดีจริงๆ!”ชายชราพูดด้วยรอยิ้ม เขาดูร่าเริงอารมณ์ดี ไม่เหมือนคนแก่อายุหกสิบเจ็ดสิบปีเลยสักนิด
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย“ผมชอบออกกำลังกายนิดหน่อยน่ะครับ ผู้อาวุโสก็ดูแข็งแรงมากเหมือนกันนะครับ”
“ฮ่าฮ่า!”ชายชราหัวเราะเสียงดัง พร้อมกับที่ชายวัยกลางคนช่วยเขาถอดเสื้อโค้ตออก และพูดขึ้นว่า “ฉันแก่แล้วไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน ส่วนร่างกายก็ค่อยๆอ่อนแอลง…” เมื่อชายชราพูดมาถึงตรงนี้ ไม่รู้ว่าเขานึกอะไรขึ้นมาได้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาค่อยๆหายไป ระหว่างคิ้วเริ่มมีร่องรอยของความกังวลเพิ่มมากขึ้น ชายชราอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว เมื่อเห็นเช่นนี้ชายวันกลางคนก็รีบพูดขึ้นว่า “พ่อหัวใจของพ่อไม่ค่อยดี อย่าคิดเรื่องที่ทำให้เครียดเลยจะดีกว่า พักผ่อนก่อนเถอะ!”
ชายชรารู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อยเขาพ่นลมออกจมูกและพูดว่า “เจ้าก็พูดไปเรื่อย! อายุขนาดข้า สามารถมีชีวิตอยู่มาได้จนถึงป่านนี้ก็ถือว่าเอาเปรียบสหายร่วมรบมากแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนคงต้องฝังทั้งเป็น!”
ชายวัยกลางคนได้แค่เพียงยิ้มอย่างขมขื่นและพยักหน้าอย่างต่อเนื่องแต่ก็ไม่กล้าพูดโต้ตอบอะไรออกมา
“เฮ้อ~!ข้านี่แก่แล้วจริงๆ!” ชายชรายังคงทอดถอนใจด้วยอารมณ์ “สหายเก่าเหล่านั้นค่อยๆจากข้าไปทีละคนๆ แม้แต่ตอนนี้หัวหน้าก็…. โรคหัวใจของข้ามันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร!”
ชายวัยกลางคนกล่าวทันที“พ่อไม่ต้องห่วง ตอนนี้วงการเภสัชนั้นพัฒนาขึ้นมาก ท่านหัวหน้าจะต้องโชคดีอย่างแน่นอน พ่อต้องใจเย็นๆ พักผ่อนก่อนเถอะ!” “สวรรค์โปรด!”
ชายชราถอนหายใจอีกครั้งจากนั้นก็ค่อยๆนอนลงบนเตียงด้วยความช่วยเหลือจากชายวัยกลางคนและชายหนุ่ม
ในตอนนั้นเองจี้เฟิงก็มั่นใจได้ว่าคนเหล่านี้เป็นทหารจริงๆจากสิ่งที่เขาได้ยินมีคำว่า ‘สหายเก่าร่วมรบ’ ก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนแล้ว
จี้เฟิงคิดกับตัวเองถ้าเขาเดาไม่ผิด ชายชราคนนี้อาจจะเคยเป็นถึงนายพลหรืออะไรทำนองนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ดูน่าเกรงขามเต็มไปด้วยพลังแบบนี้
แม้ว่าชายชราจะนอนลงแล้วแต่ดวงตาของชายวัยกลางคนยังจ้องมองไปที่ชายชราด้วยความเป็นห่วง เห็นได้ชัดว่าเขายังรู้สึกเป็นกังวลอยู่
เมื่อชายชราเห็นดังนั้นเขาก็พ่นลมออกจมูกทันที“เจี้ยนกั๋ว เจ้าเป็นห่วงร่างกายตาเฒ่าอย่างข้างั้นรึ มีอะไรให้ต้องกังวล? ทุกชีวิตล้วนมีเกิดแก่เจ็บตาย วันหนึ่งในอนาคตเจ้าก็ต้องแก่เหมือนกับข้านี่แหละ!”
ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างขมขื่น“พ่อครับ! ทำไมถึงได้… เฮ้อ! จริงๆแล้วถ้าให้หมอประจำตัวพ่อมาด้วยก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง…” เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว แต่พอเห็นสายตาไม่พอใจของผู้เป็นพ่อเขาก็ได้แต่หุบปากเงียบ
จี้เฟิงฟังแล้วก็แอบขบขันอยู่ในใจชายชราผู้นี้ดื้อรั้นมากจริงๆ ในเมื่อมีหมอประจำตัว ก็ควรจะพามาด้วย ถึงยังไงก็อายุมากแล้ว ไม่ได้แข็งแรงเหมือนตอนหนุ่มๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนแก่ที่มีโรคประจำตัวแถมยังต้องเดินทางไกล การพาหมอมาด้วยเป็นเรื่องที่สำคัญ
แต่จี้เฟิงเป็นคนนอกเห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีสิทธิพูดอะไร ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เพียงยิ้มน้อยๆแล้วนอนหลับตาพักผ่อนอยู่บนเตียง
เวลาผ่านไปไม่นานนักเสียงกรนของชายชราก็ดังมาจากเตียงด้านล่าง จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอยู่ในใจ ชายชราคนนี้ดูเป็นคนตรงไปตรงมา สมัยหนุ่มๆเขาคงจะเป็นหัวหน้าทหารที่โหดน่าดู!
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงผู้อาวุโสเฒ่าของตัวเองปู่ของเขาก็มีชีวิตผ่านยุคสงครามมาเช่นกัน และบางทีอาจจะเป็นเพราะอายุของเขาที่มากกว่าชายชราที่นอนอยู่ด้านล่าง ดังนั้นร่างกายของเขาจึงแย่กว่ามาก และตอนนี้เขาแทบจะสู่ขิตแล้ว
พอคิดถึงเรื่องนี้จี้เฟิงก็อดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าอะไรมาก เขาเห็นด้วยกับชายชราผู้นี้ว่าทุกคนล้วนต้องตาย อีกอย่างครั้งนี้เขาตั้งใจขึ้นเหนือไปที่หยานจิงก็เพื่อแย่งชิงผู้อาวุโสเฒ่ากลับมาจากมือของเทพแห่งความตาย แน่นอนว่าตอนนี้ยังไม่ควรที่จะโศกเศร้ามากเกินไปนัก
เมื่อรถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออกอย่างช้าๆจี้เฟิงก็เลิกคิดฟุ้งซ่าน เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาและส่งข้อความเดียวกันไปหาถงเล่ยและเซียวหยูซวนแฟนสาวของเขาทั้งสองคนพร้อมกัน
<“ฉันอยู่บนรถไฟแล้ว!” >
อันที่จริงข้อความนี้ก็กะทัดรัดและชัดเจนดีดังนั้นจี้เฟิงจึงเลือกส่งข้อความไปหาหลายๆคนในเวลาเดียวกันจากนั้นเขาก็ส่งข้อความถึงอาของเขาเพื่อที่จะบอกว่าเขาอยู่บนรถไฟขบวนไหนและจะไปถึงหยานจิงประมาณกี่โมง
หลังจากส่งข้อความที่จำเป็นเสร็จจี้เฟิงก็วางโทรศัพท์ลงเขาหยิบผ้าห่มออกมาแล้วหลับไปอย่างช้าๆ
แสงไฟในรถก็มืดลงทุกคนก็เริ่มผล็อยหลับไปสุดท้ายแล้วผู้โดยสารส่วนใหญ่ที่โดยสารรถไฟขบวนนี้ล้วนเป็นผู้ที่เดินทางไกล หากไม่นอนหลับคงยากที่จะยืนหยัดไปถึงสถานีสุดท้ายได้
จี้เฟิงก็หลับไปอย่างรวดเร็วเขาพักผ่อนเติมพลังเพื่อรอการมาถึงของวันพรุ่งนี้
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนเมื่อจู่ๆก็มีนกหวีดดังมาจากข้างนอก จี้เฟิงลืมตาตื่นขึ้นทันที และเห็นแสงไฟวาบผ่าน
เมื่อจี้เฟิงได้ยินเสียงดังกึกก้องของรถไฟข้างนอกเขาก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นช่วงรอการเปลี่ยนรางให้รถไฟอีกขบวนเคลื่อนที่ผ่านไป เนื่องจากเป็นเวลากลางดึก เสียงที่เกิดขึ้นจึงดังมากเป็นธรรมดา และผู้โดยสารภายในรถไฟก็ตื่นขึ้นเกือบจะในเวลาเดียวกัน
บางคนบ่นพึมพำและกลับไปนอนหลับต่ออีกครั้ง
จี้เฟิงเองก็ได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆและกำลังจะนอนต่อเช่นกัน
แต่ในขณะนั้นเองจี้เฟิงก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเสียงกรนของชายชราที่นอนอยู่ข้างล่างดูเหมือนจะเร็วขึ้นเรื่อยๆและมันก็ดังขึ้นเรื่อยๆ… มีบางอย่างผิดปกติ!
อันที่จริงไม่ใช่แค่จี้เฟิงเท่านั้นแต่ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆกับชายชราและชายวัยกลางคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติเช่นกัน พวกเขารีบเปิดไฟที่เตียงและลุกขึ้นทันที
“พ่อ!ท่านพ่อ!” ชายวัยกลางคนตะโกนอย่างร้อนรนและรีบพูดว่า “เสี่ยวหวังรีบเอากล่องปฐมพยาบาลมาให้ฉันเร็วเข้า ผู้อาวุโสมีอาการหัวใจวายอีกแล้ว!”
ชายหนุ่มที่ชื่อเสี่ยวหวังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเขาหยิบขวดยาออกมาจากกล่องปฐมพยาบาลที่อยู่ในกระเป๋าเดินทางทันที “ผู้บัญชาการ นี่ยาครับ!”
หลังจากที่ชายวัยกลางคนรับยามาเสี่ยวหวังก็หยิบกระติกน้ำร้อนออกมาจากกระเป๋าสัมภาระเพื่อเตรียมป้อนยาให้ชายชรา
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามแค่ไหนการหายใจของชายชราก็เร็วเกินไปอีกทั้งยังชายชราก็อยู่ในสภาวะที่สติเลือนรางมากเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถป้อนยาได้สำเร็จ
ผู้คนในรถไฟค่อยๆตื่นขึ้นทีละคนส่วนใหญ่กำลังพูดคุยกันอยู่บนเตียง บ้างก็ชะโงกหน้ามาเพื่อดูสถานการณ์ บางคนทำท่าแสดงความเห็นอกเห็นใจ บางคนถึงขนาดเฝ้าดูอย่างตื่นเต้น แต่ไม่มีใครสักคนที่ลุกออกจากเตียงมาช่วย
จี้เฟิงกวาดสายตามองด้วยความรังเกียจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะกระโดดลงมาจากเตียงชั้นบนแล้วพูดกับชายวัยกลางคนว่า “พี่ชายผมว่ายังไงคุณก็คงป้อนยาผู้อาวุโสไม่ได้ถ้าเขายังอยู่ในสภาพนี้ อีกอย่างดูเหมือนว่าอาการหัวใจวายของผู้อาวุโสดูจะร้ายแรงมาก แค่กินยาปฐมพยาบาลน่าจะไม่มีประโยชน์!”
“ตอนนี้ฉันเหลือแค่ทางเดียวแล้ว!”ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “น้องชายช่วยไปตามหมอมาให้หน่อยได้หรือไม่ ฉันจะไม่ลืมบุญคุณในครั้งนี้เลย!”
จี้เฟิงส่ายหน้า“พี่ชายผมเกรงว่าถ้าไปหาหมอตอนนี้คงจะไม่ทันการ… เอาอย่างนี้มั้ย ผมมียาพิเศษชนิดหนึ่งติดตัวมาพอดี ผมเคยเรียนวิชาแพทย์มานิดหน่อย แต่…”
“น้องชายยังพอมีหนทางรักษางั้นเหรอ”พอได้ยินแบบนั้นชายวัยกลางคนและชายหนุ่มก็พากันดีใจ
จี้เฟิงพยักหน้าเบาๆอย่างลังเล“พอจะมีครับ แต่จะช่วยได้มากน้อยแค่ไหนผมก็ไม่สามารถรับประกันได้ โอกาสที่จะสำเร็จมีแค่ห้าสิบห้าสิบเท่านั้น ด้วยอาการของผู้อาวุโสในตอนนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ แล้วถ้ามันล้มเหลว….”
ชายวัยกลางคนมองชายชราที่ตอนอยู่บนเตียงอย่างลังเลการหายใจของชายชราในเวลานี้ดูลำบากมากขึ้น บวกกับอาการหัวใจวายทำให้สีหน้าของชายชราแทบจะเป็นสีม่วง ดูอาการน่าเป็นห่วงมาก
ทันใดนั้นชายวัยกลางคนก็กัดฟันและพูดขึ้นมาว่า“ตกลง! น้องชายทำใจให้สบายแล้วไปรักษาเถอะ หากมีอะไรผิดพลาดฉันถังเจี้ยนกั๋วขอสัญญาว่าจะไม่เอาความอะไรคุณทั้งสิ้น!”
“โอเค!”จี้เฟิงรับคำของชายวัยกลางคนที่ชื่อถังเจี้ยนกั๋ว เขาพยักหน้าทันทีและหยิบขวดยาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วเทยากระแสไฟฟ้าออกมา
จากนั้นเขาก็คว้าข้อมือของชายชราและกระตุ้นกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของชายชราอย่างระมัดระวังทันใดนั้นปากของชายชราก็เปิดออกอย่างควบคุมไม่ได้
จี้เฟิงประคองชายชราให้พิงกับเตียงเป็นท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนแล้วป้อนยากระแสไฟฟ้าให้เขากิน
หลังจากนี้จี้เฟิงยิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้นนี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำการรักษาอย่างจริงจัง แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ความหวังของชายชรานั้นริบหรี่เหลือเกิน การใช้วิธีปฐมพยาบาลในตอนนี้ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงการไปตามหมอยิ่งไม่ทันการณ์ ดังนั้นในใจของจี้เฟิงจึงไม่มีภาระอะไร
แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นชีวิตคนแถมยังเป็นนายพลเก่าด้วย จี้เฟิงไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
อันที่จริงแล้วสาเหตุที่จี้เฟิงกล้าพูดเรื่องการรักษาก็เพราะว่าเขามีความมั่นใจอย่างเต็มที่ในยาพิเศษและพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของเขา
เพื่อที่จะช่วยคุณปู่ของเขาจี้เฟิงได้ฝึกซ้อมมานับครั้งไม่ถ้วน และเขาก็สามารถควบคุมความผันผวนของกระแสไฟฟ้าชีวภาพได้อย่างชำนาญ! ด้วยเหตุนี้เขาจึงกล้าที่จะลงมือทำเรื่องนี้!