The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 324 เป็นเรื่องดี
แม้ผู้เฒ่าถังจะรู้ดีว่าลูกชายของเขาจะปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดแต่เขาก็รู้เช่นกันว่าภายในใจของลูกชายจะต้องรู้สึกอึดอัดอย่างแน่นอน เพราะการกระทำที่เนรคุณเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครหากยังพอมีความซื่อสัตย์อยู่บ้าง เขาก็จะต้องรู้สึกผิดอยู่ในใจอย่างแน่นอน
ผู้เฒ่าถึงรู้นิสัยของลูกชายเป็นอย่างดีเขารู้ดีว่าสายเลือดตระกูลถังมีนิสัยเป็นอย่างไร แม้ว่าถังเจี้ยนกั๋วจะไม่ได้มีประสบการณ์ที่ต้องผ่านการนองเลือดมาหลายสิบปีอย่างเขา แต่อารมณ์ที่ตรงไปตรงมาและใจร้อนนั้นเหมือนกับเขาทุกประการ การให้เขาทำเรื่องที่ไร้จิตสำนึกแบบนี้แล้วจะให้เขาทำมันอย่างสบายใจก็คงเป็นเรื่องที่แปลกแล้ว!
ผู้เฒ่าถังถอนหายใจเล็กน้อย“เจี้ยนกั๋ว เจ้ารู้สึกไม่สบายใจงั้นหรือ”
ถังเจี้ยนกั๋วพยักหน้าเงียบๆโดยไม่พูดอะไร ต่อหน้าพ่อ เขาไม่คิดที่จะปิดบังสิ่งที่อยู่ในใจ
“เจ้า!”
ผู้เฒ่าถังส่ายหัวเล็กน้อย“ข้าแค่ขอให้เจ้าไปพาตัวสหายน้อยจี้มารักษาหัวหน้าใหญ่ แต่กระทำเช่นนี้ก็ไม่เหมาะสมจริงๆ แถมยังเข้าข่ายเนรคุณ แต่เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล เพราะหลังจากการรักษาเสร็จสิ้น และไม่ว่าร่างกายของหัวหน้าจะเป็นอย่างไร การรักษาจะสำเร็จหรือไม่ ข้าจะคุกเข่าขอโทษสหายจี้เป็นการส่วนตัว!”
“พ่อ!”ถังเจี้ยนกั๋วตกใจ “พ่อครับ พ่อจะทำอย่างนั้นไม่ได้…”
จี้เฟิงเป็นคนช่วยชีวิตผู้เฒ่าถังไว้ตามหลักแล้วไม่ว่าผู้เฒ่าถังจะขอบคุณเขาอย่างไรก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่ในฐานะผู้อาวุโสที่ต้องมาคุกเข่าก้มหัวขอโทษชายหนุ่มอายุน้อยกว่าหลานชายของตัวเองสองสามปี นี่มันค่อนข้างจะ…
ผู้เฒ่าถังพ่นลมหายใจอย่างเย็นชาและถลึงตาใส่ลูกชาย“เจี้ยนกั๋ว ข้าเองก็เป็นมนุษย์ ในเมื่อทำเรื่องที่เนรคุณต่อผู้ที่มีบุญคุณ ทำไมข้าถึงจะก้มหัวขอโทษคนอื่นไม่ได้ ถ้าเจ้าเรียนรู้ที่จะมีเกียรติก็ต้องเรียนรู้ที่จะให้เกียรติผู้อื่นด้วย คนเราไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน ต่างก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน!”
ถังเจี้ยนกั๋วทำได้เพียงแค่ยิ้มเจื่อนๆและพยักหน้าแน่นอนว่าเขารู้นิสัยพ่อของตัวเองดี และตรงจุดนี้แหละที่น่าเป็นห่วง ผู้เฒ่าถังไม่ค่อยจะใส่ใจกับฐานะของตัวเอง ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่นั่งรถไฟและต้องมาเบียดเสียดกับฝูงชนแบบนี้
‘ฉันหวังว่าสหายน้อยจี้จะไม่โง่พอที่จะยืนดูพ่อต้องคุกเข่าลงไม่เช่นนั้นหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป แค่ความแค้นของลูกหลานตระกูลถังก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้สหายน้อยจี้ตกอยู่ในความลำบากใจ…’ ถังเจี้ยนกั๋วแอบคิดในใจและอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อย
“พ่อครับพวกเราก็ควรลงจากรถไฟได้แล้ว!”เมื่อเห็นว่าคนในรถไฟลงไปกันเกือบจะหมดแล้ว ถังเจี้ยนกั๋วก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยพยุงผู้เฒ่าถังและเตรียมตัวที่จะลงจากรถไฟ
แต่ใครจะไปรู้หลังจากที่ผู้เฒ่าถังพยักหน้าเล็กน้อย เขาก็ออกแรงที่ขาเพื่อที่จะลุกขึ้นยืน แต่ขาของเขากลับมั่นคงไม่สั่นคลอนเหมือนอย่างที่เคยเป็น
“เอ๊ะ!”ผู้เฒ่าถังอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ เขามองลงไปที่ขาของเขาอย่างรวดเร็ว “ทำไมจู่ๆข้าก็รู้สึกเหมือนจะมีแรงเพิ่มมากขึ้น?!”
ถังเจี้ยนกั๋วก็มองพ่อของเขาด้วยความประหลาดใจมากเล่นกัน“พ่อครับ ทำไม…”
ผู้เฒ่าถังผลักถังเจี้ยนกั๋วออกไปทันทีและเดินวนไปวนมาในทางเดินของรถไฟสามสี่รอบ ถังเจี้ยนกั๋วเห็นท่าเดินพ่อของเขานั้นดูคล่องแคล่วราวกับไม่รู้สึกถึงอาการเจ็บป่วยเลยแม้แต่น้อย ดูท่าว่าจะแข็งแรงกว่าชายวัยกลางคนเสียอีก
“พ่อ!ทำไมจู่ๆถึงได้เดินเร็วขนาดนี้ ” ถังเจี้ยนกั๋วถามด้วยความประหลาดใจ เดิมทีร่างกายของผู้เฒ่าถังนั้นแข็งแรงดีอยู่แล้วเพียงแต่โรคหัวใจที่เขาเป็นส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพ ดังนั้นผู้เฒ่าถังจึงไม่กล้าเดินเร็ว หรือแม้แต่ออกกำลังกายเบาๆเขาก็ยังไม่กล้า แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้สึกไม่สบายเลยสักนิด!
“แปลก!แปลกจริงๆ ไม่รู้สึกเจ็บแปล๊บที่หัวใจเลยแถมทั้งร่างกายยังรู้สึกเหมือนมีพละกำลัง…” ชายชราเองก็รู้สึกประหลาดใจและงุนงงไม่แพ้กัน “ทักษะทางการแพทย์ของสหายน้อยจี้นั้นดีมากจริงๆ เขาทำยังไงถึงได้ทำให้ตาแก่ใกล้ลงโรงอย่างข้ารู้สึกเหมือนได้กลับมาเกิดใหม่แบบนี้ อืม… ข้ารู้สึกเพียงแค่ว่าในตอนที่เขาคว้าข้อมือของข้าไป มันรู้สึกชาไปหมด ความชานั้นไล่มาตั้งแต่ข้อมือและค่อยๆกระจายไปทั่วร่างกาย…”
เมื่อคำพูดนี้จบลงสีหน้าของถังเจี้ยนกั๋วก็เปลี่ยนไป เขาสบตากับพ่อของเขาทันที ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขานึกถึงเรื่องเดียวกัน ยอดฝีมือที่มีพลังภายใน! มีข่าวลือว่ามีปรมาจารย์ที่สามารถถ่ายโอนพลังภายในไปยังร่างกายของผู้อื่นได้และค่อยๆปรับระบบบางอย่างภายในร่างกายของผู้อื่น ปรมาจารย์ดังกล่าวจะมีก็แต่เพียงในหน่วยพิเศษลับเท่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะเป็นบุคลากรทางการทหารระดับสูง แต่พวกเขาก็ไม่ค่อยได้เข้าถึงบุคคลประเภทนี้…
“หรือว่าสหายน้อยจี้คนนั้นจะเป็นยอดฝีมือที่มีพลังภายในในตำนานที่ว่านั่นจริงๆ!”
ถังเจี้ยนกั๋วพึมพำการคาดเดาของตนเองออกมาเบาๆอย่างไม่รู้ตัวแม้จะเบาแต่ผู้เฒ่าถังก็ได้ยินอย่างชัดเจน เขาอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเล็กน้อย “มีความเป็นไปได้ บางทีสหายจี้น้อยอาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางพลังภายในจริงๆ ดังนั้นยาที่เขามอบให้เม็ดนี้ก็จะต้องเป็นของดีอย่างแน่นอน!”
ถังเจี้ยนกั๋วกลับหัวใจเต้นรัวและกล่าวว่า“พ่อครับ หรือว่าที่จู่ๆร่างกายของพ่อดีขึ้นจะเป็นเพราะยาเม็ดนี้ ต่อให้สหายน้อยจี้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังภายในยังไง เขาก็ยังเด็กเกินไป ผมเคยได้ยินมาว่ากว่าที่จะได้เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือปรมาจารย์ทางด้านพลังภายในพวกเขาจะต้องผ่านการฝึกฝนมากว่าหลายสิบปี ดังนั้นพวกเขาเหล่านั้นล้วนจึงเป็นผู้ที่มีอายุมากแล้ว…”
ผู้เฒ่าถังพยักหน้าอย่างเห็นด้วยและกล่าวว่า“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล ข้าเคยเห็นผู้เชี่ยวชาญพลังภายในมาก่อน สหายน้อยจี้ยังเยาว์วัยเกินไปจริงๆ…”
“พ่อครับ!พ่อจำที่สหายน้อยจี้พูดก่อนที่เขาจะจากไปได้ไหม เขาบอกว่ายาเม็ดนี้สามารถยื้อชีวิตของหัวหน้าใหญ่ได้ถ้าถึงตอนที่แม้แต่หมอก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี!” ถังเจี้ยนกั๋วกล่าว “ก่อนหน้านี้ผมยังไม่ทันได้คิดอะไร แต่พอตอนนี้มานึกๆดู เขาจะต้องมั่นใจในยาของเขามากแน่ๆ เขาถึงได้กล้าพูดขนาดนั้น และการที่ร่างกายของพ่อดีขึ้นทันหาเห็นขนาดนี้ก็เป็นหลักฐานที่ดีที่สุด!”
“ถ้าอย่างนั้นนี่ก็เป็นยาวิเศษน่ะสิ!”ผู้เฒ่าถังมองยาในมือด้วยแววตาเป็นประกาย แต่เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น “แต่จากที่สหายน้อยจี้บอก ยาเม็ดนี้สามารถใช้ยื้อเวลาได้แค่เบื้องต้นเท่านั้น เป็นการยื้อเวลาเพื่อให้หมอได้มีเวลาวินิจฉัยและทำการรักษาต่อไป แต่ก็ยังไม่สามารถรักษาอาการป่วยของหัวหน้าได้อยู่ดี เรื่องนี้มันยากที่จะพูดจริงๆ… ไม่ว่ายังไงเจ้าต้องไปนำตัวสหายน้อยจี้กลับมา แล้วพาเขาไปรักษาหัวหน้าให้ได้!”
ทุกคนรู้จักร่างกายของตัวเองดีที่สุดและผู้เฒ่าถังก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพละกำลัง ซึ่งมันยิ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของเขาที่จะให้จี้เฟิงไปรักษาหัวหน้าให้ได้!
……………
ส่วนจี้เฟิงในเวลานี้ไม่ได้รู้เลยว่าเพราะผลจากการรักษาของเขานั้นดีเกินไปจึงทำให้ผู้เฒ่าถังไม่อาจปล่อยเขาไปง่ายๆได้ แต่ถ้าเขารู้ เขาก็คงทำได้เพียงส่ายหน้าและยิ้มเจื่อนๆ แต่ไม่ว่ายังไงในด้านของการช่วยเหลือคน เขาก็ไม่อาจจงใจลดประสิทธิภาพในการรักษาลงได้ เขาก็คงจะพยายามทำอย่างเต็มที่อยู่ดี เพื่อที่จะทำให้มันออกมาดีที่สุด
จี้เฟิงมองไปรอบๆทางออกของสถานีรถไฟเมื่อครู่เขาได้คุยโทรศัพท์กับอาสามของเขาแล้ว ตามที่อาสามบอก คนที่จะมารับเขาได้มาถึงแล้ว แต่ตอนนี้จี้เฟิงยังไม่เห็น
เขาได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญาและพึมพำกับตัวเอง“สงสัยฉันจะได้นั่งแท็กซี่ไปเองซะละมั้ง! แล้วไม่รู้ด้วยว่าจะเข้าเขตลานบ้านได้หรือเปล่า เคยได้ยินมาว่ามียามยืนเฝ้าอยู่เต็มไปหมด!”
จี้เฟิงส่ายหัวและเดินออกมาจากสถานีรถไฟ“ไปหาที่นั่งรอก่อนก็แล้วกัน!”
แต่ทันทีที่เขาเดินออกมาจากสถานีรถไฟเขาก็เห็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าเย็นชามาหาเขาและพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า “นายน้อยจี้ ไปกันเลยมั้ยครับ!”
จี้เฟิงอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อได้เห็นใบหน้าของชายคนนั้นอย่างชัดเจน“บ้าเอ๊ย! คุณเองหรอกเหรอ คุณมาเร็วกว่าผมได้ยังไง?!”
ชายที่มีใบหน้าเย็นชาที่มารับจี้เฟิงในตอนนี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นชายหนุ่มที่แอบจับตาดูจี้เฟิงที่ด้านนอกโรงงานผลิตยาเมื่อวันก่อน
จี้เฟิงประหลาดใจมากเขากล่าวว่า“เท่าที่ผมจำได้ตอนที่ผมออกจากเจียงโจว คุณยังอยู่ที่เจียงโจวอยู่เลยไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมจู่ๆคุณถึงมาปรากฏตัวที่นี่? วาปมาเหรอ?!”
รู้หรือไม่ว่ารถไฟที่จี้เฟิงนั่งมาเป็นเที่ยวที่เร็วที่สุดแล้วหรือถ้าเป็นเครื่องบินตามตารางบินที่ว่างจากเจียงโจวกว่าจะมาถึงหยานจิงอย่างน้อยก็ต้องช่วงบ่ายเป็นต้นไป ดังนั้นรถไฟตู้นอนสายด่วนจะต้องมาถึงหยานจิงก่อนอย่างแน่นอน แล้วผู้ชายคนนี้มาถึงก่อนจี้เฟิงได้อย่างไร
“ไม่ใช่ฝาแฝดใช่มั้ย”จี้เฟิงมองเขาอย่างสงสัย “หรือเป็นวิธีการปลอมตัว?!”
มุมปากของผู้ชายใบหน้าเย็นชาเริ่มกระตุกขึ้นเล็กน้อย“ผมเป็นทหาร!” ทหาร…เขามาโดยเครื่องบินทหาร!
“เข้าใจล่ะ!”จี้เฟิงโบกมืออย่างช่วยไม่ได้ “งั้นเราก็ไปกันเถอะ!”
แต่ในใจของเขากลับรู้สึกหดหู่เล็กน้อยหากบอกเหตุผลกับอาสามดีๆแต่แรกก็คงจะได้นั่งเครื่องบินมาด้วยก็ได้ โตจนป่านนี้แต่จี้เฟิงก็ยังไม่เคยได้นั่งเครื่องบินเลย
เมื่อเห็นท่าทางที่หดหู่ของจี้เฟิงแววตาของชายผู้มีใบหน้าเย็นชาก็มีรอยยิ้มปรากฏออกมา จากนั้นสีหน้าของเขาก็กลับเป็นเย็นชาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เขาพาจี้เฟิงไปที่ลานจอดรถ และขึ้นรถยนต์ที่มีป้ายทะเบียนของทหารและรถก็เคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
“จะให้ผมเรียกคุณว่าอะไร”จี้เฟิงที่นั่งอยู่บนรถถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ฮุ่ยอี้!”ชายผู้มีใบหน้าเย็นชาตอบในขณะที่ขับรถโดยไม่หันมามอง
“เป็นนามสกุลที่หาได้ยาก!”จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อย “คุณคือองครักษ์ของอาผมเหรอ”
“เรื่องนี้เป็นความลับ!”ฮุ่ยอี้ตอบอย่างหนักแน่น
จี้เฟิงสะอึกไปเล็กน้อยเขาได้แต่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนและส่ายหัวเล็กน้อย ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะไม่มีอะไรให้พูดคุยกันมากนัก จี้เฟิงจึงหลับตาเพื่อพักผ่อน
……………
ในเวลานี้ถังเจี้ยนกั๋วที่เพิ่งลงจากรถไฟได้รับโทรศัพท์จากเสี่ยวหวังใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ!”ผู้เฒ่าหวังถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
ถังเจี้ยนกั๋วตอบด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดเล็กน้อย“พ่อครับเรื่องมันอาจจะยุ่งยากกว่าที่เราคิด เสี่ยวหวังเพิ่งโทรมารายงานว่าสหายน้อยจี้ขึ้นรถไปกับผู้ชายหน้าตาดุดันคนหนึ่ง แต่รถคันนั้นมีป้ายทะเบียนของทหารที่ขึ้นต้นด้วยตัว A” “ตัวA งั้นเหรอ” ผู้เฒ่าถังอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง “มันเป็นรถของทหารในหยานจิง! สหายน้อยจี้ก็มีคนรู้จักเป็นสมาชิกในกองทัพด้วยอย่างนั้นหรือ?”
ทันใดนั้นผู้เฒ่าถังก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้เขารีบถามทันที “ป้ายทะเบียนของรถคันนั้นคืออะไร”
ถังเจี้ยนกั๋วโทรกลับไปหาเสี่ยวหวังอีกครั้ง“เสี่ยวหวัง รถคันที่สหายน้อยจี้เพิ่งขึ้นไป ตัวอักษรของป้ายทะเบียนคืออะไร”
คำตอบที่เขาได้รับทำให้ถังเจี้ยนกั๋วตกตะลึงอยู่นาน
“มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าเสี่ยวหวังจำทะเบียนรถได้หรือไม่?” ผู้เฒ่าถังขมวดคิ้ว
“ได้..เสี่ยงหวังจำทะเบียนได้ครับ แล้วถ้าผมจำไม่ผิดป้ายทะเบียนที่เสี่ยวหวังเพิ่งบอกมาน่าจะเป็น… รถของกองพลเรดแอร์โรว์!” ถังเจี้ยนกั๋วยังคงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ มันแปลกเกินไป ทำไมสหายน้อยจี้ถึงได้รู้จักกับทหารของเรดแอร์โรว์ได้ นั่นคือกลุ่มกองกำลังรบพิเศษอันดับหนึ่งของประเทศจีนและเป็นกลุ่มในเขตการปกครองพิเศษของหยานจิง!
ผู้เฒ่าถังก็ตกใจไม่แพ้กันแต่ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็หัวเราะเสียงดัง “เจี้ยนกั๋ว เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องดี!”
“เรื่องดี!”ถังเจี้ยนกั๋วมองผู้เป็นพ่อด้วยความสงสัย นี่จะเป็นเรื่องดีได้ยังไง? ถ้าสหายน้อยจี้มีความสัมพันธ์กับกองทหารเรดแอร์โรว์จริงๆ การจะจับเขากลับมาก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก อีกอย่างคนของถังเจี้ยนกั๋วส่วนใหญ่อยู่ที่เจียงโจว ส่วนที่หยานจิงนั้นมีคนไม่มากนัก แล้วจะไปจับคนในกองทหารเรดแอร์โรว์ได้ยังไง?!
ผู้เฒ่าถึงรู้นิสัยของลูกชายเป็นอย่างดีเขารู้ดีว่าสายเลือดตระกูลถังมีนิสัยเป็นอย่างไร แม้ว่าถังเจี้ยนกั๋วจะไม่ได้มีประสบการณ์ที่ต้องผ่านการนองเลือดมาหลายสิบปีอย่างเขา แต่อารมณ์ที่ตรงไปตรงมาและใจร้อนนั้นเหมือนกับเขาทุกประการ การให้เขาทำเรื่องที่ไร้จิตสำนึกแบบนี้แล้วจะให้เขาทำมันอย่างสบายใจก็คงเป็นเรื่องที่แปลกแล้ว!
ผู้เฒ่าถังถอนหายใจเล็กน้อย“เจี้ยนกั๋ว เจ้ารู้สึกไม่สบายใจงั้นหรือ”
ถังเจี้ยนกั๋วพยักหน้าเงียบๆโดยไม่พูดอะไร ต่อหน้าพ่อ เขาไม่คิดที่จะปิดบังสิ่งที่อยู่ในใจ
“เจ้า!”
ผู้เฒ่าถังส่ายหัวเล็กน้อย“ข้าแค่ขอให้เจ้าไปพาตัวสหายน้อยจี้มารักษาหัวหน้าใหญ่ แต่กระทำเช่นนี้ก็ไม่เหมาะสมจริงๆ แถมยังเข้าข่ายเนรคุณ แต่เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล เพราะหลังจากการรักษาเสร็จสิ้น และไม่ว่าร่างกายของหัวหน้าจะเป็นอย่างไร การรักษาจะสำเร็จหรือไม่ ข้าจะคุกเข่าขอโทษสหายจี้เป็นการส่วนตัว!”
“พ่อ!”ถังเจี้ยนกั๋วตกใจ “พ่อครับ พ่อจะทำอย่างนั้นไม่ได้…”
จี้เฟิงเป็นคนช่วยชีวิตผู้เฒ่าถังไว้ตามหลักแล้วไม่ว่าผู้เฒ่าถังจะขอบคุณเขาอย่างไรก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่ในฐานะผู้อาวุโสที่ต้องมาคุกเข่าก้มหัวขอโทษชายหนุ่มอายุน้อยกว่าหลานชายของตัวเองสองสามปี นี่มันค่อนข้างจะ…
ผู้เฒ่าถังพ่นลมหายใจอย่างเย็นชาและถลึงตาใส่ลูกชาย“เจี้ยนกั๋ว ข้าเองก็เป็นมนุษย์ ในเมื่อทำเรื่องที่เนรคุณต่อผู้ที่มีบุญคุณ ทำไมข้าถึงจะก้มหัวขอโทษคนอื่นไม่ได้ ถ้าเจ้าเรียนรู้ที่จะมีเกียรติก็ต้องเรียนรู้ที่จะให้เกียรติผู้อื่นด้วย คนเราไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน ต่างก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน!”
ถังเจี้ยนกั๋วทำได้เพียงแค่ยิ้มเจื่อนๆและพยักหน้าแน่นอนว่าเขารู้นิสัยพ่อของตัวเองดี และตรงจุดนี้แหละที่น่าเป็นห่วง ผู้เฒ่าถังไม่ค่อยจะใส่ใจกับฐานะของตัวเอง ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่นั่งรถไฟและต้องมาเบียดเสียดกับฝูงชนแบบนี้
‘ฉันหวังว่าสหายน้อยจี้จะไม่โง่พอที่จะยืนดูพ่อต้องคุกเข่าลงไม่เช่นนั้นหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป แค่ความแค้นของลูกหลานตระกูลถังก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้สหายน้อยจี้ตกอยู่ในความลำบากใจ…’ ถังเจี้ยนกั๋วแอบคิดในใจและอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อย
“พ่อครับพวกเราก็ควรลงจากรถไฟได้แล้ว!”เมื่อเห็นว่าคนในรถไฟลงไปกันเกือบจะหมดแล้ว ถังเจี้ยนกั๋วก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยพยุงผู้เฒ่าถังและเตรียมตัวที่จะลงจากรถไฟ
แต่ใครจะไปรู้หลังจากที่ผู้เฒ่าถังพยักหน้าเล็กน้อย เขาก็ออกแรงที่ขาเพื่อที่จะลุกขึ้นยืน แต่ขาของเขากลับมั่นคงไม่สั่นคลอนเหมือนอย่างที่เคยเป็น
“เอ๊ะ!”ผู้เฒ่าถังอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ เขามองลงไปที่ขาของเขาอย่างรวดเร็ว “ทำไมจู่ๆข้าก็รู้สึกเหมือนจะมีแรงเพิ่มมากขึ้น?!”
ถังเจี้ยนกั๋วก็มองพ่อของเขาด้วยความประหลาดใจมากเล่นกัน“พ่อครับ ทำไม…”
ผู้เฒ่าถังผลักถังเจี้ยนกั๋วออกไปทันทีและเดินวนไปวนมาในทางเดินของรถไฟสามสี่รอบ ถังเจี้ยนกั๋วเห็นท่าเดินพ่อของเขานั้นดูคล่องแคล่วราวกับไม่รู้สึกถึงอาการเจ็บป่วยเลยแม้แต่น้อย ดูท่าว่าจะแข็งแรงกว่าชายวัยกลางคนเสียอีก
“พ่อ!ทำไมจู่ๆถึงได้เดินเร็วขนาดนี้ ” ถังเจี้ยนกั๋วถามด้วยความประหลาดใจ เดิมทีร่างกายของผู้เฒ่าถังนั้นแข็งแรงดีอยู่แล้วเพียงแต่โรคหัวใจที่เขาเป็นส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพ ดังนั้นผู้เฒ่าถังจึงไม่กล้าเดินเร็ว หรือแม้แต่ออกกำลังกายเบาๆเขาก็ยังไม่กล้า แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้สึกไม่สบายเลยสักนิด!
“แปลก!แปลกจริงๆ ไม่รู้สึกเจ็บแปล๊บที่หัวใจเลยแถมทั้งร่างกายยังรู้สึกเหมือนมีพละกำลัง…” ชายชราเองก็รู้สึกประหลาดใจและงุนงงไม่แพ้กัน “ทักษะทางการแพทย์ของสหายน้อยจี้นั้นดีมากจริงๆ เขาทำยังไงถึงได้ทำให้ตาแก่ใกล้ลงโรงอย่างข้ารู้สึกเหมือนได้กลับมาเกิดใหม่แบบนี้ อืม… ข้ารู้สึกเพียงแค่ว่าในตอนที่เขาคว้าข้อมือของข้าไป มันรู้สึกชาไปหมด ความชานั้นไล่มาตั้งแต่ข้อมือและค่อยๆกระจายไปทั่วร่างกาย…”
เมื่อคำพูดนี้จบลงสีหน้าของถังเจี้ยนกั๋วก็เปลี่ยนไป เขาสบตากับพ่อของเขาทันที ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขานึกถึงเรื่องเดียวกัน ยอดฝีมือที่มีพลังภายใน! มีข่าวลือว่ามีปรมาจารย์ที่สามารถถ่ายโอนพลังภายในไปยังร่างกายของผู้อื่นได้และค่อยๆปรับระบบบางอย่างภายในร่างกายของผู้อื่น ปรมาจารย์ดังกล่าวจะมีก็แต่เพียงในหน่วยพิเศษลับเท่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะเป็นบุคลากรทางการทหารระดับสูง แต่พวกเขาก็ไม่ค่อยได้เข้าถึงบุคคลประเภทนี้…
“หรือว่าสหายน้อยจี้คนนั้นจะเป็นยอดฝีมือที่มีพลังภายในในตำนานที่ว่านั่นจริงๆ!”
ถังเจี้ยนกั๋วพึมพำการคาดเดาของตนเองออกมาเบาๆอย่างไม่รู้ตัวแม้จะเบาแต่ผู้เฒ่าถังก็ได้ยินอย่างชัดเจน เขาอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเล็กน้อย “มีความเป็นไปได้ บางทีสหายจี้น้อยอาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางพลังภายในจริงๆ ดังนั้นยาที่เขามอบให้เม็ดนี้ก็จะต้องเป็นของดีอย่างแน่นอน!”
ถังเจี้ยนกั๋วกลับหัวใจเต้นรัวและกล่าวว่า“พ่อครับ หรือว่าที่จู่ๆร่างกายของพ่อดีขึ้นจะเป็นเพราะยาเม็ดนี้ ต่อให้สหายน้อยจี้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังภายในยังไง เขาก็ยังเด็กเกินไป ผมเคยได้ยินมาว่ากว่าที่จะได้เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือปรมาจารย์ทางด้านพลังภายในพวกเขาจะต้องผ่านการฝึกฝนมากว่าหลายสิบปี ดังนั้นพวกเขาเหล่านั้นล้วนจึงเป็นผู้ที่มีอายุมากแล้ว…”
ผู้เฒ่าถังพยักหน้าอย่างเห็นด้วยและกล่าวว่า“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล ข้าเคยเห็นผู้เชี่ยวชาญพลังภายในมาก่อน สหายน้อยจี้ยังเยาว์วัยเกินไปจริงๆ…”
“พ่อครับ!พ่อจำที่สหายน้อยจี้พูดก่อนที่เขาจะจากไปได้ไหม เขาบอกว่ายาเม็ดนี้สามารถยื้อชีวิตของหัวหน้าใหญ่ได้ถ้าถึงตอนที่แม้แต่หมอก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี!” ถังเจี้ยนกั๋วกล่าว “ก่อนหน้านี้ผมยังไม่ทันได้คิดอะไร แต่พอตอนนี้มานึกๆดู เขาจะต้องมั่นใจในยาของเขามากแน่ๆ เขาถึงได้กล้าพูดขนาดนั้น และการที่ร่างกายของพ่อดีขึ้นทันหาเห็นขนาดนี้ก็เป็นหลักฐานที่ดีที่สุด!”
“ถ้าอย่างนั้นนี่ก็เป็นยาวิเศษน่ะสิ!”ผู้เฒ่าถังมองยาในมือด้วยแววตาเป็นประกาย แต่เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น “แต่จากที่สหายน้อยจี้บอก ยาเม็ดนี้สามารถใช้ยื้อเวลาได้แค่เบื้องต้นเท่านั้น เป็นการยื้อเวลาเพื่อให้หมอได้มีเวลาวินิจฉัยและทำการรักษาต่อไป แต่ก็ยังไม่สามารถรักษาอาการป่วยของหัวหน้าได้อยู่ดี เรื่องนี้มันยากที่จะพูดจริงๆ… ไม่ว่ายังไงเจ้าต้องไปนำตัวสหายน้อยจี้กลับมา แล้วพาเขาไปรักษาหัวหน้าให้ได้!”
ทุกคนรู้จักร่างกายของตัวเองดีที่สุดและผู้เฒ่าถังก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพละกำลัง ซึ่งมันยิ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของเขาที่จะให้จี้เฟิงไปรักษาหัวหน้าให้ได้!
……………
ส่วนจี้เฟิงในเวลานี้ไม่ได้รู้เลยว่าเพราะผลจากการรักษาของเขานั้นดีเกินไปจึงทำให้ผู้เฒ่าถังไม่อาจปล่อยเขาไปง่ายๆได้ แต่ถ้าเขารู้ เขาก็คงทำได้เพียงส่ายหน้าและยิ้มเจื่อนๆ แต่ไม่ว่ายังไงในด้านของการช่วยเหลือคน เขาก็ไม่อาจจงใจลดประสิทธิภาพในการรักษาลงได้ เขาก็คงจะพยายามทำอย่างเต็มที่อยู่ดี เพื่อที่จะทำให้มันออกมาดีที่สุด
จี้เฟิงมองไปรอบๆทางออกของสถานีรถไฟเมื่อครู่เขาได้คุยโทรศัพท์กับอาสามของเขาแล้ว ตามที่อาสามบอก คนที่จะมารับเขาได้มาถึงแล้ว แต่ตอนนี้จี้เฟิงยังไม่เห็น
เขาได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญาและพึมพำกับตัวเอง“สงสัยฉันจะได้นั่งแท็กซี่ไปเองซะละมั้ง! แล้วไม่รู้ด้วยว่าจะเข้าเขตลานบ้านได้หรือเปล่า เคยได้ยินมาว่ามียามยืนเฝ้าอยู่เต็มไปหมด!”
จี้เฟิงส่ายหัวและเดินออกมาจากสถานีรถไฟ“ไปหาที่นั่งรอก่อนก็แล้วกัน!”
แต่ทันทีที่เขาเดินออกมาจากสถานีรถไฟเขาก็เห็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าเย็นชามาหาเขาและพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า “นายน้อยจี้ ไปกันเลยมั้ยครับ!”
จี้เฟิงอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อได้เห็นใบหน้าของชายคนนั้นอย่างชัดเจน“บ้าเอ๊ย! คุณเองหรอกเหรอ คุณมาเร็วกว่าผมได้ยังไง?!”
ชายที่มีใบหน้าเย็นชาที่มารับจี้เฟิงในตอนนี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นชายหนุ่มที่แอบจับตาดูจี้เฟิงที่ด้านนอกโรงงานผลิตยาเมื่อวันก่อน
จี้เฟิงประหลาดใจมากเขากล่าวว่า“เท่าที่ผมจำได้ตอนที่ผมออกจากเจียงโจว คุณยังอยู่ที่เจียงโจวอยู่เลยไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมจู่ๆคุณถึงมาปรากฏตัวที่นี่? วาปมาเหรอ?!”
รู้หรือไม่ว่ารถไฟที่จี้เฟิงนั่งมาเป็นเที่ยวที่เร็วที่สุดแล้วหรือถ้าเป็นเครื่องบินตามตารางบินที่ว่างจากเจียงโจวกว่าจะมาถึงหยานจิงอย่างน้อยก็ต้องช่วงบ่ายเป็นต้นไป ดังนั้นรถไฟตู้นอนสายด่วนจะต้องมาถึงหยานจิงก่อนอย่างแน่นอน แล้วผู้ชายคนนี้มาถึงก่อนจี้เฟิงได้อย่างไร
“ไม่ใช่ฝาแฝดใช่มั้ย”จี้เฟิงมองเขาอย่างสงสัย “หรือเป็นวิธีการปลอมตัว?!”
มุมปากของผู้ชายใบหน้าเย็นชาเริ่มกระตุกขึ้นเล็กน้อย“ผมเป็นทหาร!” ทหาร…เขามาโดยเครื่องบินทหาร!
“เข้าใจล่ะ!”จี้เฟิงโบกมืออย่างช่วยไม่ได้ “งั้นเราก็ไปกันเถอะ!”
แต่ในใจของเขากลับรู้สึกหดหู่เล็กน้อยหากบอกเหตุผลกับอาสามดีๆแต่แรกก็คงจะได้นั่งเครื่องบินมาด้วยก็ได้ โตจนป่านนี้แต่จี้เฟิงก็ยังไม่เคยได้นั่งเครื่องบินเลย
เมื่อเห็นท่าทางที่หดหู่ของจี้เฟิงแววตาของชายผู้มีใบหน้าเย็นชาก็มีรอยยิ้มปรากฏออกมา จากนั้นสีหน้าของเขาก็กลับเป็นเย็นชาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เขาพาจี้เฟิงไปที่ลานจอดรถ และขึ้นรถยนต์ที่มีป้ายทะเบียนของทหารและรถก็เคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
“จะให้ผมเรียกคุณว่าอะไร”จี้เฟิงที่นั่งอยู่บนรถถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ฮุ่ยอี้!”ชายผู้มีใบหน้าเย็นชาตอบในขณะที่ขับรถโดยไม่หันมามอง
“เป็นนามสกุลที่หาได้ยาก!”จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อย “คุณคือองครักษ์ของอาผมเหรอ”
“เรื่องนี้เป็นความลับ!”ฮุ่ยอี้ตอบอย่างหนักแน่น
จี้เฟิงสะอึกไปเล็กน้อยเขาได้แต่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนและส่ายหัวเล็กน้อย ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะไม่มีอะไรให้พูดคุยกันมากนัก จี้เฟิงจึงหลับตาเพื่อพักผ่อน
……………
ในเวลานี้ถังเจี้ยนกั๋วที่เพิ่งลงจากรถไฟได้รับโทรศัพท์จากเสี่ยวหวังใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ!”ผู้เฒ่าหวังถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
ถังเจี้ยนกั๋วตอบด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดเล็กน้อย“พ่อครับเรื่องมันอาจจะยุ่งยากกว่าที่เราคิด เสี่ยวหวังเพิ่งโทรมารายงานว่าสหายน้อยจี้ขึ้นรถไปกับผู้ชายหน้าตาดุดันคนหนึ่ง แต่รถคันนั้นมีป้ายทะเบียนของทหารที่ขึ้นต้นด้วยตัว A” “ตัวA งั้นเหรอ” ผู้เฒ่าถังอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง “มันเป็นรถของทหารในหยานจิง! สหายน้อยจี้ก็มีคนรู้จักเป็นสมาชิกในกองทัพด้วยอย่างนั้นหรือ?”
ทันใดนั้นผู้เฒ่าถังก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้เขารีบถามทันที “ป้ายทะเบียนของรถคันนั้นคืออะไร”
ถังเจี้ยนกั๋วโทรกลับไปหาเสี่ยวหวังอีกครั้ง“เสี่ยวหวัง รถคันที่สหายน้อยจี้เพิ่งขึ้นไป ตัวอักษรของป้ายทะเบียนคืออะไร”
คำตอบที่เขาได้รับทำให้ถังเจี้ยนกั๋วตกตะลึงอยู่นาน
“มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าเสี่ยวหวังจำทะเบียนรถได้หรือไม่?” ผู้เฒ่าถังขมวดคิ้ว
“ได้..เสี่ยงหวังจำทะเบียนได้ครับ แล้วถ้าผมจำไม่ผิดป้ายทะเบียนที่เสี่ยวหวังเพิ่งบอกมาน่าจะเป็น… รถของกองพลเรดแอร์โรว์!” ถังเจี้ยนกั๋วยังคงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ มันแปลกเกินไป ทำไมสหายน้อยจี้ถึงได้รู้จักกับทหารของเรดแอร์โรว์ได้ นั่นคือกลุ่มกองกำลังรบพิเศษอันดับหนึ่งของประเทศจีนและเป็นกลุ่มในเขตการปกครองพิเศษของหยานจิง!
ผู้เฒ่าถังก็ตกใจไม่แพ้กันแต่ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็หัวเราะเสียงดัง “เจี้ยนกั๋ว เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องดี!”
“เรื่องดี!”ถังเจี้ยนกั๋วมองผู้เป็นพ่อด้วยความสงสัย นี่จะเป็นเรื่องดีได้ยังไง? ถ้าสหายน้อยจี้มีความสัมพันธ์กับกองทหารเรดแอร์โรว์จริงๆ การจะจับเขากลับมาก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก อีกอย่างคนของถังเจี้ยนกั๋วส่วนใหญ่อยู่ที่เจียงโจว ส่วนที่หยานจิงนั้นมีคนไม่มากนัก แล้วจะไปจับคนในกองทหารเรดแอร์โรว์ได้ยังไง?!