The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 327 โน้มน้าว
“ไอ้หนูยาของนายกินแล้วจะไม่ตายใช่มั้ย”จี้เจิ้นผิงถามด้วยรอยยิ้มแห้งๆ ถึงแม้เขาจะรู้ว่าจี้เฟิงลงทุนซื้อโรงงานผลิตยาและใช้เวลาตลอดทั้งคืนเพื่อผลิตยาตัวใหม่นี้ขึ้นมา แต่สำหรับประสิทธิภาพของยาจี้เจิ้นผิงจะประมาทไม่ได้
จี้เฟิงยิ้มอย่างขมขื่นทันที“อาสาม ตอนที่ผมอยู่บนรถไฟ ผมได้ใช้ยาตัวนี้เพื่อช่วยชีวิตชายชราคนหนึ่งมา ผมรับรองว่าคนแก่คนนั้นยังมีชีวิตอยู่แถมแข็งแรงขึ้นมาก! อาสามครับ ผมจะทำร้ายอาได้ยังไง ผมแค่พยายามจะช่วยชีวิตคุณปู่!” จี้เฟิงพูดอย่างจริงใจ
พอเห็นแววตาอ้อนวอนของจี้เฟิงจี้เจิ้นผิงก็ใจอ่อนในสายตาเขาจี้เฟิงก็เหมือนลูกชายแท้ๆ เขาไม่ควรทำให้เด็กคนนี้ต้องลำบากใจ
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยนิสัยของจี้เฟิงเขาไม่ใช่คนประเภทที่ไม่รู้ว่าอะไรสำคัญไม่สำคัญ ในเมื่อเขากล้านำมาให้ตัวเองกินเขาจะต้องทดสอบมันมาอย่างดีแล้วแน่นอน
คิดมาถึงตรงนี้จี้เจิ้นผิงก็อดหัวเราะไม่ได้“งั้นก็โอเค! ยาที่หลานชายพัฒนามาด้วยความมั่นใจขนาดนี้ กินก็กิน! แต่ไอ้หนูจำไว้นะว่าถ้ามีอะไรผิดพลาด นายจะกลายเป็นผู้ก่ออาชญากรรม! ฮ่าฮ่า~!”
เพื่อไม่ให้จี้เฟิงต้องรู้สึกลำบากใจเขาอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ
จี้เฟิงพยักหน้าอย่างจริงจัง“ไม่มีทางเกิดปัญหาแบบนั้นแน่นอนครับ!”
จี้เจิ้นผิงไม่พูดอะไรอีกเขาหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจากโต๊ะกินยาแล้วดื่มน้ำตามลงไปทันที
ทันใดนั้นความร้อนจากลำคอก็ลามไปถึงท้อง
จี้เจิ้นผิงเหลือบมองจี้เฟิงด้วยความประหลาดใจแต่ไม่ทันที่จะได้พูดอะไร เขาทำได้เพียงแค่หลับตาลงและสัมผัสได้ถึงความร้อนที่เริ่มไหลเวียนไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว จี้เฟิงรีบเดินเข้าไปหาจี้เจิ้นผิงทันทีเขาคว้าข้อมือของจี้เจิ้นผิงและค่อยๆปล่อยพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพของตัวเองไปกระตุ้นพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพของจี้เจิ้นผิงให้เกิดคลื่นความถี่ที่ตรงกัน
ทันทีที่กระแสไฟฟ้าชีวภาพเข้าสู่ร่างกายของจี้เจิ้นผิงจี้เฟิงก็พบว่าความเข้มข้นของกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของอาสามของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าของชายชราที่เขาพบบนรถไฟมาก เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับความแข็งแรงของร่างกายก็เป็นได้ จี้เฟิงคิดอยู่ในใจ
เนื่องจากคลื่นกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายอาของเขามีพลังงานสูงมากจี้เฟิงจึงสามารถปรับความถี่ของกระแสไฟฟ้าชีวภาพได้อย่างง่ายดายและทันใดนั้นกระแสไฟฟ้าชีวภาพทั้งสองก็เกิดเรโซแนนซ์ (พลังงานเกิดความเปลี่ยนแปลงสั่นพ้องจนสามารถเข้ากันได้เป็นอย่างดีและเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น)
และผลข้างเคียงก็กำจัดออกไปอย่างง่ายดาย!
เมื่อจี้เจิ้นผิงลืมตาขึ้นก็มีประกายแสงอยู่ในดวงตาของเขาและเมื่อเขาหันไปมองที่จี้เฟิงอีกครั้ง แววตาของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่มีใครรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขาได้ดีไปกว่าตัวเขาเอง ตอนนี้เขารู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพละกำลัง มันเหมือนกับตอนที่ร่างกายของเขาอยู่ในจุดที่แข็งแรงที่สุดในวัย 30 ปี
จี้เจิ้นผิงเกิดความสงสัยว่าถ้าตอนนี้เขาแบกอาวุธลงไปวิ่งในสนามรบสัก10 กิโลเมตรก็คงจะไม่ด้อยไปกว่าทหารภายใต้บังคับบัญชาของเขาแน่!
“เสี่ยวเฟิงนี่มันยาอะไรกัน!”จี้เจิ้นผิงถามด้วยความตกใจ อันที่จริงเขาสัมผัสได้ถึงความมหัศจรรย์ของยาพิเศษนี้ได้ ผลของมันช่างน่าทึ่งมาก!
จี้เฟิงยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย“เป็นไงล่ะอาสาม ทีนี้ยังสงสัยในประสิทธิภาพของยาพิเศษของผมอยู่หรือเปล่าครับ ยาตัวนี้เป็นยาชนิดพิเศษที่ผมพัฒนามาเพื่อรักษาคุณปู่โดยเฉพาะ ผมจะปล่อยให้มันเกิดปัญหาได้ยังไง?!”
“เจ้าเด็กเหลือขอ!ได้ทีขี่แพะไล่เชียวนะ!” จี้เจิ้นผิงถลึงตาและกล่าวอย่างดุๆ
“แล้วไอ้ยาพิเศษนี้มันจะได้ผลกับคุณปู่ของนายจริงๆน่ะเหรอ”จี้เจิ้นผิงยังคงรู้สึกเหลือเชื่อ
จี้เฟิงพูดอย่างจนปัญญา“อาสามลองกับตัวเองขนาดนี้แล้วยังไม่เชื่ออีกเหรอ”
“แต่ร่างกายคุณปู่ของนายมันเสื่อมสมรรถภาพตามกาลเวลามันเป็นเรื่องของสรีรวิทยาที่ลดลงตามธรรมชาติ ยานี้มันก็ยังจะได้ผลเหรอ” จี้เจิ้นผิงถามด้วยความเป็นกังวลแต่แววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง หากยานี้มีผลกับผู้อาวุโสเฒ่าจริงๆ นั่นก็หมายความว่าผู้อาวุโสเฒ่ารอดพ้นจากความตายแล้ว! แล้วจะไม่ให้จี้เจิ้นผิงประหม่าได้อย่างไร สิ่งที่เขากลัวมากที่สุดในตอนนี้คือการที่จี้เฟิงส่ายหน้า จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย“ในทางทฤษฎีมันได้ผล แต่มันยังขาด…. ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่ง!”
“ปัจจัยสำคัญอะไร”จี้เจิ้นผิงถามทันทีหากสามารถรักษาผู้อาวุโสเฒ่าให้หายขาดได้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นพวกเขาสามพี่น้องหรือตระกูลจี้ทั้งหมดและแม้แต่ตระกูลใหญ่หลายตระกูล นี่ถือเป็นข่าวใหญ่และข่าวดีสำหรับพวกเขา พอจี้เจิ้นผิงได้ยินว่ามีความเป็นไปได้ทางทฤษฎี แล้วจะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้อย่างไร?
“ปัจจัยสำคัญก็คือ…อาสามต้องพาผมไปพบกับผู้อาวุโส โดยที่ห้ามบอกให้ใครรู้และห้ามให้ใครเข้ามารบกวนโดยเด็ดขาด!” จี้เฟิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ทำไม”
จี้เจิ้นผิงอึ้งไปหากยาที่จี้เฟิงมีสามารถรักษาผู้อาวุโสเฒ่าได้จริงๆนี่จะเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับเขา แล้วหลังจากนั้นก็เกรงว่าจะไม่มีใครกล้าคัดค้านอะไรอีก!
“แล้วถ้าพวกเขาขัดขวางล่ะ”จี้เฟิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
สีหน้าของจี้เจิ้นผิงมืดครึ้มลงทันทีนั่นน่ะสิ ถ้าพวกเขาขัดขวางล่ะ
แน่นอนว่าจี้เจิ้นผิงรู้ว่า‘พวกเขา’ ในที่นี้หมายถึงใคร ไม่ใช่แค่คนจากทางญาติสายรองเท่านั้น ความจริงแล้วถ้าพวกเขาจะหยุดจี้เฟิงไม่ให้รักษาผู้อาวุโสเฒ่าจริงๆ ใครก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะจากประสบการณ์ของจี้เฟิง เขาไม่เคยเรียนวิชาแพทย์มาก่อนและยาพิเศษในมือเขาก็ไม่เคยผ่านขั้นตอนที่ได้รับการตรวจสอบอย่างถูกต้องตามกฎหมายรวมถึงไม่มีหลักฐานการรับรองความปลอดภัยใดๆเลย ถ้าพวกเขาจะไม่นับว่าเป็นยาพิเศษนี้เป็นยารักษาก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลก
และแน่นอนว่าทางเลือกที่จะให้พวกเขาได้สัมผัสกับประสิทธิภาพของยาพิเศษนี้ด้วยตัวเองคงจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดี
ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกจะยอมเชื่อและกินยานี้หรือไม่อันที่จริงแม้ว่าพวกเขาจะเต็มใจทดสอบ แต่จี้เจิ้นผิงก็ไม่ยอมอยู่ดีไม่ใช่เรื่องตลก ยาพิเศษนี้ไม่ใช่หินข้างถนนจะได้ให้ใครต่อใครลองกินมันได้ง่ายๆ ยานี้ถูกพัฒนามาเพื่อรักษาผู้อาวุโสเฒ่าโดยเฉพาะ! แล้วจะให้พวกเขากินมันได้ยังไง
ในตอนนั้นเองจี้เฟิงก็พูดเสริมว่า“อาสามครับ ความจริงแล้ว การที่ไม่ให้คนอื่นรู้ ไม่เพียงแต่จะเป็นช่วงก่อนที่ผมจะได้เข้าไปรักษาคุณปู่ แต่หลังจากที่การรักษาเสร็จสิ้นแล้ว ก็ไม่ควรให้พวกเขารู้เรื่องนี้เหมือนกันครับ หรืออย่างน้อยก็ให้พวกเขารู้รายละเอียดให้น้อยที่สุด”
จี้เจิ้นผิงอึ้งไปอีกครั้ง“ทำไมล่ะ” ไม่ให้คนอื่นรู้ล่วงหน้าเพราะป้องกันความวุ่นวายก็พอเข้าใจได้ เพราะสุดท้ายแล้วการจะได้เข้าไปรักษาผู้อาวุโสต้องผ่านขั้นตอนความปลอดภัยต่างๆ แต่หลังจากที่รักษาสำเร็จแล้ว ทำไมถึงต้องไม่ให้คนอื่นรู้รายละเอียดด้วยล่ะ?
“อาสามยาพิเศษของผมไม่มีหลักฐานการผลิตใดๆที่สามารถรับรองความปลอดภัยได้เลยถ้าคนพวกนั้นรู้เข้าจะไม่หาว่าเป็นการกระทำโดยประมาทหรือ” จี้เฟิงส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วพูดต่อว่า “อีกอย่างเมื่อกี้ผมก็บอกไปแล้วว่า แค่ยาพิเศษมันไม่พอยังต้องมีวิธีอื่นเสริมด้วย ไม่อย่างนั้นยาพิเศษนี้จะมีผลข้างเคียงถึงแม้จะไม่ถึงกับเป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ร่างกายก็จะอ่อนแอลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
จี้เฟิงหยุดพูดเขาถอนหายใจเล็กน้อยและกล่าวว่า“และเทคนิคพิเศษที่ผมใช้ มันไม่สามารถให้คนอื่นรู้ได้!”
“เทคนิคพิเศษที่นายพูดถึงมันคืออาการชาๆร้อนๆที่ฉันรู้สึกได้เมื่อกี้ใช่มั้ย”จี้เจิ้นผิงจับกุญแจสำคัญของเรื่องได้อย่างรวดเร็วและถามออกไปตรงๆ
จี้เฟิงชะงักไปครู่หนึ่งจากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย “ใช่ครับ!”
จี้เจิ้นผิงหัวเราะและกล่าวว่า“งั้นก็ตามนั้นไม่บอกให้ใครรู้ก่อนที่นายจะได้รักษา แล้วหลังจากที่รักษาเสร็จพวกเขาจะได้รู้แค่ว่านายเป็นคนรักษาส่วนจะรักษาอย่างไร วิธีไหนพวกเราจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้!”
“ขอบคุณมากครับอาสาม!”จี้เฟิงรู้สึกดีใจมาก อาสามพูดมาแบบนี้นั่นก็หมายความว่าเขาเห็นด้วยที่จะพาจี้เฟิงเข้าไปหาผู้อาวุโสเฒ่า แถมยังช่วยปิดไม่ให้ใครรู้ นี่คือเป้าหมายสูงสุดของการมาหาอาสามที่หยานจิงในครั้งนี้ของจี้เฟิง
ความจริงแล้วในบรรดาคนที่จี้เฟิงรู้จักก็เกรงว่าจะมีแต่อาจี้เจิ้นผิงคนนี้คนเดียวที่จะพาเขาเข้าไปหาผู้อาวุโสได้ดีที่สุด
เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะสถานะของอาสามเป็นลูกชายคนสุดท้องของผู้อาวุโสเฒ่าและยังเป็นทหารที่ควบคุมกองพลเรดแอร์โรว์เพียงแค่เงื่อนไขทั้งสองนี้ก็ทำให้เขาสามารถเข้าพบผู้อาวุโสเฒ่าได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ใครทราบล่วงหน้า
จากจุดนี้เองจี้เจิ้นผิงจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด!
นอกจากนี้แม้แต่จี้ช่าวเหลยพี่รองของจี้เฟิงหากต้องการจะเข้าพบผู้อาวุโส เขาก็จะต้องได้รับการอนุมัติ!
“เจ้าเด็กเหลือขอทำไมนายถึงขอบคุณฉัน” จี้เจิ้นผิงด่าพลางหัวเราะ “ถ้านายช่วยคุณปู่ของนาย นั่นไม่ทำกับว่านายช่วยพ่อของฉันหรอกเหรอ?!”
อาและหลานชายสบตากันและหัวเราะออกมาพร้อมกัน
ช่วงนี้จี้เจิ้นผิงตกอยู่ภายใต้แรงกดดันที่หนักมากหนักจนถึงขนาดจะชักปืนออกมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่พอตอนนี้เขาได้ยินว่าพ่อของเขากำลังจะรอดตาย จะไม่ให้เขารู้สึกมีความสุขได้อย่างไร
“ไปกัน!เราไปกันตอนนี้เลยเถอะ!” จี้เจิ้นผิงไม่สามารถรอได้อีกต่อไป เขาคว้าตัวจี้เฟิงเพื่อที่จะออกไปทันที
จี้เฟิงได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น“อาสาม ไปโรงพยาบาลตอนนี้จะไม่มีใครมาเยี่ยมเหรอครับ” จี้เจิ้นผิงโบกมือแล้วกล่าวว่า“สบายใจได้ ผู้นำระดับสูงไปเยี่ยมกันมาเกือบหมดแล้ว คนที่เหลือก็ไม่มีใครมีสิทธิ์ได้เข้าเยี่ยมคุณปู่ของนายทั้งนั้น ตอนนี้คนที่อยู่ที่นั่นส่วนใหญ่ก็มีแต่หมอและพยาบาล มีฉันอยู่ทั้งคนจะกลัวอะไร!”
พอจี้เฟิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันทีความจริงแล้วยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเขาใช้วิธีไหนในการช่วยชีวิตผู้อาวุโสเฒ่า เป็นเพราะเขากลัวว่าคนอื่นจะล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของสมองหมายเลข 1
มันง่ายมากที่จะหาความผิดปกติจากเรื่องนี้เมื่อมองอย่างละเอียดถึงประสบการณ์ทางการแพทย์ของเขา
แม้ว่าจี้เฟิงจะยังไม่รู้ว่านักสู้ที่มีพลังปราณโดยกำเนิดนั้นหายากและสูงส่งมากขนาดไหนในสายตาคนทั่วไปแต่อย่างน้อย เทียนกั๋วถงและศิษย์น้องของเขาก็รู้เรื่องนี้ แค่สิ่งนี้ก็น่าจะเพียงพอที่จะอธิบายถึงปัญหาได้
ส่วนยาพิเศษที่เขาผลิตขึ้นมาก็เป็นจุดอ่อนเหมือนกัน
เอาสูตรยามาจากไหนแล้วจี้เฟิงรู้ได้ยังไง?
ความสงสัยเหล่านี้ทำให้เกิดข้อกังขาอย่างมากในตัวของจี้เฟิงถ้าเขาต้องอธิบายโดยละเอียดถึงที่มาที่ไปของสิ่งเหล่านี้ รวมถึงสาธยายวิธีการรักษาผู้อาวุโสเพื่อไขข้อสงสัยของผู้อื่น ก็เกรงว่าอีกไม่นานเขาคงจะถูกจับตัวไปเพื่อทำการวิจัย
พูดเป็นเล่นใครจะบอกล่ะว่าได้วิธีการรักษามาจากมนุษย์ต่างดาว! แถมมันยังอยู่ในหัวของเขาอีกต่างหาก!
สิ่งแรกที่ผู้คนจะนึกถึงเมื่อพูดถึงมนุษย์ต่างดาวก็คือมียานอวกาศหรือที่เรียกว่ายูเอฟโอ และมีฉากการทำสงครามระหว่างดวงดาวเหมือนอย่างในภาพยนตร์ไซไฟ ใครจะรู้ เขาอาจจะมีอาวุธร้ายแรงอยู่ในสมองก็ได้ ใครจะกล้ารับประกันเรื่องนี้ล่ะ?!
แล้วถ้าวันดีคืนดีจี้เฟิงถูกใครบางคนจากต่างประเทศจับตัวไป เมื่อถึงเวลานั้นมันอาจจะกลายเป็นภัยคุกคามระดับชาติ!
ดังนั้นเมื่อเรื่องนี้ถูกเปิดเผยจี้เฟิงจะไม่มีอิสระอีกต่อไป!
ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้จี้เฟิงจึงตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะไม่ยอมให้อาสามพูดถึงวิธีการรักษาผู้อาวุโสเฒ่าออกมา อย่างน้อยก็ต้องรอจนกว่าเขาจะจัดเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย จากนั้นค่อยคิดหาเหตุผลมาอธิบายเรื่องพวกนี้
ตัวอย่างเช่นตอนนี้เขาได้ซื้อโรงงานผลิตยามาเพื่อจะสร้างผลิตภัณฑ์เป็นยาลดน้ำหนักมันจะไม่สร้างความสงสัยให้คนอื่นๆ และสิ่งแรกที่ต้องทำหลังจากที่ได้เงินมาก็คือการจัดตั้งห้องปฏิบัติการ(ห้องแล็บ) และรับสมัครผู้เชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์และเภสัชกรรม
แล้วเมื่อถึงตอนนั้นจะเกิดผลอะไรขึ้นบ้างก็สามารถใช้เป็นข้ออ้างได้ว่าเป็นผลวิจัยมาจากห้องแล็บ!
แน่นอนว่ามันคงไม่ง่ายขนาดนั้นแต่อย่างน้อยก็อธิบายได้ดีกว่าตอนนี้! เมื่อจี้เฟิงออกมาจากความคิดของตัวเองเขาก็พบว่าฮุ่ยอี้ได้มาจอดรถอยู่หน้าโรงพยาบาลในเขตทหารแห่งหนึ่งแล้ว หัวใจของจี้เฟิงก็เต้นรัวขึ้นมาทันที
จี้เฟิงยิ้มอย่างขมขื่นทันที“อาสาม ตอนที่ผมอยู่บนรถไฟ ผมได้ใช้ยาตัวนี้เพื่อช่วยชีวิตชายชราคนหนึ่งมา ผมรับรองว่าคนแก่คนนั้นยังมีชีวิตอยู่แถมแข็งแรงขึ้นมาก! อาสามครับ ผมจะทำร้ายอาได้ยังไง ผมแค่พยายามจะช่วยชีวิตคุณปู่!” จี้เฟิงพูดอย่างจริงใจ
พอเห็นแววตาอ้อนวอนของจี้เฟิงจี้เจิ้นผิงก็ใจอ่อนในสายตาเขาจี้เฟิงก็เหมือนลูกชายแท้ๆ เขาไม่ควรทำให้เด็กคนนี้ต้องลำบากใจ
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยนิสัยของจี้เฟิงเขาไม่ใช่คนประเภทที่ไม่รู้ว่าอะไรสำคัญไม่สำคัญ ในเมื่อเขากล้านำมาให้ตัวเองกินเขาจะต้องทดสอบมันมาอย่างดีแล้วแน่นอน
คิดมาถึงตรงนี้จี้เจิ้นผิงก็อดหัวเราะไม่ได้“งั้นก็โอเค! ยาที่หลานชายพัฒนามาด้วยความมั่นใจขนาดนี้ กินก็กิน! แต่ไอ้หนูจำไว้นะว่าถ้ามีอะไรผิดพลาด นายจะกลายเป็นผู้ก่ออาชญากรรม! ฮ่าฮ่า~!”
เพื่อไม่ให้จี้เฟิงต้องรู้สึกลำบากใจเขาอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ
จี้เฟิงพยักหน้าอย่างจริงจัง“ไม่มีทางเกิดปัญหาแบบนั้นแน่นอนครับ!”
จี้เจิ้นผิงไม่พูดอะไรอีกเขาหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจากโต๊ะกินยาแล้วดื่มน้ำตามลงไปทันที
ทันใดนั้นความร้อนจากลำคอก็ลามไปถึงท้อง
จี้เจิ้นผิงเหลือบมองจี้เฟิงด้วยความประหลาดใจแต่ไม่ทันที่จะได้พูดอะไร เขาทำได้เพียงแค่หลับตาลงและสัมผัสได้ถึงความร้อนที่เริ่มไหลเวียนไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว จี้เฟิงรีบเดินเข้าไปหาจี้เจิ้นผิงทันทีเขาคว้าข้อมือของจี้เจิ้นผิงและค่อยๆปล่อยพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพของตัวเองไปกระตุ้นพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพของจี้เจิ้นผิงให้เกิดคลื่นความถี่ที่ตรงกัน
ทันทีที่กระแสไฟฟ้าชีวภาพเข้าสู่ร่างกายของจี้เจิ้นผิงจี้เฟิงก็พบว่าความเข้มข้นของกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายของอาสามของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าของชายชราที่เขาพบบนรถไฟมาก เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับความแข็งแรงของร่างกายก็เป็นได้ จี้เฟิงคิดอยู่ในใจ
เนื่องจากคลื่นกระแสไฟฟ้าชีวภาพในร่างกายอาของเขามีพลังงานสูงมากจี้เฟิงจึงสามารถปรับความถี่ของกระแสไฟฟ้าชีวภาพได้อย่างง่ายดายและทันใดนั้นกระแสไฟฟ้าชีวภาพทั้งสองก็เกิดเรโซแนนซ์ (พลังงานเกิดความเปลี่ยนแปลงสั่นพ้องจนสามารถเข้ากันได้เป็นอย่างดีและเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น)
และผลข้างเคียงก็กำจัดออกไปอย่างง่ายดาย!
เมื่อจี้เจิ้นผิงลืมตาขึ้นก็มีประกายแสงอยู่ในดวงตาของเขาและเมื่อเขาหันไปมองที่จี้เฟิงอีกครั้ง แววตาของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่มีใครรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขาได้ดีไปกว่าตัวเขาเอง ตอนนี้เขารู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพละกำลัง มันเหมือนกับตอนที่ร่างกายของเขาอยู่ในจุดที่แข็งแรงที่สุดในวัย 30 ปี
จี้เจิ้นผิงเกิดความสงสัยว่าถ้าตอนนี้เขาแบกอาวุธลงไปวิ่งในสนามรบสัก10 กิโลเมตรก็คงจะไม่ด้อยไปกว่าทหารภายใต้บังคับบัญชาของเขาแน่!
“เสี่ยวเฟิงนี่มันยาอะไรกัน!”จี้เจิ้นผิงถามด้วยความตกใจ อันที่จริงเขาสัมผัสได้ถึงความมหัศจรรย์ของยาพิเศษนี้ได้ ผลของมันช่างน่าทึ่งมาก!
จี้เฟิงยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย“เป็นไงล่ะอาสาม ทีนี้ยังสงสัยในประสิทธิภาพของยาพิเศษของผมอยู่หรือเปล่าครับ ยาตัวนี้เป็นยาชนิดพิเศษที่ผมพัฒนามาเพื่อรักษาคุณปู่โดยเฉพาะ ผมจะปล่อยให้มันเกิดปัญหาได้ยังไง?!”
“เจ้าเด็กเหลือขอ!ได้ทีขี่แพะไล่เชียวนะ!” จี้เจิ้นผิงถลึงตาและกล่าวอย่างดุๆ
“แล้วไอ้ยาพิเศษนี้มันจะได้ผลกับคุณปู่ของนายจริงๆน่ะเหรอ”จี้เจิ้นผิงยังคงรู้สึกเหลือเชื่อ
จี้เฟิงพูดอย่างจนปัญญา“อาสามลองกับตัวเองขนาดนี้แล้วยังไม่เชื่ออีกเหรอ”
“แต่ร่างกายคุณปู่ของนายมันเสื่อมสมรรถภาพตามกาลเวลามันเป็นเรื่องของสรีรวิทยาที่ลดลงตามธรรมชาติ ยานี้มันก็ยังจะได้ผลเหรอ” จี้เจิ้นผิงถามด้วยความเป็นกังวลแต่แววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง หากยานี้มีผลกับผู้อาวุโสเฒ่าจริงๆ นั่นก็หมายความว่าผู้อาวุโสเฒ่ารอดพ้นจากความตายแล้ว! แล้วจะไม่ให้จี้เจิ้นผิงประหม่าได้อย่างไร สิ่งที่เขากลัวมากที่สุดในตอนนี้คือการที่จี้เฟิงส่ายหน้า จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย“ในทางทฤษฎีมันได้ผล แต่มันยังขาด…. ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่ง!”
“ปัจจัยสำคัญอะไร”จี้เจิ้นผิงถามทันทีหากสามารถรักษาผู้อาวุโสเฒ่าให้หายขาดได้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นพวกเขาสามพี่น้องหรือตระกูลจี้ทั้งหมดและแม้แต่ตระกูลใหญ่หลายตระกูล นี่ถือเป็นข่าวใหญ่และข่าวดีสำหรับพวกเขา พอจี้เจิ้นผิงได้ยินว่ามีความเป็นไปได้ทางทฤษฎี แล้วจะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้อย่างไร?
“ปัจจัยสำคัญก็คือ…อาสามต้องพาผมไปพบกับผู้อาวุโส โดยที่ห้ามบอกให้ใครรู้และห้ามให้ใครเข้ามารบกวนโดยเด็ดขาด!” จี้เฟิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ทำไม”
จี้เจิ้นผิงอึ้งไปหากยาที่จี้เฟิงมีสามารถรักษาผู้อาวุโสเฒ่าได้จริงๆนี่จะเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับเขา แล้วหลังจากนั้นก็เกรงว่าจะไม่มีใครกล้าคัดค้านอะไรอีก!
“แล้วถ้าพวกเขาขัดขวางล่ะ”จี้เฟิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
สีหน้าของจี้เจิ้นผิงมืดครึ้มลงทันทีนั่นน่ะสิ ถ้าพวกเขาขัดขวางล่ะ
แน่นอนว่าจี้เจิ้นผิงรู้ว่า‘พวกเขา’ ในที่นี้หมายถึงใคร ไม่ใช่แค่คนจากทางญาติสายรองเท่านั้น ความจริงแล้วถ้าพวกเขาจะหยุดจี้เฟิงไม่ให้รักษาผู้อาวุโสเฒ่าจริงๆ ใครก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะจากประสบการณ์ของจี้เฟิง เขาไม่เคยเรียนวิชาแพทย์มาก่อนและยาพิเศษในมือเขาก็ไม่เคยผ่านขั้นตอนที่ได้รับการตรวจสอบอย่างถูกต้องตามกฎหมายรวมถึงไม่มีหลักฐานการรับรองความปลอดภัยใดๆเลย ถ้าพวกเขาจะไม่นับว่าเป็นยาพิเศษนี้เป็นยารักษาก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลก
และแน่นอนว่าทางเลือกที่จะให้พวกเขาได้สัมผัสกับประสิทธิภาพของยาพิเศษนี้ด้วยตัวเองคงจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดี
ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกจะยอมเชื่อและกินยานี้หรือไม่อันที่จริงแม้ว่าพวกเขาจะเต็มใจทดสอบ แต่จี้เจิ้นผิงก็ไม่ยอมอยู่ดีไม่ใช่เรื่องตลก ยาพิเศษนี้ไม่ใช่หินข้างถนนจะได้ให้ใครต่อใครลองกินมันได้ง่ายๆ ยานี้ถูกพัฒนามาเพื่อรักษาผู้อาวุโสเฒ่าโดยเฉพาะ! แล้วจะให้พวกเขากินมันได้ยังไง
ในตอนนั้นเองจี้เฟิงก็พูดเสริมว่า“อาสามครับ ความจริงแล้ว การที่ไม่ให้คนอื่นรู้ ไม่เพียงแต่จะเป็นช่วงก่อนที่ผมจะได้เข้าไปรักษาคุณปู่ แต่หลังจากที่การรักษาเสร็จสิ้นแล้ว ก็ไม่ควรให้พวกเขารู้เรื่องนี้เหมือนกันครับ หรืออย่างน้อยก็ให้พวกเขารู้รายละเอียดให้น้อยที่สุด”
จี้เจิ้นผิงอึ้งไปอีกครั้ง“ทำไมล่ะ” ไม่ให้คนอื่นรู้ล่วงหน้าเพราะป้องกันความวุ่นวายก็พอเข้าใจได้ เพราะสุดท้ายแล้วการจะได้เข้าไปรักษาผู้อาวุโสต้องผ่านขั้นตอนความปลอดภัยต่างๆ แต่หลังจากที่รักษาสำเร็จแล้ว ทำไมถึงต้องไม่ให้คนอื่นรู้รายละเอียดด้วยล่ะ?
“อาสามยาพิเศษของผมไม่มีหลักฐานการผลิตใดๆที่สามารถรับรองความปลอดภัยได้เลยถ้าคนพวกนั้นรู้เข้าจะไม่หาว่าเป็นการกระทำโดยประมาทหรือ” จี้เฟิงส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วพูดต่อว่า “อีกอย่างเมื่อกี้ผมก็บอกไปแล้วว่า แค่ยาพิเศษมันไม่พอยังต้องมีวิธีอื่นเสริมด้วย ไม่อย่างนั้นยาพิเศษนี้จะมีผลข้างเคียงถึงแม้จะไม่ถึงกับเป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ร่างกายก็จะอ่อนแอลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
จี้เฟิงหยุดพูดเขาถอนหายใจเล็กน้อยและกล่าวว่า“และเทคนิคพิเศษที่ผมใช้ มันไม่สามารถให้คนอื่นรู้ได้!”
“เทคนิคพิเศษที่นายพูดถึงมันคืออาการชาๆร้อนๆที่ฉันรู้สึกได้เมื่อกี้ใช่มั้ย”จี้เจิ้นผิงจับกุญแจสำคัญของเรื่องได้อย่างรวดเร็วและถามออกไปตรงๆ
จี้เฟิงชะงักไปครู่หนึ่งจากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย “ใช่ครับ!”
จี้เจิ้นผิงหัวเราะและกล่าวว่า“งั้นก็ตามนั้นไม่บอกให้ใครรู้ก่อนที่นายจะได้รักษา แล้วหลังจากที่รักษาเสร็จพวกเขาจะได้รู้แค่ว่านายเป็นคนรักษาส่วนจะรักษาอย่างไร วิธีไหนพวกเราจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้!”
“ขอบคุณมากครับอาสาม!”จี้เฟิงรู้สึกดีใจมาก อาสามพูดมาแบบนี้นั่นก็หมายความว่าเขาเห็นด้วยที่จะพาจี้เฟิงเข้าไปหาผู้อาวุโสเฒ่า แถมยังช่วยปิดไม่ให้ใครรู้ นี่คือเป้าหมายสูงสุดของการมาหาอาสามที่หยานจิงในครั้งนี้ของจี้เฟิง
ความจริงแล้วในบรรดาคนที่จี้เฟิงรู้จักก็เกรงว่าจะมีแต่อาจี้เจิ้นผิงคนนี้คนเดียวที่จะพาเขาเข้าไปหาผู้อาวุโสได้ดีที่สุด
เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะสถานะของอาสามเป็นลูกชายคนสุดท้องของผู้อาวุโสเฒ่าและยังเป็นทหารที่ควบคุมกองพลเรดแอร์โรว์เพียงแค่เงื่อนไขทั้งสองนี้ก็ทำให้เขาสามารถเข้าพบผู้อาวุโสเฒ่าได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ใครทราบล่วงหน้า
จากจุดนี้เองจี้เจิ้นผิงจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด!
นอกจากนี้แม้แต่จี้ช่าวเหลยพี่รองของจี้เฟิงหากต้องการจะเข้าพบผู้อาวุโส เขาก็จะต้องได้รับการอนุมัติ!
“เจ้าเด็กเหลือขอทำไมนายถึงขอบคุณฉัน” จี้เจิ้นผิงด่าพลางหัวเราะ “ถ้านายช่วยคุณปู่ของนาย นั่นไม่ทำกับว่านายช่วยพ่อของฉันหรอกเหรอ?!”
อาและหลานชายสบตากันและหัวเราะออกมาพร้อมกัน
ช่วงนี้จี้เจิ้นผิงตกอยู่ภายใต้แรงกดดันที่หนักมากหนักจนถึงขนาดจะชักปืนออกมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่พอตอนนี้เขาได้ยินว่าพ่อของเขากำลังจะรอดตาย จะไม่ให้เขารู้สึกมีความสุขได้อย่างไร
“ไปกัน!เราไปกันตอนนี้เลยเถอะ!” จี้เจิ้นผิงไม่สามารถรอได้อีกต่อไป เขาคว้าตัวจี้เฟิงเพื่อที่จะออกไปทันที
จี้เฟิงได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น“อาสาม ไปโรงพยาบาลตอนนี้จะไม่มีใครมาเยี่ยมเหรอครับ” จี้เจิ้นผิงโบกมือแล้วกล่าวว่า“สบายใจได้ ผู้นำระดับสูงไปเยี่ยมกันมาเกือบหมดแล้ว คนที่เหลือก็ไม่มีใครมีสิทธิ์ได้เข้าเยี่ยมคุณปู่ของนายทั้งนั้น ตอนนี้คนที่อยู่ที่นั่นส่วนใหญ่ก็มีแต่หมอและพยาบาล มีฉันอยู่ทั้งคนจะกลัวอะไร!”
พอจี้เฟิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันทีความจริงแล้วยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเขาใช้วิธีไหนในการช่วยชีวิตผู้อาวุโสเฒ่า เป็นเพราะเขากลัวว่าคนอื่นจะล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของสมองหมายเลข 1
มันง่ายมากที่จะหาความผิดปกติจากเรื่องนี้เมื่อมองอย่างละเอียดถึงประสบการณ์ทางการแพทย์ของเขา
แม้ว่าจี้เฟิงจะยังไม่รู้ว่านักสู้ที่มีพลังปราณโดยกำเนิดนั้นหายากและสูงส่งมากขนาดไหนในสายตาคนทั่วไปแต่อย่างน้อย เทียนกั๋วถงและศิษย์น้องของเขาก็รู้เรื่องนี้ แค่สิ่งนี้ก็น่าจะเพียงพอที่จะอธิบายถึงปัญหาได้
ส่วนยาพิเศษที่เขาผลิตขึ้นมาก็เป็นจุดอ่อนเหมือนกัน
เอาสูตรยามาจากไหนแล้วจี้เฟิงรู้ได้ยังไง?
ความสงสัยเหล่านี้ทำให้เกิดข้อกังขาอย่างมากในตัวของจี้เฟิงถ้าเขาต้องอธิบายโดยละเอียดถึงที่มาที่ไปของสิ่งเหล่านี้ รวมถึงสาธยายวิธีการรักษาผู้อาวุโสเพื่อไขข้อสงสัยของผู้อื่น ก็เกรงว่าอีกไม่นานเขาคงจะถูกจับตัวไปเพื่อทำการวิจัย
พูดเป็นเล่นใครจะบอกล่ะว่าได้วิธีการรักษามาจากมนุษย์ต่างดาว! แถมมันยังอยู่ในหัวของเขาอีกต่างหาก!
สิ่งแรกที่ผู้คนจะนึกถึงเมื่อพูดถึงมนุษย์ต่างดาวก็คือมียานอวกาศหรือที่เรียกว่ายูเอฟโอ และมีฉากการทำสงครามระหว่างดวงดาวเหมือนอย่างในภาพยนตร์ไซไฟ ใครจะรู้ เขาอาจจะมีอาวุธร้ายแรงอยู่ในสมองก็ได้ ใครจะกล้ารับประกันเรื่องนี้ล่ะ?!
แล้วถ้าวันดีคืนดีจี้เฟิงถูกใครบางคนจากต่างประเทศจับตัวไป เมื่อถึงเวลานั้นมันอาจจะกลายเป็นภัยคุกคามระดับชาติ!
ดังนั้นเมื่อเรื่องนี้ถูกเปิดเผยจี้เฟิงจะไม่มีอิสระอีกต่อไป!
ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้จี้เฟิงจึงตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะไม่ยอมให้อาสามพูดถึงวิธีการรักษาผู้อาวุโสเฒ่าออกมา อย่างน้อยก็ต้องรอจนกว่าเขาจะจัดเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย จากนั้นค่อยคิดหาเหตุผลมาอธิบายเรื่องพวกนี้
ตัวอย่างเช่นตอนนี้เขาได้ซื้อโรงงานผลิตยามาเพื่อจะสร้างผลิตภัณฑ์เป็นยาลดน้ำหนักมันจะไม่สร้างความสงสัยให้คนอื่นๆ และสิ่งแรกที่ต้องทำหลังจากที่ได้เงินมาก็คือการจัดตั้งห้องปฏิบัติการ(ห้องแล็บ) และรับสมัครผู้เชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์และเภสัชกรรม
แล้วเมื่อถึงตอนนั้นจะเกิดผลอะไรขึ้นบ้างก็สามารถใช้เป็นข้ออ้างได้ว่าเป็นผลวิจัยมาจากห้องแล็บ!
แน่นอนว่ามันคงไม่ง่ายขนาดนั้นแต่อย่างน้อยก็อธิบายได้ดีกว่าตอนนี้! เมื่อจี้เฟิงออกมาจากความคิดของตัวเองเขาก็พบว่าฮุ่ยอี้ได้มาจอดรถอยู่หน้าโรงพยาบาลในเขตทหารแห่งหนึ่งแล้ว หัวใจของจี้เฟิงก็เต้นรัวขึ้นมาทันที