The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 330 ไม่ต้องถาม
ในห้องทำงานห้องหนึ่งของโรงพยาบาลเขตทหารมีชายวัยกลางคนสวมแว่นตาและเสื้อคลุมสีขาวกำลังจ้องมองเอกสารที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างจริงจัง
ก๊อก! ก๊อก !
ปึ้ง!
ยังไม่ทันที่เจ้าของห้องจะตอบรับประตูก็ถูกผลักเปิดออก จากนั้นก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทีรีบร้อนและตะโกนว่า “รองคณบดี! แย่แล้วครับ!”
ชายวัยกลางคนแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาทันที“มีเรื่องอะไร ทำไมถึงได้ตะโกนโหวกเหวกโวยวายแบบนี้?!”
ชายคนนั้นชี้ออกไปด้านนอกและพูดอย่างตะกุกตะกัก“มะ มีชายหนุ่มคนนึงเข้าไปเยี่ยมท่านหัวหน้า แล้ว แล้วเขาก็ให้ท่านหัวหน้าลุกขึ้นนั่งครับ!” ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วแน่นขึ้น“หัวหน้าคนไหน มีหัวหน้าในโรงพยาบาลเราเยอะมาก คุณพูดถึงหัวหน้าคนไหนล่ะ?!”
เหมือนเห็นว่าอีกคนยังอ้ำอึ้งชายวัยกลางคนก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที “ถ้าตอบไม่ได้ผมว่าคุณก็ควรจะย้ายตำแหน่งจากหัวหน้าแผนกไปเป็นยามยืนเฝ้าประตูแทนน่าจะดีกว่า!”
เมื่อชายคนนั้นได้ยินเขาก็ยิ่งตกใจเป็นหัวหน้าแผนกฝ่ายตรวจสอบความปลอดภัยอยู่ดีๆ จะได้กลายไปเป็นยามยืนเฝ้าประตูซะอย่างนั้น! และที่สำคัญช่องว่างระหว่างสองตำแหน่งนี้ก็ห่างเกินไป
เขาจึงรีบพูดทันทีว่า“หัวหน้าจี้ครับ ผู้อาวุโสตระกูลจี้!”
“อะไรนะ!”รองคณบดีเบิกตากว้างและลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นตระหนก “คุณพูดว่าอะไร? ใครปล่อยให้ท่านนายพลจี้ลุกขึ้นนั่ง! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?! เร็วเข้า! รีบไปเรียกยามไปหยุดเขาเดี๋ยวนี้!” รองคณบดีตกใจหัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมาล้อกันเล่นแน่ๆ! ใครมันกล้าดีทำเรื่องแบบนี้กัน
มันต้องการอะไรทำไมต้องให้ท่านนายพลจี้ลุกขึ้นนั่งด้วย?
ตอนนี้ร่างกายของนายพลจี้ไม่สามารถทำแบบนั้นได้อย่างแน่นอน!
รองคณบดีรีบวิ่งออกไปอย่างตาลีตาเหลือกโดยไม่สนภาพลักษณ์เลยแม้แต่น้อยนั่นคือใคร เขาคือผู้อาวุโสแห่งตระกูลจี้! หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับท่านนายพลเก่าผู้ทรงอิทธิพลคนนี้ อย่าว่าแต่รองคณบดีอย่างเขาเลย เกรงว่าแม้แต่ตัวคณบดีเองก็ไม่อาจหนีรอดไปได้ ดังนั้นจะให้มาห่วงภาพลักษณ์ของรองคณบดีตอนนี้น่ะเหรอ? เกรงว่าตำแหน่งนี้คงอยู่ได้อีกไม่นานแล้วล่ะ!
รองคณบดีก่นด่าสาปแช่งคนที่ทำให้ผู้อาวุโสจี้ต้องลุกขึ้นนั่งอยู่ในใจโรงพยาบาลนี้มีคนระดับหัวหน้ามากมายก็จริง แต่จะมีหัวหัวหน้าคนไหนใหญ่ไปกว่าหัวหน้าจี้! แล้วปัญหาดันมาเกิดกับใครไม่เกิดมาเกิดกับผู้อาวุโสจี้!
เกี่ยวกับความแข็งแกร่งของตระกูลจี้ในหยานจิงอันที่จริงคงต้องพูดว่าทั่วทั้งประเทศ รองคณบดีนั้นรู้อยู่แก่ใจ แม้เขาจะไม่ได้รู้รายละเอียดเบื้องลึกอะไรมากนัก แต่เพียงแค่ดูช่วงที่ผู้อาวุโสจี้เข้าโรงพยาบาลมา มีคนใหญ่คนโตไม่รู้กี่คนต่อกี่คน พวกเขาเหล่านั้นต่างเป็นคนที่จะได้เห็นหน้าก็แค่ในโทรทัศน์เท่านั้น ต่างมาเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสจี้ไม่หยุด
คนใหญ่คนโตระดับนี้หากเขาเสียชีวิตจากการแก่ชราหรือการเจ็บป่วย ก็ยังพออธิบายให้ฟังได้บ้าง อย่างไรก็ตามชีวิตและความตายก็เป็นกฎแห่งกรรม เป็นธรรมชาติที่มนุษย์ไม่อาจฝืนได้
แต่ถ้าเป็นเพราะโรงพยาบาลทำให้คนระดับนี้ต้องจากไปเพราะอุบัติเหตุที่เกิดจากความผิดพลาดล่ะก็…
โรงพยาบาลนี้ก็ไม่น่าจะดำเนินธุรกิจต่อไปได้อีก! คนอื่นไม่รู้แต่รองคณบดีรู้ดีว่าตอนที่ผู้อาวุโสจี้ถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาลนี้เป็นเพราะหมอคนหนึ่งที่รับหน้าที่ดูแลรักษาผู้เฒ่าจี้บอกว่าสถานการณ์ของผู้เฒ่าจี้น่าเป็นห่วง ผลก็คือลูกน้องของผู้อาวุโสจี้คนหนึ่งเกือบจะชักปืนยิงหมอคนนั้นตาย!
รองคณบดีรีบไปที่ห้องพยาบาลพิเศษพร้อมกับหัวหน้าแผนกตรวจสอบและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองสามคน
ส่วนทางด้านห้องพยาบาลพิเศษสีหน้าของจี้เจิ้นผิงก็แสดงออกถึงความระแวดระวังอยู่เช่นกัน เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังมาจากที่ไกลๆ เห็นได้ชัดว่ามีกลุ่มคนกำลังมุ่งตรงมาทางนี้ด้วยความรีบร้อน จี้เจิ้นผิงตระหนักได้ทันทีว่า การกระทำของจี้เฟิงได้ทำให้คนอื่นตื่นตกใจ
“เถี่ยจุน!”จี้เจิ้นผิงตะโกนทันทีจากนั้นที่ด้านข้างเขาก็มีเงาร่างของคนคนหนึ่งพุ่งเข้ามา แน่นอนว่าเขาคือเถี่ยจุนองครักษ์ส่วนตัวของผู้อาวุโสจี้! “มีคนกำลังมาทางนี้ฉันจะพยายามหยุดพวกเขาเอาไว้ก่อนนายรีบไปบอกเจ้าเด็กนั่นให้รีบประคองปู่ของเขาให้นอนลงเหมือนเดิม” จี้เจิ้นผิงพูดเสียงเบา ตอนแรกที่เขาเห็นจี้เฟิงประคองผู้อาวุโสให้ลุกขึ้นนั่ง จี้เจิ้นผิงก็อยากจะห้ามปราม แต่พอเห็นว่าผู้อาวุโสต้องการจะพูดคุยกับจี้เฟิง เขาจึงไม่ได้พูดออกมา
เถี่ยจุนพูดอย่างเย็นชา“ไม่มีใครสามารถเข้าไปในห้องพยาบาลพิเศษได้โดยที่ยังไม่ได้รับคำอนุญาตจากนายน้อยสาม และถ้ามีใครกล้าฝ่าฝืน… ฆ่าโดยที่ไม่ต้องถาม!”
จี้เจิ้นผิงถึงกับอึ้งไปครู่ใหญ่“ฆ่าเลยเหรอ”
“ใช่!”เถี่ยจุนตอบอย่างเย็นชา
จี้เจิ้นผิงมองเข้าไปในห้องพยาบาลพิเศษผ่านกระจกบานใหญ่ด้วยความประหลาดใจตอนนี้จี้เฟิงกำลังคุยกับผู้อาวุโสในห้องอย่างมีความสุข แต่เขาก็ไม่อยากจะเชื่ออยู่ดีว่าผู้อาวุโสเฒ่าจะถึงขนาดสั่งให้เถี่ยจุนคอยฟังคำสั่งของเจ้าเด็กนี่! คนอื่นอาจไม่รู้ว่าเถี่ยจุนเป็นใครแต่จี้เจิ้นผิงรู้ดี
ผู้ชายที่ชื่อเถี่ยจุนคนนี้แก่กว่าจี้เจิ้นผิงหนึ่งปีเขาเป็นบุตรชายคนเดียวของเถี่ยหลง ผู้ที่เป็นองครักษ์ร่วมรบที่ใกล้ชิดที่สุดของผู้อาวุโสเฒ่าตั้งแต่ในช่วงสงคราม
จี้เจิ้นผิงเคยได้ยินพ่อของเขาเล่าให้ฟังว่าในช่วงสงครามพ่อของเขามีองครักษ์ส่วนตัวที่สนิทมากสองคน คนหนึ่งคือเถี่ยหลงผู้มีทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก เขาได้รับการฝึกฝนมาจากวัดเส้าหลิน ทักษะที่หนักหน่วงของเขาเคยทำให้คนทั้งกองทัพต่างตกตะลึงอย่างมากมาแล้ว นี่คือองครักษ์ที่ใกล้ชิดมากที่สุดของผู้อาวุโสเฒ่า
ส่วนองครักษ์อีกคนหนึ่งเขาเป็นทหารที่เริ่มต้นมาจากการเป็นผู้บังคับการกองร้อย เขาได้ติดตามผู้อาวุโสเฒ่าจนต่อมาได้เป็นผู้รับผิดชอบกองทัพเพียงลำพัง เขาคือผู้เฒ่าถัง ชายผู้ประสบความสำเร็จทางด้านการทหารเป็นอย่างมาก ชายสองคนนี้เป็นคนที่จงรักภักดีต่อผู้อาวุโสเฒ่ามากที่สุด!
อย่างไรก็ตามด้วยทักษะการต่อสู้ของเถี่ยหลงที่แข็งแกร่งมากเขาสามารถเป็นผู้นำกองทัพที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างสบายๆแต่เขากลับไม่ต้องการมัน เขาต้องการที่จะอยู่ข้างกายผู้อาวุโสเฒ่าเท่านั้น แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากละทิ้งหน้าที่นี้ไป แต่ด้วยอายุที่มากขึ้นร่างกายก็อ่อนแอลงกว่าแต่ก่อนมาก ดังนั้นเขาจึงให้เถี่ยจุนลูกชายของเขา มาเป็นองครักษ์ของผู้อาวุโสจี้เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของเขาต่อไป
เถี่ยจุนก็แข็งแกร่งไม่ต่างจากผู้เป็นพ่อของเขาเลยเขามีทักษะการต่อสู้ที่ทรงพลังมาก แม้แต่ทหารชั้นยอดมากกว่าหนึ่งโหลก็ยังไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้
ด้วยความสามารถของเถี่ยจุนเขาสามารถเข้าสู่กองทัพเพื่อไปเป็นผู้นำได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ในฐานะลูกชายของเถี่ยหลงองครักษ์ผู้แข็งแกร่งและจงรักภักดีมากที่สุดเขาจะกล้าออกนอกลู่นอกทางได้อย่างไร
และเถี่ยจุนเองก็ปฏิเสธข้อเสนอนี้เช่นกันเขาเต็มใจที่จะติดตามผู้อาวุโสเฒ่า แต่ดูเหมือนว่าในแต่ละวันจะไม่ค่อยมีอะไรให้เขาทำนัก มันเลยออกจะน่าเบื่อไปสักหน่อย
และจากทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าสองพ่อลูกตระกูลเถี่ยนั้นจงรักภักดีต่อผู้อาวุโสเฒ่ามากเพียงใดแต่ความจงรักภักดีของพวกเขานั้นมีไว้สำหรับผู้อาวุโสเฒ่าเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะนอกจากผู้อาวุโสเฒ่าแล้วเขาจะไม่เชื่อฟังคำสั่งของใครเลย แม้แต่จี้เจิ้นหัวพี่ชายคนโตเถี่ยจุนก็จะไม่เชื่อฟัง !
สำหรับพ่อลูกตระกูลเถี่ยผู้อาวุโสเฒ่าได้บอกลูกชายทั้งสามเอาไว้ว่า ให้ปฏิบัติต่อเถี่ยหลงเหมือนอาแท้ๆ และปฏิบัติต่อเถี่ยจุนเหมือนพี่น้อง แล้วถ้าหากมีวันไหนหรือมีใครไม่เคารพพ่อลูกตระกูลเถี่ย คนคนนั้นจะถูกขับไล่ออกจากตระกูล!
เพียงเท่านี้ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าผู้อาวุโสเฒ่าให้ความสำคัญกับพ่อลูกตระกูลเถี่ยมากแค่ไหน
แต่ตอนนี้ผู้อาวุโสเฒ่ากลับบอกให้เถี่ยจุนเชื่อฟังคำสั่งของจี้เฟิง….จี้เจิ้นผิงยิ้มอยู่ในใจเหมือนกับคิดอะไรบางอย่างออก เขาพยักหน้าอย่างจริงจังและพูดว่า “เอาอย่างนี้แล้วกันถ้าพวกเขามาถึง ฉันจะพยายามบอกพวกเขาเองนายก็อย่าเพิ่งลงมือ ยังไงคนพวกนี้ก็เป็นห่วงสุขภาพของผู้อาวุโสเหมือนกับเรา เราคงไม่สามารถฆ่าคนที่มีเจตนาดีได้ง่ายๆใช่มั้ย!”
เถี่ยจุนพยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไร
จี้เจิ้นผิงรู้จักนิสัยของเถี่ยจุนดีดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถือสา
อันที่จริงจี้เจิ้นผิงกับเถี่ยจุนก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันไม่น้อยถ้าจะบอกว่าพวกเขาสนิทสนมกันเหมือนพี่น้องร่วมสายเลือดก็ไม่ผิด เพราะไม่อยากนั้นการที่มีเถี่ยจุนคอยเฝ้าอยู่ จี้เจิ้นผิงจะสามารถพาจี้เฟิงเข้ามาเยี่ยมผู้อาวุโสเฒ่าได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ได้อย่างไร ตอนที่พวกเขายังเด็กๆจี้เจิ้นผิงไม่ค่อยถูกชะตากับเถี่ยจุนนักด้วยความที่พวกเขามีอายุใกล้เคียงกัน แถมยังชื่นชอบการต่อสู้เหมือนกันมันจึงเกิดการแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันโดยอัตโนมัติ และนั่นก็ส่งผลให้พวกเขาได้ประมือกันหลายต่อหลายครั้ง แต่ผู้ที่ถูกทุบตีจนพ่ายแพ้ย่อยยับกลับเป็นจี้เจิ้นผิงทุกครั้งไป
ทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่บ่อยๆจนต่อมามันกลายเป็นความสนิทสนมไปโดยไม่รู้ตัว พวกเขากลายเป็นพี่น้องที่มีความเก่งกาจด้านการต่อสู้ และสิ่งนี้ก็ทำให้ผู้อาวุโสเฒ่าพึงพอใจมาก
แต่ในระยะเวลาต่อมาจี้เจิ้นผิงเริ่มมีหน้าที่ในการเป็นผู้นำกองทัพจึงได้ลดความคิดที่จะประลองกับเถี่ยจุนลง ในความคิดของเขาศัตรูสิบคนไม่ว่ายังไงก็แตกต่างจากศัตรูหมื่นคนมากอยู่ดี และสิ่งที่เขาโหยหาคือศัตรูหมื่นคน!
ในตอนนั้นเองรองคณบดีและพรรคพวกก็มาถึงทันทีที่พวกเขาเห็นจี้เจิ้นผิง สีหน้าของรองคณบดีก็บูดเบี้ยวแทบจะทันที “พลเอกจี้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ร่างกายของท่านนายพลอาวุโสยังไม่แข็งแรงพอที่จะลุกขึ้นนั่งได้ในตอนนี้ สิ่งที่เขาต้องการคือการพักฟื้น…”
จี้เจิ้นผิงยิ้มแห้งๆพลางโบกมือ“ใจเย็นๆไม่ต้องเป็นกังวลไป ตอนนี้หลานชายของฉันกำลังรักษาปู่ของเขาอยู่ ไม่มีปัญหาหรอกหน่า!”
เอาจริงดิ!
รองคณบดีรู้สึกโกรธขึ้นมาทันทีเขาตัวสั่นและตะคอกเสียงดัง “พวกคุณคิดว่ากำลังทำอะไรกันอยู่! ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญยังไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้ แล้วคุณคิดว่าเด็กคนหนึ่งจะรักษาได้อย่างนั้นเหรอ? ถ้าเกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้นมาใครจะเป็นคนรับผิดชอบ?!”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้สีหน้าของจี้เจิ้นผิงก็มืดครึ้มลงทันที “หึ! นี่คือความในใจของคุณสินะ สิ่งที่คุณต้องการมีเพียงแค่ให้พ่อของฉันสามารถทรงตัวอยู่แบบนี้ได้ก็พอใช่มั้ย ขอแค่ไม่เกิดอุบัติเหตุอะไรก็พอใช่มั้ย!” ฟึ่บ—!
แววตาของเถี่ยจุนเปล่งประกายเย็นยะเยือกและเขาก็โบกมือขึ้นทันที
คลิก! คลิก ! คลิก !
ทหารหลายสิบคนบรรจุแม็กปืนไรเฟิลอัตโนมัติพร้อมกับปลดสลักนิรภัยและยกมันขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนหลุมดำจากปลายกระบอกปืนกว่าสิบกระบอกชี้ไปยังรองคณบดีและคนอื่นๆ ตราบใดที่เถี่ยจุนโบกมือให้สัญญาณ พวกเขาก็พร้อมจะเหนี่ยวไกเพื่อปลิดชีวิตกลุ่มรองคณบดีเหล่านี้ทันที!
ตุ้บ—!
รองคณบดีตกใจจนทรุดตัวลงกับพื้นในสถานการณ์ที่เขากำลังตกอยู่ในความวิตกกังวล เขาดันพูดสิ่งที่อยู่ในใจจริงๆของเขาออกมาโดยไม่ทันคิด แต่ประเด็นสำคัญคือเขาไม่สมควรพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้ออกมาได้!
ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่เป็นเขตดูแลพิเศษ แถมคำพูดเหล่านั้นยังออกมาในรูปแบบของการ…ตะคอก!
ฉันจะทำยังไงดีทำไมฉันถึงได้พูดประโยคนั้นออกไป!
รองคณบดีมองไปยังหลุมดำของปากกระบอกปืนนับสิบที่เล็งมาทางเขาปากของเขาสั่นเครือจนฟันกระทบกันดังกึกๆ ใบหน้าของเขาซีดเผือดราวกับวิญญาณได้หลุดออกจากร่างไปแล้ว
“คุณทิ้งคนของคุณไว้ที่นี่คนนึงเพื่อรอฟังคำสั่งส่วนคนที่เหลือก็ไสหัวไป!” จี้เจิ้นผิงแค่นเสียงอย่างเย็นชาพร้อมกับดวงตาที่ฉายแววเย็นยะเยือก
“ห๊ะ!ครับ! ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้!” รองคณบดีตกใจจนสั่นสะท้านไปทั้งตัวแต่ก่อนจะจากไปเขาชี้ไปยังคนที่อยู่ข้างๆเขาและพูดว่า “คุณอยู่ที่นี่!”
พอพูดจบรองคณบดีและคนอื่นๆก็รีบวิ่งออกไปทันที ทิ้งให้คนที่ถูกเลือกได้แต่ยืนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว “ไอ้สั….!”จี้เจิ้นผิงด่าอย่างเย็นชา แต่ไม่รู้ว่าเขาด่าใคร แต่อย่างไรก็ตามเถี่ยจุนกลับพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
แต่ความจริงแล้วคนบางคนอาจไม่คู่ควรกับคำว่าสัตว์ด้วยซ้ำ….
………………
“เจ้าลิงน้อยเจ้ากลายเป็นหนามยอกอกในสายตาคนอื่นไปเสียแล้วเจ้ารู้สึกกลัวไหม” ภายในห้องพยาบาลพิเศษ ผู้อาวุโสจี้มองผ่านกระจกบานใหญ่ เขามองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นข้างนอกได้อย่างชัดเจน แต่เขากลับไม่มีสีหน้าไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่มองหลานชายของเขาด้วยสีหน้าอ่อนโยนและถามอย่างช้าๆ
“ผมกำลังช่วยปู่ของผมมีอะไรให้ต้องกลัวด้วยเหรอครับ” จี้เฟิงตอบด้วยรอยยิ้ม เขาก็เห็นอย่างชัดเจนเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอกบ้าง
“ฮ่าๆดีๆ!” ผู้อาวุโสเฒ่าดูพอใจมาก เขาหัวเราะเบาๆและพยักหน้าเล็กน้อย “คุณปู่ครับผมจะอยู่ที่นี่จนกว่าคุณปู่จะหายดี” จี้เฟิงยิ้ม “ถ้าผมออกไป บางทีอาจจะมีคนมาหาเรื่องผมจริงๆ ผมอยู่ที่นี่กับคุณปู่น่าจะดีกว่า!”
“อืมดีเหมือนกัน งั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่เถอะเจ้าลิงน้อย!” ผู้อาวุโสจี้พยักหน้าอย่างมีความสุข เขารู้ดีว่าหลานชายของเขาไม่ได้กลัวที่จะถูกรังแก ถ้าเขาออกไปจากที่นี่ แต่เขากลัวว่าจะมีใครบางคนมา ‘รังแก’ ตาเฒ่าอย่างเขาเสียมากกว่า!
ผู้อาวุโสเฒ่ารู้สึกโล่งใจมากที่มีหลานชายแบบนี้!
ก๊อก! ก๊อก !
ปึ้ง!
ยังไม่ทันที่เจ้าของห้องจะตอบรับประตูก็ถูกผลักเปิดออก จากนั้นก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทีรีบร้อนและตะโกนว่า “รองคณบดี! แย่แล้วครับ!”
ชายวัยกลางคนแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาทันที“มีเรื่องอะไร ทำไมถึงได้ตะโกนโหวกเหวกโวยวายแบบนี้?!”
ชายคนนั้นชี้ออกไปด้านนอกและพูดอย่างตะกุกตะกัก“มะ มีชายหนุ่มคนนึงเข้าไปเยี่ยมท่านหัวหน้า แล้ว แล้วเขาก็ให้ท่านหัวหน้าลุกขึ้นนั่งครับ!” ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วแน่นขึ้น“หัวหน้าคนไหน มีหัวหน้าในโรงพยาบาลเราเยอะมาก คุณพูดถึงหัวหน้าคนไหนล่ะ?!”
เหมือนเห็นว่าอีกคนยังอ้ำอึ้งชายวัยกลางคนก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที “ถ้าตอบไม่ได้ผมว่าคุณก็ควรจะย้ายตำแหน่งจากหัวหน้าแผนกไปเป็นยามยืนเฝ้าประตูแทนน่าจะดีกว่า!”
เมื่อชายคนนั้นได้ยินเขาก็ยิ่งตกใจเป็นหัวหน้าแผนกฝ่ายตรวจสอบความปลอดภัยอยู่ดีๆ จะได้กลายไปเป็นยามยืนเฝ้าประตูซะอย่างนั้น! และที่สำคัญช่องว่างระหว่างสองตำแหน่งนี้ก็ห่างเกินไป
เขาจึงรีบพูดทันทีว่า“หัวหน้าจี้ครับ ผู้อาวุโสตระกูลจี้!”
“อะไรนะ!”รองคณบดีเบิกตากว้างและลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นตระหนก “คุณพูดว่าอะไร? ใครปล่อยให้ท่านนายพลจี้ลุกขึ้นนั่ง! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?! เร็วเข้า! รีบไปเรียกยามไปหยุดเขาเดี๋ยวนี้!” รองคณบดีตกใจหัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมาล้อกันเล่นแน่ๆ! ใครมันกล้าดีทำเรื่องแบบนี้กัน
มันต้องการอะไรทำไมต้องให้ท่านนายพลจี้ลุกขึ้นนั่งด้วย?
ตอนนี้ร่างกายของนายพลจี้ไม่สามารถทำแบบนั้นได้อย่างแน่นอน!
รองคณบดีรีบวิ่งออกไปอย่างตาลีตาเหลือกโดยไม่สนภาพลักษณ์เลยแม้แต่น้อยนั่นคือใคร เขาคือผู้อาวุโสแห่งตระกูลจี้! หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับท่านนายพลเก่าผู้ทรงอิทธิพลคนนี้ อย่าว่าแต่รองคณบดีอย่างเขาเลย เกรงว่าแม้แต่ตัวคณบดีเองก็ไม่อาจหนีรอดไปได้ ดังนั้นจะให้มาห่วงภาพลักษณ์ของรองคณบดีตอนนี้น่ะเหรอ? เกรงว่าตำแหน่งนี้คงอยู่ได้อีกไม่นานแล้วล่ะ!
รองคณบดีก่นด่าสาปแช่งคนที่ทำให้ผู้อาวุโสจี้ต้องลุกขึ้นนั่งอยู่ในใจโรงพยาบาลนี้มีคนระดับหัวหน้ามากมายก็จริง แต่จะมีหัวหัวหน้าคนไหนใหญ่ไปกว่าหัวหน้าจี้! แล้วปัญหาดันมาเกิดกับใครไม่เกิดมาเกิดกับผู้อาวุโสจี้!
เกี่ยวกับความแข็งแกร่งของตระกูลจี้ในหยานจิงอันที่จริงคงต้องพูดว่าทั่วทั้งประเทศ รองคณบดีนั้นรู้อยู่แก่ใจ แม้เขาจะไม่ได้รู้รายละเอียดเบื้องลึกอะไรมากนัก แต่เพียงแค่ดูช่วงที่ผู้อาวุโสจี้เข้าโรงพยาบาลมา มีคนใหญ่คนโตไม่รู้กี่คนต่อกี่คน พวกเขาเหล่านั้นต่างเป็นคนที่จะได้เห็นหน้าก็แค่ในโทรทัศน์เท่านั้น ต่างมาเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสจี้ไม่หยุด
คนใหญ่คนโตระดับนี้หากเขาเสียชีวิตจากการแก่ชราหรือการเจ็บป่วย ก็ยังพออธิบายให้ฟังได้บ้าง อย่างไรก็ตามชีวิตและความตายก็เป็นกฎแห่งกรรม เป็นธรรมชาติที่มนุษย์ไม่อาจฝืนได้
แต่ถ้าเป็นเพราะโรงพยาบาลทำให้คนระดับนี้ต้องจากไปเพราะอุบัติเหตุที่เกิดจากความผิดพลาดล่ะก็…
โรงพยาบาลนี้ก็ไม่น่าจะดำเนินธุรกิจต่อไปได้อีก! คนอื่นไม่รู้แต่รองคณบดีรู้ดีว่าตอนที่ผู้อาวุโสจี้ถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาลนี้เป็นเพราะหมอคนหนึ่งที่รับหน้าที่ดูแลรักษาผู้เฒ่าจี้บอกว่าสถานการณ์ของผู้เฒ่าจี้น่าเป็นห่วง ผลก็คือลูกน้องของผู้อาวุโสจี้คนหนึ่งเกือบจะชักปืนยิงหมอคนนั้นตาย!
รองคณบดีรีบไปที่ห้องพยาบาลพิเศษพร้อมกับหัวหน้าแผนกตรวจสอบและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองสามคน
ส่วนทางด้านห้องพยาบาลพิเศษสีหน้าของจี้เจิ้นผิงก็แสดงออกถึงความระแวดระวังอยู่เช่นกัน เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังมาจากที่ไกลๆ เห็นได้ชัดว่ามีกลุ่มคนกำลังมุ่งตรงมาทางนี้ด้วยความรีบร้อน จี้เจิ้นผิงตระหนักได้ทันทีว่า การกระทำของจี้เฟิงได้ทำให้คนอื่นตื่นตกใจ
“เถี่ยจุน!”จี้เจิ้นผิงตะโกนทันทีจากนั้นที่ด้านข้างเขาก็มีเงาร่างของคนคนหนึ่งพุ่งเข้ามา แน่นอนว่าเขาคือเถี่ยจุนองครักษ์ส่วนตัวของผู้อาวุโสจี้! “มีคนกำลังมาทางนี้ฉันจะพยายามหยุดพวกเขาเอาไว้ก่อนนายรีบไปบอกเจ้าเด็กนั่นให้รีบประคองปู่ของเขาให้นอนลงเหมือนเดิม” จี้เจิ้นผิงพูดเสียงเบา ตอนแรกที่เขาเห็นจี้เฟิงประคองผู้อาวุโสให้ลุกขึ้นนั่ง จี้เจิ้นผิงก็อยากจะห้ามปราม แต่พอเห็นว่าผู้อาวุโสต้องการจะพูดคุยกับจี้เฟิง เขาจึงไม่ได้พูดออกมา
เถี่ยจุนพูดอย่างเย็นชา“ไม่มีใครสามารถเข้าไปในห้องพยาบาลพิเศษได้โดยที่ยังไม่ได้รับคำอนุญาตจากนายน้อยสาม และถ้ามีใครกล้าฝ่าฝืน… ฆ่าโดยที่ไม่ต้องถาม!”
จี้เจิ้นผิงถึงกับอึ้งไปครู่ใหญ่“ฆ่าเลยเหรอ”
“ใช่!”เถี่ยจุนตอบอย่างเย็นชา
จี้เจิ้นผิงมองเข้าไปในห้องพยาบาลพิเศษผ่านกระจกบานใหญ่ด้วยความประหลาดใจตอนนี้จี้เฟิงกำลังคุยกับผู้อาวุโสในห้องอย่างมีความสุข แต่เขาก็ไม่อยากจะเชื่ออยู่ดีว่าผู้อาวุโสเฒ่าจะถึงขนาดสั่งให้เถี่ยจุนคอยฟังคำสั่งของเจ้าเด็กนี่! คนอื่นอาจไม่รู้ว่าเถี่ยจุนเป็นใครแต่จี้เจิ้นผิงรู้ดี
ผู้ชายที่ชื่อเถี่ยจุนคนนี้แก่กว่าจี้เจิ้นผิงหนึ่งปีเขาเป็นบุตรชายคนเดียวของเถี่ยหลง ผู้ที่เป็นองครักษ์ร่วมรบที่ใกล้ชิดที่สุดของผู้อาวุโสเฒ่าตั้งแต่ในช่วงสงคราม
จี้เจิ้นผิงเคยได้ยินพ่อของเขาเล่าให้ฟังว่าในช่วงสงครามพ่อของเขามีองครักษ์ส่วนตัวที่สนิทมากสองคน คนหนึ่งคือเถี่ยหลงผู้มีทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก เขาได้รับการฝึกฝนมาจากวัดเส้าหลิน ทักษะที่หนักหน่วงของเขาเคยทำให้คนทั้งกองทัพต่างตกตะลึงอย่างมากมาแล้ว นี่คือองครักษ์ที่ใกล้ชิดมากที่สุดของผู้อาวุโสเฒ่า
ส่วนองครักษ์อีกคนหนึ่งเขาเป็นทหารที่เริ่มต้นมาจากการเป็นผู้บังคับการกองร้อย เขาได้ติดตามผู้อาวุโสเฒ่าจนต่อมาได้เป็นผู้รับผิดชอบกองทัพเพียงลำพัง เขาคือผู้เฒ่าถัง ชายผู้ประสบความสำเร็จทางด้านการทหารเป็นอย่างมาก ชายสองคนนี้เป็นคนที่จงรักภักดีต่อผู้อาวุโสเฒ่ามากที่สุด!
อย่างไรก็ตามด้วยทักษะการต่อสู้ของเถี่ยหลงที่แข็งแกร่งมากเขาสามารถเป็นผู้นำกองทัพที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างสบายๆแต่เขากลับไม่ต้องการมัน เขาต้องการที่จะอยู่ข้างกายผู้อาวุโสเฒ่าเท่านั้น แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากละทิ้งหน้าที่นี้ไป แต่ด้วยอายุที่มากขึ้นร่างกายก็อ่อนแอลงกว่าแต่ก่อนมาก ดังนั้นเขาจึงให้เถี่ยจุนลูกชายของเขา มาเป็นองครักษ์ของผู้อาวุโสจี้เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของเขาต่อไป
เถี่ยจุนก็แข็งแกร่งไม่ต่างจากผู้เป็นพ่อของเขาเลยเขามีทักษะการต่อสู้ที่ทรงพลังมาก แม้แต่ทหารชั้นยอดมากกว่าหนึ่งโหลก็ยังไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้
ด้วยความสามารถของเถี่ยจุนเขาสามารถเข้าสู่กองทัพเพื่อไปเป็นผู้นำได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ในฐานะลูกชายของเถี่ยหลงองครักษ์ผู้แข็งแกร่งและจงรักภักดีมากที่สุดเขาจะกล้าออกนอกลู่นอกทางได้อย่างไร
และเถี่ยจุนเองก็ปฏิเสธข้อเสนอนี้เช่นกันเขาเต็มใจที่จะติดตามผู้อาวุโสเฒ่า แต่ดูเหมือนว่าในแต่ละวันจะไม่ค่อยมีอะไรให้เขาทำนัก มันเลยออกจะน่าเบื่อไปสักหน่อย
และจากทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าสองพ่อลูกตระกูลเถี่ยนั้นจงรักภักดีต่อผู้อาวุโสเฒ่ามากเพียงใดแต่ความจงรักภักดีของพวกเขานั้นมีไว้สำหรับผู้อาวุโสเฒ่าเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะนอกจากผู้อาวุโสเฒ่าแล้วเขาจะไม่เชื่อฟังคำสั่งของใครเลย แม้แต่จี้เจิ้นหัวพี่ชายคนโตเถี่ยจุนก็จะไม่เชื่อฟัง !
สำหรับพ่อลูกตระกูลเถี่ยผู้อาวุโสเฒ่าได้บอกลูกชายทั้งสามเอาไว้ว่า ให้ปฏิบัติต่อเถี่ยหลงเหมือนอาแท้ๆ และปฏิบัติต่อเถี่ยจุนเหมือนพี่น้อง แล้วถ้าหากมีวันไหนหรือมีใครไม่เคารพพ่อลูกตระกูลเถี่ย คนคนนั้นจะถูกขับไล่ออกจากตระกูล!
เพียงเท่านี้ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าผู้อาวุโสเฒ่าให้ความสำคัญกับพ่อลูกตระกูลเถี่ยมากแค่ไหน
แต่ตอนนี้ผู้อาวุโสเฒ่ากลับบอกให้เถี่ยจุนเชื่อฟังคำสั่งของจี้เฟิง….จี้เจิ้นผิงยิ้มอยู่ในใจเหมือนกับคิดอะไรบางอย่างออก เขาพยักหน้าอย่างจริงจังและพูดว่า “เอาอย่างนี้แล้วกันถ้าพวกเขามาถึง ฉันจะพยายามบอกพวกเขาเองนายก็อย่าเพิ่งลงมือ ยังไงคนพวกนี้ก็เป็นห่วงสุขภาพของผู้อาวุโสเหมือนกับเรา เราคงไม่สามารถฆ่าคนที่มีเจตนาดีได้ง่ายๆใช่มั้ย!”
เถี่ยจุนพยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไร
จี้เจิ้นผิงรู้จักนิสัยของเถี่ยจุนดีดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถือสา
อันที่จริงจี้เจิ้นผิงกับเถี่ยจุนก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันไม่น้อยถ้าจะบอกว่าพวกเขาสนิทสนมกันเหมือนพี่น้องร่วมสายเลือดก็ไม่ผิด เพราะไม่อยากนั้นการที่มีเถี่ยจุนคอยเฝ้าอยู่ จี้เจิ้นผิงจะสามารถพาจี้เฟิงเข้ามาเยี่ยมผู้อาวุโสเฒ่าได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ได้อย่างไร ตอนที่พวกเขายังเด็กๆจี้เจิ้นผิงไม่ค่อยถูกชะตากับเถี่ยจุนนักด้วยความที่พวกเขามีอายุใกล้เคียงกัน แถมยังชื่นชอบการต่อสู้เหมือนกันมันจึงเกิดการแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันโดยอัตโนมัติ และนั่นก็ส่งผลให้พวกเขาได้ประมือกันหลายต่อหลายครั้ง แต่ผู้ที่ถูกทุบตีจนพ่ายแพ้ย่อยยับกลับเป็นจี้เจิ้นผิงทุกครั้งไป
ทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่บ่อยๆจนต่อมามันกลายเป็นความสนิทสนมไปโดยไม่รู้ตัว พวกเขากลายเป็นพี่น้องที่มีความเก่งกาจด้านการต่อสู้ และสิ่งนี้ก็ทำให้ผู้อาวุโสเฒ่าพึงพอใจมาก
แต่ในระยะเวลาต่อมาจี้เจิ้นผิงเริ่มมีหน้าที่ในการเป็นผู้นำกองทัพจึงได้ลดความคิดที่จะประลองกับเถี่ยจุนลง ในความคิดของเขาศัตรูสิบคนไม่ว่ายังไงก็แตกต่างจากศัตรูหมื่นคนมากอยู่ดี และสิ่งที่เขาโหยหาคือศัตรูหมื่นคน!
ในตอนนั้นเองรองคณบดีและพรรคพวกก็มาถึงทันทีที่พวกเขาเห็นจี้เจิ้นผิง สีหน้าของรองคณบดีก็บูดเบี้ยวแทบจะทันที “พลเอกจี้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ร่างกายของท่านนายพลอาวุโสยังไม่แข็งแรงพอที่จะลุกขึ้นนั่งได้ในตอนนี้ สิ่งที่เขาต้องการคือการพักฟื้น…”
จี้เจิ้นผิงยิ้มแห้งๆพลางโบกมือ“ใจเย็นๆไม่ต้องเป็นกังวลไป ตอนนี้หลานชายของฉันกำลังรักษาปู่ของเขาอยู่ ไม่มีปัญหาหรอกหน่า!”
เอาจริงดิ!
รองคณบดีรู้สึกโกรธขึ้นมาทันทีเขาตัวสั่นและตะคอกเสียงดัง “พวกคุณคิดว่ากำลังทำอะไรกันอยู่! ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญยังไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้ แล้วคุณคิดว่าเด็กคนหนึ่งจะรักษาได้อย่างนั้นเหรอ? ถ้าเกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้นมาใครจะเป็นคนรับผิดชอบ?!”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้สีหน้าของจี้เจิ้นผิงก็มืดครึ้มลงทันที “หึ! นี่คือความในใจของคุณสินะ สิ่งที่คุณต้องการมีเพียงแค่ให้พ่อของฉันสามารถทรงตัวอยู่แบบนี้ได้ก็พอใช่มั้ย ขอแค่ไม่เกิดอุบัติเหตุอะไรก็พอใช่มั้ย!” ฟึ่บ—!
แววตาของเถี่ยจุนเปล่งประกายเย็นยะเยือกและเขาก็โบกมือขึ้นทันที
คลิก! คลิก ! คลิก !
ทหารหลายสิบคนบรรจุแม็กปืนไรเฟิลอัตโนมัติพร้อมกับปลดสลักนิรภัยและยกมันขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนหลุมดำจากปลายกระบอกปืนกว่าสิบกระบอกชี้ไปยังรองคณบดีและคนอื่นๆ ตราบใดที่เถี่ยจุนโบกมือให้สัญญาณ พวกเขาก็พร้อมจะเหนี่ยวไกเพื่อปลิดชีวิตกลุ่มรองคณบดีเหล่านี้ทันที!
ตุ้บ—!
รองคณบดีตกใจจนทรุดตัวลงกับพื้นในสถานการณ์ที่เขากำลังตกอยู่ในความวิตกกังวล เขาดันพูดสิ่งที่อยู่ในใจจริงๆของเขาออกมาโดยไม่ทันคิด แต่ประเด็นสำคัญคือเขาไม่สมควรพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้ออกมาได้!
ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่เป็นเขตดูแลพิเศษ แถมคำพูดเหล่านั้นยังออกมาในรูปแบบของการ…ตะคอก!
ฉันจะทำยังไงดีทำไมฉันถึงได้พูดประโยคนั้นออกไป!
รองคณบดีมองไปยังหลุมดำของปากกระบอกปืนนับสิบที่เล็งมาทางเขาปากของเขาสั่นเครือจนฟันกระทบกันดังกึกๆ ใบหน้าของเขาซีดเผือดราวกับวิญญาณได้หลุดออกจากร่างไปแล้ว
“คุณทิ้งคนของคุณไว้ที่นี่คนนึงเพื่อรอฟังคำสั่งส่วนคนที่เหลือก็ไสหัวไป!” จี้เจิ้นผิงแค่นเสียงอย่างเย็นชาพร้อมกับดวงตาที่ฉายแววเย็นยะเยือก
“ห๊ะ!ครับ! ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้!” รองคณบดีตกใจจนสั่นสะท้านไปทั้งตัวแต่ก่อนจะจากไปเขาชี้ไปยังคนที่อยู่ข้างๆเขาและพูดว่า “คุณอยู่ที่นี่!”
พอพูดจบรองคณบดีและคนอื่นๆก็รีบวิ่งออกไปทันที ทิ้งให้คนที่ถูกเลือกได้แต่ยืนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว “ไอ้สั….!”จี้เจิ้นผิงด่าอย่างเย็นชา แต่ไม่รู้ว่าเขาด่าใคร แต่อย่างไรก็ตามเถี่ยจุนกลับพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
แต่ความจริงแล้วคนบางคนอาจไม่คู่ควรกับคำว่าสัตว์ด้วยซ้ำ….
………………
“เจ้าลิงน้อยเจ้ากลายเป็นหนามยอกอกในสายตาคนอื่นไปเสียแล้วเจ้ารู้สึกกลัวไหม” ภายในห้องพยาบาลพิเศษ ผู้อาวุโสจี้มองผ่านกระจกบานใหญ่ เขามองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นข้างนอกได้อย่างชัดเจน แต่เขากลับไม่มีสีหน้าไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่มองหลานชายของเขาด้วยสีหน้าอ่อนโยนและถามอย่างช้าๆ
“ผมกำลังช่วยปู่ของผมมีอะไรให้ต้องกลัวด้วยเหรอครับ” จี้เฟิงตอบด้วยรอยยิ้ม เขาก็เห็นอย่างชัดเจนเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอกบ้าง
“ฮ่าๆดีๆ!” ผู้อาวุโสเฒ่าดูพอใจมาก เขาหัวเราะเบาๆและพยักหน้าเล็กน้อย “คุณปู่ครับผมจะอยู่ที่นี่จนกว่าคุณปู่จะหายดี” จี้เฟิงยิ้ม “ถ้าผมออกไป บางทีอาจจะมีคนมาหาเรื่องผมจริงๆ ผมอยู่ที่นี่กับคุณปู่น่าจะดีกว่า!”
“อืมดีเหมือนกัน งั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่เถอะเจ้าลิงน้อย!” ผู้อาวุโสจี้พยักหน้าอย่างมีความสุข เขารู้ดีว่าหลานชายของเขาไม่ได้กลัวที่จะถูกรังแก ถ้าเขาออกไปจากที่นี่ แต่เขากลัวว่าจะมีใครบางคนมา ‘รังแก’ ตาเฒ่าอย่างเขาเสียมากกว่า!
ผู้อาวุโสเฒ่ารู้สึกโล่งใจมากที่มีหลานชายแบบนี้!