The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 342 ปกป้องศักดิ์ศรีของแม่
- Home
- The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ
- บทที่ 342 ปกป้องศักดิ์ศรีของแม่
เมื่อได้ยินคำพูดที่เย็นชาและไร้อารมณ์ของจี้เฟิงจี้เส้าโหยวและหลี่เยี่ยนถิงก็ตัวสั่นอย่างช่วยไม่ได้ ปากสั่นจนฟันกระทบกัน แข้งขาอ่อนแรงจนแทบจะล้มทั้งยืน
เหล่าจี้น้องสาม… จี้เส้าโหยวอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จี้เฟิงไม่ให้โอกาสเขาได้พูด
จี้เฟิงหันกลับไปมองบอดี้การ์ดหญิงคนนั้นทันที คุณมีสิทธิ์ยิงผู้ก่อเหตุอาชญากรหรือเปล่า
น้องสาม! เมื่อได้ยินจี้เฟิงพูด จี้เส้าโหยวก็กรีดร้องและมองไปที่จี้เฟิงด้วยความหวาดกลัว ไม่! ไม่เอา! อย่าทำแบบนั้นเลย ใจเย็นๆก่อน!
เมื่อเช้ามีจี้เสี่ยวหยูช่วยขอร้องไว้จี้เฟิงถึงได้ยอมปล่อยพวกเขาไป แต่ครั้งนี้จะมีใครมาช่วยขอร้องให้พวกเขาอีก ทันใดนั้นสายตาของจี้เส้าโหยวก็จับจ้องไปที่เซียวซูเหม่ยและเหลียงหงตันที่กำลังอ้าปากค้างเขาดึงมือหลี่เยี่ยนถิงแล้วรีบเดินไปข้างหน้าสองก้าว คุกเข่าลงกับพื้นจนเกิดเสียงกระแทกดังลั่น
คุณป้าใหญ่คุณป้าสาม พวกเราผิดไปแล้ว พวกเราไม่สมควรมาสร้างปัญหาให้กับคุณป้าทั้งสองที่นี่ โปรดช่วยขอร้องให้พวกเราด้วยเถอะ น้องสามเขาจะฆ่าพวกเราจริงๆ! จี้เส้าโหยวพูดอย่างหวาดกลัว
หลี่เยี่ยนถิงที่อยู่ข้างๆก็ตกใจจนตัวสั่นเธอได้ไปเฉียดประตูผีถึงสองครั้งภายในหนึ่งวัน ไม่ว่าจะเป็นคนที่ใจกล้าหน้าด้านขนาดไหน ก็ไม่อาจทนกับสิ่งนี้ได้
เอ่อ… เซียวซูเหม่ยกับเหลียงหงตันได้แต่ตกตะลึงใครจะคาดคิดว่า เมื่อครู่คนเหล่านี้เพิ่งจะปรากฏตัวด้วยท่าทีหยิ่งยโส แต่ตอนนี้จี้เส้าโหยวและแฟนสาวของเขาถึงกับคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนด้วยสภาพที่น่าสังเวช ความแตกต่างระหว่างอย่างแรกกับอย่างหลังมันค่อนข้างจะใหญ่เกินไปหน่อย!
จางหยุนเอ๋อที่เพิ่งโดนตบกลับรู้สึกงุนงงยิ่งกว่าใคร…ความจริงแล้วในใจของเธอเริ่มรู้สึกกลัวตั้งแต่ที่จี้เฟิงเริ่มไล่ถามคำถามกับบอดี้การ์ดหญิงคนนั้นแล้ว สีหน้าและท่าทางของเขาสงบนิ่งเกินไป สีหน้าแบบนี้มันเหมือนกับ…. คนที่ไม่เห็นค่าชีวิตของมนุษย์คนอื่นอยู่ในสายตา!
จี้เฟิงหันหน้ามามองจางหยุนเอ๋อที่กำลังตกใจเขายิ้มกว้างและกล่าวว่า เมื่อกี้ผมเพิ่งบอกคุณใช่มั้ยว่าสิ่งที่คุณเพิ่งโดนไปน่ะมันยังน้อยเกินไป ถ้าคุณรู้ว่าพฤติกรรมที่บุ่มบ่ามของคุณอาจทำให้ลูกชายและลูกสะใภ้ของคุณต้องตาย… ผมก็เดาไม่ออกว่าคุณจะรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่คุณทำลงไปบ้างมั้ย!
จางหยุนเอ๋อตัวสั่นและมองไปที่จี้เฟิงอย่างสยดสยอง แก แก…
ดูสิครั้งนี้ไม่เห็นว่ามีใครบีบบังคับพวกเขาเลยนะแต่พวกเขาก็ยังคุกเข่าลงกับพื้นอยู่ดีนี่นา ฮ่าๆๆ!! จี้เฟิงมีสีหน้าที่เย้ยหยัน แล้วทีนี้ยังจะมาคิดบัญชีอะไรกับผมอีกรึเปล่า
จางหยุนเอ๋อตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ความจริงแล้วเธอไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่อย่างที่เธอพูด
ตระกูลจางที่เธอเกิดและเติบโตมาเทียบไม่ได้แม้แต่ตระกูลระดับ4 ในหยานจิง เพียงเพราะหลายปีมานี้ตระกูลของเธอมีความสัมพันธ์กับตระกูลจี้ จึงทำให้ตระกูลจางเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่ได้แต่งงานกับลูกสายรองของตระกูลจี้
คนอย่างเธอก็สามารถอวดดีได้แต่กับคนธรรมดาเท่านั้นถ้าเจอคนอย่างจี้เฟิงเข้าจริงๆ เธอจะมีความกล้าที่จะทำตัวอวดดีในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงได้อย่างไร
เธอมองใบหน้าที่ยิ้มแย้มของจี้เฟิงแต่ดวงตาของเขาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความเย็นชา เพียงเท่านั้นจางหยุนเอ๋อก็เหมือนจะรู้ตัวทันทีว่าวันนี้ไม่เพียงแต่เธอจะกอบกู้ศักดิ์ศรีของเธอคืนไม่ได้ แต่ยังไม่รู้ว่าจะออกไปจากที่นี่โดยไม่ต้องเสียหน้าไปมากกว่านี้ได้ยังไง
เอ… จี้เฟิงทำท่าครุ่นคิดจากนั้นก็พยักหน้า ใช่แล้ว! เอาอย่างนี้ดีมั้ยครับ ให้พ่อของจี้เส้าโหยว ซึ่งเป็น…ลูกพี่ลูกน้องกับพ่อของผม อ่ะ เอาเป็นว่าโทรหาเขาแล้วบอกให้เขามารับ ถ้าไม่อย่างนั้นพวกคุณก็คงต้องอยู่ทานอาหารกลางวันกับพวกผมก่อนแล้วล่ะครับ!
สีหน้าของจางหยุนเอ๋อดูน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แน่นอนว่าเธอรู้ว่าหากโทรบอกให้สามีของเธอมารับพวกเธอถึงที่นี่จริงๆ ใบหน้าที่หดเหลือแค่ฝ่ามือก็คงจะเสียหายไปมากกว่านี้ แล้วถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่ตระกูลจี้สายตรงจะหัวเราะเยาะเลย เพราะแม้แต่ตระกูลจี้สายรองทั้งหมดก็คงจะรวมหัวกันดูถูกพวกเธอ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น ครอบครัวของเธอก็อย่าได้คิดจะมีหน้าออกไปพบปะผู้คนได้อีกเลย!
แต่ถ้าเธอไม่โทรตามให้สามีมารับก็อย่าฝันว่าพวกเธอจะได้ออกไปจากที่นี่ง่ายๆ!
จางหยุนเอ๋อยังคงพูดไม่ออกอันที่จริงพวกเธอสามคนไม่ได้มีสถานะสำคัญอะไรเลย แล้วตอนนี้ยังบุกเข้ามาในบ้านของจี้เจิ้นหัว ตามระดับแล้ว พวกเธอควรจะต้องเรียกจี้เจิ้นหัวว่าหัวหน้าด้วยซ้ำ!
ถ้าจี้เจิ้นหัวไม่เห็นพวกเขาเป็นญาติงั้นสิ่งที่จี้เฟิงเพิ่งกล่าวมาก็ถือว่าไร้ที่ติอย่างสมบูรณ์!
พวกเขาอาจกลายเป็นผู้ก่ออาชญากรรม…งานเข้าล่ะทีนี้! พวกเขาบุกเข้ามาที่นี่ด้วยอารมณ์ที่รุนแรง แค่นี้ก็พอจะอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นจางหยุนเอ๋อเพิ่งจะนึกได้ว่า ในเมื่อที่นี่เป็นบ้านของคนระดับหัวหน้าอย่างจี้เจิ้นหัว ดังนั้นก็ต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด ไม่แน่ว่าบางทีสิ่งที่พวกเธอทำ… จะถูกบันทึกไว้ทั้งหมดแล้ว!
ทันใดนั้นจางหยุนเอ๋อก็ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเธอรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก เหงื่อเย็นๆไหลซึมไปทั่วใบหน้าและร่างกาย ปากก็แห้งผากไปหมด จางหยุนเอ๋อรู้ว่า*คนที่แก้กระดิ่งได้ก็คือคนที่ผูกกระดิ่งกุญแจสำคัญของเรื่องนี้ก็คือเซียวซูเหม่ย
ตราบใดที่เซียวซูเหม่ยยอมออกปากว่าจะไม่ติดตามเอาความเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้พวกเธอก็สามารถออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยและไม่มีปัญหาอะไรตามมาในอนาคต ถ้าแม่ของเขาขอร้องจี้เฟิงก็คงจะไม่มาสร้างปัญหาอะไรอีก
แต่…
สีหน้าของจางหยุนเอ๋อเปลี่ยนไปอีกครั้งเธอจะยอมเสียฟอร์มเพื่อขอร้องเซียวซูเหม่ยได้อย่างไร
ในตอนนั้นเองจางหยุนเอ๋อก็เหมือนจะเข้าใจประโยคที่จี้เฟิงเพิ่งพูดเมื่อครู่‘แค่ตบมันยังน้อยไป!’
เสียงตบหน้าที่ดังกึกก้องจนทำให้ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวแต่สิ่งที่ทำให้จางหยุนเอ๋อต้องรู้สึกอับอายขายหน้ายิ่งกว่านั้นคือการที่เธอต้องไปขอร้องอ้อนวอนเซียวซูเหม่ย พวกเธอถึงจะหลุดพ้นขอกล่าวหานี้และทำให้ลูกชายกับลูกสะใภ้ของเธอปลอดภัย!
นี่มันเป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกขายหน้าและเจ็บปวดใจยิ่งกว่าการถูกตบเสียอีก!
ช่างเป็นเด็กที่…ชั่วร้ายมาก!
จางหยุนเอ๋อมองไปที่จี้เฟิงอีกครั้งในใจของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เด็กคนนี้ร้ายกาจเกินไปจริงๆ คนอย่างเธอไม่ใช่คู่ต่อสู้เลย!
ความจริงที่จางหยุนเอ๋อรู้สึกเหนือกว่าและกล้าทำตัวหยิ่งยโสขนาดนี้เป็นเพราะเธอรู้สึกว่าตอนนี้เป็นช่วงขาขึ้นของฝั่งพวกเธอ ตอนนี้ตระกูลจี้สายรองกำลังมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ลูกชายคนโตของเธอก็ค่อยๆเป็นที่พูดถึง พรสวรรค์และความสามารถเริ่มเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของใครหลายๆคนในแวดวงชนชั้นสูง รวมถึงเหล่าผู้อาวุโสในตระกูล จนแม้แต่คนสายตรงจะทำอะไรก็ยังต้องเกรงใจเธอ บวกกับเซียวซูเหม่ยเป็นเพียงผู้หญิงที่มาจากชนบท จางหยุนเอ๋อจึงรู้สึกว่าเซียวซูเหม่ยนั้นต่ำต้อยกว่าตัวเอง ในใจเธอจึงมีแต่ความดูถูกในตัวเซียวซูเหม่ย
ที่จริงแล้วจางหยุนเอ๋อไม่ใช่คนโง่แน่นอนว่าเธอมองออกว่าเพียงคำพูดง่ายๆไม่กี่คำของจี้เฟิงก็ทำให้เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!
อย่างแรกเขาสั่งสอนบอดี้การ์ดหญิงต่อหน้าทุกคนบอกให้บอดี้การ์ดหญิงรู้ว่าควรปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องเจ้านายได้อย่างไร เขาใช้มือของบอดี้การ์ดหญิงมาตบเธออย่างแรง.. และในขณะเดียวกันเขาก็บีบบังคับพวกเธอให้มาถึงทางตัน… และเป็นคนมอบทางเลือกให้ด้วยตัวเอง ซึ่งทางเลือกนั้นมีเพียงความตายหรือต้องก้มหัวให้กับเซียวซูเหม่ย!
ฉลาด…ฉลาดมาก!
จี้ช่าวเหลยที่อยู่ข้างๆก็แอบทึ่งและชื่นชมจี้เฟิงอยู่ในใจเช่นกันเขาได้ตบหน้าของจางหยุนเอ๋อเพื่อเป็นการแก้แค้นให้แม่ของเขาโดยที่ไม่ต้องทำให้มือตัวเองต้องแปดเปื้อนเลย เขาเพียงแค่ตั้งคำถามและพูดถึงหน้าที่ที่บอดี้การ์ดพึงกระทำ! อีกทั้งยังช่วยกอบกู้อำนาจและศักดิ์ศรีของแม่เขาคืนได้โดยที่ไม่ต้องพูดออกมาตรงๆ!
จี้ช่าวเหลยอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเองในใจ ฉลาด เจ้าเล่ห์ และสุขุม… ช่างน่าเสียดายจริงๆ เพราะถ้าเจ้าเด็กนี่ได้ลงสนามในสายงานราชการละก็…
เหลียงหงตันก็เหลือบมองจี้เฟิงด้วยความประหลาดใจและอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าชื่นชมออกมา
มีเพียงเซียวซูเหม่ยที่ค่อยๆกลับคืนสู่ความสงบแต่ดวงตาของเธอนั้นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและปลื้มปีติ ในที่สุดลูกชายของเธอก็เติบโตขึ้น และเรียนรู้วิธีที่จะสนับสนุนแม่ของตัวเอง
เซียวซูเหม่ยมองไปยังใบหน้าที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือของจางหยุนเอ๋อจากนั้นก็มองไปที่จี้เส้าโหยวที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยท่าทางที่น่าสมเพชและหญิงสาวจัดจ้านที่เคยด่าทอเธอ ในใจของเซียวซูเหม่ยไม่ได้รู้สึกดีใจกับการแก้แค้น แต่ดีใจเพราะเธอรู้สึกภาคภูมิใจและปลื้มปีติที่ได้เห็นลูกชายของเธอเติบโตขึ้น
ไม่มีอะไรจะทำให้คนที่เป็นพ่อเป็นแม่มีความสุขได้เท่ากับเห็นลูกของตัวเองเติบโตมาได้เป็นอย่างดี
ดังนั้นเซียวซูเหม่ยจึงไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับเรื่องนี้อีกเธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า เสี่ยวเฟิงลืมมันไปเถอะ ปล่อยพวกเขาไป!
สิ่งที่จี้เฟิงต้องการก็คือทำให้พวกเขาทั้งเคารพและเกรงกลัวต่อแม่ของเขาความกลัวที่ต้องทำให้คนเหล่านี้จำฝังใจจนไม่กล้าทำเรื่องเช่นนี้อีก ดังนั้นเมื่อได้ยินแม่ของเขาพูดเช่นนี้ จี้เฟิงจึงพยักหน้าเล็กน้อยและตอบตกลง
จางหยุนเอ๋อและอีกสองคนพลันรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันทีพวกเขาถึงขนาดหันไปมองเซียวซูเหม่ยด้วยความซาบซึ้งใจ!
จี้เฟิงมองจางหยุนเอ๋ออย่างเย็นชาเขากัดฟันของเขาและพูดว่า ถ้าไม่ได้เป็นเพราะแม่ของฉันขอร้องไว้ล่ะก็… ฮึ! โอกาสแบบนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก ดังนั้นจะทำอะไรก็ระวังตัวไว้ด้วย!
เสียงที่เล็ดลอดไรฟันและเต็มไปด้วยความหนักแน่นและเย็นชาของจี้เฟิงทำให้จางหยุนเอ๋ออดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวสั่น
เธอเหลือบมองจี้เฟิงแวบหนึ่งแล้วหันหลังเดินจากไปทันที
จี้เส้าโหยวและหลี่เยี่ยนถิงเห็นดังนั้นก็ทำได้เพียงพยักหน้าให้เซียวซูเหม่ยกับจี้เฟิงเพื่อเป็นการกล่าวลาแล้วจึงรีบเดินจากไป
ปัง!
หลังจากที่สามคนนั้นจากไปด้วยความอับอายขายหน้าจี้เฟิงก็ปิดประตูลงทันที และหันไปมองบอดี้การ์ดหญิงอย่างเย็นชา ไปหาเจ้านายของคุณเพื่อรับโทษซะ! ถ้าครั้งต่อไปคุณยังเป็นบอดี้การ์ดที่ไร้ความสามารถแบบนี้อยู่ คุณก็ไม่จำเป็นต้องทำงานที่นี่ ฉันต้องการบอดี้การ์ดที่สามารถปกป้องแม่ของฉันได้! เมื่อพูดจบจี้เฟิงก็ไม่สนใจสีหน้าที่เปลี่ยนไปของบอดี้การ์ดหญิงคนนั้นอีกเขาหันไปหาแม่ของเขาและยิ้มน้อยๆ แม่ครับผมกลับมาแล้ว เซอร์ไพรส์รึเปล่า!
เจ้าเด็กนี่!
เซียวซูเหม่ยถลึงตาใส่เขาทันที ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นด้วย เสี่ยวอิงเป็นเด็กดีมาก แม่เป็นคนสั่งเอาไว้เองว่าไม่ให้ทำ อย่าไปโทษเธอเลย!
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและไม่คิดที่จะโต้เถียงกับแม่ของเขาแม้ว่าเขาจะไม่ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วยตาของเขาเองก็ตาม แต่แค่สิ่งที่เขาเห็นก็เพียงพอแล้ว บอดี้การ์ดหญิงคนนี้ไม่แม้แต่จะปกป้องหรือพูดอะไรเลย คนแบบนี้ไม่มีคุณสมบัติของบอดี้การ์ด เขารู้สึกไม่พอใจกับบอดี้การ์ดหญิงคนนี้มาก!
เสี่ยวอิงไม่ต้องไปใส่ใจนะเสี่ยวเฟิงเขาเป็นเด็กโง่เจ้าลูกคนนี้นิสัยเสียเพราะถูกฉันตามใจตั้งแต่เด็ก อย่าได้ถือสาเลยนะ! เซียวซูเหม่ยพูดปลอบใจบอดี้การ์ดหญิงด้วยความอ่อนโยน
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและมีเส้นเลือดปูดขึ้นบนหน้าผากเขาเป็นคนโง่เง่า แถมยังนิสัยเสีย?
จี้ช่าวเหลยที่อยู่ข้างๆพยายามกลั้นหัวเราะไว้เขาใช้ศอกสะกิดจี้เฟิง น้องสามนี่อาสะใภ้สาม รีบทักทายเร็วเข้า!
จี้เฟิงเข้าใจทันทีว่านี่คือภรรยาของอาเจิ้นผิงและเป็นแม่ของเสี่ยวหยูเขารีบพูดอย่างนอบน้อมว่า สวัสดีครับอาสะใภ้สาม ผมจี้เฟิง
เหลียงหงตันอ้าปากค้างอยู่นานวิธีการของจี้เฟิงไม่ซับซ้อน แต่มีประสิทธิภาพมาก แต่พอเห็นชายหนุ่มที่เย็นชาเมื่อครู่กลายเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาใสซื่อมายืนยิ้มแฉ่งอยู่ตรงหน้า แล้วจะไม่ให้เธออึ้งจนอ้าปากค้างได้อย่างไร
อาสะใภ้สามผมต้องแนะนำตัวเองด้วยหรือเปล่าครับ จี้ช่าวเหลยที่อยู่ข้างๆ หัวเราะอย่างร่าเริง เจ้าเด็กนี่! เหลียงหงตันถลึงตาใส่จี้ช่าวเหลยแล้วพูดว่า ไปอยู่เจียงโจวมาก็หลายปี ไม่ได้เรียนรู้สิ่งดีๆมาเลยรึ!
ในเวลานี้เซียวซูเหม่ยจับมือของบอดี้การ์ดหญิงและเดินเข้าไปหาจี้เฟิงสองสามก้าวและกล่าวว่า เสี่ยวเฟิง รีบขอโทษเธอเดี๋ยวนี้!
พูดเป็นเล่นจี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย บอดี้การ์ดหญิงคนนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ของเธอ และสิ่งนี้ก็ทำให้จี้เฟิงไม่พอใจมาก เขาไม่ไล่ออกก็ดีแค่ไหนแล้ว แต่นี่เขากลับต้องมาขอโทษเธอ?
อย่างไรก็ตามเมื่อถูกเซียวซูเหม่ยจ้องเขม็งจี้เฟิงจึงต้องพูดออกมาตรงๆ ขอโทษด้วยแล้วกันนะ คนมาจากชนบทอย่างเราๆ ก็ชอบพูดตรงๆแบบนี้แหละ ถ้าหากฉันพูดอะไรที่เป็นการล่วงเกิน ก็อภัยให้ด้วยแล้วกัน!
ไอ้เด็กบ้า!เจ้าเด็กเหลือขอ! เซียวซูเหม่ยตบหัวลูกชายด้วยความโกรธเกรี้ยว นี่เรียกว่าขอโทษเหรอ
จี้เฟิงหัวเราะคิกคักแต่ไม่ได้พูดอะไรอีกเขาหนีแม่ไปนั่งลงบนโซฟาและคุยกับอาสะใภ้เหลียงหงตัน
อะไรนะคืนนี้มีนัดทานอาหารค่ำกับคุณปู่เหรอ? ทำไมพวกเราไม่เห็นรู้เรื่องเลย! เมื่อได้ยินข่าวนี้ จี้เฟิงและจี้ช่าวเหลยก็แปลกใจเล็กน้อย ก็พวกเขาเพิ่งกลับมาจากที่นั่น!