The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 344 ขอโทษ
“เฮ้!น้องสาม ฉันว่านายกำลังจะเจอปัญหาแล้วล่ะ!” จี้ช่าวเหลยพูดด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของเสี่ยวอิง “อ๊ะ! ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระด่วน ขอตัวก่อนนะ!”
“พี่…”จี้เฟิงยื่นมือออกไปเพื่อจะคว้าตัวจี้ช่าวเหลยไว้ให้อยู่เป็นเพื่อน แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อจี้เฟิงหันกลับมาจี้ช่าวเหลยก็วิ่งไปไกลแล้ว
จี้เฟิงทำได้แค่เพียงส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่นการรู้จักรักษาตัวรอดเป็นยอดดีของจี้ช่าวเหลยก็ดีอยู่หรอก แต่มันทำให้จี้เฟิงรู้สึกจนใจจริงๆ
เมื่อเห็นว่าจี้ช่าวเหลยจากไปแล้วเสี่ยวอิงก็เดินเข้ามาหาจี้เฟิงทันที
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะเกาหัวผู้หญิงคนนี้จะมาหาฉันทำไม
ต้องยอมรับตามตรงว่าตั้งแต่ที่แม่เรียกเขาไปคุยในห้องนอนเรื่องของเสี่ยวอิงจี้เฟิงก็รู้สึกผิดต่อเธออยู่บ้างเขาอยากจะขอโทษเธออย่างจริงจัง แต่ก่อนที่เขาจะทันได้อ้าปากก็ถูกสายตาเกลียดชังของเธอ จ้องเขม็งใส่จนทำให้เขาพูดไม่ออก
พอเห็นเสี่ยวอิงเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วจี้เฟิงก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในใจก็แอบเตือนตัวเองว่า เป็นลูกผู้ชายถ้าผิดก็ควรขอโทษไม่ใช่เรื่องน่าอาย ถ้าหากทำผิดแล้วไม่กล้ายอมรับผิดแบบนั้นต่างหากถึงจะน่าขายหน้า!
พอคิดได้แบบนี้จี้เฟิงก็นั่งตัวตรงทันทีสายตาจับจ้องไปที่เสี่ยวอิงอีกครั้ง
ความจริงแล้วจี้เฟิงก็ต้องขอยอมรับว่าเสี่ยวอิงเป็นผู้หญิงที่รูปร่างหน้าตาดีคนหนึ่งเลยทีเดียว
เสี่ยวอิงมีรูปร่างสูงโปร่งจากการกะด้วยสายตาของจี้เฟิงอย่างน้อยเสี่ยวอิงก็น่าจะสูงประมาณ 173 เซนติเมตร เมื่อเทียบกับส่วนสูงของผู้หญิงคนอื่นทั่วๆไป อย่างเสี่ยวอิงก็เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงที่ตัวสูง
เธอสวมชุดลำลองธรรมดาๆดูสบายตัวไม่รัดรูปจนเกินไปคาดว่าการแต่งตัวแบบนี้น่าจะสะดวกกว่าเมื่อต้องรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะถ้าเลือกใส่เสื้อผ้าที่รัดรูปแต่ไม่ยืดหยุ่นอย่างเช่นกางเกงยีน จะทำให้ความสามารถในการเคลื่อนไหวลดลงอย่างมาก
แต่แปลกที่ชุดลำลองหลวมๆบนตัวเธอกลับไม่ทำให้เธอดูท้วมเลยสักนิด กลับกันกลับให้ความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง ในหัวของจี้เฟิงปรากฏภาพอันดุดันของทหารหญิงในประเทศสหรัฐอเมริกาในภาพยนตร์ เงาร่างเล็กๆที่อยู่ตรงหน้าทำให้จี้เฟิงรู้สึกถึงความแข็งแกร่งและความน่าเกรงขาม
โดยเฉพาะเสี่ยวอิงเธอตัดผมสั้นคล้ายผู้ชายผมทั้งสองข้างของเธอสั้นจนไม่สามารถปิดหูของเธอได้ด้วยซ้ำ ถ้าเอาเชือกสีแดงมาคาดหน้าผากของเธอไว้ หรือไม่ก็สวมหมวกทหาร คงยิ่งทำให้เธอดูเหมือนทหารอเมริกันที่แข็งแกร่งดุดันเข้าไปใหญ่
อันที่จริงจี้เฟิงรู้ดีว่าการใช้คำว่า“แข็งแกร่งดุดัน” เพื่ออธิบายถึงเสี่ยวอิงนั้นค่อนข้างไม่เหมาะสมเท่าไหร่ พูดให้ถูกคือควรจะเรียกว่ากล้าหาญและองอาจ
แต่พอเห็นสีหน้าที่ไม่เป็นมิตรของเสี่ยวอิงจี้เฟิงก็รีบโยนคำว่ากล้าหาญและองอาจออกไปจากหัวทันทีเหลือไว้เพียงคำว่าดุดัน!
เสี่ยวอิงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าจี้เฟิงเธอจ้องเขาเขม็งแต่ไม่พูดอะไร
“เอ่อคุณ… เสี่ยวอิงใช่มั้ย คุณตามหาผมอยู่เหรอ?” เมื่อเห็นว่าเสี่ยวอิงไม่พูดอะไรจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะกระแอมไอและเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน เขาถามเธอด้วยรอยยิ้ม
“อย่ามายิ้มต่อหน้าฉัน!”
เสี่ยวอิงแค่นเสียงอย่างเย็นชา“จี้เฟิง! ฉันรู้ว่าคุณเป็นใครคุณคือนายน้อยจี้! และฉันจะดำเนินการตามคำสั่งของคุณ หลังจากที่ฉันคุ้มกันนายหญิงเสร็จในวันนี้ ฉันจะไปรายงานกับเจ้านายเพื่อขอรับโทษด้วยตัวเอง แต่ก่อนหน้านั้นฉันอยากให้คุณรู้ว่า ฉันมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นบอดี้การ์ดของนายหญิง!” ฮะฮะ…
จี้เฟิงได้แต่หัวเราะแห้งๆอยู่ในใจเขายิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “เสี่ยวอิงแม่ผมได้อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ผมฟังแล้ว ผมต้องขอโทษคุณด้วยจริงๆและหวังว่าคุณจะยกโทษให้”
ความตรงไปตรงมาของจี้เฟิงทำให้เสี่ยวอิงอึ้งไปทันที
ตั้งแต่เด็กจนโตเท่าที่เธอจำได้ไม่เคยมีคุณชายคนไหนที่กล่าวขอโทษเธออย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ เว้นเสียแต่ว่าจะมีเจตนาแอบแฝง
อย่างไรก็ตามเสี่ยวอิงเห็นความจริงใจในสายตาของจี้เฟิงเขาขอโทษด้วยใจจริงไม่ใช่แค่การเสแสร้ง
เสี่ยวอิงได้แต่นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่และไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“อะแฮ่ม…”จี้เฟิงใช้กำปั้นปิดปากเขากระแอมไอเบาๆแล้วพูดว่า “เสี่ยวอิงวันนี้ผมพูดกับคุณแรงเกินไปหน่อย หวังว่าคุณจะไม่เก็บเอาไปคิดมากถ้าเป็นไปได้ก็ลืมมันไปซะเถอะนะ ผมต้องขอโทษจริงๆ”
พอเห็นว่าเสี่ยวอิงไม่พูดอะไรจี้เฟิงก็นึกว่าในใจของเธอยังคงไม่หายโกรธ และยังมีความคับข้องใจอยู่ เขาจึงกล่าวขอโทษอีกครั้ง
สีหน้าของเสี่ยวอิงผ่อนคลายลงเล็กน้อยเธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ฉันยอมรับคำขอโทษจากคุณ!”
“งั้นก็ดีเลย!”จี้เฟิงยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินว่าเสี่ยวอิงยอมรับคำขอโทษ ไม่ว่ายังไงสุดท้ายแล้วเสี่ยวอิงก็เป็นคนที่จะคอยอยู่เคียงข้างแม่ของเขา ต่อจากนี้ไปถ้าเขามาหาแม่บ่อยๆ ก็เท่ากับว่าเขาต้องเจอเธอบ่อยๆด้วยเช่นกัน แล้วถ้าเขากับเสี่ยวอิงมีความอึดอัดใจต่อกันก็คงจะทำให้แม่ไม่สบายใจไปด้วย!
ในขณะที่จี้เฟิงกำลังถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขาก็ได้ยินเสี่ยวอิงพูดขึ้นมาว่า “ถึงแม้ว่าฉันจะยอมรับคำขอโทษของคุณ แต่เพื่อพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าฉันมีความสามารถพอที่จะปกป้องนายหญิงของฉัน ฉันเลยอยากจะขอประลองฝีมือกับคุณ!”
“หะ!ห๊า” จี้เฟิงเกือบจะกัดลิ้นตัวเอง เขามองเสี่ยวอิงด้วยความประหลาดใจ “แล้วอะไรดลใจให้เธออยากมาประลองฝีมือกับฉันล่ะ? ฉันเป็นแค่คนธรรมดา!”
อะไรของผู้หญิงคนนี้กันล่ะนิจู่ๆก็เกิดบ้าอะไรขึ้นมา?!
จี้เฟิงมองเธอด้วยความประหลาดใจทำไมจู่ๆถึงคิดที่อยากจะมาสู้กับตัวเขาได้ หรือเธอไปได้ยินใครบอกว่าฉันมีทักษะการต่อสู้? หรือ… ต้องการที่จะใช้โอกาสนี้สั่งสอนฉันให้หลาบจำ? แก้แค้นสินะ!
ไม่ผิดจากที่คาดเสี่ยวอิงพูดขึ้นว่า“จี้ช่าวเหลยได้บอกกับฉันว่าฝีมือของคุณไม่เลว และนายหญิงก็กลัวว่าคุณจะกินมื้อเที่ยงเยอะเกินไป เลยให้ฉันมาช่วยคุณย่อยมื้อเที่ยงสักหน่อย!”
“ไม่จริงใช่มั้ย!”จี้เฟิงเกือบจะกระโดดขึ้นมา เขามองเสี่ยวอิงอย่างกับเห็นผี “พี่รองกับแม่ฉันพูดแบบนี้จริงๆน่ะเหรอ?!”
จี้เฟิงรู้สึกเหมือนตัวเองถูกแม่กับพี่รองขายเหมือนสองคนนั้นต้องการให้เสี่ยวอิงมาสั่งสอนเขาชัดๆ!
“โปรดเตรียมตัว!”
เสี่ยวอิงเลิกพูดไร้สาระกับเขาเธอเดินไปยังลานกว้างที่อยู่ใกล้ๆทันที “ถ้าคุณไม่ต่อสู้กับฉัน ฉันจะเป็นฝ่ายลาออกเอง!”
จี้เฟิงตกใจเขาได้แต่ยืนอึ้ง“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย!”
………………
“คุณป้าใหญ่มันจะไม่เป็นไรเหรอครับถ้าเกิดจี้เฟิงได้รับบาดเจ็บขึ้นมา…”
ที่ชั้นบนจี้ช่าวเหลยอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
ตอนนี้เซียวซูเหม่ยและอีกสองคนกำลังยืนอยู่บนระเบียงพวกเขากำลังแอบมองลงไปอย่างเงียบๆ จุดที่พวกเขาอยู่สามารถมองเห็นสวนสาธารณะที่อยู่ใจกลางชุมชนได้อย่างชัดเจน เสี่ยวอิงที่ยืนอยู่กลางลานกว้าง และจี้เฟิงที่กำลังเดินเข้าไปหาเธออย่างจนใจ พวกเขาทุกคนต่างสีหน้าท่าทางและพฤติกรรมของทั้งสองคนนั้นได้อย่างชัดเจน
เซียวซูเหม่ยแค่นเสียง“ฉันมองเสี่ยวอิงไม่ต่างจากลูกสาวแท้ๆ แต่เจ้าเด็กบ๊องนั่นกลับต่อว่าเสี่ยวอิง ทำให้เสี่ยวอิงรู้สึกผิดจนอยากจะลาออกไป!”
“งั้นนี่ก็คือสาเหตุที่คุณป้าใหญ่อยากให้น้องสามโดนสั่งสอนงั้นสินะครับ”จี้ช่าวเหลยหัวเราะทันที “ป้าใหญ่ไม่กลัวน้องสามจะได้รับบาดเจ็บเหรอครับ?”
“ฮึ่ม!”
เซียวซูเหม่ยถลึงตาใส่จี้ช่าวเหลยแล้วพูดว่า“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เจ้าเด็กนั่นหนังหนามาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ถูกทุบตีนิดๆหน่อยๆไม่กระเทือนผิวหนังของเขาหรอก นอกจากนี้ก็ถือว่าให้เสี่ยวอิงเธอได้ระบายความโกรธสักหน่อย เพราะถ้าปล่อยไว้แบบนี้… เสี่ยวอิงคงจะรู้สึกกระอักกระอ่วนเวลาเจอกับจี้เฟิงแล้วก็คงจะรู้สึกโกรธทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้เซียวซูเหม่ยนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เสี่ยวอิงลงไม้ลงมือกับคนที่มาก่อกวนเธอเพื่อปกป้องเธอ แต่เซียวซูเหม่ยกลัวว่าจะเป็นการสร้างปัญหาให้กับสามี เธอจึงสั่งห้ามไม่ให้เสี่ยวอิงลงมืออีกจนกว่าจะมีคำสั่งจากเธอ แต่กลับมาถูกเจ้าเด็กตัวเหม็นคนนั้นดุด่าว่ากล่าวจนเสี่ยวอิงต้องมีน้ำตา
และอีกอย่างเซียวซูเหม่ยก็รู้ดีว่าเสี่ยวอิงจะไม่ลงมือหนักเกินไปอย่างแน่นอนตราบใดที่ไม่ถึงกับหน้าตาบวมปูดจนจำหน้าตาไม่ได้ก็พอแล้ว นี่คือสิ่งที่เซียวซูเหม่ยและจี้ช่าวเหลยร่วมมือกัน
“พี่สะใภ้ใหญ่ถ้าเสี่ยวเฟิงมารู้ทีหลังเขาจะไม่โกรธแย่เลยหรอ” เหลียงหงตันถาม
เซียวซูเหม่ยส่ายหัวเล็กน้อยและพูดว่า“ไม่หรอกฉันรู้จักนิสัยของเสี่ยวเฟิงดี”
……………… “อ่า…เอาเป็นว่าเอาแค่เบาะๆพอดีมั้ย อย่าถึงกับคิดว่าผมเป็นศัตรูเลย!” จี้เฟิงมองเสียวอิงอย่างจนปัญญา แล้วเดินไปหยุดตรงจุดที่ห่างจากเสี่ยวอิงประมาณสามสี่ก้าวแล้วยิ้มอย่างขมขื่น
“เมื่อต้องลงมือต่อสู้จะมีเพียงต่อสู้กับศัตรูและมีคนที่ต้องปกป้องเท่านั้น!” เสี่ยวอิงตอบอย่างเย็นชา
จี้เฟิงยิ้มอย่างขมขื่นและพยักหน้าเล็กน้อยตอนนี้เขาพอจะคาดเดาจุดประสงค์ของแม่เขาได้บ้างแล้ว ดูเหมือนว่าการที่จะต้องเจ็บตัวนิดๆหน่อยๆ คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่ว่าการเลือกที่จะถูกทุบตีอย่างไร ก็ยังต้องใช้ฝีมืออย่างมาก
การที่ต้องเลือกว่าจะถูกทุบตีตรงไหนยังไงก็ถือว่าเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง
“ระวัง!”เสียงหวานๆของเสี่ยวอิงตะโกนดังลั่นก่อนจะโค้งคำนับ แล้วพุ่งเข้าไปหาจี้เฟิงอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนู
พริบตาเดียวเสี่ยวอิงก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าจี้เฟิงเธอก้าวเท้าไปข้างหน้าและใช้หมัดขวาชกออกไปเป็นหมัดตรง
เปรี้ยง—!ตูม—!
จี้เฟิงกระเด็นออกไปทันทีและล้มลงกับพื้นอย่างแรง
เสี่ยงอิงยืนอึ้งอยู่กับที่แล้วพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว“เป็นไปได้ยังไง ไม่ใช่ว่าเขามีวิชากังฟูหรอกเหรอ!”
“ทำไมเป็นแบบนี้มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง!” ที่บนระเบียงเซียวซูเหม่ยก็ตกใจเช่นกัน สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน “ช่าวเหลย ไหนเธอบอกว่าจี้เฟิงนั้นเก่งกังฟูมาก แล้วทำไม…”
แม้ว่าเธอต้องการให้เสี่ยวอิงระบายความโกรธแต่เธอก็ไม่ได้ต้องการให้ลูกชายของเธอได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้….
จี้ช่าวเหลยยิ้มและพูดว่า“คุณป้าใหญ่ไม่ต้องกังวล ดูไปก่อนเถอะครับ อย่าไปหลงกลน้องสาม” เซียวซูเหม่ยพยักหน้าเธอครุ่นคิดเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไรอีกเธอแค่จ้องไปที่จี้เฟิงที่ล้มลงกับพื้น ความวิตกกังวลในแววตาไม่อาจปกปิดความรู้สึกเป็นห่วงได้เลย
“คุณ!คุณเป็นยังไงบ้าง! โอเครึเปล่า!” เสี่ยวอิงรีบเข้าไปหาจี้เฟิง และอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความเป็นห่วง
จี้เฟิงนอนอยู่บนพื้นและยิ้มอย่างขมขื่น“ผมถูกคุณต่อยจนกระเด็นมาขนาดนี้ คุณคิดว่าผมยังจะโอเคอีกเหรอ”
เสียวอิงรู้สึกผิดขึ้นมาทันทีเธอรีบพูดว่า“จี้เฟิง นายน้อยจี้ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายคุณ… ขนาดนี้ คุณได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้าง!”
จี้เฟิงยิ้มและกล่าวว่า“ถ้าคุณยอมรับคำขอโทษของผมและไม่คิดที่จะลาออกอีกผมก็ไม่เป็นไร”
“โอเคฉันยอมรับคำขอโทษฉัน… คุณไม่ได้รับบาดเจ็บเหรอ” เสี่ยวอิงรีบพยักหน้าด้วยความกังวล แต่ในเสี้ยววินาทีเธอก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ เธอชี้ไปที่จี้เฟิงอย่างโกรธเคือง “คุณ.. คุณโกหกฉันเหรอ? คุณ.. คุณ!”
จี้เฟิงหัวเราะอย่างโง่เขลาและลุกขึ้นจากพื้นด้วยการกระโดดเบาๆ“ในเมื่อคุณตกลงรับปากแล้ว ผมก็ไม่เป็นไร! แล้วแบบนี้จะหาว่าผมโกหกคุณได้ยังไง”
“นาย…นาย!” เสี่ยวอิงจ้องเขาเขม็งเธอรู้สึกโกรธจนพูดไม่ออก
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้มเห็นได้ชัดว่าเสี่ยวอิงเป็นผู้หญิงที่พูดไม่เก่ง ดังนั้นแม้ว่าเธอจะรู้สึกโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
ไม่แปลกใจเลยที่แม่จะชอบเธอผู้หญิงแบบนี้แม่คงจะรักและเอ็นดูเธอมากอย่างแน่นอน
“คุณ…คุณบล็อกหมัดของฉันได้ยังไง” เสี่ยวอิงอดไม่ได้ที่จะถามในสิ่งที่เธอสงสัย แม้ว่าเธอจะใช้พลังไปเพียง 30% แต่สำหรับคนธรรมดาแล้วก็เพียงพอที่จะสร้างความเสียหายได้มาก แต่ที่เธอกล้าใช้พลังมากขนาดนี้เป็นเพราะได้ยินมาว่ากังฟูของจี้เฟิงไม่เลวเลย
แต่เธอก็คิดไม่ถึงว่าจี้เฟิงจะลุกขึ้นมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจมาก
“อ้อ..ผมไม่ได้มีข้อดีอะไรนอกจากเรื่องหนังหนาและทนทาน!” จี้เฟิงยิ้มน้อยๆแล้วพูดว่า “เอาล่ะอย่าเพิ่งคุยเรื่องอื่นในเมื่อตอนนี้คุณยอมรับคำขอโทษของผมแล้ว ก็ไม่ต้องลาออกหรือย้ายไปไหนแล้วนะ ต่อจากนี้ไปความปลอดภัยของแม่ผมยังคงต้องรบกวนคุณอีกมาก ฝากด้วยนะครับ!”
จี้เฟิงโค้งคำนับให้เธอ
“ไม่!อย่าทำแบบนี้! คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้! ความปลอดภัยของนายหญิงเป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว!” เสี่ยวอิงรีบหลบทันที
จี้เฟิงยิ้มน้อยๆ“คืนนี้พวกเราจะไปทานมื้อค่ำที่บ้านผู้อาวุโสเฒ่า ถ้ามีคนพูดจาหยาบคายกับแม่ของผมอีก ให้คุณมองมาที่ผมและขยิบตาทันทีโอเคมั้ย” “โอเคโอเค!” เสี่ยวอิงรีบพยักหน้าทันที
“เจ้าเด็กตัวแสบ!”
หลังจากที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเซียวซูเหม่ยที่ยืนอยู่บนระเบียงก็ไม่ได้ที่จะบ่นพลางหัวเราะ แต่คำบ่นของเธอกลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ!
“พี่…”จี้เฟิงยื่นมือออกไปเพื่อจะคว้าตัวจี้ช่าวเหลยไว้ให้อยู่เป็นเพื่อน แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อจี้เฟิงหันกลับมาจี้ช่าวเหลยก็วิ่งไปไกลแล้ว
จี้เฟิงทำได้แค่เพียงส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่นการรู้จักรักษาตัวรอดเป็นยอดดีของจี้ช่าวเหลยก็ดีอยู่หรอก แต่มันทำให้จี้เฟิงรู้สึกจนใจจริงๆ
เมื่อเห็นว่าจี้ช่าวเหลยจากไปแล้วเสี่ยวอิงก็เดินเข้ามาหาจี้เฟิงทันที
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะเกาหัวผู้หญิงคนนี้จะมาหาฉันทำไม
ต้องยอมรับตามตรงว่าตั้งแต่ที่แม่เรียกเขาไปคุยในห้องนอนเรื่องของเสี่ยวอิงจี้เฟิงก็รู้สึกผิดต่อเธออยู่บ้างเขาอยากจะขอโทษเธออย่างจริงจัง แต่ก่อนที่เขาจะทันได้อ้าปากก็ถูกสายตาเกลียดชังของเธอ จ้องเขม็งใส่จนทำให้เขาพูดไม่ออก
พอเห็นเสี่ยวอิงเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วจี้เฟิงก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในใจก็แอบเตือนตัวเองว่า เป็นลูกผู้ชายถ้าผิดก็ควรขอโทษไม่ใช่เรื่องน่าอาย ถ้าหากทำผิดแล้วไม่กล้ายอมรับผิดแบบนั้นต่างหากถึงจะน่าขายหน้า!
พอคิดได้แบบนี้จี้เฟิงก็นั่งตัวตรงทันทีสายตาจับจ้องไปที่เสี่ยวอิงอีกครั้ง
ความจริงแล้วจี้เฟิงก็ต้องขอยอมรับว่าเสี่ยวอิงเป็นผู้หญิงที่รูปร่างหน้าตาดีคนหนึ่งเลยทีเดียว
เสี่ยวอิงมีรูปร่างสูงโปร่งจากการกะด้วยสายตาของจี้เฟิงอย่างน้อยเสี่ยวอิงก็น่าจะสูงประมาณ 173 เซนติเมตร เมื่อเทียบกับส่วนสูงของผู้หญิงคนอื่นทั่วๆไป อย่างเสี่ยวอิงก็เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงที่ตัวสูง
เธอสวมชุดลำลองธรรมดาๆดูสบายตัวไม่รัดรูปจนเกินไปคาดว่าการแต่งตัวแบบนี้น่าจะสะดวกกว่าเมื่อต้องรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะถ้าเลือกใส่เสื้อผ้าที่รัดรูปแต่ไม่ยืดหยุ่นอย่างเช่นกางเกงยีน จะทำให้ความสามารถในการเคลื่อนไหวลดลงอย่างมาก
แต่แปลกที่ชุดลำลองหลวมๆบนตัวเธอกลับไม่ทำให้เธอดูท้วมเลยสักนิด กลับกันกลับให้ความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง ในหัวของจี้เฟิงปรากฏภาพอันดุดันของทหารหญิงในประเทศสหรัฐอเมริกาในภาพยนตร์ เงาร่างเล็กๆที่อยู่ตรงหน้าทำให้จี้เฟิงรู้สึกถึงความแข็งแกร่งและความน่าเกรงขาม
โดยเฉพาะเสี่ยวอิงเธอตัดผมสั้นคล้ายผู้ชายผมทั้งสองข้างของเธอสั้นจนไม่สามารถปิดหูของเธอได้ด้วยซ้ำ ถ้าเอาเชือกสีแดงมาคาดหน้าผากของเธอไว้ หรือไม่ก็สวมหมวกทหาร คงยิ่งทำให้เธอดูเหมือนทหารอเมริกันที่แข็งแกร่งดุดันเข้าไปใหญ่
อันที่จริงจี้เฟิงรู้ดีว่าการใช้คำว่า“แข็งแกร่งดุดัน” เพื่ออธิบายถึงเสี่ยวอิงนั้นค่อนข้างไม่เหมาะสมเท่าไหร่ พูดให้ถูกคือควรจะเรียกว่ากล้าหาญและองอาจ
แต่พอเห็นสีหน้าที่ไม่เป็นมิตรของเสี่ยวอิงจี้เฟิงก็รีบโยนคำว่ากล้าหาญและองอาจออกไปจากหัวทันทีเหลือไว้เพียงคำว่าดุดัน!
เสี่ยวอิงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าจี้เฟิงเธอจ้องเขาเขม็งแต่ไม่พูดอะไร
“เอ่อคุณ… เสี่ยวอิงใช่มั้ย คุณตามหาผมอยู่เหรอ?” เมื่อเห็นว่าเสี่ยวอิงไม่พูดอะไรจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะกระแอมไอและเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน เขาถามเธอด้วยรอยยิ้ม
“อย่ามายิ้มต่อหน้าฉัน!”
เสี่ยวอิงแค่นเสียงอย่างเย็นชา“จี้เฟิง! ฉันรู้ว่าคุณเป็นใครคุณคือนายน้อยจี้! และฉันจะดำเนินการตามคำสั่งของคุณ หลังจากที่ฉันคุ้มกันนายหญิงเสร็จในวันนี้ ฉันจะไปรายงานกับเจ้านายเพื่อขอรับโทษด้วยตัวเอง แต่ก่อนหน้านั้นฉันอยากให้คุณรู้ว่า ฉันมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นบอดี้การ์ดของนายหญิง!” ฮะฮะ…
จี้เฟิงได้แต่หัวเราะแห้งๆอยู่ในใจเขายิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “เสี่ยวอิงแม่ผมได้อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ผมฟังแล้ว ผมต้องขอโทษคุณด้วยจริงๆและหวังว่าคุณจะยกโทษให้”
ความตรงไปตรงมาของจี้เฟิงทำให้เสี่ยวอิงอึ้งไปทันที
ตั้งแต่เด็กจนโตเท่าที่เธอจำได้ไม่เคยมีคุณชายคนไหนที่กล่าวขอโทษเธออย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ เว้นเสียแต่ว่าจะมีเจตนาแอบแฝง
อย่างไรก็ตามเสี่ยวอิงเห็นความจริงใจในสายตาของจี้เฟิงเขาขอโทษด้วยใจจริงไม่ใช่แค่การเสแสร้ง
เสี่ยวอิงได้แต่นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่และไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“อะแฮ่ม…”จี้เฟิงใช้กำปั้นปิดปากเขากระแอมไอเบาๆแล้วพูดว่า “เสี่ยวอิงวันนี้ผมพูดกับคุณแรงเกินไปหน่อย หวังว่าคุณจะไม่เก็บเอาไปคิดมากถ้าเป็นไปได้ก็ลืมมันไปซะเถอะนะ ผมต้องขอโทษจริงๆ”
พอเห็นว่าเสี่ยวอิงไม่พูดอะไรจี้เฟิงก็นึกว่าในใจของเธอยังคงไม่หายโกรธ และยังมีความคับข้องใจอยู่ เขาจึงกล่าวขอโทษอีกครั้ง
สีหน้าของเสี่ยวอิงผ่อนคลายลงเล็กน้อยเธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ฉันยอมรับคำขอโทษจากคุณ!”
“งั้นก็ดีเลย!”จี้เฟิงยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินว่าเสี่ยวอิงยอมรับคำขอโทษ ไม่ว่ายังไงสุดท้ายแล้วเสี่ยวอิงก็เป็นคนที่จะคอยอยู่เคียงข้างแม่ของเขา ต่อจากนี้ไปถ้าเขามาหาแม่บ่อยๆ ก็เท่ากับว่าเขาต้องเจอเธอบ่อยๆด้วยเช่นกัน แล้วถ้าเขากับเสี่ยวอิงมีความอึดอัดใจต่อกันก็คงจะทำให้แม่ไม่สบายใจไปด้วย!
ในขณะที่จี้เฟิงกำลังถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขาก็ได้ยินเสี่ยวอิงพูดขึ้นมาว่า “ถึงแม้ว่าฉันจะยอมรับคำขอโทษของคุณ แต่เพื่อพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าฉันมีความสามารถพอที่จะปกป้องนายหญิงของฉัน ฉันเลยอยากจะขอประลองฝีมือกับคุณ!”
“หะ!ห๊า” จี้เฟิงเกือบจะกัดลิ้นตัวเอง เขามองเสี่ยวอิงด้วยความประหลาดใจ “แล้วอะไรดลใจให้เธออยากมาประลองฝีมือกับฉันล่ะ? ฉันเป็นแค่คนธรรมดา!”
อะไรของผู้หญิงคนนี้กันล่ะนิจู่ๆก็เกิดบ้าอะไรขึ้นมา?!
จี้เฟิงมองเธอด้วยความประหลาดใจทำไมจู่ๆถึงคิดที่อยากจะมาสู้กับตัวเขาได้ หรือเธอไปได้ยินใครบอกว่าฉันมีทักษะการต่อสู้? หรือ… ต้องการที่จะใช้โอกาสนี้สั่งสอนฉันให้หลาบจำ? แก้แค้นสินะ!
ไม่ผิดจากที่คาดเสี่ยวอิงพูดขึ้นว่า“จี้ช่าวเหลยได้บอกกับฉันว่าฝีมือของคุณไม่เลว และนายหญิงก็กลัวว่าคุณจะกินมื้อเที่ยงเยอะเกินไป เลยให้ฉันมาช่วยคุณย่อยมื้อเที่ยงสักหน่อย!”
“ไม่จริงใช่มั้ย!”จี้เฟิงเกือบจะกระโดดขึ้นมา เขามองเสี่ยวอิงอย่างกับเห็นผี “พี่รองกับแม่ฉันพูดแบบนี้จริงๆน่ะเหรอ?!”
จี้เฟิงรู้สึกเหมือนตัวเองถูกแม่กับพี่รองขายเหมือนสองคนนั้นต้องการให้เสี่ยวอิงมาสั่งสอนเขาชัดๆ!
“โปรดเตรียมตัว!”
เสี่ยวอิงเลิกพูดไร้สาระกับเขาเธอเดินไปยังลานกว้างที่อยู่ใกล้ๆทันที “ถ้าคุณไม่ต่อสู้กับฉัน ฉันจะเป็นฝ่ายลาออกเอง!”
จี้เฟิงตกใจเขาได้แต่ยืนอึ้ง“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย!”
………………
“คุณป้าใหญ่มันจะไม่เป็นไรเหรอครับถ้าเกิดจี้เฟิงได้รับบาดเจ็บขึ้นมา…”
ที่ชั้นบนจี้ช่าวเหลยอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
ตอนนี้เซียวซูเหม่ยและอีกสองคนกำลังยืนอยู่บนระเบียงพวกเขากำลังแอบมองลงไปอย่างเงียบๆ จุดที่พวกเขาอยู่สามารถมองเห็นสวนสาธารณะที่อยู่ใจกลางชุมชนได้อย่างชัดเจน เสี่ยวอิงที่ยืนอยู่กลางลานกว้าง และจี้เฟิงที่กำลังเดินเข้าไปหาเธออย่างจนใจ พวกเขาทุกคนต่างสีหน้าท่าทางและพฤติกรรมของทั้งสองคนนั้นได้อย่างชัดเจน
เซียวซูเหม่ยแค่นเสียง“ฉันมองเสี่ยวอิงไม่ต่างจากลูกสาวแท้ๆ แต่เจ้าเด็กบ๊องนั่นกลับต่อว่าเสี่ยวอิง ทำให้เสี่ยวอิงรู้สึกผิดจนอยากจะลาออกไป!”
“งั้นนี่ก็คือสาเหตุที่คุณป้าใหญ่อยากให้น้องสามโดนสั่งสอนงั้นสินะครับ”จี้ช่าวเหลยหัวเราะทันที “ป้าใหญ่ไม่กลัวน้องสามจะได้รับบาดเจ็บเหรอครับ?”
“ฮึ่ม!”
เซียวซูเหม่ยถลึงตาใส่จี้ช่าวเหลยแล้วพูดว่า“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เจ้าเด็กนั่นหนังหนามาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ถูกทุบตีนิดๆหน่อยๆไม่กระเทือนผิวหนังของเขาหรอก นอกจากนี้ก็ถือว่าให้เสี่ยวอิงเธอได้ระบายความโกรธสักหน่อย เพราะถ้าปล่อยไว้แบบนี้… เสี่ยวอิงคงจะรู้สึกกระอักกระอ่วนเวลาเจอกับจี้เฟิงแล้วก็คงจะรู้สึกโกรธทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้เซียวซูเหม่ยนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เสี่ยวอิงลงไม้ลงมือกับคนที่มาก่อกวนเธอเพื่อปกป้องเธอ แต่เซียวซูเหม่ยกลัวว่าจะเป็นการสร้างปัญหาให้กับสามี เธอจึงสั่งห้ามไม่ให้เสี่ยวอิงลงมืออีกจนกว่าจะมีคำสั่งจากเธอ แต่กลับมาถูกเจ้าเด็กตัวเหม็นคนนั้นดุด่าว่ากล่าวจนเสี่ยวอิงต้องมีน้ำตา
และอีกอย่างเซียวซูเหม่ยก็รู้ดีว่าเสี่ยวอิงจะไม่ลงมือหนักเกินไปอย่างแน่นอนตราบใดที่ไม่ถึงกับหน้าตาบวมปูดจนจำหน้าตาไม่ได้ก็พอแล้ว นี่คือสิ่งที่เซียวซูเหม่ยและจี้ช่าวเหลยร่วมมือกัน
“พี่สะใภ้ใหญ่ถ้าเสี่ยวเฟิงมารู้ทีหลังเขาจะไม่โกรธแย่เลยหรอ” เหลียงหงตันถาม
เซียวซูเหม่ยส่ายหัวเล็กน้อยและพูดว่า“ไม่หรอกฉันรู้จักนิสัยของเสี่ยวเฟิงดี”
……………… “อ่า…เอาเป็นว่าเอาแค่เบาะๆพอดีมั้ย อย่าถึงกับคิดว่าผมเป็นศัตรูเลย!” จี้เฟิงมองเสียวอิงอย่างจนปัญญา แล้วเดินไปหยุดตรงจุดที่ห่างจากเสี่ยวอิงประมาณสามสี่ก้าวแล้วยิ้มอย่างขมขื่น
“เมื่อต้องลงมือต่อสู้จะมีเพียงต่อสู้กับศัตรูและมีคนที่ต้องปกป้องเท่านั้น!” เสี่ยวอิงตอบอย่างเย็นชา
จี้เฟิงยิ้มอย่างขมขื่นและพยักหน้าเล็กน้อยตอนนี้เขาพอจะคาดเดาจุดประสงค์ของแม่เขาได้บ้างแล้ว ดูเหมือนว่าการที่จะต้องเจ็บตัวนิดๆหน่อยๆ คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่ว่าการเลือกที่จะถูกทุบตีอย่างไร ก็ยังต้องใช้ฝีมืออย่างมาก
การที่ต้องเลือกว่าจะถูกทุบตีตรงไหนยังไงก็ถือว่าเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง
“ระวัง!”เสียงหวานๆของเสี่ยวอิงตะโกนดังลั่นก่อนจะโค้งคำนับ แล้วพุ่งเข้าไปหาจี้เฟิงอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนู
พริบตาเดียวเสี่ยวอิงก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าจี้เฟิงเธอก้าวเท้าไปข้างหน้าและใช้หมัดขวาชกออกไปเป็นหมัดตรง
เปรี้ยง—!ตูม—!
จี้เฟิงกระเด็นออกไปทันทีและล้มลงกับพื้นอย่างแรง
เสี่ยงอิงยืนอึ้งอยู่กับที่แล้วพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว“เป็นไปได้ยังไง ไม่ใช่ว่าเขามีวิชากังฟูหรอกเหรอ!”
“ทำไมเป็นแบบนี้มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง!” ที่บนระเบียงเซียวซูเหม่ยก็ตกใจเช่นกัน สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน “ช่าวเหลย ไหนเธอบอกว่าจี้เฟิงนั้นเก่งกังฟูมาก แล้วทำไม…”
แม้ว่าเธอต้องการให้เสี่ยวอิงระบายความโกรธแต่เธอก็ไม่ได้ต้องการให้ลูกชายของเธอได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้….
จี้ช่าวเหลยยิ้มและพูดว่า“คุณป้าใหญ่ไม่ต้องกังวล ดูไปก่อนเถอะครับ อย่าไปหลงกลน้องสาม” เซียวซูเหม่ยพยักหน้าเธอครุ่นคิดเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไรอีกเธอแค่จ้องไปที่จี้เฟิงที่ล้มลงกับพื้น ความวิตกกังวลในแววตาไม่อาจปกปิดความรู้สึกเป็นห่วงได้เลย
“คุณ!คุณเป็นยังไงบ้าง! โอเครึเปล่า!” เสี่ยวอิงรีบเข้าไปหาจี้เฟิง และอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความเป็นห่วง
จี้เฟิงนอนอยู่บนพื้นและยิ้มอย่างขมขื่น“ผมถูกคุณต่อยจนกระเด็นมาขนาดนี้ คุณคิดว่าผมยังจะโอเคอีกเหรอ”
เสียวอิงรู้สึกผิดขึ้นมาทันทีเธอรีบพูดว่า“จี้เฟิง นายน้อยจี้ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายคุณ… ขนาดนี้ คุณได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้าง!”
จี้เฟิงยิ้มและกล่าวว่า“ถ้าคุณยอมรับคำขอโทษของผมและไม่คิดที่จะลาออกอีกผมก็ไม่เป็นไร”
“โอเคฉันยอมรับคำขอโทษฉัน… คุณไม่ได้รับบาดเจ็บเหรอ” เสี่ยวอิงรีบพยักหน้าด้วยความกังวล แต่ในเสี้ยววินาทีเธอก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ เธอชี้ไปที่จี้เฟิงอย่างโกรธเคือง “คุณ.. คุณโกหกฉันเหรอ? คุณ.. คุณ!”
จี้เฟิงหัวเราะอย่างโง่เขลาและลุกขึ้นจากพื้นด้วยการกระโดดเบาๆ“ในเมื่อคุณตกลงรับปากแล้ว ผมก็ไม่เป็นไร! แล้วแบบนี้จะหาว่าผมโกหกคุณได้ยังไง”
“นาย…นาย!” เสี่ยวอิงจ้องเขาเขม็งเธอรู้สึกโกรธจนพูดไม่ออก
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้มเห็นได้ชัดว่าเสี่ยวอิงเป็นผู้หญิงที่พูดไม่เก่ง ดังนั้นแม้ว่าเธอจะรู้สึกโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
ไม่แปลกใจเลยที่แม่จะชอบเธอผู้หญิงแบบนี้แม่คงจะรักและเอ็นดูเธอมากอย่างแน่นอน
“คุณ…คุณบล็อกหมัดของฉันได้ยังไง” เสี่ยวอิงอดไม่ได้ที่จะถามในสิ่งที่เธอสงสัย แม้ว่าเธอจะใช้พลังไปเพียง 30% แต่สำหรับคนธรรมดาแล้วก็เพียงพอที่จะสร้างความเสียหายได้มาก แต่ที่เธอกล้าใช้พลังมากขนาดนี้เป็นเพราะได้ยินมาว่ากังฟูของจี้เฟิงไม่เลวเลย
แต่เธอก็คิดไม่ถึงว่าจี้เฟิงจะลุกขึ้นมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจมาก
“อ้อ..ผมไม่ได้มีข้อดีอะไรนอกจากเรื่องหนังหนาและทนทาน!” จี้เฟิงยิ้มน้อยๆแล้วพูดว่า “เอาล่ะอย่าเพิ่งคุยเรื่องอื่นในเมื่อตอนนี้คุณยอมรับคำขอโทษของผมแล้ว ก็ไม่ต้องลาออกหรือย้ายไปไหนแล้วนะ ต่อจากนี้ไปความปลอดภัยของแม่ผมยังคงต้องรบกวนคุณอีกมาก ฝากด้วยนะครับ!”
จี้เฟิงโค้งคำนับให้เธอ
“ไม่!อย่าทำแบบนี้! คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้! ความปลอดภัยของนายหญิงเป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว!” เสี่ยวอิงรีบหลบทันที
จี้เฟิงยิ้มน้อยๆ“คืนนี้พวกเราจะไปทานมื้อค่ำที่บ้านผู้อาวุโสเฒ่า ถ้ามีคนพูดจาหยาบคายกับแม่ของผมอีก ให้คุณมองมาที่ผมและขยิบตาทันทีโอเคมั้ย” “โอเคโอเค!” เสี่ยวอิงรีบพยักหน้าทันที
“เจ้าเด็กตัวแสบ!”
หลังจากที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเซียวซูเหม่ยที่ยืนอยู่บนระเบียงก็ไม่ได้ที่จะบ่นพลางหัวเราะ แต่คำบ่นของเธอกลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ!