The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 347 ความหนาวเย็นที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
- Home
- The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ
- บทที่ 347 ความหนาวเย็นที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากที่จี้เฟิงและคนอื่นๆยื่นบัตรแล้วพวกเขาก็ก้าวเข้าไปในลานซื่อเหอหยวนที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนาอยู่ภายใต้สายตาของทหารยามรักษาการณ์
ทันทีที่พวกเขาก้าวเข้ามาเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะก็ดังมาจากทางด้านใน
จี้ช่าวเหลยตกใจเล็กน้อย“น้องสาม นายว่าใครกันที่กล้ามาเอะอะโวยวายแบบนี้ที่นี่”
จี้เฟิงได้แต่ยิ้มไม่พูดไม่จาเขารู้สึกว่าเสียงนี้คุ้นๆ
จากเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยพลังเขามั่นใจได้เลยว่าคนที่กำลังพูดคุยและหัวเราะเสียงดังอยู่นี้จะต้องเป็นผู้เฒ่าถังอย่างแน่นอน
ในบรรดาคนที่จี้เฟิงรู้จักเกรงว่าคงจะมีเพียงแค่ผู้เฒ่าถังและพ่อของเถี่ยจุนเท่านั้นที่กล้าพูดจาและหัวเราะเสียงดังแบบนี้กับคุณปู่
“อ้าว” จี้ช่าวเหลยต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเขาหันไปเห็นรถสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ตรงหน้าประตู เขาชี้ไปทางรถคันนั้นแล้วพูดว่า “คุณลุงมาถึงก่อนพวกเราอีกเหรอเนี่ย”
จี้เฟิงเหลือบมองป้ายทะเบียนที่มีสัญลักษณ์เป็นสีแดงรถคันนั้นเป็นรถของทางการจริงๆ เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “น่าจะเป็นเพราะพวกเราอ้อมไปไกล เลยทำให้มาช้ากว่า”
ในขณะเดียวกันจี้เฟิงก็แอบเห็นแม่ของเขามีทีท่าสบายใจขึ้นเมื่อเห็นว่ารถของพ่อมาถึงแล้ว
จี้เฟิงถึงกับขมวดคิ้วทันทีเพราะสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าแม่ของเขามีชีวิตความเป็นอยู่อย่างอึดอัดใจมากขนาดไหน ต้องมีพ่ออยู่ด้วยแม่ถึงจะสามารถวางใจได้ ดังนั้นในตอนที่พ่อยังไม่มาแม่คงต้องรู้สึกเป็นกังวลใจอยู่แน่นอน
สิ่งนี้ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ดีอย่างแน่นอน!
จี้เฟิงแค่นเสียงอย่างเย็นชาอยู่ในใจเขากำลังนึกภาพว่าคนจากสาขาอื่นนั้นต้องทำตัวหยิ่งยโสกันมากขนาดไหน ถึงทำให้แม่ของเขาต้องคอยระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ ขนาดมีอาสะใภ้สามอยู่ด้วย แม่ก็ยังไม่วางใจ
จี้เฟิงรู้ดีว่าแม่ของเขาเป็นคนยังไงเธอเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ที่เธออดทนอยู่แบบนี้ก็เพื่อพ่อ เธอกลัวว่าถ้าเธอทำอะไรที่หุนหันพลันแล่นลงไปแล้วมันจะส่งผลกระทบต่อพ่อ แต่… ทำไมเธอถึงต้องทนด้วย!
“แม่เราเข้าไปข้างในกันเถอะ!” จี้เฟิงยิ้มน้อยๆ “พ่อน่าจะรอเราอยู่ข้างในแล้วล่ะ!”
เซียวซูเหม่ยพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า“อื้ม เข้าไปกันเถอะ!”
จี้เฟิงจงใจเดินทิ้งห่างอยู่ข้างหลังแม่ของเขาไปสองสามก้าวเขาอยากจะใช้โอกาสนี้คอยสังเกตพฤติกรรมของแต่ละคน ดูว่าจะมีใครบ้างที่มองแม่ของเขาด้วยความดูหมิ่น และตราบใดที่อีกฝ่ายแสดงสายตาแบบนั้นออกมา จี้เฟิงจะจดจำอีกฝ่ายไว้ให้ขึ้นใจ แล้วจะไประบายความแค้นแทนแม่ของเขาในภายหลัง!
เดิมทีจี้เฟิงคิดว่าการที่แม่ย้ายมาอยู่ที่หยานจิงกับพ่อจะทำให้แม่มีชีวิตที่สุขสบายไม่ต้องลำบากอีกแต่มันก็เป็นเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น จี้เฟิงโกรธมากเมื่อรู้ว่าแม่ของเขาต้องอยู่อย่างทุกข์ใจมาโดยตลอด
เมื่อเทียบกับสมัยก่อนแล้วแม้ว่าแม่จะหาเลี้ยงชีพด้วยการขายผักตามตลาดและข้างถนน แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องคอยระวังว่าจะถูกคนอื่นมาข่มเหงอยู่ตลอดเวลา จะพูดโต้ตอบอะไรก็สามารถพูดได้อย่างเต็มปากไม่ต้องไว้หน้าใคร
ต่อให้บางวันจะมีเจ้าหน้าที่เทศกิจมาไล่ที่พวกพ่อค้าแม่ค้าที่มาขายของริมถนนแต่ส่วนใหญ่ก็จบที่การไปจ่ายค่าปรับเท่านั้น ไม่เหมือนกับตอนนี้ แม่ต้องอยู่อย่างระแวดระวังไปทุกอย่าง!
ถ้านับกันตามหลักแม่เขาถือว่าเป็นนายหญิงแห่งตระกูลจี้
แล้วนายหญิงใหญ่แห่งตระกูลจี้ต้องอยู่ด้วยความรู้สึกอึดอัดทุกวันแบบนี้มันหมายความว่ายังไง
“วันนี้ฉันจะบอกให้พวกคุณรู้ว่าวิธีเคารพนายหญิงเป็นยังไง!”ใบหน้าของจี้เฟิงสงบนิ่ง ไม่ได้แสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาแม้แต่น้อย จะมีก็แต่ดวงตาของเขาเท่านั้นที่ฉายแววเย็นยะเยือก มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็น เขาเดินตามหลังแม่ของเขาไปอย่างเงียบๆ
รูปร่างที่สูงใหญ่และแข็งแรงของจี้เฟิงเปรียบเสมือนภูเขาลูกใหญ่ที่คอยหนุนหลังแม่ของเขาอย่างแข็งแกร่งมั่นคง!
จี้ช่าวเหลยที่อยู่ข้างๆหันไปมองหน้าจี้เฟิงโดยบังเอิญ พอเขาเห็นแววตาอันเย็นยะเยือกของจี้เฟิงเขาก็ตกใจขึ้นมาทันที ในใจอดไม่ได้ที่จะสวดภาวนาให้คนคนนั้นที่ทำให้จี้เฟิงต้องมีสีหน้าแบบนี้!
“วันนี้พวกนั้นคงต้องระวังตัวกันหน่อยแล้วล่ะไม่อย่างนั้น…” จี้ช่าวเหลยอดยิ้มหยันอยู่ในใจไม่ได้ “น้องสามไม่ใช่คนใจดี เพราะแม้แต่ผู้หญิงที่บ้าคลั่งอย่างเฉียวหรงยังตกหลุมพรางของเจ้าเด็กนี่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกที่ไม่เคยผ่านอะไรมาเลย…”
ซื่อเหอหยวนของผู้อาวุโสเฒ่านั้นไม่เล็กเลยมีส่วนที่เป็นลานและตัวบ้านทั้งหมดสามส่วน ลานด้านหน้าเป็นที่พักของทหารยามและพนักงานดูแลซื่อเหอหยวนทั้งหมด และเป็นเส้นทางที่ใช้ผ่านไปยังลานด้านใน
ลานบ้านอีกส่วนเป็นห้องว่างปกติถ้ามีแขกมาเยี่ยมหรือคนในตระกูลมาเยี่ยม ก็จะมาพักตรงส่วนนี้
และลานบ้านส่วนสุดท้ายเป็นที่ที่ผู้อาวุโสเฒ่าพักอาศัยอยู่
ลานบ้านแต่ละส่วนมีห้องมากกว่าสิบห้องห้องหลักแต่ละห้องจะมีห้องเล็กๆด้านข้างเรียกว่าห้องหู (มีห้องเล็กๆอยู่สองข้างเหมือนหู) ดังนั้นในแต่ละลานจึงใช้พื้นที่ขนาดใหญ่มาก
โครงสร้างของซื่อเหอหยวนมีมาตั้งแต่สมัยโบราณมักเป็นที่พักอาศัยของข้าราชการและชนชั้นสูง เมื่อเดินเข้าไปยังลานแรกมีเพียงยามบางคนเท่านั้นที่กำลังยืนปฏิบัติหน้าที่อยู่ ในขณะที่พนักงานคนอื่นๆกำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหาร เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ว่าคืนนี้จะมีคนมาร่วมทานมื้อค่ำเป็นจำนวนมาก ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มทำงานกันก่อนเวลา
ทหารยามคนหนึ่งวิ่งเข้ามาทักทายทันทีเมื่อเห็นจี้เฟิงและคนอื่นๆ“คุณผู้หญิงทั้งสอง หัวหน้ารออยู่ด้านในแล้วครับ!”
เซียวซูเหม่ยยิ้มอย่างอ่อนโยน“เข้าใจแล้ว ขอบใจมาก”
พรึ่บ!
ทหารยามทำความเคารพอีกครั้งแล้วหันหลังวิ่งกลับไปยังตำแหน่งเดิมของเขา
จี้เฟิงเห็นดังนั้นหัวใจของเขาก็พลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อยการกระทำของทหารยามคนเมื่อกี้ต้องเป็นเพราะพ่อของเขาเป็นคนจัดการแน่ๆ เขาคงกลัวว่าแม่จะรู้สึกกังวลใจ เห็นได้ชัดว่าพ่อของจี้เฟิงก็รู้ดีถึงความอึดอัดใจของแม่ ดังนั้นเขาจึงขอให้ทหารยามมาแจ้งกับเธอว่าเขารออยู่ข้างในแล้ว ไม่ต้องกลัว!
เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ตราบใดที่พ่อยังรักและใส่ใจดูแลแม่เป็นอย่างดี มันก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้อีกแล้ว
“แม่ครับพ่อคงกลัวแม่จะเครียดก็เลยส่งทหารยามมาบอก!” จี้เฟิงเดินขึ้นหน้าอย่างรวดเร็วมาสองสามก้าวและกระซิบที่ข้างๆหูแม่ของเขา “แม่ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น มีพ่อรอแม่อยู่ข้างใน แถมยังมีลูกชายคอยสนับสนุนอยู่ข้างหลัง ถ้ามีใครกล้าแสดงท่าทีดูหมิ่นหรือไม่เคารพแม่ ผมจะเป็นคนอบรมสั่งสอนเขาเอง! แม่ยังไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าใช่มั้ย”
“เจ้าหนู!อยากปลอบใจแม่เหรอ” เซียวซูเหม่ยทำเสียงดุและหัวเราะอารมณ์ดี แม้เธอจะทำเสียงดุแต่คำพูดเหล่านี้ของลูกชายกลับทำให้เธอสบายใจอย่างบอกไม่ถูก เธอไม่รู้สึกประหม่าอีกต่อไป!
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินถอยไปข้างหลังสองสามก้าวและเดินเคียงข้างไปกับจี้ช่าวเหลย “น้องสามถ้าเป็นไปได้นายก็อย่าได้สร้างปัญหาเลย นายต้องนึกถึงหน้าคุณปู่ด้วย!” จี้ช่าวเหลยอดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือน เพราะจี้ช่าวเหลยได้เห็นแววตาอันเย็นเยียบของจี้เฟิงปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน
จี้เฟิงแค่นเสียงหัวเราะ“เหอะๆ พี่รอง! ถ้าคนพวกนั้นไม่มายั่วโมโหผมก่อน ผมก็ไม่มีทางที่จะไปหาเรื่องพวกเขาก่อนแน่ นอกเสียจากว่ามีคนวอนหาเรื่องตาย! เฮ้อ! พี่รอง คำกล่าวนี้มันใช้ได้กับทุกคน โดยเฉพาะคนอย่างผม ถ้าคนอื่นไม่มารังแกเราก่อน เราก็จะไม่รังแกคนอื่น แต่ถ้าหากใครมาทำเรา ทำไมเราต้องยอมให้เขาทำอยู่ฝ่ายเดียวด้วยล่ะ! จริงมั้ย!”
เมื่อพูดถึงคำสุดท้ายอารมณ์ของจี้เฟิงรุนแรงราวเหมือนกับมีจิตสังหารอันแรงกล้าพวยพุ่งออกมา!
จี้ช่าวเหลยอ้าปากเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายเขาก็หยุดลง เขาทำได้แค่เพียงยิ้มเจื่อนๆพลางคิดในใจ และขอให้คนพวกนั้นอย่าเพิ่งลงมือทำอะไรในวันนี้เพราะตอนนี้จี้เฟิงไม่ได้มาด้วยความโมโห แต่มาด้วยจิตสังหาร!
จี้ช่าวเหลยรู้ว่าเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับป้าใหญ่จี้เฟิงจะไม่มีทางปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปได้ง่ายๆ แต่เขาไม่คิดว่าคำพูดของจี้เฟิงเมื่อครู่มาจากความโกรธชั่ววูบ มันมาจากจิตสังหาร!
ถ้ามีคนทำให้จี้เฟิงโกรธมากจริงๆไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม จี้ช่าวเหลยไม่สงสัยเลยว่าจี้เฟิงจะกล้าฆ่าคนจริงๆรึเปล่า…
จี้ช่าวเหลยไม่ได้คัดค้านการให้บทเรียนที่ยากจะลืมเลือนแก่คนเหล่านั้นมันต้องทำให้พวกเขารู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ!
แต่ถ้าต้องพูดถึงการฆาตกรรมในบ้านของคุณปู่แล้ว…ฉันกลัวว่าจากคนในตระกูลทั้งหมดก็คงจะมีแค่เพียงน้องสามของเขาคนนี้เท่านั้นที่จะกล้าคิดอะไรแบบนี้!
ทั้งห้าคนเดินเข้าไปถึงลานบ้านที่สองทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นคนสองสามคนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะหินใต้ต้นไม้ใหญ่ บางคนกำลังเล่นหมากรุก บางคนกำลังพูดคุยหัวเราะกันอยู่ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว บางคนอายุแค่ 18-19 ปี เท่านั้น ส่วนคนที่มีอายุมากที่สุดก็ไม่น่าจะเกิน 21-22 ปี
จี้ช่าวเหลยอธิบายให้จี้เฟิงที่อยู่ข้างๆฟังด้วยเสียงเบา“พวกนี้เป็นเด็กรุ่นที่สาม”
“กิ่งก้านใบเขียวชอุ่มดีจังแฮะ!”(อารมณ์ว่าลูกหลานเยอะ) จี้เฟิงยิ้มจางๆ
จี้ช่าวเหลยพยักหน้าแล้วยิ้มถ้าเทียบกันด้วยจำนวนคน สายตรงอย่างพวกเขาก็นับได้ว่าอ่อนแอมากจริงๆ รวมๆแล้วก็มีแค่พวกเขาสี่คนเท่านั้น ส่วนครอบครัวของอาสามก็มีแค่ลูกสาวเพียงคนเดียว ก็คือจี้เสี่ยวหยู
แต่สายเลือดรองทั้งสองสาขากลับมีลูกหลานมากมายราวกับต้นไม้ที่แตกกิ่งก้านสาขาและใบ
แต่จู่ๆจี้เฟิงก็พูดขึ้นมาว่า“ในเมื่อกิ่งก้านสาขาและใบ แตกหน่องอกออกมากันมากมายขนาดนี้ ก็ต้องมีจิตสำนึก นึกถึงลำต้นและรากแก้วที่ฝังลึกลงไปในพื้นดิน ถ้าคิดที่จะขยับตำแหน่งก็ระวังจะสูญเสียพลังชีวิตไป!”
จี้ช่าวเหลยได้ฟังแบบนั้นก็ถึงกับอ้าปากค้างจนผ่านไปพักใหญ่ๆเขาจึงพูดขึ้นอย่างอึ้งๆ “คำพูดนี้ช่างร้ายกาจมากจริงๆ!”
ในขณะนั้นเองเหล่าคนหนุ่มสาวก็มองเห็นจี้เฟิงและคนอื่นๆ พวกเขากระซิบกระซาบกันและมองมาทางนี้เป็นครั้งคราว
ใบหน้าของจี้ช่าวเหลยพลันดุดันขึ้นทันที“พวกนายไม่ได้รับการอบรมเรื่องมารยาทกันมาเหรอ ทำไมเมื่อเห็นผู้ใหญ่แล้วยังไม่รีบเข้ามาทักทายอีก?!”
คนหนุ่มสาวตกใจจนหัวหดรีบวิ่งเข้ามาและพูดด้วยเสียงที่ดังฟังชัดว่า“ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านป้าสะใภ้สาม พี่รอง สวัสดีครับ!”
เพราะพวกเขาไม่รู้จักจี้เฟิงพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะมองไปที่จี้ช่าวเหลยโดยไม่รู้ว่าจะทักทายคนคนนี้ว่าอย่างไร
“ไสหัวไปซะ!”จี้ช่าวเหลยโบกมือ และไม่คิดที่จะแนะนำจี้เฟิงให้กับพวกเขา เหล่าคนหนุ่มสาวตกใจจนหัวหดอีกครั้งพวกเขารีบหันไปพูดกับเซียวซูเหม่ยและเหลียงหงตันว่า “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านป้าสะใภ้สาม พวกเราไปก่อนนะครับ”
เมื่อพูดจบพวกเขาก็รีบวิ่งไปทันที
“เจ้าพวกไร้ประโยชน์แบบนี้ยังกล้าเรียกตัวเองว่าคุณชายเสเพลอีก นี่มันเด็กกะโหลกกะลาทำเป็นแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องกับใช้เงินไปวันๆเท่านั้น!” จี้ช่าวเหลยมองตามแผ่นหลังของพวกเขาและส่ายหน้าเบาๆ และอดที่จะบ่นตามหลังด้วยความรังเกียจไม่ได้!
จี้เฟิงยิ้มและกล่าวว่า“พี่รอง ดูเหมือนว่าชื่อเสียงของพี่จะโด่งดังมากเลยนะเนี่ย พี่เคยทำอะไรไว้ขนาดไหนกันแน่ คนพวกนี้ถึงได้กลัวจนหัวหดขนาดนี้!”
“เจ้าพวกนี้เคยถูกฉันทุบตีสั่งสอนมากันเกือบทุกคนแล้ว!”จี้ช่าวเหลยแค่นเสียง
จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้มนี่สินะคุณชายเสเพลตัวจริง! “คุณป้าใหญ่อาสะใภ้สาม เราไปกันเถอะ อย่าไปสนใจเด็กพวกนั้นเลย!” จี้ช่าวเหลยยิ้ม เขาย่อมมองออกว่าป้าใหญ่ และอาสะใภ้สามรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงตะโกนเรียกคนหนุ่มสาวจากสาขารองมาทำความเคารพ เผื่อมันจะช่วยให้ป้าใหญ่กับอาสะใภ้รู้สึกเบาใจขึ้นมาได้บ้าง
ทันทีที่พวกเขาเดินเข้าไปในลานสุดท้ายจู่ๆเสี่ยวอิงที่เดินอยู่ข้างๆ ก็มีท่าทีระมัดระวังตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน เธอรีบก้าวนำไปอยู่ด้านหน้าสุดทันที
จี้เฟิงขมวดคิ้วดูเหมือนว่าเสี่ยวอิงจะเคยมีปัญหากับที่นี่มาก่อน ไม่เช่นนั้นปฏิกิริยาของเธอจะไม่รุนแรงขนาดนี้
หรือคนที่เคยมีปัญหาที่นี่มาก่อน…จะเป็นแม่ของฉันเอง
สีหน้าของจี้เฟิงค่อยๆสงบลงแต่ตรงกันข้ามกันกับความเย็นยะเยือกในดวงตาของเขาที่ค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้น!
ทันทีที่พวกเขาก้าวเข้ามาเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะก็ดังมาจากทางด้านใน
จี้ช่าวเหลยตกใจเล็กน้อย“น้องสาม นายว่าใครกันที่กล้ามาเอะอะโวยวายแบบนี้ที่นี่”
จี้เฟิงได้แต่ยิ้มไม่พูดไม่จาเขารู้สึกว่าเสียงนี้คุ้นๆ
จากเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยพลังเขามั่นใจได้เลยว่าคนที่กำลังพูดคุยและหัวเราะเสียงดังอยู่นี้จะต้องเป็นผู้เฒ่าถังอย่างแน่นอน
ในบรรดาคนที่จี้เฟิงรู้จักเกรงว่าคงจะมีเพียงแค่ผู้เฒ่าถังและพ่อของเถี่ยจุนเท่านั้นที่กล้าพูดจาและหัวเราะเสียงดังแบบนี้กับคุณปู่
“อ้าว” จี้ช่าวเหลยต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเขาหันไปเห็นรถสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ตรงหน้าประตู เขาชี้ไปทางรถคันนั้นแล้วพูดว่า “คุณลุงมาถึงก่อนพวกเราอีกเหรอเนี่ย”
จี้เฟิงเหลือบมองป้ายทะเบียนที่มีสัญลักษณ์เป็นสีแดงรถคันนั้นเป็นรถของทางการจริงๆ เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “น่าจะเป็นเพราะพวกเราอ้อมไปไกล เลยทำให้มาช้ากว่า”
ในขณะเดียวกันจี้เฟิงก็แอบเห็นแม่ของเขามีทีท่าสบายใจขึ้นเมื่อเห็นว่ารถของพ่อมาถึงแล้ว
จี้เฟิงถึงกับขมวดคิ้วทันทีเพราะสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าแม่ของเขามีชีวิตความเป็นอยู่อย่างอึดอัดใจมากขนาดไหน ต้องมีพ่ออยู่ด้วยแม่ถึงจะสามารถวางใจได้ ดังนั้นในตอนที่พ่อยังไม่มาแม่คงต้องรู้สึกเป็นกังวลใจอยู่แน่นอน
สิ่งนี้ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ดีอย่างแน่นอน!
จี้เฟิงแค่นเสียงอย่างเย็นชาอยู่ในใจเขากำลังนึกภาพว่าคนจากสาขาอื่นนั้นต้องทำตัวหยิ่งยโสกันมากขนาดไหน ถึงทำให้แม่ของเขาต้องคอยระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ ขนาดมีอาสะใภ้สามอยู่ด้วย แม่ก็ยังไม่วางใจ
จี้เฟิงรู้ดีว่าแม่ของเขาเป็นคนยังไงเธอเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ที่เธออดทนอยู่แบบนี้ก็เพื่อพ่อ เธอกลัวว่าถ้าเธอทำอะไรที่หุนหันพลันแล่นลงไปแล้วมันจะส่งผลกระทบต่อพ่อ แต่… ทำไมเธอถึงต้องทนด้วย!
“แม่เราเข้าไปข้างในกันเถอะ!” จี้เฟิงยิ้มน้อยๆ “พ่อน่าจะรอเราอยู่ข้างในแล้วล่ะ!”
เซียวซูเหม่ยพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า“อื้ม เข้าไปกันเถอะ!”
จี้เฟิงจงใจเดินทิ้งห่างอยู่ข้างหลังแม่ของเขาไปสองสามก้าวเขาอยากจะใช้โอกาสนี้คอยสังเกตพฤติกรรมของแต่ละคน ดูว่าจะมีใครบ้างที่มองแม่ของเขาด้วยความดูหมิ่น และตราบใดที่อีกฝ่ายแสดงสายตาแบบนั้นออกมา จี้เฟิงจะจดจำอีกฝ่ายไว้ให้ขึ้นใจ แล้วจะไประบายความแค้นแทนแม่ของเขาในภายหลัง!
เดิมทีจี้เฟิงคิดว่าการที่แม่ย้ายมาอยู่ที่หยานจิงกับพ่อจะทำให้แม่มีชีวิตที่สุขสบายไม่ต้องลำบากอีกแต่มันก็เป็นเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น จี้เฟิงโกรธมากเมื่อรู้ว่าแม่ของเขาต้องอยู่อย่างทุกข์ใจมาโดยตลอด
เมื่อเทียบกับสมัยก่อนแล้วแม้ว่าแม่จะหาเลี้ยงชีพด้วยการขายผักตามตลาดและข้างถนน แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องคอยระวังว่าจะถูกคนอื่นมาข่มเหงอยู่ตลอดเวลา จะพูดโต้ตอบอะไรก็สามารถพูดได้อย่างเต็มปากไม่ต้องไว้หน้าใคร
ต่อให้บางวันจะมีเจ้าหน้าที่เทศกิจมาไล่ที่พวกพ่อค้าแม่ค้าที่มาขายของริมถนนแต่ส่วนใหญ่ก็จบที่การไปจ่ายค่าปรับเท่านั้น ไม่เหมือนกับตอนนี้ แม่ต้องอยู่อย่างระแวดระวังไปทุกอย่าง!
ถ้านับกันตามหลักแม่เขาถือว่าเป็นนายหญิงแห่งตระกูลจี้
แล้วนายหญิงใหญ่แห่งตระกูลจี้ต้องอยู่ด้วยความรู้สึกอึดอัดทุกวันแบบนี้มันหมายความว่ายังไง
“วันนี้ฉันจะบอกให้พวกคุณรู้ว่าวิธีเคารพนายหญิงเป็นยังไง!”ใบหน้าของจี้เฟิงสงบนิ่ง ไม่ได้แสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาแม้แต่น้อย จะมีก็แต่ดวงตาของเขาเท่านั้นที่ฉายแววเย็นยะเยือก มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็น เขาเดินตามหลังแม่ของเขาไปอย่างเงียบๆ
รูปร่างที่สูงใหญ่และแข็งแรงของจี้เฟิงเปรียบเสมือนภูเขาลูกใหญ่ที่คอยหนุนหลังแม่ของเขาอย่างแข็งแกร่งมั่นคง!
จี้ช่าวเหลยที่อยู่ข้างๆหันไปมองหน้าจี้เฟิงโดยบังเอิญ พอเขาเห็นแววตาอันเย็นยะเยือกของจี้เฟิงเขาก็ตกใจขึ้นมาทันที ในใจอดไม่ได้ที่จะสวดภาวนาให้คนคนนั้นที่ทำให้จี้เฟิงต้องมีสีหน้าแบบนี้!
“วันนี้พวกนั้นคงต้องระวังตัวกันหน่อยแล้วล่ะไม่อย่างนั้น…” จี้ช่าวเหลยอดยิ้มหยันอยู่ในใจไม่ได้ “น้องสามไม่ใช่คนใจดี เพราะแม้แต่ผู้หญิงที่บ้าคลั่งอย่างเฉียวหรงยังตกหลุมพรางของเจ้าเด็กนี่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกที่ไม่เคยผ่านอะไรมาเลย…”
ซื่อเหอหยวนของผู้อาวุโสเฒ่านั้นไม่เล็กเลยมีส่วนที่เป็นลานและตัวบ้านทั้งหมดสามส่วน ลานด้านหน้าเป็นที่พักของทหารยามและพนักงานดูแลซื่อเหอหยวนทั้งหมด และเป็นเส้นทางที่ใช้ผ่านไปยังลานด้านใน
ลานบ้านอีกส่วนเป็นห้องว่างปกติถ้ามีแขกมาเยี่ยมหรือคนในตระกูลมาเยี่ยม ก็จะมาพักตรงส่วนนี้
และลานบ้านส่วนสุดท้ายเป็นที่ที่ผู้อาวุโสเฒ่าพักอาศัยอยู่
ลานบ้านแต่ละส่วนมีห้องมากกว่าสิบห้องห้องหลักแต่ละห้องจะมีห้องเล็กๆด้านข้างเรียกว่าห้องหู (มีห้องเล็กๆอยู่สองข้างเหมือนหู) ดังนั้นในแต่ละลานจึงใช้พื้นที่ขนาดใหญ่มาก
โครงสร้างของซื่อเหอหยวนมีมาตั้งแต่สมัยโบราณมักเป็นที่พักอาศัยของข้าราชการและชนชั้นสูง เมื่อเดินเข้าไปยังลานแรกมีเพียงยามบางคนเท่านั้นที่กำลังยืนปฏิบัติหน้าที่อยู่ ในขณะที่พนักงานคนอื่นๆกำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหาร เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ว่าคืนนี้จะมีคนมาร่วมทานมื้อค่ำเป็นจำนวนมาก ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มทำงานกันก่อนเวลา
ทหารยามคนหนึ่งวิ่งเข้ามาทักทายทันทีเมื่อเห็นจี้เฟิงและคนอื่นๆ“คุณผู้หญิงทั้งสอง หัวหน้ารออยู่ด้านในแล้วครับ!”
เซียวซูเหม่ยยิ้มอย่างอ่อนโยน“เข้าใจแล้ว ขอบใจมาก”
พรึ่บ!
ทหารยามทำความเคารพอีกครั้งแล้วหันหลังวิ่งกลับไปยังตำแหน่งเดิมของเขา
จี้เฟิงเห็นดังนั้นหัวใจของเขาก็พลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อยการกระทำของทหารยามคนเมื่อกี้ต้องเป็นเพราะพ่อของเขาเป็นคนจัดการแน่ๆ เขาคงกลัวว่าแม่จะรู้สึกกังวลใจ เห็นได้ชัดว่าพ่อของจี้เฟิงก็รู้ดีถึงความอึดอัดใจของแม่ ดังนั้นเขาจึงขอให้ทหารยามมาแจ้งกับเธอว่าเขารออยู่ข้างในแล้ว ไม่ต้องกลัว!
เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ตราบใดที่พ่อยังรักและใส่ใจดูแลแม่เป็นอย่างดี มันก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้อีกแล้ว
“แม่ครับพ่อคงกลัวแม่จะเครียดก็เลยส่งทหารยามมาบอก!” จี้เฟิงเดินขึ้นหน้าอย่างรวดเร็วมาสองสามก้าวและกระซิบที่ข้างๆหูแม่ของเขา “แม่ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น มีพ่อรอแม่อยู่ข้างใน แถมยังมีลูกชายคอยสนับสนุนอยู่ข้างหลัง ถ้ามีใครกล้าแสดงท่าทีดูหมิ่นหรือไม่เคารพแม่ ผมจะเป็นคนอบรมสั่งสอนเขาเอง! แม่ยังไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าใช่มั้ย”
“เจ้าหนู!อยากปลอบใจแม่เหรอ” เซียวซูเหม่ยทำเสียงดุและหัวเราะอารมณ์ดี แม้เธอจะทำเสียงดุแต่คำพูดเหล่านี้ของลูกชายกลับทำให้เธอสบายใจอย่างบอกไม่ถูก เธอไม่รู้สึกประหม่าอีกต่อไป!
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินถอยไปข้างหลังสองสามก้าวและเดินเคียงข้างไปกับจี้ช่าวเหลย “น้องสามถ้าเป็นไปได้นายก็อย่าได้สร้างปัญหาเลย นายต้องนึกถึงหน้าคุณปู่ด้วย!” จี้ช่าวเหลยอดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือน เพราะจี้ช่าวเหลยได้เห็นแววตาอันเย็นเยียบของจี้เฟิงปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน
จี้เฟิงแค่นเสียงหัวเราะ“เหอะๆ พี่รอง! ถ้าคนพวกนั้นไม่มายั่วโมโหผมก่อน ผมก็ไม่มีทางที่จะไปหาเรื่องพวกเขาก่อนแน่ นอกเสียจากว่ามีคนวอนหาเรื่องตาย! เฮ้อ! พี่รอง คำกล่าวนี้มันใช้ได้กับทุกคน โดยเฉพาะคนอย่างผม ถ้าคนอื่นไม่มารังแกเราก่อน เราก็จะไม่รังแกคนอื่น แต่ถ้าหากใครมาทำเรา ทำไมเราต้องยอมให้เขาทำอยู่ฝ่ายเดียวด้วยล่ะ! จริงมั้ย!”
เมื่อพูดถึงคำสุดท้ายอารมณ์ของจี้เฟิงรุนแรงราวเหมือนกับมีจิตสังหารอันแรงกล้าพวยพุ่งออกมา!
จี้ช่าวเหลยอ้าปากเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายเขาก็หยุดลง เขาทำได้แค่เพียงยิ้มเจื่อนๆพลางคิดในใจ และขอให้คนพวกนั้นอย่าเพิ่งลงมือทำอะไรในวันนี้เพราะตอนนี้จี้เฟิงไม่ได้มาด้วยความโมโห แต่มาด้วยจิตสังหาร!
จี้ช่าวเหลยรู้ว่าเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับป้าใหญ่จี้เฟิงจะไม่มีทางปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปได้ง่ายๆ แต่เขาไม่คิดว่าคำพูดของจี้เฟิงเมื่อครู่มาจากความโกรธชั่ววูบ มันมาจากจิตสังหาร!
ถ้ามีคนทำให้จี้เฟิงโกรธมากจริงๆไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม จี้ช่าวเหลยไม่สงสัยเลยว่าจี้เฟิงจะกล้าฆ่าคนจริงๆรึเปล่า…
จี้ช่าวเหลยไม่ได้คัดค้านการให้บทเรียนที่ยากจะลืมเลือนแก่คนเหล่านั้นมันต้องทำให้พวกเขารู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ!
แต่ถ้าต้องพูดถึงการฆาตกรรมในบ้านของคุณปู่แล้ว…ฉันกลัวว่าจากคนในตระกูลทั้งหมดก็คงจะมีแค่เพียงน้องสามของเขาคนนี้เท่านั้นที่จะกล้าคิดอะไรแบบนี้!
ทั้งห้าคนเดินเข้าไปถึงลานบ้านที่สองทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นคนสองสามคนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะหินใต้ต้นไม้ใหญ่ บางคนกำลังเล่นหมากรุก บางคนกำลังพูดคุยหัวเราะกันอยู่ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว บางคนอายุแค่ 18-19 ปี เท่านั้น ส่วนคนที่มีอายุมากที่สุดก็ไม่น่าจะเกิน 21-22 ปี
จี้ช่าวเหลยอธิบายให้จี้เฟิงที่อยู่ข้างๆฟังด้วยเสียงเบา“พวกนี้เป็นเด็กรุ่นที่สาม”
“กิ่งก้านใบเขียวชอุ่มดีจังแฮะ!”(อารมณ์ว่าลูกหลานเยอะ) จี้เฟิงยิ้มจางๆ
จี้ช่าวเหลยพยักหน้าแล้วยิ้มถ้าเทียบกันด้วยจำนวนคน สายตรงอย่างพวกเขาก็นับได้ว่าอ่อนแอมากจริงๆ รวมๆแล้วก็มีแค่พวกเขาสี่คนเท่านั้น ส่วนครอบครัวของอาสามก็มีแค่ลูกสาวเพียงคนเดียว ก็คือจี้เสี่ยวหยู
แต่สายเลือดรองทั้งสองสาขากลับมีลูกหลานมากมายราวกับต้นไม้ที่แตกกิ่งก้านสาขาและใบ
แต่จู่ๆจี้เฟิงก็พูดขึ้นมาว่า“ในเมื่อกิ่งก้านสาขาและใบ แตกหน่องอกออกมากันมากมายขนาดนี้ ก็ต้องมีจิตสำนึก นึกถึงลำต้นและรากแก้วที่ฝังลึกลงไปในพื้นดิน ถ้าคิดที่จะขยับตำแหน่งก็ระวังจะสูญเสียพลังชีวิตไป!”
จี้ช่าวเหลยได้ฟังแบบนั้นก็ถึงกับอ้าปากค้างจนผ่านไปพักใหญ่ๆเขาจึงพูดขึ้นอย่างอึ้งๆ “คำพูดนี้ช่างร้ายกาจมากจริงๆ!”
ในขณะนั้นเองเหล่าคนหนุ่มสาวก็มองเห็นจี้เฟิงและคนอื่นๆ พวกเขากระซิบกระซาบกันและมองมาทางนี้เป็นครั้งคราว
ใบหน้าของจี้ช่าวเหลยพลันดุดันขึ้นทันที“พวกนายไม่ได้รับการอบรมเรื่องมารยาทกันมาเหรอ ทำไมเมื่อเห็นผู้ใหญ่แล้วยังไม่รีบเข้ามาทักทายอีก?!”
คนหนุ่มสาวตกใจจนหัวหดรีบวิ่งเข้ามาและพูดด้วยเสียงที่ดังฟังชัดว่า“ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านป้าสะใภ้สาม พี่รอง สวัสดีครับ!”
เพราะพวกเขาไม่รู้จักจี้เฟิงพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะมองไปที่จี้ช่าวเหลยโดยไม่รู้ว่าจะทักทายคนคนนี้ว่าอย่างไร
“ไสหัวไปซะ!”จี้ช่าวเหลยโบกมือ และไม่คิดที่จะแนะนำจี้เฟิงให้กับพวกเขา เหล่าคนหนุ่มสาวตกใจจนหัวหดอีกครั้งพวกเขารีบหันไปพูดกับเซียวซูเหม่ยและเหลียงหงตันว่า “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ท่านป้าสะใภ้สาม พวกเราไปก่อนนะครับ”
เมื่อพูดจบพวกเขาก็รีบวิ่งไปทันที
“เจ้าพวกไร้ประโยชน์แบบนี้ยังกล้าเรียกตัวเองว่าคุณชายเสเพลอีก นี่มันเด็กกะโหลกกะลาทำเป็นแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องกับใช้เงินไปวันๆเท่านั้น!” จี้ช่าวเหลยมองตามแผ่นหลังของพวกเขาและส่ายหน้าเบาๆ และอดที่จะบ่นตามหลังด้วยความรังเกียจไม่ได้!
จี้เฟิงยิ้มและกล่าวว่า“พี่รอง ดูเหมือนว่าชื่อเสียงของพี่จะโด่งดังมากเลยนะเนี่ย พี่เคยทำอะไรไว้ขนาดไหนกันแน่ คนพวกนี้ถึงได้กลัวจนหัวหดขนาดนี้!”
“เจ้าพวกนี้เคยถูกฉันทุบตีสั่งสอนมากันเกือบทุกคนแล้ว!”จี้ช่าวเหลยแค่นเสียง
จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้มนี่สินะคุณชายเสเพลตัวจริง! “คุณป้าใหญ่อาสะใภ้สาม เราไปกันเถอะ อย่าไปสนใจเด็กพวกนั้นเลย!” จี้ช่าวเหลยยิ้ม เขาย่อมมองออกว่าป้าใหญ่ และอาสะใภ้สามรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงตะโกนเรียกคนหนุ่มสาวจากสาขารองมาทำความเคารพ เผื่อมันจะช่วยให้ป้าใหญ่กับอาสะใภ้รู้สึกเบาใจขึ้นมาได้บ้าง
ทันทีที่พวกเขาเดินเข้าไปในลานสุดท้ายจู่ๆเสี่ยวอิงที่เดินอยู่ข้างๆ ก็มีท่าทีระมัดระวังตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน เธอรีบก้าวนำไปอยู่ด้านหน้าสุดทันที
จี้เฟิงขมวดคิ้วดูเหมือนว่าเสี่ยวอิงจะเคยมีปัญหากับที่นี่มาก่อน ไม่เช่นนั้นปฏิกิริยาของเธอจะไม่รุนแรงขนาดนี้
หรือคนที่เคยมีปัญหาที่นี่มาก่อน…จะเป็นแม่ของฉันเอง
สีหน้าของจี้เฟิงค่อยๆสงบลงแต่ตรงกันข้ามกันกับความเย็นยะเยือกในดวงตาของเขาที่ค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้น!