The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 348 ผู้นำอันดับสอง!!
เมื่อมาถึงลานสุดท้ายเสียงหัวเราะที่ร่าเริงและเต็มไปด้วยพลังก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ บวกกับบทสนทนาบางอย่างที่จี้เฟิงได้ยิน มันทำให้อารมณ์ก่อนหน้านี้ที่ไม่ค่อยดีนักของจี้เฟิงค่อยๆสงบลง เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอยู่ในใจ นิสัยของผู้เฒ่าถังคนนี้ช่าง….
“ท่านหัวหน้าเมื่อสมัยสงครามที่แม่น้ำแยงซี ข้าผู้เฒ่าถังอุตส่าห์นำพลศึกฝีมือดีเพื่อไปสู้รบ แต่เหล่าเถี่ยกลับไม่ยอมนำทัพร่วมกันข้า จนทำให้ท่านหัวหน้าต้องออกศึกเอง ไม่อย่างนั้นท่านหัวหน้าก็แค่นั่งรออยู่ที่บ้าน ไม่ต้องมาคอยกังวลกับเรื่องนี้! เหล่าเถี่ยกับข้าแค่ไปนำชัยชนะมาให้ท่านหัวหน้าก็พอแล้ว!”
เสียงพูดที่แทบจนจะเป็นตะโกนของผู้เฒ่าถังดังมาเข้าหูของจี้เฟิงอย่างชัดเจน “เหล่าเถี่ย เจ้าเป็นคนที่ยากจะคาดเดาจริงๆ แต่ข้ากล้าพูดได้เลยว่า ถ้าได้คนอย่างเจ้ามาเป็นผู้นำทัพ พวกเราคงได้มีทหารฝีมือดีอีกมากช่างน่าเสียดาย…”
จากที่ฟังดูเหมือนว่าผู้เฒ่าถังจะเป็นกังวลเรื่องที่เหล่าเถี่ยไม่ได้ยอมไปเป็นผู้นำทัพกับเขา
จี้เฟิงรู้ว่าเหล่าเถี่ยที่ผู้เฒ่าถังพูดถึงแท้จริงแล้วคือเถี่ยหลงพ่อขององครักษ์เถี่ยจุนว่ากันว่าเขามาจากวัดเส้าหลิน กังฟูของเขายอดเยี่ยมมาก ทักษะการต่อสู้ของเถี่ยจุนล้วนมาจากเถี่ยหลงพ่อของเขา
ทั้งผู้เฒ่าถังและเถี่ยหลงต่างเป็นบุคคลที่จงรักภักดีต่อผู้อาวุโสจี้พวกเขาทั้งสองเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ใกล้ชิดกับผู้อาวุโสจี้มากที่สุด
“วันนี้คึกคักดีจริงๆ!”จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย มีทั้งคนจากสาขารอง มีทั้งผู้เฒ่าถัง ถ้าวันนี้มีความขัดแย้งอะไรเกิดขึ้น ใครจะรู้ว่าอารมณ์โกรธของผู้เฒ่าถังจะระเบิดออกมารึเปล่า!
“เอ๊ะ”
ในเวลานี้มีเสียงที่แสดงถึงความแปลกใจดังขึ้นอยู่ไม่ไกล“พี่สะใภ้ใหญ่ น้องสะใภ้”
จี้เฟิงและคนอื่นๆมองตามเสียงไปพวกเขาเห็นหญิงวัยกลางคนยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องหู เธอและคนข้างๆเธอก็มองมาทางนี้ด้วยความประหลาดใจ ข้างๆเธอมีหญิงวัยกลางคนหลายคนยืนอยู่ด้วย หนึ่งในนั้นคือคนที่เคยมีประเด็นขัดแย้งกันมาก่อน จางหยุนเอ๋อ!
หญิงวัยกลางคนที่พูดเมื่อครู่มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอเธอเดินเข้ามาทางพวกของจี้เฟิงอย่างรวดเร็ว “หนุ่มหล่อคนนี้น่าจะเป็นลูกชายของพี่สะใภ้ใหญ่ จี้เฟิงใช่มั้ย”
“หยินหง!”เซียวซูเหม่ยจำหญิงวัยกลางคนคนนั้นได้ทันที “เสี่ยวเฟิง นี่คืออาหยินหง รีบทักทายสิ!”
มีอาโผล่มาจากไหนอีกล่ะเนี่ย
จี้เฟิงประหลาดใจแต่รอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความสุภาพและพูดอย่างมีมารยาทว่า “สวัสดีครับอาหง ผมยังไม่ค่อยรู้ความ ถ้าเผลอทำอะไรเป็นการเสียมารยาทลงไป โปรดยกโทษให้ผมด้วย!”
ต้องขอบอกเลยว่าในระบบฝึกอบรมสุดยอดสายลับ จี้เฟิงได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษเกี่ยวกับการเข้าสังคมในทุกๆรูปแบบ มันทำให้เขารู้จักการวางตัวอย่างเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ มีกิริยามารยาทที่ดูอ่อนน้อมแต่ก็ดูสง่างามในเวลาเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสม จนไม่ว่าใครก็ตามที่ได้พบเขาเป็นครั้งแรกเป็นต้องรู้สึกประทับใจ
หยินหงตาเป็นประกายทันทีในใจก็พลันคิดว่า ‘ใครบอกว่าจี้เฟิงเป็นเด็กบ้านนอกที่ไม่รู้เรื่องราวกัน ดูจากลักษณะและนิสัยแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี และเป็นลูกหลานของชนชั้นสูงอย่างไม่ต้องสงสัย’
“เด็กคนนี้พูดเก่งจริงๆ…”หยินหงหัวเราะ “อาซ้อใหญ่นี่สุดยอดจริงๆเลย อบรมสั่งสอนเสี่ยวเฟิงจนเป็นเด็กที่น่ารักและมารยาทดีได้ขนาดนี้!” เซียวซูเหม่ยยิ้มน้อยๆ“น้องหยินหง พวกเราไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
จี้ช่าวเหลยที่อยู่ข้างๆก็ไม่พลาดโอกาสที่จะทักทาย “อาหง! สวัสดีครับ!”
พวกเขาทุกคนพูดคุยทักทายกันอีกนิดหน่อยจี้เฟิงยืนอยู่ข้างๆ อย่างไม่รีบร้อน เขาคอยสังเกตพฤติกรรมทุกอย่าง ไม่ว่าจะการเคลื่อนไหวหรือสีหน้าของอาหงที่จู่ๆก็โผล่มาคนนี้
ทุกครั้งที่จี้เฟิงไปยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยการสังเกตสภาพแวดล้อมรวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นสิ่งแรกที่เขาต้องทำในฐานะสุดยอดสายลับ ถ้าไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ก็ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเรียกว่าสุดยอดสายลับ
นอกจากนี้การสังเกตรายละเอียดของพฤติกรรมอีกฝ่าย สามารถช่วยตัดสินในเบื้องต้นได้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาอย่างไร เข้ามาหาในฐานะมิตรหรือศัตรู
จางหยุนเอ๋อที่ยืนอยู่หน้าประตูตอนนี้แทบจะเหมือนสัญญาณไฟจราจรแล้วหน้าของเธอเดี๋ยวก็แดงเดี๋ยวก็เขียวคล้ำ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงเดินมาโวยวายแล้ว ถ้ามีคนที่อ่อนกว่าไม่เข้ามาทักทายเธอ
แต่ตอนนี้แค่เธอเห็นหน้าจี้เฟิงกับจี้ช่าวเหลยเธอก็อยากจะหันหลังและวิ่งหนีไปให้พ้นๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าเธอจะเข้ามาต่อว่าหรือเปล่า!
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าที่บ้านของจี้เจิ้นหัวทำให้จางหยุนเอ๋อขายหน้าจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนลูกชายกับลูกสะใภ้ตกใจทิ้งตัวลงคุกเข่าจนเสียงดังลั่น จนทำให้จางหยุนเอ๋อหน้าซีดเผือด ส่วนตัวเธอเองก็ตกใจจนตัวสั่น เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้มันทำให้เธออับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
ภายใต้ความรู้สึกเช่นนี้การที่เธอยืนอยู่ตรงนั้นโดยที่ยังไม่หนีไปต้อง ต้องใช้ความกล้าเป็นอย่างมาก แล้วเธอจะกล้ามาตำหนิจี้เฟิงกับจี้ช่าวเหลยที่ไม่ทักทายเธอก่อนได้อย่างไร แต่จี้เฟิงกับจี้ช่าวเหลยไม่ใช่คนไม่มีมารยาทพวกเขายิ้มและทักทายจางหยุนเอ๋อราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น “สบายดีนะฮะคุณป้า!”
“อืม!”
จางหยุนเอ๋อพยักหน้าและพูดอย่างรีบร้อน“พวกเธอคุยกันตามสบายเถอะ ฉันมีอะไรต้องไปทำนิดหน่อย!”
ทันทีที่เธอพูดจบเธอก็ไม่สามารถที่ยืนหน้าชาอยู่ตรงนี้ได้อีกต่อไปแล้ว เธอรีบหันหลังกลับเข้าไปในห้องทันที และไม่เห็นแม้แต่เงาของเธออีก ความเร็วของเธอนั้นชวนให้ตกตะลึงมาก
จี้เฟิงและจี้ช่าวเหลยมองหน้ากันและยิ้มอย่างชั่วร้ายออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“น้องสามฉันรู้นะว่านายจงใจทักทายเธอแบบนี้!” จี้ช่าวเหลยถามเสียงเบา เขาเม้มปากและพยายามกลั้นหัวเราะ จี้เฟิงกระแอมเบาๆและพูดอย่างจริงจังว่า “ผมแค่เห็นว่าเราเป็นผู้น้อย ก็ควรที่จะเป็นฝ่ายไปทักทายผู้ใหญ่ก่อน ไม่งั้นมันจะเป็นการเสียมารยาท!”
จี้ช่าวเหลยถึงกับพูดไม่ออกไปพักใหญ่ๆจากนั้นเขาก็พ่นลมออกจมูกและพูดอย่างโมโห “ไอ้หนู นายนี่มันจะร้ายกาจเกินไปแล้ว!”
จี้เฟิงหัวเราะร่วนและไม่ได้พูดอะไรอีกสายตาของเขาเบนกลับไปที่หยินหงอีกครั้ง
จี้เฟิงถอยหลังไปสองสามก้าวเขาดึงจี้ช่าวเหลยให้ถอยมาด้วยและพูดด้วยเสียงกระซิบ “พี่รอง อาหงคนนี้เป็นใครกัน”
“เธอเป็นคนจากสาขารอง”จี้ช่าวเหลยชำเลืองมองไปยังห้องที่จางหยุนเอ๋อเพิ่งหายเข้าไป เป็นสัญญาณว่าหยินหงเองก็เป็นคนทางฝั่งของจางหยุนเอ๋อเช่นกัน “แต่ว่า อาหงเป็นคนจิตใจดี สามีของเธอก็เป็นคนซื่อสัตย์ ทั้งสองคนไม่มีความทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงอะไรมากไปกว่าชีวิตที่ปกติสุข มันเลยทำให้เธอเข้ากับคนทางนั้นไม่ค่อยได้ แต่เธอกลับเข้ากันได้ดีกับอาสะใภ้สาม!”
จี้เฟิงเข้าใจในทันทีเขาพยักหน้า ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขารู้สึกถึงความแปลกประหลาดและขัดแย้งกันบางอย่างจากตัวของหยินหง
ยิ่งไปกว่านั้นในตอนที่หยินหงเห็นแม่ของเขากับอาสะใภ้สาม เธอก็ดูตื่นเต้นมาก เห็นได้ชัดว่าการที่คนเราได้พบกับคนที่ชอบและคุยถูกคอจะทำให้รู้สึกดีใจเป็นธรรมดา และมันก็ทำให้จี้เฟิงคาดเดาต่อไปว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อาหยินหงคนนี้ต้องอยู่กับจางหยุนเอ๋อ เธอจะโดนจางหยุนเอ๋อกลั่นแกล้งบ้างหรือเปล่า…
“แม่พวกเราเข้าไปกับข้างในด้วยกันนะ” จี้เฟิงเดินเข้าไปหาแม่และกระซิบข้างๆหูเธอ
เซียวซูเหม่ยพยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆ“น้องหยินหง เราเข้าไปหาผู้อาวุโสกันเถอะ!”
ใบหน้าของหยินหงดูแปลกไปเล็กน้อยเธอฝืนยิ้มและกล่าวว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ พวกพี่เข้าไปกันเถอะ ฉันเพิ่งเข้าไปเมื่อครู่นี้เอง”
“ทำไมล่ะพี่หงเราเข้าไปด้วยกันน่ะดีแล้ว ไม่เห็นจะต้องคิดอะไรให้มากมาย ถ้ามีใครกล้ารังแกพี่ฉันจะเป็นคนจัดการให้เอง คนพวกนี้นี่ก็จริงๆเลย การรังแกคนเป็นสิ่งที่ไม่ดีมากพออยู่แล้ว แต่มารังแกคนที่จิตใจดี ยิ่งเป็นสิ่งที่เลวร้ายเข้าไปใหญ่!” เหลียงหงตันจับมือหยินหงแล้วพูดอย่างไม่พอใจ
จี้เฟิงได้ยินดังนั้นก็อดสงสัยไม่ได้เขามองไปที่จี้ช่าวเหลยด้วยสายตาที่อยากรู้อยากเห็น คนแบบไหนถึงได้ทำให้คนอ่อนโยนที่สงบนิ่งอย่างอาสะใภ้สามต้องไม่พอใจขนาดนั้น
จี้ช่าวเหลยพูดเสียงเบา“ครอบครัวของอาหงไม่ชอบมีส่วนร่วมในเรื่องพวกนี้ อีกทั้งเพราะครอบครัวของเธอไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากนัก คนทางนั้นจึงไม่ค่อยชอบเธอสักเท่าไหร่ อีกอย่าง… มีผู้เยาว์หลายคนไม่ให้ความเคารพเธอ ตรงกันข้ามกับคุณปู่ของเรา คุณปู่ปฏิบัติต่อเธออย่างดีเหมือนเป็นลูกสาวแท้ๆ!”
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยคิดว่าที่วันนี้อาหงมาหาผู้อาวุโสเฒ่า ที่จริงแล้วคงเป็นเพราะความเป็นห่วงเป็นใยในฐานะลูกหลาน ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองภายในตระกูล
เมื่อทุกคนเดินเข้าไปลักษณะภายในห้องเป็นเหมือนห้องโถงขนาดใหญ่ สิ่งแรกที่ทุกคนเห็นคือในห้องนี้เต็มไปด้วยผู้คนอย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าสิบคน พวกเขานั่งเรียงรายกันอยู่สองฝั่งของโต๊ะ และคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ในตำแหน่งตรงกลางส่วนของหัวโต๊ะคือผู้อาวุโสเฒ่าแห่งตระกูลจี้ เขากำลังจิบชาด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ และฟังผู้อื่นพูด
ที่ด้านขวามือของผู้อาวุโสเฒ่ามีชายชราสองคนนั่งอยู่ คนหนึ่งมีผมหงอกสวมเสื้อคลุมเป็น*เสื้อทูนิคสีเข้ม เขาคือผู้เฒ่าถัง ที่เคยเจอกับจี้เฟิงในรถไฟก่อนหน้านี้
ตอนนี้เขากำลังพูดคุยอะไรบางอย่างด้วยเสียงที่ดังและใบหน้าที่เป็นสีแดงเขาดูมีความสุขมาก ข้างผู้เฒ่าถังมีชายชราอีกคนหนึ่งเขาดูเป็นชายชราที่มีร่างกายกำยำแข็งแรงมาก ชายชราผู้นี้ดูอ่อนกว่าผู้เฒ่าถังเล็กน้อย แต่ออร่ารอบตัวของเขาน่าเกรงขามไม่ด้อยไปกว่าผู้เฒ่าถังเลย กลับกัน เขาดูน่าหวั่นเกรงกว่าผู้เฒ่าถังด้วยซ้ำ
และสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของจี้เฟิงมากที่สุดก็คือชายชราที่มีใบหน้าเด็ดเดี่ยวมากแม้ว่าเขาจะนั่งอยู่เฉยๆ แต่เขากลับดูเหมือนกำลังทำโทษคนที่มีความผิดร้ายแรง แววตาของเขาแข็งกร้าวดุดันจนทำให้ผู้คนที่อยู่รอบข้างไม่กล้าแม้แต่จะพูดเสียงดัง
ถ้าจะมีก็คงมีแต่ผู้เฒ่าถังเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากเขาเลยยิ่งไปกว่านั้นผู้เฒ่าถังยังคงหัวเราะเสียงดังและร่าเริงออกมาเป็นครั้งคราว
ที่ด้านซ้ายล่างของผู้อาวุโสจี้ก็มีชายชราอีกคนหนึ่งเขาสวมชุดถังจวง ชายชราคนนี้ดูอ่อนวัยกว่าเล็กน้อย เขานั่งหลับตาสงบนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ราวกับว่าเขากำลังทำเป็นหูหนวกกับการพูดมากของผู้เฒ่าถัง
ถัดจากนั้นก็เป็นเหล่าชายวัยกลางคนและคนที่อยู่ใกล้ผู้อาวุโสจี้มากที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นผู้นำรุ่นที่สองแห่งตระกูลจี้ เขาคือจี้เจิ้นหัวลูกชายคนโตและคนที่อยู่ติดกับเขาคือจี้เจิ้นผิงลูกชายคนที่สามของผู้อาวุโสจี้
และคนที่นั่งตรงกันข้ามกับจี้เจิ้นหัวและจี้เจิ้นผิงมีชายวัยกลางคนอีกสองสามคนและหนึ่งในเป็นลูกชายของผู้เฒ่าถัง ถังเจี้ยนกั๋ว
พวกเขาทั้งห้าคนยิ้มและนั่งฟังผู้เฒ่าถังอย่างเงียบๆ
ด้านนอกสุดมีชายหนุ่มสองคนพวกเขาสองคนเกือบจะนั่งที่ประตู และด้วยสถานะของพวกเขา พวกเขาทำได้แค่เพียงนั่งอยู่ตรงนี้เท่านั้น
การปรากฏตัวของจี้เฟิงดึงดูดความสนใจของทุกคนในห้องนี้ทันที
ผ่านไปครึ่งปีจี้เจิ้นหัวได้เห็นหน้าลูกชายของเขาอีกครั้ง ดวงตาของเขาฉายแววยินดีแต่ด้วยความเป็นชายเขาไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาเป็นพิเศษ เขาเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “เสี่ยวเฟิง ช่าวเหลย รีบมาทักทายผู้ใหญ่และญาติพี่น้องของพวกเจ้าเร็วเข้าสิ!”
เซียวซูเหม่ยและเหลียงหงตันก็ทักทายผู้อาวุโสเฒ่าเช่นกัน“พวกเรามาเยี่ยมค่ะ คุณพ่อ!”
ผู้อาวุโสจี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้มจากนั้นพวกเธอทั้งสองก็หยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งและหันหลังกลับไป
ที่นี่มีแต่ผู้ชายทั้งนั้นพวกเธอรู้ดีว่าเมื่อใดควรพูดและเมื่อใดที่ไม่ควรพูด
“เสี่ยวเฟิงท่านนี้คือ…” จี้เจิ้นหัวกำลังจะแนะนำ แต่ก็ถูกผู้เฒ่าถังขัดจังหวะอย่างกะทันหัน
“สหายน้อยข้าไม่คิดเลยว่าพวกเราจะได้พบกันอีก ข้าคงไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวเองใช่มั้ย” ผู้เฒ่าถังหัวเราะเสียงดัง เขาชี้นิ้วไปที่ชายชราที่อยู่ด้านซ้ายล่างของผู้อาวุโสจี้แล้วพูดขึ้นว่า “ให้ตาแก่อย่างข้าแนะนำให้เจ้าก็แล้วกันนะ ชายชราผู้นี้เป็นน้องชายแท้ๆของคุณปู่ของเจ้า เขาถือได้ว่าเป็นนายรองของตระกูลจี้ แต่เจ้าจะเรียกเขาว่า ปู่รอง ปู่น้อย หรือลุงใหญ่ อะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ!”
จี้เฟิงผงะไปครู่หนึ่งเป็นการแนะนำที่ไม่หยาบคายเกินไปหน่อยเหรอ…
จี้เฟิงอดยิ้มเจื่อนๆไม่ได้ต่อให้เขาไม่พอใจปู่น้อยหรืออะไรก็ตามแต่ แต่จะให้เขาเรียกน้องชายแท้ๆของผู้อาวุโสเฒ่าแห่งตระกูลจี้ว่า ‘ท่านผู้นำสำรอง’ ก็คงจะไม่ได้… ถูกมั้ย
เขาไม่ได้บ้าขนาดนั้น!
สีหน้าของทุกคนพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ท่านหัวหน้าเมื่อสมัยสงครามที่แม่น้ำแยงซี ข้าผู้เฒ่าถังอุตส่าห์นำพลศึกฝีมือดีเพื่อไปสู้รบ แต่เหล่าเถี่ยกลับไม่ยอมนำทัพร่วมกันข้า จนทำให้ท่านหัวหน้าต้องออกศึกเอง ไม่อย่างนั้นท่านหัวหน้าก็แค่นั่งรออยู่ที่บ้าน ไม่ต้องมาคอยกังวลกับเรื่องนี้! เหล่าเถี่ยกับข้าแค่ไปนำชัยชนะมาให้ท่านหัวหน้าก็พอแล้ว!”
เสียงพูดที่แทบจนจะเป็นตะโกนของผู้เฒ่าถังดังมาเข้าหูของจี้เฟิงอย่างชัดเจน “เหล่าเถี่ย เจ้าเป็นคนที่ยากจะคาดเดาจริงๆ แต่ข้ากล้าพูดได้เลยว่า ถ้าได้คนอย่างเจ้ามาเป็นผู้นำทัพ พวกเราคงได้มีทหารฝีมือดีอีกมากช่างน่าเสียดาย…”
จากที่ฟังดูเหมือนว่าผู้เฒ่าถังจะเป็นกังวลเรื่องที่เหล่าเถี่ยไม่ได้ยอมไปเป็นผู้นำทัพกับเขา
จี้เฟิงรู้ว่าเหล่าเถี่ยที่ผู้เฒ่าถังพูดถึงแท้จริงแล้วคือเถี่ยหลงพ่อขององครักษ์เถี่ยจุนว่ากันว่าเขามาจากวัดเส้าหลิน กังฟูของเขายอดเยี่ยมมาก ทักษะการต่อสู้ของเถี่ยจุนล้วนมาจากเถี่ยหลงพ่อของเขา
ทั้งผู้เฒ่าถังและเถี่ยหลงต่างเป็นบุคคลที่จงรักภักดีต่อผู้อาวุโสจี้พวกเขาทั้งสองเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ใกล้ชิดกับผู้อาวุโสจี้มากที่สุด
“วันนี้คึกคักดีจริงๆ!”จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย มีทั้งคนจากสาขารอง มีทั้งผู้เฒ่าถัง ถ้าวันนี้มีความขัดแย้งอะไรเกิดขึ้น ใครจะรู้ว่าอารมณ์โกรธของผู้เฒ่าถังจะระเบิดออกมารึเปล่า!
“เอ๊ะ”
ในเวลานี้มีเสียงที่แสดงถึงความแปลกใจดังขึ้นอยู่ไม่ไกล“พี่สะใภ้ใหญ่ น้องสะใภ้”
จี้เฟิงและคนอื่นๆมองตามเสียงไปพวกเขาเห็นหญิงวัยกลางคนยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องหู เธอและคนข้างๆเธอก็มองมาทางนี้ด้วยความประหลาดใจ ข้างๆเธอมีหญิงวัยกลางคนหลายคนยืนอยู่ด้วย หนึ่งในนั้นคือคนที่เคยมีประเด็นขัดแย้งกันมาก่อน จางหยุนเอ๋อ!
หญิงวัยกลางคนที่พูดเมื่อครู่มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอเธอเดินเข้ามาทางพวกของจี้เฟิงอย่างรวดเร็ว “หนุ่มหล่อคนนี้น่าจะเป็นลูกชายของพี่สะใภ้ใหญ่ จี้เฟิงใช่มั้ย”
“หยินหง!”เซียวซูเหม่ยจำหญิงวัยกลางคนคนนั้นได้ทันที “เสี่ยวเฟิง นี่คืออาหยินหง รีบทักทายสิ!”
มีอาโผล่มาจากไหนอีกล่ะเนี่ย
จี้เฟิงประหลาดใจแต่รอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความสุภาพและพูดอย่างมีมารยาทว่า “สวัสดีครับอาหง ผมยังไม่ค่อยรู้ความ ถ้าเผลอทำอะไรเป็นการเสียมารยาทลงไป โปรดยกโทษให้ผมด้วย!”
ต้องขอบอกเลยว่าในระบบฝึกอบรมสุดยอดสายลับ จี้เฟิงได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษเกี่ยวกับการเข้าสังคมในทุกๆรูปแบบ มันทำให้เขารู้จักการวางตัวอย่างเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ มีกิริยามารยาทที่ดูอ่อนน้อมแต่ก็ดูสง่างามในเวลาเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสม จนไม่ว่าใครก็ตามที่ได้พบเขาเป็นครั้งแรกเป็นต้องรู้สึกประทับใจ
หยินหงตาเป็นประกายทันทีในใจก็พลันคิดว่า ‘ใครบอกว่าจี้เฟิงเป็นเด็กบ้านนอกที่ไม่รู้เรื่องราวกัน ดูจากลักษณะและนิสัยแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี และเป็นลูกหลานของชนชั้นสูงอย่างไม่ต้องสงสัย’
“เด็กคนนี้พูดเก่งจริงๆ…”หยินหงหัวเราะ “อาซ้อใหญ่นี่สุดยอดจริงๆเลย อบรมสั่งสอนเสี่ยวเฟิงจนเป็นเด็กที่น่ารักและมารยาทดีได้ขนาดนี้!” เซียวซูเหม่ยยิ้มน้อยๆ“น้องหยินหง พวกเราไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
จี้ช่าวเหลยที่อยู่ข้างๆก็ไม่พลาดโอกาสที่จะทักทาย “อาหง! สวัสดีครับ!”
พวกเขาทุกคนพูดคุยทักทายกันอีกนิดหน่อยจี้เฟิงยืนอยู่ข้างๆ อย่างไม่รีบร้อน เขาคอยสังเกตพฤติกรรมทุกอย่าง ไม่ว่าจะการเคลื่อนไหวหรือสีหน้าของอาหงที่จู่ๆก็โผล่มาคนนี้
ทุกครั้งที่จี้เฟิงไปยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยการสังเกตสภาพแวดล้อมรวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นสิ่งแรกที่เขาต้องทำในฐานะสุดยอดสายลับ ถ้าไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ก็ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเรียกว่าสุดยอดสายลับ
นอกจากนี้การสังเกตรายละเอียดของพฤติกรรมอีกฝ่าย สามารถช่วยตัดสินในเบื้องต้นได้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาอย่างไร เข้ามาหาในฐานะมิตรหรือศัตรู
จางหยุนเอ๋อที่ยืนอยู่หน้าประตูตอนนี้แทบจะเหมือนสัญญาณไฟจราจรแล้วหน้าของเธอเดี๋ยวก็แดงเดี๋ยวก็เขียวคล้ำ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงเดินมาโวยวายแล้ว ถ้ามีคนที่อ่อนกว่าไม่เข้ามาทักทายเธอ
แต่ตอนนี้แค่เธอเห็นหน้าจี้เฟิงกับจี้ช่าวเหลยเธอก็อยากจะหันหลังและวิ่งหนีไปให้พ้นๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าเธอจะเข้ามาต่อว่าหรือเปล่า!
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าที่บ้านของจี้เจิ้นหัวทำให้จางหยุนเอ๋อขายหน้าจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนลูกชายกับลูกสะใภ้ตกใจทิ้งตัวลงคุกเข่าจนเสียงดังลั่น จนทำให้จางหยุนเอ๋อหน้าซีดเผือด ส่วนตัวเธอเองก็ตกใจจนตัวสั่น เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้มันทำให้เธออับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
ภายใต้ความรู้สึกเช่นนี้การที่เธอยืนอยู่ตรงนั้นโดยที่ยังไม่หนีไปต้อง ต้องใช้ความกล้าเป็นอย่างมาก แล้วเธอจะกล้ามาตำหนิจี้เฟิงกับจี้ช่าวเหลยที่ไม่ทักทายเธอก่อนได้อย่างไร แต่จี้เฟิงกับจี้ช่าวเหลยไม่ใช่คนไม่มีมารยาทพวกเขายิ้มและทักทายจางหยุนเอ๋อราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น “สบายดีนะฮะคุณป้า!”
“อืม!”
จางหยุนเอ๋อพยักหน้าและพูดอย่างรีบร้อน“พวกเธอคุยกันตามสบายเถอะ ฉันมีอะไรต้องไปทำนิดหน่อย!”
ทันทีที่เธอพูดจบเธอก็ไม่สามารถที่ยืนหน้าชาอยู่ตรงนี้ได้อีกต่อไปแล้ว เธอรีบหันหลังกลับเข้าไปในห้องทันที และไม่เห็นแม้แต่เงาของเธออีก ความเร็วของเธอนั้นชวนให้ตกตะลึงมาก
จี้เฟิงและจี้ช่าวเหลยมองหน้ากันและยิ้มอย่างชั่วร้ายออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“น้องสามฉันรู้นะว่านายจงใจทักทายเธอแบบนี้!” จี้ช่าวเหลยถามเสียงเบา เขาเม้มปากและพยายามกลั้นหัวเราะ จี้เฟิงกระแอมเบาๆและพูดอย่างจริงจังว่า “ผมแค่เห็นว่าเราเป็นผู้น้อย ก็ควรที่จะเป็นฝ่ายไปทักทายผู้ใหญ่ก่อน ไม่งั้นมันจะเป็นการเสียมารยาท!”
จี้ช่าวเหลยถึงกับพูดไม่ออกไปพักใหญ่ๆจากนั้นเขาก็พ่นลมออกจมูกและพูดอย่างโมโห “ไอ้หนู นายนี่มันจะร้ายกาจเกินไปแล้ว!”
จี้เฟิงหัวเราะร่วนและไม่ได้พูดอะไรอีกสายตาของเขาเบนกลับไปที่หยินหงอีกครั้ง
จี้เฟิงถอยหลังไปสองสามก้าวเขาดึงจี้ช่าวเหลยให้ถอยมาด้วยและพูดด้วยเสียงกระซิบ “พี่รอง อาหงคนนี้เป็นใครกัน”
“เธอเป็นคนจากสาขารอง”จี้ช่าวเหลยชำเลืองมองไปยังห้องที่จางหยุนเอ๋อเพิ่งหายเข้าไป เป็นสัญญาณว่าหยินหงเองก็เป็นคนทางฝั่งของจางหยุนเอ๋อเช่นกัน “แต่ว่า อาหงเป็นคนจิตใจดี สามีของเธอก็เป็นคนซื่อสัตย์ ทั้งสองคนไม่มีความทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูงอะไรมากไปกว่าชีวิตที่ปกติสุข มันเลยทำให้เธอเข้ากับคนทางนั้นไม่ค่อยได้ แต่เธอกลับเข้ากันได้ดีกับอาสะใภ้สาม!”
จี้เฟิงเข้าใจในทันทีเขาพยักหน้า ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขารู้สึกถึงความแปลกประหลาดและขัดแย้งกันบางอย่างจากตัวของหยินหง
ยิ่งไปกว่านั้นในตอนที่หยินหงเห็นแม่ของเขากับอาสะใภ้สาม เธอก็ดูตื่นเต้นมาก เห็นได้ชัดว่าการที่คนเราได้พบกับคนที่ชอบและคุยถูกคอจะทำให้รู้สึกดีใจเป็นธรรมดา และมันก็ทำให้จี้เฟิงคาดเดาต่อไปว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อาหยินหงคนนี้ต้องอยู่กับจางหยุนเอ๋อ เธอจะโดนจางหยุนเอ๋อกลั่นแกล้งบ้างหรือเปล่า…
“แม่พวกเราเข้าไปกับข้างในด้วยกันนะ” จี้เฟิงเดินเข้าไปหาแม่และกระซิบข้างๆหูเธอ
เซียวซูเหม่ยพยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆ“น้องหยินหง เราเข้าไปหาผู้อาวุโสกันเถอะ!”
ใบหน้าของหยินหงดูแปลกไปเล็กน้อยเธอฝืนยิ้มและกล่าวว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ พวกพี่เข้าไปกันเถอะ ฉันเพิ่งเข้าไปเมื่อครู่นี้เอง”
“ทำไมล่ะพี่หงเราเข้าไปด้วยกันน่ะดีแล้ว ไม่เห็นจะต้องคิดอะไรให้มากมาย ถ้ามีใครกล้ารังแกพี่ฉันจะเป็นคนจัดการให้เอง คนพวกนี้นี่ก็จริงๆเลย การรังแกคนเป็นสิ่งที่ไม่ดีมากพออยู่แล้ว แต่มารังแกคนที่จิตใจดี ยิ่งเป็นสิ่งที่เลวร้ายเข้าไปใหญ่!” เหลียงหงตันจับมือหยินหงแล้วพูดอย่างไม่พอใจ
จี้เฟิงได้ยินดังนั้นก็อดสงสัยไม่ได้เขามองไปที่จี้ช่าวเหลยด้วยสายตาที่อยากรู้อยากเห็น คนแบบไหนถึงได้ทำให้คนอ่อนโยนที่สงบนิ่งอย่างอาสะใภ้สามต้องไม่พอใจขนาดนั้น
จี้ช่าวเหลยพูดเสียงเบา“ครอบครัวของอาหงไม่ชอบมีส่วนร่วมในเรื่องพวกนี้ อีกทั้งเพราะครอบครัวของเธอไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากนัก คนทางนั้นจึงไม่ค่อยชอบเธอสักเท่าไหร่ อีกอย่าง… มีผู้เยาว์หลายคนไม่ให้ความเคารพเธอ ตรงกันข้ามกับคุณปู่ของเรา คุณปู่ปฏิบัติต่อเธออย่างดีเหมือนเป็นลูกสาวแท้ๆ!”
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยคิดว่าที่วันนี้อาหงมาหาผู้อาวุโสเฒ่า ที่จริงแล้วคงเป็นเพราะความเป็นห่วงเป็นใยในฐานะลูกหลาน ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองภายในตระกูล
เมื่อทุกคนเดินเข้าไปลักษณะภายในห้องเป็นเหมือนห้องโถงขนาดใหญ่ สิ่งแรกที่ทุกคนเห็นคือในห้องนี้เต็มไปด้วยผู้คนอย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าสิบคน พวกเขานั่งเรียงรายกันอยู่สองฝั่งของโต๊ะ และคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ในตำแหน่งตรงกลางส่วนของหัวโต๊ะคือผู้อาวุโสเฒ่าแห่งตระกูลจี้ เขากำลังจิบชาด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ และฟังผู้อื่นพูด
ที่ด้านขวามือของผู้อาวุโสเฒ่ามีชายชราสองคนนั่งอยู่ คนหนึ่งมีผมหงอกสวมเสื้อคลุมเป็น*เสื้อทูนิคสีเข้ม เขาคือผู้เฒ่าถัง ที่เคยเจอกับจี้เฟิงในรถไฟก่อนหน้านี้
ตอนนี้เขากำลังพูดคุยอะไรบางอย่างด้วยเสียงที่ดังและใบหน้าที่เป็นสีแดงเขาดูมีความสุขมาก ข้างผู้เฒ่าถังมีชายชราอีกคนหนึ่งเขาดูเป็นชายชราที่มีร่างกายกำยำแข็งแรงมาก ชายชราผู้นี้ดูอ่อนกว่าผู้เฒ่าถังเล็กน้อย แต่ออร่ารอบตัวของเขาน่าเกรงขามไม่ด้อยไปกว่าผู้เฒ่าถังเลย กลับกัน เขาดูน่าหวั่นเกรงกว่าผู้เฒ่าถังด้วยซ้ำ
และสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของจี้เฟิงมากที่สุดก็คือชายชราที่มีใบหน้าเด็ดเดี่ยวมากแม้ว่าเขาจะนั่งอยู่เฉยๆ แต่เขากลับดูเหมือนกำลังทำโทษคนที่มีความผิดร้ายแรง แววตาของเขาแข็งกร้าวดุดันจนทำให้ผู้คนที่อยู่รอบข้างไม่กล้าแม้แต่จะพูดเสียงดัง
ถ้าจะมีก็คงมีแต่ผู้เฒ่าถังเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากเขาเลยยิ่งไปกว่านั้นผู้เฒ่าถังยังคงหัวเราะเสียงดังและร่าเริงออกมาเป็นครั้งคราว
ที่ด้านซ้ายล่างของผู้อาวุโสจี้ก็มีชายชราอีกคนหนึ่งเขาสวมชุดถังจวง ชายชราคนนี้ดูอ่อนวัยกว่าเล็กน้อย เขานั่งหลับตาสงบนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ราวกับว่าเขากำลังทำเป็นหูหนวกกับการพูดมากของผู้เฒ่าถัง
ถัดจากนั้นก็เป็นเหล่าชายวัยกลางคนและคนที่อยู่ใกล้ผู้อาวุโสจี้มากที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นผู้นำรุ่นที่สองแห่งตระกูลจี้ เขาคือจี้เจิ้นหัวลูกชายคนโตและคนที่อยู่ติดกับเขาคือจี้เจิ้นผิงลูกชายคนที่สามของผู้อาวุโสจี้
และคนที่นั่งตรงกันข้ามกับจี้เจิ้นหัวและจี้เจิ้นผิงมีชายวัยกลางคนอีกสองสามคนและหนึ่งในเป็นลูกชายของผู้เฒ่าถัง ถังเจี้ยนกั๋ว
พวกเขาทั้งห้าคนยิ้มและนั่งฟังผู้เฒ่าถังอย่างเงียบๆ
ด้านนอกสุดมีชายหนุ่มสองคนพวกเขาสองคนเกือบจะนั่งที่ประตู และด้วยสถานะของพวกเขา พวกเขาทำได้แค่เพียงนั่งอยู่ตรงนี้เท่านั้น
การปรากฏตัวของจี้เฟิงดึงดูดความสนใจของทุกคนในห้องนี้ทันที
ผ่านไปครึ่งปีจี้เจิ้นหัวได้เห็นหน้าลูกชายของเขาอีกครั้ง ดวงตาของเขาฉายแววยินดีแต่ด้วยความเป็นชายเขาไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาเป็นพิเศษ เขาเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “เสี่ยวเฟิง ช่าวเหลย รีบมาทักทายผู้ใหญ่และญาติพี่น้องของพวกเจ้าเร็วเข้าสิ!”
เซียวซูเหม่ยและเหลียงหงตันก็ทักทายผู้อาวุโสเฒ่าเช่นกัน“พวกเรามาเยี่ยมค่ะ คุณพ่อ!”
ผู้อาวุโสจี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้มจากนั้นพวกเธอทั้งสองก็หยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งและหันหลังกลับไป
ที่นี่มีแต่ผู้ชายทั้งนั้นพวกเธอรู้ดีว่าเมื่อใดควรพูดและเมื่อใดที่ไม่ควรพูด
“เสี่ยวเฟิงท่านนี้คือ…” จี้เจิ้นหัวกำลังจะแนะนำ แต่ก็ถูกผู้เฒ่าถังขัดจังหวะอย่างกะทันหัน
“สหายน้อยข้าไม่คิดเลยว่าพวกเราจะได้พบกันอีก ข้าคงไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวเองใช่มั้ย” ผู้เฒ่าถังหัวเราะเสียงดัง เขาชี้นิ้วไปที่ชายชราที่อยู่ด้านซ้ายล่างของผู้อาวุโสจี้แล้วพูดขึ้นว่า “ให้ตาแก่อย่างข้าแนะนำให้เจ้าก็แล้วกันนะ ชายชราผู้นี้เป็นน้องชายแท้ๆของคุณปู่ของเจ้า เขาถือได้ว่าเป็นนายรองของตระกูลจี้ แต่เจ้าจะเรียกเขาว่า ปู่รอง ปู่น้อย หรือลุงใหญ่ อะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ!”
จี้เฟิงผงะไปครู่หนึ่งเป็นการแนะนำที่ไม่หยาบคายเกินไปหน่อยเหรอ…
จี้เฟิงอดยิ้มเจื่อนๆไม่ได้ต่อให้เขาไม่พอใจปู่น้อยหรืออะไรก็ตามแต่ แต่จะให้เขาเรียกน้องชายแท้ๆของผู้อาวุโสเฒ่าแห่งตระกูลจี้ว่า ‘ท่านผู้นำสำรอง’ ก็คงจะไม่ได้… ถูกมั้ย
เขาไม่ได้บ้าขนาดนั้น!
สีหน้าของทุกคนพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย