The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 354 เตือนความจำ
เมื่อเห็นจี้เฟิงนิ่งเงียบไปจี้หยินหงก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงเล็กน้อยด้วยความเกรงใจ
อันที่จริงเธอเองก็ไม่ได้ตั้งความหวังอะไรไว้มากอยู่แล้วเพราะการที่จะได้ร่วมมือกับจี้เฟิงคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เหตุผลหลักๆเพราะเธอนั้นเป็นคนจากสาขารอง และดูจากวีรกรรมในช่วงสองวันที่ผ่านมาของจี้เฟิง ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยว่าจี้เฟิงจะยอมรับคนที่มาจากสาขารองอย่างเธอ
อย่างไรก็ตามจี้หยินหงอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเธอเองอยู่ในฐานะที่มีสายเลือดรองของตระกูลจี้ แต่เธอและสามีไม่ได้รับการยอมรับจากคนในสายรองด้วยกัน และแม้ว่าสามีของเธอจะเก่งกาจและเชี่ยวชาญทางด้านเทคนิคการแพทย์ แต่เพราะเขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมามากจนเกินไป เขาจึงไม่มีความสุขเมื่อต้องทำงานอยู่ในบริษัทใหญ่ๆ ที่ต้องอาศัยความสัมพันธ์กับผู้มีอิทธิพลและในเรื่องของการมีเส้นสายเป็นหลัก
หรือต่อให้หนีไปทำงานกับบริษัทยาเล็กๆคนในสายรองก็ไม่พอใจอยู่ดี
เพราะตามคำพูดของใครบางคนที่กล่าวเอาไว้ว่า สถานะตระกูลจี้ของพวกเราเป็นอย่างไร และตัวคุณก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่คนหนึ่งในตระกูล การไปทำงานในบริษัทเล็กๆ จะไม่เท่ากับเป็นการดึงชื่อเสียงของตระกูลให้ตกต่ำลงไปด้วยอย่างนั้นหรือ?!
แน่นอนว่าสามีของจี้หยินหงโกรธและไม่พอใจมากแต่คนซื่อตรงอย่างเขามีหรือจะเถียงสู้เหล่าคุณชายเสเพลปากจัดเหล่านั้นได้
สุดท้ายเขาก็จำต้องลาออกจากงานอย่างไม่เต็มใจและตอนนี้เขาก็อยู่แต่บ้านไม่ได้ทำอะไรเลย
แม้ว่าจี้หยินหงยังคงมีงานประจำแต่เพียงแค่เงินเดือนกับสวัสดิการพิเศษบางอย่างก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก เพราะเมื่อเทียบกับรายจ่ายแล้ว… บ้านที่มีเด็กสองคนที่กำลังอยู่ในวัยเรียน คนหนึ่งเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนอีกคนกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยม ดังนั้นค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนจึงไม่ใช่น้อยๆเลย
เมื่อจี้หยินหงรู้ว่าจี้เฟิงมีโรงงานผลิตยาเป็นของตัวเองเธอจึงอดมีความหวังไม่ได้ แม้จะยังไม่รู้ว่าจี้เฟิงจะตกลงหรือไม่ก็ตาม แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า…
พี่สะใภ้อย่าทำให้หลานต้องลำบากใจเลย พวกเราไปเล่นไพ่นกกระจอกกันต่อเถอะ! เมื่อเห็นจี้เฟิงนิ่งเงียบไป ด้วยนิสัยของเธอที่เป็นคนจิตใจดีและขี้เกรงใจอยู่แล้ว เธอจึงอดไม่ได้ที่จะพูดตัดบทด้วยตัวเองเพื่อที่จี้เฟิงจะได้ไม่ลำบากใจ ไม่ว่าจี้เฟิงจะปฏิเสธหรือยอมรับข้อเสนอเพราะถูกบังคับมันก็ทำให้เธอต้องรู้สึกอับอายอยู่ดี
เซียวซูเหม่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะแอบก่นด่าลูกชายของตนอยู่ภายในใจ เจ้าเด็กบ้านี่ ต่อให้รับปากไม่ได้ ก็น่าจะหาคำพูดปฏิเสธอะไรก็ได้ที่มันรักษาน้ำใจหน่อย ไม่ใช่มานั่งเงียบแบบนี้! แบบนี้มัน… ในขณะที่เซียวซูเหม่ยกำลังจะอ้าปากพูดจี้เฟิงก็พูดขึ้นมาพอดีว่า แม่ อาหง เรื่องที่จะให้อาเขยไปทำงานที่โรงงานของผม ก็ใช่ว่าจะไม่ได้
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมาดวงตาของเซียวซูเหม่ยและคนอื่นๆก็เป็นประกาย
แต่มีเรื่องสำคัญที่ผมต้องบอกอาหงให้เตรียมใจไว้ก่อนโรงงานของผมเพิ่งจะเริ่มต้น ดังนั้นผมจึงไม่สามารถจ่ายค่าจ้างที่สูงเกินไปได้… ถ้าอาเขยยินดีที่จะอดทนไปก่อนสักระยะหนึ่ง ผมก็ยินดีต้อนรับ! จี้เฟิงกล่าวเสริม
หลังจากที่จี้เฟิงคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วเขาตัดสินที่จะให้สามีของอาหงไปทำงานที่โรงงานของเขา อย่างน้อยก็เป็นคนในตระกูลเดียวกัน อีกอย่างสามีของอาหงก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคการแพทย์ ดังนั้นเพื่อการพัฒนาโรงงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ความรู้ความสามารถของอาเขยอาจเป็นสิ่งจำเป็น
ดังนั้นถ้าอาเขยเต็มใจที่จะไปจี้เฟิงก็ยินดีต้อนรับ
แต่สิ่งที่จี้เฟิงกังวลก็คือสามีของอาหงที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเช่นนี้ เขาไม่สามารถจ่ายค่าจ้างที่สูงสมกับความสามารถของเขาได้ เมื่อถึงเวลานั้น อาหงและอาเขยคงอดคิดเรื่องนี้ไม่ได้ ดังนั้นแทนที่จะถูกต่อว่าหรือมีปัญหากันภายหลัง สู้พูดให้ชัดเจนเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า
ในความเป็นจริงโรงงานผลิตยาเถิงเฟยของจี้เฟิงนั้น ยังขาดบุคลากรจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการขาย ด้านเทคนิค หรือแม้แต่ด้านการจัดการทั่วไป แต่เนื่องจากตอนนี้โรงงานยังไม่ได้เริ่มต้นอย่างจริงจัง ดังนั้นจี้เฟิงจึงยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการจ้างผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เพียงแค่วางแผนเอาไว้ว่า หลังจากที่จัดการเรื่องในหยานจิงเสร็จแล้ว เขาจึงค่อยจ้างผู้เชี่ยวชาญทางด้านการพัฒนาเพื่อมาวางแผนที่เหมาะสม
แต่ในเมื่อตอนนี้แม่ของจี้เฟิงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วเขาจึงตัดสินใจที่จะเปิดเผยเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา
คราวนี้คนที่มีสีหน้าลำบากใจกลายเป็นเซียวซูเหม่ยเธอหันหน้าไปมองจี้หยินหง หยินหง เรื่องนี้…
จี้หยินหงเองก็ลังเลเล็กน้อยเช่นกันเพราะตอนนี้ที่บ้านก็จำเป็นต้องใช้เงินแล้วถ้าเงินเดือนของจี้เฟิงต่ำเกินไป….
จี้เฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า อาหงงั้นเอาอย่างนี้มั้ยล่ะ ตอนที่ผมจะกลับไปเจียงโจว อาหงก็ไปกับผมด้วยเลยไปดูโรงงานก่อน ถ้าอาหงโอเคคิดว่าทำได้ เราค่อยมาคุยรายละเอียดเรื่องนี้กันอีกที แต่ถ้าอาหงคิดว่าทำไม่ได้ ไม่โอเค เราก็เลิกคิดเรื่องนี้อาหงเห็นว่ายังไง
อืม!ความคิดนี้ดี! คนที่ตอบก่อนคือเซียวซูเหม่ย เธอพยักหน้าอย่างแรงและพูดกับจี้หยินหงด้วยสีหน้าดีใจว่า หยินหง ทำไมไม่เอาตามที่เสี่ยวเฟิงบอกล่ะ ไปดูก่อนได้ไม่ได้ยังไงก็ดีกว่าอยู่ที่หยานจิง!
จี้หยินหงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ในที่สุดก็พยักหน้า ได้ งั้นก็เอาตามนี้แหละ!
เซียวซูเหม่ยพูดทำนองหยอกล้อว่า ไม่คิดจะกลับไปถามสามีก่อนเลยหรอ ตัดสินใจคนเดียวได้เลย
จี้หยินหงหน้าแดงขึ้นมาทันทีเธอตอบเสียงดุ ตาเนิร์ดนั่นวันๆก็เอาแต่ศึกษาเรื่องยาตัวใหม่ เรื่องในบ้านฉันแทบจะเป็นคนตัดสินใจทั้งหมด ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก!
เซียวซูเหม่ยและเหลียงหงตันหัวเราะเบาๆเป็นการตอบรับ
เมื่อได้คำตอบที่น่าพอใจพวกเธอทั้งสามก็พูดคุยพลางหัวเราะกันแล้วออกไปเล่นไพ่นกกระจอกกันต่อ
แต่จี้เฟิงกลับขมวดคิ้วและครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
การมาหยานจิงในครั้งนี้มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมากมายรวมถึงเรื่องโรงงานผลิตยาเถิงเฟยด้วย
ด้วยขนาดของโรงงานในปัจจุบันโดยทั่วไปแล้วจะไม่มีพนักงานทางด้านเทคนิคอยู่ประจำ ถ้าต้องการจะมีการจ้างเป็นการชั่วคราวเท่านั้น เว้นเสียแต่ว่าโรงงานจะมีกำลังมากพอที่จะดึงดูดผู้ที่มีความสามารถ
ดูเหมือนว่าจะต้องรีบผลิตยาลดน้ำหนักออกมาจำหน่ายให้ได้ก่อนถึงจะมีเงินทุนเพียงพอในการซื้ออุปกรณ์และห้องปฏิบัติการ…
Rrrrrrrrr~~!!
จี้เฟิงที่กำลังจมอยู่กับความคิดสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเขารีบหยิบออกมาและพบว่าเป็นหมายเลขที่คุ้นเคยดี
จี้เฟิงรับสายทันที ครับอาสาม มีอะไรให้หลานคนนี้รับใช้หรือเปล่าครับ!
เจ้าเด็กตัวแสบอย่ามาทำเล่นลิ้นกับฉัน! เสียงด่าพลางหัวเราะของจี้เจิ้นผิงดังขึ้น พี่รองของนายบอกนายแล้วใช่มั้ย
ถ้าเป็นเรื่องงานเลี้ยงคืนนี้พี่รองบอกผมแล้วครับ! จี้เฟิงอดถามไม่ได้ แต่ผมว่ามันชักจะมีอะไรแปลกๆแล้วนะ อาสามถึงขนาดโทรมาย้ำเรื่องนี้ด้วยตัวเองเลย หรือว่างานเลี้ยงคืนนี้จะมีอะไรพิเศษมากกว่างานเลี้ยงทั่วไป
ตอนนี้จี้เฟิงเริ่มสนใจเกี่ยวกับงานเลี้ยงนี้มากขึ้นเมื่อเช้าคุณปู่ก็พูดถึงงานเลี้ยงนี้ด้วยตัวเอง แถมอาสองก็สนับสนุนแกมบังคับว่าต้องให้พี่รองไปให้ได้ แล้วตอนนี้อาสามก็โทรมาหาเขาด้วยตัวเองอีก เห็นได้ชัดว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติ!
ไม่ใช่งานเลี้ยงพิเศษอะไรหรอกที่จริงแล้วมันก็แค่เป็นงานรวมตัวกันของหนุ่มสาว…. บางคน เสียงของจี้เจิ้นผิงช้าและแผ่วลงในช่วงท้ายประโยค ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ แต่ถ้าจะพูดว่างานเลี้ยงนี้มีอะไรที่น่าสนใจ ก็คงจะเป็นเด็กหนุ่มจากตระกูลเหอคนนั้น
จี้เฟิงเกาหัวอย่างช่วยไม่ได้เขายิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า คุณอาครับ ช่วยอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมหน่อยได้มั้ยครับ ผมฟังแล้วงงมาก!
อ่ะพูดง่ายๆก็คือ ตระกูลเหอ ตระกูลจี้ ตระกูลเซียง พวกเราสามตระกูล… อืม จะอธิบายยังไงดี ผู้อาวุโสเฒ่าของตระกูลเซียงไม่อยู่แล้วก็จริง แต่รุ่นที่สองนั้นเฟื่องฟูมาก สำหรับตระกูลเหอ ในบางแง่มุม พวกเขามักจะมีมุมมองที่ขัดแย้งกับจุดยืนของตระกูลเรา จี้เจิ้นผิงกล่าวอย่างจนใจ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแพร่ข่าวเรื่องที่นายมาหยานจิง แต่จู่ๆ เด็กจากตระกูลเหอคนนั้นก็จัดงานเลี้ยงนี้ขึ้น และส่งบัตรเชิญมาให้ แถมยังพูดทำนองว่าเซียงยี่โหรวก็มาร่วมงานเลี้ยงด้วย ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาพูดเรื่องนี้ทำไม แต่คิดว่าคงมีอะไรเกี่ยวข้องกับการจัดงานเลี้ยงในครั้งนี้…ล่ะมั้ง
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย อาสามหมายความว่า งานเลี้ยงครั้งนี้ถูกจัดขึ้นมาเพื่อผมกับพี่รองเหรอ
ก็ไม่เชิงแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้อ้อแล้วที่สำคัญ นายต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอ ไม่ว่างานเลี้ยงนี้จะจัดขึ้นเพื่อใคร และทำไม ก็อย่าให้ใครกล้าชูคอมาเผชิญหน้ากับเราได้! จี้เจิ้นผิงกล่าวประโยคสุดท้ายอย่างเย่อหยิ่งและเต็มไปด้วยพลัง! จี้เฟิงเข้าใจแล้วงานเลี้ยงนี้ไม่ได้จัดขึ้นเพื่อเขากับพี่รอง แต่อย่างน้อยจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขามากทีเดียว บางทีตอนนี้คนที่หยานจิงคงมีคนอยากรู้จักหลานชายคนโตของตระกูลจี้มากเลยสินะ
อาสามผมเข้าใจแล้ว! จี้เฟิงยิ้ม
งั้นก็ดีฉันรู้ว่านายเป็นคนรอบคอบมีนายไปด้วยอย่างน้อยฉันก็วางใจ! จี้เจิ้นผิงชมเขาหนึ่งประโยคก่อนที่จะวางสายไป
ตระกูลเหอ… หลังจากวางสายจี้เฟิงก็นั่งลงที่เก้าอี้โต๊ะหนังสือ เขาหยิบปากกาขึ้นมาและเขียนคำว่า ‘ตระกูลเหอ’ ลงบนกระดาษ หลังจากคิดไปคิดมาเขาก็เขียนอีกสองคำ ‘ตระกูลเฉียว!’
อย่างน้อยที่รู้ๆตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตระกูลเฉียวก็ถือว่าเป็นศัตรูกันแล้วเฉียวเจียไคถูกเขาส่งเข้าคุก เฉียวหรงยังต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ถ้ามีใครบอกจี้เฟิงว่าตระกูลเฉียวไม่ได้โกรธเกลียดเขา จี้เฟิงคงคิดว่าคนคนนั้นต้องปัญญาอ่อนมากแน่ๆ!
สำหรับตระกูลเหอในเมื่อตำแหน่งของตระกูลเหอกับตระกูลจี้เป็นปฏิปักษ์ต่อกันโดยสิ้นเชิง เช่นนั้นการปฏิบัติต่อหลานชายคนโตของตระกูลจี้คงไม่ได้มาแบบมิตรภาพหวานซึ้งอย่างแน่นอน
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็ยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหัวอีกครั้งและตัดเรื่องนี้ทิ้งไป
ตอนนี้ยังมีคุณปู่อยู่ยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะต้องมากังวลกับเรื่องเหล่านี้ให้มากนัก อย่างน้อยเขาก็กล้ารับประกันได้ว่าภายในสิบปี ตราบใดที่ไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ร่างกายของคุณจะไม่มีปัญหาใดๆอย่างแน่นอน
การกลับมาของผู้อาวุโสเฒ่าทำให้ความขัดแย้งภายในตระกูลจี้ต้องถูกกดทับลงทันทีไม่ว่าสาขารองจะมีความทะเยอทะยานมากแค่ไหน พวกเขาก็ต้องอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวไปก่อน ไม่อย่างนั้นคงถูกทำลายก่อนที่จะได้ลืมตาอ้าปาก!
ด้วยระยะเวลาภายใน10 ปีต่อจากนี้ พ่อของเขาสามารถวางแผนได้อย่างสงบ แม้ว่าในตอนนั้นคุณปู่จะจากไป แต่พ่อของเขาก็ได้กลายเป็นต้นไม้ที่สูงตระหง่านไปแล้วและไม่มีใครสามารถมาสั่นคลอนได้ง่ายๆ
และเมื่อเป็นแบบนี้จี้เฟิงก็ไม่ต้องกังวลเรื่องบรรดาตระกูลภายในหยานจิงเลย สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือพัฒนาอาชีพของตัวเองและทำตามแผนของเขาให้สำเร็จ
เขามั่นใจว่าในวันที่คุณปู่ของเขาแก่ตัวลงเขาจะต้องประสบความสำเร็จอย่างมาก
จี้เฟิงไม่ลืมคำสัญญาที่เขามีต่อปู่ของเขา‘ภายใน 10 ปี จะต้องขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของโลก!’
คุณปู่และพ่อมีแผนการของพวกเขาฉันเองก็มีแผนการของตัวเองเช่นกัน! จี้เฟิงยิ้ม ใครจะรู้แผนของฉันอาจจะสำเร็จเร็วกว่าพวกเขาก็ได้…
พวกตัวตลกที่อยากจะมีบท…ไม่มีค่าพอที่ฉันจะเปลืองสมองมาคิดกังวลให้มากเกินไป! จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย และเขียนคำเหล่านั้นลงบนกระดาษด้วยความมั่นใจ!
หลังจากเขียนเสร็จจี้เฟิงก็โยนปากกาลงบนโต๊ะ เขายิ้มและพูดขึ้นว่า ฉันก็แค่คนธรรมดา จัดการเรื่องที่หยานจิงเสร็จเมื่อไหร่ จะกลับไปเจียงโจว ใช้ชีวิตเล็กๆน้อยๆของฉันกับเล่ยเล่ยและหยูซวน แค่นี้ก็มีความสุขยิ่งกว่าอะไร….