The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 360 การตัดสินใจ
จี้เจิ้นหัวยิ้มอย่างขมขื่น“ซูเหม่ย นั่นมันเรื่องในอดีต แถมตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ฉันก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของพวกเธอเลย ทำไมเธอต้องคิดเล็กคิดน้อยด้วย…”
เซียวซูเหม่ยถอนหายใจเบาๆ“คุณคะ ถ้าฉันคิดเล็กคิดน้อยจริงๆ ครั้งนี้ฉันคงไม่กลับมากับคุณ… แล้วหลายปีมานี้ คุณไม่ได้ข่าวคราวใดๆของพวกเธอเลย คุณก็ควรส่งคนไปตามหาอีกรอบ ฉันรู้ว่าคุณไม่เคยหยุดที่จะตามหาพวกเธอเลย ดังนั้นครั้งนี้ก็อย่าเพิ่งถอดใจ นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสามัญสำนึกที่มนุษย์ควรมี อย่างไรเสียตอนที่เธอจากไปเธอก็กำลังตั้งครรภ์อยู่…”
เซียวซูเหม่ยย่อมรู้ดีเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เป็นตอนก่อนที่จี้เจิ้นหัวจะได้มารู้จักกับเธอ และมีเหตุผลบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเพราะทิฐิหรือความรักของผู้อาวุโสจี้ ส่งผลให้สองแม่ลูกต้องแยกทางกับจี้เจิ้นหัวมาตั้งแต่นั้น บางทีอาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้จึงทำให้ผู้อาวุโสจี้รู้สึกผิดมาก ดังนั้นตั้งแต่ที่เซียวซูเหม่ยมาถึงหยานจิง ผู้อาวุโสจี้ก็เหมือนจะอ่อนโยนกับเธอมาก เขาไม่เคยเผยมุมความดุดันน่าเกรงขามของอดีตแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่กับเซียวซูเหม่ยเลยแม้แต่น้อย
แต่เซียวซูเหม่ยก็ยังคงรักษาหน้าที่ของตนไว้เธอรู้ดีว่าหากเธอยังทำตัวไร้ยางอายทนไม่ได้เพียงเพราะเรื่องนี้มีสาเหตุมาจากผู้หญิงอื่น ก็คงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะเป็นการกระทำที่โง่มากแค่ไหน
อีกอย่างในอดีตเซียวซูเหม่ยก็เคยออกจากหยานจิงไปเพราะความใจแข็งและนิสัยที่ไม่ยอมคนเกินไปของเธอเธอจึงรับไม่ได้กับเรื่องที่จี้เจิ้นหัวเคยมีลูกมีเมียอยู่แล้ว
แต่ตอนนี้เวลาก็ได้ผ่านมาหลายปีแล้วเธอรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคิดถึงความยากลำบากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของเธอและลูกชายมันก็ทำให้เธอคิดได้ว่าชีวิตของผู้หญิงคนนั้นก็คงจะไม่สบายนัก และเรื่องนี้นี่เองที่ทำให้เธอใจอ่อนมาตั้งนานแล้ว
จี้เจิ้นหัวรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาทันทีเขาจับมือเซียวซูเหม่ยแล้วพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา “ซูเหม่ย…”
ในความเป็นจริงเขาไม่เคยยอมแพ้ในการตามหาพวกเธอใครจะอยากให้ผู้หญิงและลูกของตัวเองต้องกลายเป็นคนที่ถูกทิ้ง
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขาไม่สามารถนำความคิดนี้ไปปฏิบัติได้
ตอนนี้เมื่อได้ยินเซียวซูเหม่ยพูดออกมาแบบนี้เขาย่อมรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก
เซียวซูเหม่ยเขินอายมากจึงรีบดึงมือกลับและพูดด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “เป็นผู้นำคนแท้ๆ ทำอะไรไม่ระวังเลย!”
เสี่ยวอิงบอดี้การ์ดส่วนตัวที่ใกล้ชิดที่สุดของเซียวซูเหม่ยย่อมไม่สนใจเรื่องส่วนตัวของนายหญิงและหัวหน้าของตัวเองอยู่แล้วไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นการกระทำที่สมควรของบอดี้การ์ดส่วนตัวที่ต้องทำเหมือนตัวเองล่องหนแต่สามารถเรียกใช้ได้ตลอดเวลา เพราะเพียงแค่มารยาทพื้นฐานอย่างคนทั่วไปก็เพียงพอแล้วที่จะไม่สอดรู้สอดเห็นเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น
ตอนนี้เสี่ยวอิงกำลังนั่งอยู่ด้านหน้าของห้องนั่งเล่นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เธอกำลังทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยโดยการดูภาพจากกล้องวงจรปิดรอบด้านบนหน้าจอคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่อยู่บนฝ่ามือ
สำหรับคนอย่างพวกเธอแล้วสิ่งแรกที่ต้องทำในฐานะบอดี้การ์ดรักษาความปลอดภัยก็คือ ฟังสิ่งที่ควรฟัง แต่ถ้าสิ่งไหนไม่ควรฟังก็ต้องกลายเป็นคนหูหนวกตาบอดทันที!
เพราะทุกคนรู้ว่าในหน้าที่บอดี้การ์ดส่วนตัวและเป็นคนใกล้ชิดที่คอยดูแลหัวหน้าของพวกเขา โดยเฉพาะการดูแลคนใหญ่คนโต ถ้าพวกเขาเป็นคนปากสว่าง ก็คงจะมีแต่สวรรค์เท่านั้นแหละที่จะบอกได้ว่าเรื่องของคนใหญ่คนโตที่หลุดรั่วออกไปจะก่อให้เกิดความโกลาหลแค่ไหน!
แต่น่าเสียดายที่ภายในห้องกลับไม่ได้มีแค่เสี่ยวอิงเพียงคนเดียวจี้เจิ้นหัวและเซียวซูเหม่ยไม่ได้รู้เลยว่าลูกชายของพวกเขามีหูที่รับรู้รับฟังเสียงต่างๆได้ดีมากขนาดไหน ถึงแม้เขาจะไม่อยากฟังบางทีมันก็ลอยมาเข้าหูเองอย่างไม่ตั้งใจ และไม่ต้องพูดถึงในบรรยากาศที่เงียบสงบกลางดึกเช่นนี้ มันยิ่งทำให้เขาได้ยินมันอย่างชัดเจน!
การสนทนาระหว่างจี้เจิ้นหัวและเซียวซูเหม่ยลอยไปถึงหูของจี้เฟิงโดยที่ไม่พลาดแม้แต่คำเดียวทำให้เขาที่เพิ่งเข้ามาในห้องแทบจะสะดุดล้มลงไปกองกับพื้น
จี้เฟิงนั่งนิ่งๆอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าแปลกๆ
“เรื่องนี้…”จี้เฟิงเกาหัวแกรกๆ ชั่วเวลาหนึ่งเขาไม่รู้ว่าควรจะพูดถึงเรื่องนี้ยังไงดีจริงๆ
ตอนที่อาสามมาเจอเขากับแม่จี้เฟิงก็รู้อยู่แล้วว่าก่อนที่แม่จะได้รู้จักกับพ่อ พ่อเคยมีภรรยาและลูกมาก่อน แต่ถึงยังไงมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว และนั่นก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ดังนั้นจี้เฟิงจึงไม่ได้ถามอะไรมาก
แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้จากบทสนทนาของพ่อกับแม่ของเขาอีกครั้งจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหัวขึ้นมา
จี้เฟิงเป็นคนที่อยากมีพี่น้องมาตั้งแต่เด็กๆแล้วมีอยู่หลายครั้งที่เขาถูกเพื่อนๆรังแก เขามักจะคิดว่าถ้าเขามีพี่น้องคอยช่วยเหลือบ้างก็คงดี หรือแม้แต่เวลาที่เขาอยู่ที่บ้านถ้ามีพี่น้องมาเล่นเป็นเพื่อนก็คงจะไม่เหงามากแบบนี้
อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่เขาถามแม่เกี่ยวกับเรื่องของพ่อท่าทีของแม่จะเปลี่ยนไปทันที จี้เฟิงจึงไม่ค่อยอยากจะถามเรื่องนี้กับแม่ของเขาเท่าไหร่นัก
แต่ตอนนี้เขาได้รู้อย่างชัดเจนแล้วว่าพ่อยังมีผู้หญิงคนอื่น..หรือต้องเรียกว่าภรรยาคนก่อนและผู้หญิงคนนั้นก็ยังมีลูกของพ่อของเขาด้วย แต่ตอนนี้แม้แต่พ่อเองก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นและลูกของเขาอยู่ที่ไหน… เมื่อรู้เรื่องนี้มันก็ทำให้จี้เฟิงอดคิดถึงวันเก่าๆ ของแม่และตัวเขาเองไม่ได้
“คุณปู่เป็นคนที่มีความรักและความชอบธรรมในแบบของเขาแต่มันกลับกลายเป็นการทำร้ายลูกหลานมาถึงสองรุ่น!” จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจสิ่งที่คุณปู่ของเขาทำในตอนนั้นเลยจริงๆ แต่ด้วยสถานะและความเป็นผู้นำอาวุโสสูงสุดของตระกูล ดังนั้นเรื่องแบบนี้ ไม่ว่าจะรู้สึกหรือนึกคิดยังไงก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพูดออกมาตรงๆ
“หรือว่า…”จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาค่อยๆครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นิ้วมือของเขาเคาะไปที่ต้นขาของตัวเองโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นท่าทางที่ทำจนเคยชินเมื่อเวลาจี้เฟิงกำลังจมอยู่กับความคิด
หลังจากที่คิดไปคิดมาอยู่หลายตลบจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะเกาหัว
ที่จริงแล้ววิธีการจัดการที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องแบบนี้ก็คือการที่เขาเป็นฝ่ายออกหน้าที่จะตามหาสองแม่ลูกคู่นั้นด้วยตัวเองเพราะถ้าหากพ่อของเขาเป็นฝ่ายออกหน้า บางทีแม่อาจจะไม่ค่อยพอใจ แต่การจะให้แม่เป็นฝ่ายออกหน้า ก็คงจะดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่… จะว่าไปก็เหลือแค่ตัวเขาเองเท่านั้นที่ดูว่าจะเหมาะสมที่สุด
แต่จี้เฟิงรู้สึกอับจนหนทางสุดๆเขาไม่สามารถทำสิ่งต่างๆที่ต้องการได้ เพราะเขาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นเลยสักอย่าง เช่น ผู้หญิงคนนั้นชื่ออะไร บ้านเกิดอยู่ที่ไหน? แล้วในตอนที่จากไป ลูกของเธอเป็นลูกชายหรือลูกสาวกันแน่…?
จี้เฟิงพยายามคิดทบทวนและเท่าที่เขาจำได้ ดูเหมือนอาสามจะไม่เคยพูดถึงว่าลูกของผู้หญิงคนเก่าของพ่อนั้นเป็นผู้ชายหรือเป็นผู้หญิงกันแน่…. สิ่งที่อาสามเล่าให้ฟังดูเหมือนจะมีแค่ว่า ในตอนที่ผู้หญิงคนนั้นตั้งครรภ์ คุณปู่ได้เรียกผู้หญิงคนนั้นมาคุยเป็นการส่วนตัว และหลังจากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็จากไป และเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เองที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับคุณปู่ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาจึงไม่ค่อยดีนักหากไม่ใช่ว่าเพราะสุขภาพของคุณปู่แย่ลงเรื่อยๆในช่วงระยะหลังๆ ความคับข้องใจในใจของพ่อก็คงจะยังไม่ลดลง…
ดวงตาของจี้เฟิงเป็นประกายในเมื่อพ่อของเขายังมีความคับข้องใจ นั่นก็หมายความว่าเขายังไม่ลืม!
แต่สักพักจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะเกาหัวอีกครั้ง
แล้วฉันจะไปหาข้อมูลของเธอได้จากที่ไหน
นอกจากเรื่องที่ผู้หญิงคนนั้นเคยมาที่หยานจิงเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนจี้เฟิงก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธออีกเลย การต้องตามหาใครสักคนในสถานการณ์แบบนี้มันยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรซะอีก!
“ทำไมอาสามถึงไม่บอกรายละเอียดเรื่องนี้อีกสักหน่อยน๊า…”จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะบ่น แต่จู่ๆเขาก็สะดุ้งเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “เออใช่! ทำไมฉันถึงไม่ไปถามอาสามเรื่องนี้อีกทีหนึ่งล่ะ! อย่างน้อยเขาก็ต้องรู้อะไรมากกว่าฉันในตอนนี้แน่ๆ!”
ในที่สุดจี้เฟิงก็ตัดสินใจที่จะทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อที่จะค้นหาผู้หญิงคนนั้นรวมถึงลูกของเธอที่ยังไม่รู้ว่าเป็นพี่สาวหรือพี่ชายของเขา
ไม่ต้องคิดให้มากว่าทำไปแล้วจะได้อะไรอย่างน้อยก็ทำเพื่อความสบายใจของแม่และตัวเขาเอง ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขากับแม่ต้องลำบากขนาดไหนตัวเขาย่อมรู้ดีที่สุด ดังนั้นการตามหาสองแม่ลูกก็อาจจะเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นให้เขาไม่ต้องมีชะตากรรมแบบตัวเอง อย่างน้อยก็ในฐานะเพื่อนมนุษย์!
แน่นอนว่าจี้เฟิงนั้นรู้ดีอยู่แล้วว่าบางทีผู้หญิงเก่าของพ่อและลูกของเธออาจจะมีชีวิตที่สุขสบายดีแล้วในตอนนี้ หรือไม่ก็อาจจะกลายเป็นเศรษฐีร่ำรวยไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะเส้นทางอนาคตของชีวิตไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้าได้อย่างชัดเจน
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องตามหาสองคนนั้นให้เจอให้ได้!และไม่ว่ายังไงสุดท้ายแล้วมันก็เป็นสิ่งที่ต้องเผชิญอยู่ดี!
เมื่อคิดได้แบบนี้จี้เฟิงก็รีบโทรหาพี่รองของเขาทันที พรุ่งนี้ไปหาอาสามและจะได้หาโอกาสไปเยี่ยมจี้ช่าวหยุนด้วย เจ้าเด็กตัวแสบนั่นฝึกทหารมาหลายเดือน คงจะเปลี่ยนไปเยอะน่าดู… ละมั้ง
แต่เมื่อจี้เฟิงกดโทรออกเขารอสายอยู่สักพัก แต่กลับไม่มีคนรับสาย จี้เฟิงก็เลยนึกขึ้นได้ว่าคืนนี้พี่รองกับเซียงยี่โหรวอาจจะมีภารกิจที่ต้องทำ…
แต่ในขณะที่เขากำลังจะกดวางสายจี้ช่าวเหลยก็รับสายพอดี
“น้องสามมีเรื่องอะไรด่วนงั้นเหรอ!” จี้ช่าวเหลยถามด้วยน้ำเสียงที่เหมือนคนกำลังเหนื่อยหอบ ดูสั่นคลอนเล็กน้อยไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่นัก ภาพการอุ่นเครื่องบนเตียงระหว่างจี้ช่าวเหลยและเซียงยี่โหรวผุดขึ้นมาในหัวของจี้เฟิงทันทีจู่ๆเส้นเลือดบนหน้าผากของจี้เฟิงก็ปูดขึ้น “พี่รอง.. พี่คงไม่ได้ใจเร็วด่วนได้ขนาดนั้นจริงๆหรอกใช่มั้ย”
“ไอ้เด็กแก่แดดอย่าเพิ่งมายุ่งเรื่องของฉันเลย มีอะไรก็รีบพูดมาเร็วๆเข้า … อ๊า !” จี้ช่าวเหลยยังพูดไม่ทันจบ ก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมา จี้เฟิงตกใจจนแทบจะทำโทรศัพท์หลุดมือ
“บ้าเอ๊ย!”จี้เฟิงสบถอยู่ในใจ เขาได้แต่อ้าปากค้าง พลางคิดอยู่ในใจว่า “ต้องดุเดือดกันขนาดนี้เลยเหรอ!”
เขากระแอมไอแห้งๆแล้วรีบพูดว่า“พี่รอง พรุ่งนี้ผมจะชวนพี่ไปหาอาสามด้วยกัน แล้วจะได้แวะไปดูจี้ช่าวหยุนด้วย พี่คิดว่าไง”
“ถ้าพรุ่งนี้พี่ชายของนายยังพอจะเดินไหวฉันก็จะไป… อั่ก! คุณผู้หญิง คุณลอบโจมตีแบบนี้มันไม่สวยเลยนะครับ!” จี้ช่าวเหลยตะโกนแล้ววางสายไปทันที “ตู๊ด..!ตู๊ด..! ตู๊ด…!” เมื่อได้ยินเสียงตัดสายดังมาจากโทรศัพท์ หน้าผากของจี้เฟิงก็ปรากฏเส้นเลือดขึ้นมาอีกหลายเส้น ทำไมเสียงของพี่รองมันช่าง… มันใช่เสียงกีฬาในร่มแน่เหรอ
มันเหมือนกับเสียงต่อสู้!
ใบหน้าของจี้เฟิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจพี่รองกับเซียงยี่โหรวกำลังทำอะไรกันอยู่
แต่ไม่นานเขาก็ตัดความสงสัยนี้ทิ้งไปพวกเขาสองคนกำลังทำอะไรอยู่ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขามากนัก ตราบใดที่จี้ช่าวเหลยสามารถไปที่ค่ายทหารกับเขาได้ในวันพรุ่งนี้ก็พอแล้ว
ที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าจี้เฟิงไม่เคยคิดที่จะไปคนเดียวแต่เขาต้องการความช่วยเหลือจากพี่รองและพี่ใหญ่ของเขาด้วย ต้องยอมรับตามตรงว่า ต่อให้เขาได้รู้รายละเอียดอื่นๆของผู้หญิงคนนั้น แล้วให้เขาออกตามหาด้วยตัวคนเดียว เกรงว่าผ่านไปแปดสิบปีแล้วเขาก็อาจจะยังหาไม่เจอ
แต่พี่ชายคนโตนั้นแตกต่างจากพี่ชายคนที่สอง
พวกเขาสองคนมีช่องทางที่แตกต่างกันการจะหาใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไม่ว่าจะสองหรือสามคนยังไงก็ดีกว่าการที่เขาต้องหาด้วยตัวคนเดียวแน่นอน
“แล้วฉันจะบอกเรื่องนี้กับแม่ดีมั้ยล่ะเนี่ย….”จี้เฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คิดที่จะปัดมันทิ้งไปก่อน หลังจากนี้ค่อยว่ากัน เพราะถ้าแม่ของเขารู้ตั้งแต่ตอนนี้มันก็ไม่น่าจะเป็นผลดีสักเท่าไหร่…
หลังจากที่ตัดสินใจได้แล้วจี้เฟิงก็คลายความกังวลลงไปได้มาก เขานอนแผ่หลาลงไปบนเตียงอย่างผ่อนคลาย สองมือประสานกันอยู่หลังศีรษะ มองดูลวดลายบนเพดาน และอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
บางทีทางเลือกของเขาอาจถูกต้อง!
เซียวซูเหม่ยถอนหายใจเบาๆ“คุณคะ ถ้าฉันคิดเล็กคิดน้อยจริงๆ ครั้งนี้ฉันคงไม่กลับมากับคุณ… แล้วหลายปีมานี้ คุณไม่ได้ข่าวคราวใดๆของพวกเธอเลย คุณก็ควรส่งคนไปตามหาอีกรอบ ฉันรู้ว่าคุณไม่เคยหยุดที่จะตามหาพวกเธอเลย ดังนั้นครั้งนี้ก็อย่าเพิ่งถอดใจ นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสามัญสำนึกที่มนุษย์ควรมี อย่างไรเสียตอนที่เธอจากไปเธอก็กำลังตั้งครรภ์อยู่…”
เซียวซูเหม่ยย่อมรู้ดีเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เป็นตอนก่อนที่จี้เจิ้นหัวจะได้มารู้จักกับเธอ และมีเหตุผลบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเพราะทิฐิหรือความรักของผู้อาวุโสจี้ ส่งผลให้สองแม่ลูกต้องแยกทางกับจี้เจิ้นหัวมาตั้งแต่นั้น บางทีอาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้จึงทำให้ผู้อาวุโสจี้รู้สึกผิดมาก ดังนั้นตั้งแต่ที่เซียวซูเหม่ยมาถึงหยานจิง ผู้อาวุโสจี้ก็เหมือนจะอ่อนโยนกับเธอมาก เขาไม่เคยเผยมุมความดุดันน่าเกรงขามของอดีตแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่กับเซียวซูเหม่ยเลยแม้แต่น้อย
แต่เซียวซูเหม่ยก็ยังคงรักษาหน้าที่ของตนไว้เธอรู้ดีว่าหากเธอยังทำตัวไร้ยางอายทนไม่ได้เพียงเพราะเรื่องนี้มีสาเหตุมาจากผู้หญิงอื่น ก็คงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะเป็นการกระทำที่โง่มากแค่ไหน
อีกอย่างในอดีตเซียวซูเหม่ยก็เคยออกจากหยานจิงไปเพราะความใจแข็งและนิสัยที่ไม่ยอมคนเกินไปของเธอเธอจึงรับไม่ได้กับเรื่องที่จี้เจิ้นหัวเคยมีลูกมีเมียอยู่แล้ว
แต่ตอนนี้เวลาก็ได้ผ่านมาหลายปีแล้วเธอรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคิดถึงความยากลำบากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของเธอและลูกชายมันก็ทำให้เธอคิดได้ว่าชีวิตของผู้หญิงคนนั้นก็คงจะไม่สบายนัก และเรื่องนี้นี่เองที่ทำให้เธอใจอ่อนมาตั้งนานแล้ว
จี้เจิ้นหัวรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาทันทีเขาจับมือเซียวซูเหม่ยแล้วพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา “ซูเหม่ย…”
ในความเป็นจริงเขาไม่เคยยอมแพ้ในการตามหาพวกเธอใครจะอยากให้ผู้หญิงและลูกของตัวเองต้องกลายเป็นคนที่ถูกทิ้ง
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขาไม่สามารถนำความคิดนี้ไปปฏิบัติได้
ตอนนี้เมื่อได้ยินเซียวซูเหม่ยพูดออกมาแบบนี้เขาย่อมรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก
เซียวซูเหม่ยเขินอายมากจึงรีบดึงมือกลับและพูดด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “เป็นผู้นำคนแท้ๆ ทำอะไรไม่ระวังเลย!”
เสี่ยวอิงบอดี้การ์ดส่วนตัวที่ใกล้ชิดที่สุดของเซียวซูเหม่ยย่อมไม่สนใจเรื่องส่วนตัวของนายหญิงและหัวหน้าของตัวเองอยู่แล้วไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นการกระทำที่สมควรของบอดี้การ์ดส่วนตัวที่ต้องทำเหมือนตัวเองล่องหนแต่สามารถเรียกใช้ได้ตลอดเวลา เพราะเพียงแค่มารยาทพื้นฐานอย่างคนทั่วไปก็เพียงพอแล้วที่จะไม่สอดรู้สอดเห็นเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น
ตอนนี้เสี่ยวอิงกำลังนั่งอยู่ด้านหน้าของห้องนั่งเล่นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เธอกำลังทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยโดยการดูภาพจากกล้องวงจรปิดรอบด้านบนหน้าจอคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่อยู่บนฝ่ามือ
สำหรับคนอย่างพวกเธอแล้วสิ่งแรกที่ต้องทำในฐานะบอดี้การ์ดรักษาความปลอดภัยก็คือ ฟังสิ่งที่ควรฟัง แต่ถ้าสิ่งไหนไม่ควรฟังก็ต้องกลายเป็นคนหูหนวกตาบอดทันที!
เพราะทุกคนรู้ว่าในหน้าที่บอดี้การ์ดส่วนตัวและเป็นคนใกล้ชิดที่คอยดูแลหัวหน้าของพวกเขา โดยเฉพาะการดูแลคนใหญ่คนโต ถ้าพวกเขาเป็นคนปากสว่าง ก็คงจะมีแต่สวรรค์เท่านั้นแหละที่จะบอกได้ว่าเรื่องของคนใหญ่คนโตที่หลุดรั่วออกไปจะก่อให้เกิดความโกลาหลแค่ไหน!
แต่น่าเสียดายที่ภายในห้องกลับไม่ได้มีแค่เสี่ยวอิงเพียงคนเดียวจี้เจิ้นหัวและเซียวซูเหม่ยไม่ได้รู้เลยว่าลูกชายของพวกเขามีหูที่รับรู้รับฟังเสียงต่างๆได้ดีมากขนาดไหน ถึงแม้เขาจะไม่อยากฟังบางทีมันก็ลอยมาเข้าหูเองอย่างไม่ตั้งใจ และไม่ต้องพูดถึงในบรรยากาศที่เงียบสงบกลางดึกเช่นนี้ มันยิ่งทำให้เขาได้ยินมันอย่างชัดเจน!
การสนทนาระหว่างจี้เจิ้นหัวและเซียวซูเหม่ยลอยไปถึงหูของจี้เฟิงโดยที่ไม่พลาดแม้แต่คำเดียวทำให้เขาที่เพิ่งเข้ามาในห้องแทบจะสะดุดล้มลงไปกองกับพื้น
จี้เฟิงนั่งนิ่งๆอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าแปลกๆ
“เรื่องนี้…”จี้เฟิงเกาหัวแกรกๆ ชั่วเวลาหนึ่งเขาไม่รู้ว่าควรจะพูดถึงเรื่องนี้ยังไงดีจริงๆ
ตอนที่อาสามมาเจอเขากับแม่จี้เฟิงก็รู้อยู่แล้วว่าก่อนที่แม่จะได้รู้จักกับพ่อ พ่อเคยมีภรรยาและลูกมาก่อน แต่ถึงยังไงมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว และนั่นก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ดังนั้นจี้เฟิงจึงไม่ได้ถามอะไรมาก
แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้จากบทสนทนาของพ่อกับแม่ของเขาอีกครั้งจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหัวขึ้นมา
จี้เฟิงเป็นคนที่อยากมีพี่น้องมาตั้งแต่เด็กๆแล้วมีอยู่หลายครั้งที่เขาถูกเพื่อนๆรังแก เขามักจะคิดว่าถ้าเขามีพี่น้องคอยช่วยเหลือบ้างก็คงดี หรือแม้แต่เวลาที่เขาอยู่ที่บ้านถ้ามีพี่น้องมาเล่นเป็นเพื่อนก็คงจะไม่เหงามากแบบนี้
อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่เขาถามแม่เกี่ยวกับเรื่องของพ่อท่าทีของแม่จะเปลี่ยนไปทันที จี้เฟิงจึงไม่ค่อยอยากจะถามเรื่องนี้กับแม่ของเขาเท่าไหร่นัก
แต่ตอนนี้เขาได้รู้อย่างชัดเจนแล้วว่าพ่อยังมีผู้หญิงคนอื่น..หรือต้องเรียกว่าภรรยาคนก่อนและผู้หญิงคนนั้นก็ยังมีลูกของพ่อของเขาด้วย แต่ตอนนี้แม้แต่พ่อเองก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นและลูกของเขาอยู่ที่ไหน… เมื่อรู้เรื่องนี้มันก็ทำให้จี้เฟิงอดคิดถึงวันเก่าๆ ของแม่และตัวเขาเองไม่ได้
“คุณปู่เป็นคนที่มีความรักและความชอบธรรมในแบบของเขาแต่มันกลับกลายเป็นการทำร้ายลูกหลานมาถึงสองรุ่น!” จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจสิ่งที่คุณปู่ของเขาทำในตอนนั้นเลยจริงๆ แต่ด้วยสถานะและความเป็นผู้นำอาวุโสสูงสุดของตระกูล ดังนั้นเรื่องแบบนี้ ไม่ว่าจะรู้สึกหรือนึกคิดยังไงก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพูดออกมาตรงๆ
“หรือว่า…”จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาค่อยๆครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นิ้วมือของเขาเคาะไปที่ต้นขาของตัวเองโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นท่าทางที่ทำจนเคยชินเมื่อเวลาจี้เฟิงกำลังจมอยู่กับความคิด
หลังจากที่คิดไปคิดมาอยู่หลายตลบจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะเกาหัว
ที่จริงแล้ววิธีการจัดการที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องแบบนี้ก็คือการที่เขาเป็นฝ่ายออกหน้าที่จะตามหาสองแม่ลูกคู่นั้นด้วยตัวเองเพราะถ้าหากพ่อของเขาเป็นฝ่ายออกหน้า บางทีแม่อาจจะไม่ค่อยพอใจ แต่การจะให้แม่เป็นฝ่ายออกหน้า ก็คงจะดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่… จะว่าไปก็เหลือแค่ตัวเขาเองเท่านั้นที่ดูว่าจะเหมาะสมที่สุด
แต่จี้เฟิงรู้สึกอับจนหนทางสุดๆเขาไม่สามารถทำสิ่งต่างๆที่ต้องการได้ เพราะเขาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นเลยสักอย่าง เช่น ผู้หญิงคนนั้นชื่ออะไร บ้านเกิดอยู่ที่ไหน? แล้วในตอนที่จากไป ลูกของเธอเป็นลูกชายหรือลูกสาวกันแน่…?
จี้เฟิงพยายามคิดทบทวนและเท่าที่เขาจำได้ ดูเหมือนอาสามจะไม่เคยพูดถึงว่าลูกของผู้หญิงคนเก่าของพ่อนั้นเป็นผู้ชายหรือเป็นผู้หญิงกันแน่…. สิ่งที่อาสามเล่าให้ฟังดูเหมือนจะมีแค่ว่า ในตอนที่ผู้หญิงคนนั้นตั้งครรภ์ คุณปู่ได้เรียกผู้หญิงคนนั้นมาคุยเป็นการส่วนตัว และหลังจากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็จากไป และเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เองที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับคุณปู่ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาจึงไม่ค่อยดีนักหากไม่ใช่ว่าเพราะสุขภาพของคุณปู่แย่ลงเรื่อยๆในช่วงระยะหลังๆ ความคับข้องใจในใจของพ่อก็คงจะยังไม่ลดลง…
ดวงตาของจี้เฟิงเป็นประกายในเมื่อพ่อของเขายังมีความคับข้องใจ นั่นก็หมายความว่าเขายังไม่ลืม!
แต่สักพักจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะเกาหัวอีกครั้ง
แล้วฉันจะไปหาข้อมูลของเธอได้จากที่ไหน
นอกจากเรื่องที่ผู้หญิงคนนั้นเคยมาที่หยานจิงเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนจี้เฟิงก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธออีกเลย การต้องตามหาใครสักคนในสถานการณ์แบบนี้มันยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรซะอีก!
“ทำไมอาสามถึงไม่บอกรายละเอียดเรื่องนี้อีกสักหน่อยน๊า…”จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะบ่น แต่จู่ๆเขาก็สะดุ้งเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “เออใช่! ทำไมฉันถึงไม่ไปถามอาสามเรื่องนี้อีกทีหนึ่งล่ะ! อย่างน้อยเขาก็ต้องรู้อะไรมากกว่าฉันในตอนนี้แน่ๆ!”
ในที่สุดจี้เฟิงก็ตัดสินใจที่จะทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อที่จะค้นหาผู้หญิงคนนั้นรวมถึงลูกของเธอที่ยังไม่รู้ว่าเป็นพี่สาวหรือพี่ชายของเขา
ไม่ต้องคิดให้มากว่าทำไปแล้วจะได้อะไรอย่างน้อยก็ทำเพื่อความสบายใจของแม่และตัวเขาเอง ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขากับแม่ต้องลำบากขนาดไหนตัวเขาย่อมรู้ดีที่สุด ดังนั้นการตามหาสองแม่ลูกก็อาจจะเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นให้เขาไม่ต้องมีชะตากรรมแบบตัวเอง อย่างน้อยก็ในฐานะเพื่อนมนุษย์!
แน่นอนว่าจี้เฟิงนั้นรู้ดีอยู่แล้วว่าบางทีผู้หญิงเก่าของพ่อและลูกของเธออาจจะมีชีวิตที่สุขสบายดีแล้วในตอนนี้ หรือไม่ก็อาจจะกลายเป็นเศรษฐีร่ำรวยไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะเส้นทางอนาคตของชีวิตไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้าได้อย่างชัดเจน
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องตามหาสองคนนั้นให้เจอให้ได้!และไม่ว่ายังไงสุดท้ายแล้วมันก็เป็นสิ่งที่ต้องเผชิญอยู่ดี!
เมื่อคิดได้แบบนี้จี้เฟิงก็รีบโทรหาพี่รองของเขาทันที พรุ่งนี้ไปหาอาสามและจะได้หาโอกาสไปเยี่ยมจี้ช่าวหยุนด้วย เจ้าเด็กตัวแสบนั่นฝึกทหารมาหลายเดือน คงจะเปลี่ยนไปเยอะน่าดู… ละมั้ง
แต่เมื่อจี้เฟิงกดโทรออกเขารอสายอยู่สักพัก แต่กลับไม่มีคนรับสาย จี้เฟิงก็เลยนึกขึ้นได้ว่าคืนนี้พี่รองกับเซียงยี่โหรวอาจจะมีภารกิจที่ต้องทำ…
แต่ในขณะที่เขากำลังจะกดวางสายจี้ช่าวเหลยก็รับสายพอดี
“น้องสามมีเรื่องอะไรด่วนงั้นเหรอ!” จี้ช่าวเหลยถามด้วยน้ำเสียงที่เหมือนคนกำลังเหนื่อยหอบ ดูสั่นคลอนเล็กน้อยไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่นัก ภาพการอุ่นเครื่องบนเตียงระหว่างจี้ช่าวเหลยและเซียงยี่โหรวผุดขึ้นมาในหัวของจี้เฟิงทันทีจู่ๆเส้นเลือดบนหน้าผากของจี้เฟิงก็ปูดขึ้น “พี่รอง.. พี่คงไม่ได้ใจเร็วด่วนได้ขนาดนั้นจริงๆหรอกใช่มั้ย”
“ไอ้เด็กแก่แดดอย่าเพิ่งมายุ่งเรื่องของฉันเลย มีอะไรก็รีบพูดมาเร็วๆเข้า … อ๊า !” จี้ช่าวเหลยยังพูดไม่ทันจบ ก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมา จี้เฟิงตกใจจนแทบจะทำโทรศัพท์หลุดมือ
“บ้าเอ๊ย!”จี้เฟิงสบถอยู่ในใจ เขาได้แต่อ้าปากค้าง พลางคิดอยู่ในใจว่า “ต้องดุเดือดกันขนาดนี้เลยเหรอ!”
เขากระแอมไอแห้งๆแล้วรีบพูดว่า“พี่รอง พรุ่งนี้ผมจะชวนพี่ไปหาอาสามด้วยกัน แล้วจะได้แวะไปดูจี้ช่าวหยุนด้วย พี่คิดว่าไง”
“ถ้าพรุ่งนี้พี่ชายของนายยังพอจะเดินไหวฉันก็จะไป… อั่ก! คุณผู้หญิง คุณลอบโจมตีแบบนี้มันไม่สวยเลยนะครับ!” จี้ช่าวเหลยตะโกนแล้ววางสายไปทันที “ตู๊ด..!ตู๊ด..! ตู๊ด…!” เมื่อได้ยินเสียงตัดสายดังมาจากโทรศัพท์ หน้าผากของจี้เฟิงก็ปรากฏเส้นเลือดขึ้นมาอีกหลายเส้น ทำไมเสียงของพี่รองมันช่าง… มันใช่เสียงกีฬาในร่มแน่เหรอ
มันเหมือนกับเสียงต่อสู้!
ใบหน้าของจี้เฟิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจพี่รองกับเซียงยี่โหรวกำลังทำอะไรกันอยู่
แต่ไม่นานเขาก็ตัดความสงสัยนี้ทิ้งไปพวกเขาสองคนกำลังทำอะไรอยู่ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขามากนัก ตราบใดที่จี้ช่าวเหลยสามารถไปที่ค่ายทหารกับเขาได้ในวันพรุ่งนี้ก็พอแล้ว
ที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าจี้เฟิงไม่เคยคิดที่จะไปคนเดียวแต่เขาต้องการความช่วยเหลือจากพี่รองและพี่ใหญ่ของเขาด้วย ต้องยอมรับตามตรงว่า ต่อให้เขาได้รู้รายละเอียดอื่นๆของผู้หญิงคนนั้น แล้วให้เขาออกตามหาด้วยตัวคนเดียว เกรงว่าผ่านไปแปดสิบปีแล้วเขาก็อาจจะยังหาไม่เจอ
แต่พี่ชายคนโตนั้นแตกต่างจากพี่ชายคนที่สอง
พวกเขาสองคนมีช่องทางที่แตกต่างกันการจะหาใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไม่ว่าจะสองหรือสามคนยังไงก็ดีกว่าการที่เขาต้องหาด้วยตัวคนเดียวแน่นอน
“แล้วฉันจะบอกเรื่องนี้กับแม่ดีมั้ยล่ะเนี่ย….”จี้เฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คิดที่จะปัดมันทิ้งไปก่อน หลังจากนี้ค่อยว่ากัน เพราะถ้าแม่ของเขารู้ตั้งแต่ตอนนี้มันก็ไม่น่าจะเป็นผลดีสักเท่าไหร่…
หลังจากที่ตัดสินใจได้แล้วจี้เฟิงก็คลายความกังวลลงไปได้มาก เขานอนแผ่หลาลงไปบนเตียงอย่างผ่อนคลาย สองมือประสานกันอยู่หลังศีรษะ มองดูลวดลายบนเพดาน และอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
บางทีทางเลือกของเขาอาจถูกต้อง!