The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 379 ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด
ในห้องสำนักงานของภัตตาคารเจียงหนานซีฟู้ดเปียวเกอเดินวนกลับไปกลับมาด้วยหน้าตาที่บูดบึ้ง เหมือนคนที่พยายามระงับความโกรธเอาไว้ เขาเงยหน้าเป็นครั้งคราวเพื่อดูผู้จัดการเหยียนที่ยืนสลดอยู่ตรงหน้าเขาและอดไม่ได้ที่จะพูดว่า เสี่ยวเหยียน ในบรรดาลูกน้องที่โง่เง่าทั้งหลายของฉัน นายเป็นคนที่รู้งานที่สุดและฉลาดที่สุด แต่ทำไมนายถึงได้ไปยุ่งกับจี้เฟิงได้ล่ะ!
ผู้จัดการเหยียนยิ้มอย่างขมขื่นที่แก้มซ้ายของเขายังมีรอยแดงเป็นรูปฝ่ามือให้เห็นได้อย่างชัดเจน และตอนนี้มันก็ดูเหมือนจะบวมเป่งกว่าตอนแรกมากทีเดียว แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะปริปากบ่นใดๆ เมื่อเขาคิดถึงตัวเองที่ไปล่วงเกินจี้เฟิงเข้า หัวใจของเขาจมดิ่งลง
พี่เปียวผม… เขาอ้าปากพยายามที่จะอธิบาย แต่เขาก็ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เพราะไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้ยังไงดี อันที่จริงเรื่องนี้จะโทษเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก เพราะจี้เฟิงและเพื่อนๆของเขานั้นเป็นฝ่ายเริ่มก่อเรื่องก่อนจริงๆ
แรกเริ่มเดิมทีผู้จัดการเหยียนเข้ามาแก้ปัญหาและพูดกับพวกจี้เฟิงในฐานะลูกค้าอย่างสุภาพ
แต่อีกฝ่ายไม่ยอมรับข้อเสนอของเขาและต้องการจะกักตัวคนที่ได้รับบาดเจ็บไว้ในร้านของเขาด้วย แล้วจะให้เขายอมตามใจพวกจี้เฟิงได้อย่างไร
ท้ายที่สุดแล้วหากมีเรื่องอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นเขาจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม การที่เขาถูกลากเข้าไปพัวพันมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ถ้าหากทำให้ภัตตาคารต้องเข้าไปพัวพันด้วย คิดหรือว่าเจ้านายโง่ๆที่อยู่เบื้องหลังจะปล่อยเขาไปง่ายๆ
อย่างไรก็ตามคำพูดเหล่านี้ผู้จัดการเหยียนคงไม่สามารถพูดออกไปได้ไม่เช่นนั้นเปียวเกออาจจะคิดว่าเขาต้องการปัดความรับผิดชอบ
เสี่ยวเหยียนฟังฉันให้ดีในวันพรุ่งนี้เมื่อจี้เฟิงมาถึง นายจะต้องฉลาดกว่านี้ อย่าเก็บเงินจากเขาโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าให้เขาชดใช้ค่าเสียหายใดๆทั้งสิ้น เข้าใจมั้ย! เปียวเกอพูดเสียงเข้ม เขายังไม่ลืมว่าตอนจบของอาเหลียงเป็นยังไง จนถึงตอนนี้อาเหลียงก็ยังอยู่ในคุก เปียวเกอคงไม่โง่พอที่จะหาเหาใส่หัวจนทำให้ชีวิตของตัวเองไปซ้ำรอยกับอาเหลียง!
พี่เปียวพี่วางใจได้ผมจะจัดการเรื่องนี้เอง! ผู้จัดการเหยียนรีบรับปากอย่างแน่วแน่ทันที
สีหน้าของเปียวเกอผ่อนคลายลงเล็กน้อยเขาลูบหัวล้านกลมๆของเขาและพูดว่า เสี่ยวเหยียนนายต้องเข้าใจฉันนะ ไม่ใช่ว่าคนอย่างฉันไร้น้ำใจ แต่พวกเราไม่มีทางรู้เลยว่าคุณชายอย่างพวกเขาจะมีอารมณ์แบบไหน นายดูอย่างอาเหลียงสิ เขาไต่เต้าจนได้เป็นใหญ่ในเขตการปกครอง มีเส้นสายมากมายเขาเก่งกว่าฉันซะอีก ไม่ว่าจะลูกน้องหรืออาณาเขต อาเหลียงล้วนมีมากกว่าฉันทั้งสิ้นแต่สุดท้ายล่ะ
เปียวเกอถอนหายใจเล็กน้อย เป็นเพราะเขาไปล่วงเกินจี้เฟิง ไม่เพียงแต่ตัวเขาเท่านั้นที่ต้องติดคุก แม้แต่ผู้ที่หนุนหลังเขาก็ไม่รอด เข้าไปกินข้าวแดงในคุกกันทั้งแก๊ง! เปียวเกอลูบหัวล้านของเขาอีกครั้ง พวกเราทำงานอยู่บนเส้นทางนี้ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ความตาย แต่มันคือความโลภที่ขาดสติ ไม่รู้จักประมาณตน และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือเหล่าคุณชายอย่างจี้เฟิง ในมือของพวกเขามีพลังที่น่ากลัว บางครั้งแค่เขาขยับปาก ก็สามารถทำให้เรากลายเป็นอาหารปลาได้แล้ว ทั้งหมดที่ฉันพูดมา นายเข้าใจใช่มั้ยเสี่ยวเหยียน
แน่นอนว่าเหล่าเหยียนเข้าใจสิ่งที่เปียวเกอพูดดีเขาพยักหน้าอย่างแน่วแน่ ลูกพี่เปียว ผมรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร
ผู้จัดการเหยียนไม่ใช่คนโง่เขาเองก็อยู่ในเส้นทางนี้มาหลายปี เขารู้ว่าเปียวเกอกำลังกังวลเรื่องอะไร แม้ว่าจี้เฟิงจะบอกว่าเรื่องภายในวันนี้ให้ช่างมันไปซะ ก็คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเขาพูดจากใจจริงหรือเปล่า!
ถ้าจี้เฟิงเก็บความแค้นเหล่านี้ไว้แล้วมาตลบหลังในภายหลัง เพียงแค่ส่งคนไปที่โรงแรม ภัตตาคารร้านอาหารหรือสถานบันเทิงต่างๆในอาณาเขตของเปียวเกอ เพื่อทำการตรวจสอบทุกวัน วันละ 2-3 ครั้ง ลูกค้าที่ไหนมันจะกล้าเข้า แล้วถ้าหากหน่วยงานทางกฎหมายต้องการจะยัดข้อหาเพื่อเอาจะเอาผิด มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับพวกเขา!
เหล่าเหยียนเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจี้เฟิงจะเป็นแบบนั้นหรือไม่ดังนั้นเขาจึงต้องรีบรับปากเพื่อที่จะจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด อย่างน้อยก็ต้องทำให้แน่ใจว่าจี้เฟิงไม่ได้โกรธแค้นและไม่ต้องการเอาเรื่องพวกเขาแล้วจริงๆ
ฉันหวังว่านายจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง! เปียวเกอกล่าวเสียงเข้ม
เขารู้ตัวว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ที่จะคุยกับจี้เฟิงจึงได้แต่บอกให้เหล่าเหยียนเป็นคนออกหน้า เพราะเหล่าเหยียนก็ถือว่าเป็นคนที่มีฝีมือมาก ตราบใดที่เสี่ยวเหยียนขอโทษอย่างจริงใจ โอกาสที่จี้เฟิงจะให้อภัยนั้นมากกว่าเขาเป็นคนไปขอโทษเองอย่างแน่นอน
ในความเป็นจริงที่เปียวเกอขอให้เสี่ยวเหยียนเป็นคนออกหน้ายังมีอีกสาเหตุหนึ่ง
สุดท้ายแล้วมันก็ยังไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาในระยะยาวบางทีอาจจะอยู่ต่อไปได้อีกซักสามสี่ปี แต่ถ้านานกว่านั้น บางทีวันหนึ่งอาจจะกลายเป็นผีตายโหงเฝ้าป่าอย่างโดดเดี่ยวแบบไม่รู้ตัวก็ได้
เนื่องจากวันนี้เขาเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับจี้เฟิงโดยไม่ได้ตั้งใจถ้าเสี่ยวเหยียนสามารถเชื่อมสัมพันธ์กับจี้เฟิงได้ บางทีเขาอาจจะสามารถฟอกขาวและขึ้นมาอยู่บนฝั่งบ้างก็ได้ และเขาก็จะได้ไม่ต้องเดินในเส้นทางนี้อีกต่อไป
อย่างน้อยก็ยังมีช่องทางเพิ่มขึ้นแม้ว่าจะไม่สามารถทิ้งเส้นทางนี้ไปได้เลยในทันที แต่ก็ยังไงก็น่าจะดีกว่าตอนนี้ที่ต้องต่อสู้ด้วยกำปั้นของตัวเองเพียงอย่างเดียว มันช่างยากลำบากเหลือเกิน…
……………
เจ้าบ้าธุระทางนี้เคลียร์เรียบร้อยแล้ว เว่ยเฉินหลิงมันคงอยากเอาตัวรอดมากน่าดู พอมาถึงสถานีตำรวจ มันก็เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างเองเลย จี้เฟิงรับโทรศัพท์จากจางเล่ยในขณะที่เขากำลังขับรถกลับไปยังวิลล่า
จางเล่ยพูดผ่านทางโทรศัพท์อย่างร่าเริงว่า เจ้าบ้า ครั้งนี้ต้องขอบคุณไอ้รองประธานเว่ยเฉินหลิงจริงๆ เรื่องที่มันบอกก็เพียงพอที่จะทำให้เว่ยเฉียงถูกยิงตายเป็นสิบครั้งได้ และเพราะแบบนี้คดีนี้จึงเปลี่ยนจากคดีธรรมดาเป็นคดีอาญา ตำรวจเจียงโจวมีสิทธิ์ที่จะไม่มอบผู้ต้องหาให้กับตำรวจในเขตเป๋าต่าของมณฑลเจียงซู!
อืมดีๆ! จี้เฟิงหัวเราะ เว่ยเฉียงทำเรื่องเลวๆไว้มากมาย เว่ยฮั่นเซิงพ่อของเขาก็ไม่น่าจะช่วยอะไรเขาได้แล้วล่ะ เพราะลำพังตัวเองก็คงจะเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน สิ่งนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เว่ยเฉียงพลิกสถานการณ์กลับมาได้อีก!
แต่น่าเสียดาย… จางเล่ยพูดอย่างไม่พอใจ เว่ยเฉินหลิงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย เขาแค่ปฏิบัติตามหน้าที่รองประธานสภานักศึกษาและหัวหน้าแผนกแนะแนว การยัดเงินใต้โต๊ะและความผิดอื่นๆเว่ยเฉียงรับไปคนเดียวเต็มๆ นอกจากเว่ยเฉินหลิงจะไม่มีความผิดแล้ว เนื่องจากเขาให้ข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างดี เขายังได้รับเครดิตในเรื่องนี้อีกด้วย…
จี้เฟิงอึ้งไปครู่หนึ่ง เว่ยเฉินหลิงไม่โดนข้อหาอะไรเลยงั้นเหรอ!
มันจะโดนอะไรล่ะ! จางเล่ยแค่นเสียง ไอ้สารเลวนี่พอมันเข้าห้องสอบสวนปุ๊บ ไม่ทันที่ตำรวจจะถามอะไร มันก็เล่าเรื่องชั่วของเว่ยฮั่นเซิงลุงของมันกับไอ้เว่ยเฉียงลูกพี่ลูกน้องมันให้ตำรวจฟังซะละเอียด ตอนแรกมันอาจจะแค่มีส่วนเกี่ยวข้องนิดหน่อย แต่ไม่มีอันไหนที่เป็นการทำผิดกฎหมายเลย แล้วตอนนี้มันให้ข้อมูลกับตำรวจ ก็ยิ่งเป็นผลดีกับทางตำรวจและตัวมัน ไม่แน่ว่ามันอาจจะได้รับการยกย่องในฐานะพลเมืองดีด้วยด้วยซ้ำ!
บ้าเอ๊ย! จี้เฟิงสบถออกมาทันที
เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่าผลลัพธ์จะออกมาแบบนี้ตามหลักแล้วเว่ยเฉียงและเว่ยเฉินหลิงเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ดังนั้นเรื่องชั่วที่เว่ยเฉียงทำจะต้องพึ่งอำนาจของเว่ยเฉินหลิงในฐานะที่เขาเป็นรองประธานสภานักศึกษา ไม่ว่ายังไงเว่ยเฉินหลิงก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยชัดๆ ดังนั้นเว่ยเฉินหลิงก็ไม่น่าจะมีโอกาสหลุดรอดไปได้…
แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจี้เฟิงก็หัวเราะอีกครั้งแล้วพูดว่า ไม่เป็นไรเล่ยซือ นายจัดการทางนั้นเรียบร้อยแล้วก็กลับไปที่มหาลัยก่อนเถอะ เว่ยเฉินหลิงมีเรื่องติดตัวแบบนี้ ต่อให้ไม่โดนข้อหาอะไรในทางกฎหมาย แต่ก็ถือว่าเป็นคนที่ทำเรื่องชั่วและใช้อำนาจในทางที่ผิด อย่างน้อยมันก็น่าจะอยู่ในมหาลัยต่อไม่ได้ วันหน้ายังมี ไว้ค่อยหาโอกาสจัดการเขาทีหลัง!
ก็นะสำหรับตอนนี้เราก็ทำได้แค่นี้จริงๆ! จางเล่ยอดไม่ได้ที่จะบ่น เฮ้อ! เพื่อนฉันไม่เหมาะที่จะเป็นลูกคุณหนูผู้ทรงอิทธิพลเล้ย ถ้าเป็นฉันนะคงสั่งให้คนไปฆ่าไอ้เว่ยเฉินหลิงในศูนย์กักกันไปแล้ว… ช่างมันเถอะ ฉันเองก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้แล้วเหมือนกัน อ้อ! แล้วเรื่องวิดีโอหลักฐานที่จ้าวไคบันทึกไว้ในโทรศัพท์มือถือตอนนี้ยังอยู่กับฉันนะ ยังไม่ได้มอบให้กับตำรวจไป นายจะทำยังไงกับมัน
จี้เฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า เอาไว้ที่นายก่อนแล้วกัน รอดูว่าสุดท้ายแล้วผลจะออกมาเป็นยังไง เพราะยังเหลือเรื่องของพวกหัวหน้าฉินกับพนักงานพวกนั้นอีก รอดูก่อนว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยายังไง…
จางเล่ยเข้าใจทันทีว่าจี้เฟิงหมายถึงอะไรเขาหัวเราะ โอเค ตามใจนายแล้วกัน!
หลังจากวางสายจี้เฟิงก็ส่ายหัวเล็กน้อยจางเล่ยพูดถูก แม้ว่าสถานะทางสังคมของเขาจะเปลี่ยนแล้ว แต่เขาก็ยังคงเป็นเขา เขาไม่เหมาะที่จะเป็นลูกคุณหนูที่ชอบใช้อำนาจจัดการปัญหาต่างๆจริงๆ
เพราะถ้าหากเป็นลูกคนรวยหรือลูกผู้ทรงอิทธิพลคนอื่นๆจะมีใครอยากหาเรื่องใส่ตัวหรือทำให้ตัวเองต้องเหนื่อยโดยไม่จำเป็นแบบนี้ พวกเขาก็แค่ยกหูโทรศัพท์สั่งการไปตรงๆ หรือไม่ก็ยืมพลังจากใครสักคนที่มีคอนแทคท์กันให้จัดการเรื่องนี้ให้ ง่ายเสียยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากซะอีก แล้วทีนี้ต่อให้พ่อลูกตระกูลเว่ยจะมีเก้าชีวิต ก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาจะถูกฝังไว้ที่ไหน!
แบบนี้ดีแล้วอย่าได้เป็นลูกคุณหนูบ้าอำนาจพวกนั้นเลย… จี้เฟิงยิ้มกับตัวเองและเหยียบคันเร่ง เสียงคำรามของเครื่องยนต์ดังกระหึ่มและรถก็หายไปจากถนนในยามค่ำคืน
เมื่อจี้เฟิงกลับมาถึงคฤหาสน์เขาก็เห็นตู้เส้าเฟิงกำลังนอนอยู่ในห้องนั่งเล่นอย่างเอื่อยเฉื่อย ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปที่ทีวีที่อยู่ตรงหน้าเขาเกาหูเกาหน้าอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
จี้เฟิงมองแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้เห็นได้ชัดว่าตู้เส้าเฟิงกำลังเบื่อจัดๆ
ชายคนนี้เป็นคนที่มีนิสัยกระตือรือร้นไม่หยุดนิ่งแต่ปล่อยให้เขามาคอยปกป้องเซียวหยูซวนและถงเล่ยที่นี่ ไม่มีใครสักคนที่จะพูดคุยด้วย มันคงเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับเขาจริงๆ
โอ้!ในที่สุดนายก็กลับมา! พอเห็นจี้เฟิงดวงตาของตู้เส้าเฟิงก็เป็นประกาย เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวๆ พร้อมกับลุกขึ้นยืนและพูดว่า ฉันมาส่งพวกเธอเรียบร้อยดี ตอนนี้อยู่ข้างบน!
จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า อ้าว ทำไมพวกเธอทำแบบนี้ล่ะ ทิ้งนายไว้ที่ห้องนั่งเล่นคนเดียวได้ยังไง!
ตู้เส้าเฟิงพึมพำ ช่างเถอะ ต่อให้พวกเธออยู่ฉันก็ไม่รู้จะพูดคุยอะไรกับพวกเธอ ให้พวกเธอขึ้นไปข้างบนน่ะดีแล้ว ฉันนั่งดูทีวีอยู่ที่นี่คนเดียวมันก็ดีเหมือนกัน
จี้เฟิงพยายามกลั้นหัวเราะเขาอมยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า อ้าวเหรอ งั้นถ้านายชอบดูทีวี นายก็นั่งดูต่อไปเถอะ ฉันไม่กวนแล้ว!
อย่า!อย่า! ตู้เส้าเฟิงแทบจะกระโดดขึ้นมา เขารีบพูดอย่างรวดเร็ว ฉันกลับไปฝึกซ้อมก่อนล่ะ!
ก่อนที่จี้เฟิงจะได้พูดอะไรตู้เส้าเฟิงก็วิ่งออกไปแล้วและทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งว่า ฉันเห็นบนโต๊ะน้ำชามีบุหรี่วางอยู่เป็นคอตตอนเลย ฉันเลยลองสูบไปมวนนึงรสชาติไม่เลวเลย ฉันเลยกะว่าจะเอาไปซองหนึ่ง แต่เหล่าจ้าวมาเห็นพอดีบอกให้ฉันเอาไปอีกซอง ฉันเลยหยิบมาสองซอง…
บุหรี่เหรอ
จี้เฟิงผงะและมองไปที่โต๊ะน้ำชาและรู้สึกตกใจทันที
บนโต๊ะน้ำชามีบุหรี่ชนิดพิเศษที่เป็นคอตตอนวางอยู่มันถูกแกะออกเรียบร้อยแล้วและดูเหมือนว่าจะหายไปสามซอง…
เขาอดหัวเราะไม่ได้จ้าวไคคงรู้จักบุหรี่ชนิดพิเศษนี้เหมือนกัน ดังนั้นเขาเลยเอามันไปด้วยซองหนึ่งใช่มั้ย
จี้เฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจทันทีว่าถ้าพรุ่งนี้เขาเจอจ้าวไคแล้วจะเอาให้เขาอีกสักสองสามซองแบบนี้น่าจะช่วยพ่อของเขาได้มากกว่า!
ในเมื่อมีวิธีที่จะสามารถช่วยเหลือเพื่อนได้จี้เฟิงก็ยินดี กับอีแค่บุหรี่สองสามสอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยสำหรับเขา.. แม้ว่ามันจะเป็นบุหรี่ที่เป็นสินค้าพิเศษที่หาได้ยากมากก็เถอะ… แต่ตัวเขาไม่ได้ได้มายากสักหน่อย ถ้าหมดก็แค่ไปหาคุณปู่แล้วเอากลับมาสักสองสามคอตตอนก็ได้!
ไม่สิ!
จี้เฟิงยิ้มและคิดกับตัวเองเขาไม่เหมาะที่จะทำอะไรแบบนี้ คงจะดีกว่าถ้าพี่รองเป็นคนทำ มันสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของเขามากกว่า! เมื่อคิดถึงเรื่องนี้จี้เฟิงก็หัวเราะออกมา
มานั่งหัวเราะคิกคักอะไรอยู่คนเดียวตรงนี้! จู่ๆ น้ำเสียงที่มีเสน่ห์แต่พูดอย่างเอื่อยเฉื่อยก็ดังขึ้นมาจากทางบันได จี้เฟิงหันหน้าไปมองและต้องเบิกตากว้างขึ้นทันที
เซียวหยูซวนกำลังยืนอยู่ตรงบันไดในเวลานี้เธอสวมชุดนอนผ้าไหมซาตินสีชมพู ชุดนอนที่ดูอ่อนนุ่มและเรียบเนียนกำลังห่อหุ้มเรือนร่างที่อวบอัดของเซียวหยูซวน จี้เฟิงสามารถบอกได้ในทันทีเลยว่า นอกจากชุดนอนที่เขากำลังมองอยู่นี้ เซียวหยูซวนนั้นก็ไม่ได้ใส่อะไรอีกเลย แม้ว่าแสงจะสลัว แต่จี้เฟิงก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ทันใดนั้นไฟชั่วร้ายในใจของจี้เฟิงก็พุ่งขึ้นทันที!