The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 391 บ้า
จี้เฟิงควบคุมBMW X6 อย่างชำนาญ เขาขับตามหลี่ลู่หนานที่ขี่มอเตอร์ไซค์ลาดตระเวนนำทางอยู่ด้านหน้าไปยังบริษัทซูเหยาจิวเวอรี่อย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นหลี่ลู่หนานเปิดไซเรนบนมอเตอร์ไซค์แล้วจี้เฟิงก็ขมวดคิ้ว เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาฉินซูเจี๋ย
เมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนฉินซูเจี๋ยดูเหมือนจะเมามาก ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอจะรับโทรศัพท์ได้รึเปล่า
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เกิดขึ้นที่บริษัทของเธอ ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนสนิทของเธออยู่ในนั้นด้วย ดังนั้นเผื่อว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ เขาควรโทรไปบอกให้เธอรับรู้ไว้ก่อน
ตู้ดด…ตู้ดดด…
โทรติด…แต่ไม่มีคนรับสาย คิ้วของจี้เฟิงขมวดเข้าหากันทันที ฉินซูเจี๋ยจำเป็นต้องรู้เรื่องนี้
แต่ตอนนี้เธอน่าจะเมาจนไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์จี้เฟิงก็จนปัญหาและไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
ในเมื่อทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้จี้เฟิงจึงเก็บโทรศัพท์กลับไป และบีบแตรสองครั้งเป็นการส่งสัญญาณให้หลี่ลู่หนานเร่งความเร็วขึ้น เนื่องจากฉินซูเจี๋ยยังคงเมามายอยู่ จี้เฟิงจึงตัดสินใจช่วยเธอจัดการเรื่องนี้ อย่างน้อยเขาก็จะทำในส่วนที่เขาพอจะทำได้ จะได้ไม่ต้องรู้สึกค้างคาใจทีหลัง
ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นแค่พวกโจรมันกล้ายิงใส่ผู้อื่น จี้เฟิงก็ถือว่าสิ่งนี้เป็นเหตุผลที่มากพอที่เขาจะจัดการพวกมันแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงเร่งเร้าจากแตรรถของจี้เฟิงหลี่ลู่หนานก็ยิ่งรู้สึกร้อนใจมากขึ้น อันที่จริงเธอนั้นร้อนใจยิ่งกว่าจี้เฟิงเสียอีก ในฐานะตำรวจถ้าได้แต่ยืนมองพวกโจรยิงปืนมั่วซั่วอย่างไม่เกรงกลัวแต่กลับทำอะไรไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่อึดอัดจนแทบจะเป็นบ้า หลี่ลู่หนานไม่อยากประสบกับเหตุการณ์แบบนั้นจริงๆ
ในเวลานี้หลี่ลู่หนานตัดสินใจที่จะไม่สนใจอีกแล้วว่าการขับขี่ของเธอจะผิดกฎจราจรหรือไม่เธอเร่งความเร็วทันที ความเร็วของเธอในตอนนี้เร็วยิ่งกว่าแก๊งเด็กแว้นซิ่งมอเตอร์ไซค์เสียอีก เธอขี่มอเตอร์ไซค์วิ่งไปบนท้องถนนอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ
แต่พอใกล้ถึงตัวเมืองความเร็วของหลี่ลู่หนานก็ช้าลงเพราะมีทั้งรถและคนเดินเท้าที่เพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ว่าเธอจะเปิดไซเรน แต่บรรดาคนที่อยู่ข้างหน้าต่างก็อยู่ในทางของตัวเองโดยไม่มีแม้แต่ท่าทีที่จะขยับหลบ คนที่ดูเร่งรีบก็ดูเหมือนจะมีแต่ผู้คนที่เดินบนทางเท้าและทางม้าลาย ส่วนคนที่อยู่บนท้องถนนทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
ใบหน้าของหลี่ลู่หนานแทบจะเป็นสีฟ้าเธอยังคงบีบแตรรถของเธออย่างต่อเนื่อง แต่มันก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรเลยความรู้สึกที่อึดอัดจนแทบจะเป็นบ้า หลี่ลู่หนานไม่อยากประสบกับเหตุการณ์แบบนั้นจริงๆ
ในเวลานี้หลี่ลู่หนานตัดสินใจที่จะไม่สนใจอีกแล้วว่าการขับขี่ของเธอจะผิดกฎจราจรหรือไม่เธอเร่งความเร็วทันที ความเร็วของเธอในตอนนี้เร็วยิ่งกว่าแก๊งเด็กแว้นซิ่งมอเตอร์ไซค์เสียอีก เธอขี่มอเตอร์ไซค์วิ่งไปบนท้องถนนอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ
แต่พอใกล้ถึงตัวเมืองความเร็วของหลี่ลู่หนานก็ช้าลงเพราะมีทั้งรถและคนเดินเท้าที่เพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ว่าเธอจะเปิดไซเรน แต่บรรดาคนที่อยู่ข้างหน้าต่างก็อยู่ในทางของตัวเองโดยไม่มีแม้แต่ท่าทีที่จะขยับหลบ คนที่ดูเร่งรีบก็ดูเหมือนจะมีแต่ผู้คนที่เดินบนทางเท้าและทางม้าลาย ส่วนคนที่อยู่บนท้องถนนทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
ใบหน้าของหลี่ลู่หนานแทบจะเป็นสีฟ้าเธอยังคงบีบแตรรถของเธออย่างต่อเนื่อง แต่มันก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรเลย จี้เฟิงที่ขับรถตามหลังมาติดๆจึงทำให้ทุกอย่างปรากฏอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน ใบหน้าของเขามืดครึ้มอย่างน่ากลัว
Rrrrrr~~!!
ในตอนนั้นเองเสียงโทรศัพท์ของจี้เฟิงก็ดังขึ้น เขารีบหยิบมันออกมาดูและพบว่าเป็นฉินซูเจี๋ยโทรกลับมา
เขารับสายทันที พี่ฉิน พี่โอเคใช่มั้ย
เมื่อได้ยินเสียงของจี้เฟิงฉินซูเจี๋ยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอาย เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆพยายามให้น้ำเสียงของเธอกลับมาเป็นปกติ เธอกระแอมไอเบาๆและพูดว่า อืม โอเค เมื่อกี้ฉันไปอาบน้ำมา เลยดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ จริงๆฉันก็ไม่ได้เมาอะไรมาก แค่เวียนหัวนิดหน่อยเอง
ตอนนี้ฉินซูเจี๋ยรู้สึกละอายใจมากที่ต้องพูดโกหกออกไปเพราะความจริงเธอไม่ได้เมามายขนาดนั้นในตอนแรก แต่เพราะในตอนที่จี้เฟิงอุ้มเธอเข้านอน กลิ่นอายของผู้ชายที่แข็งแกร่งมันท่วมท้นอยู่ในจมูกของเธอจนทำให้ร่างกายของเธอรู้สึกร้อนผ่าวอย่างช่วยไม่ได้ ในตอนที่จี้เฟิงจากไป เธอก็พบว่ากางเกงขาสั้นของเธอเปียกแฉะไปหมด…
ด้วยเหตุนี้เธอจึงไปอาบน้ำและสร่างเมาไปตั้งนานแล้ว
จี้เฟิงไม่ได้สังเกตว่าฉินซูเจี๋ยมีอะไรผิดแผกแปลกไปเมื่อเขาได้ยินฉินซูเจี๋ยบอกว่าโอเคดี เขาก็รีบพูดทันทีว่า ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว พี่ฉิน ถ้าตอนนี้พอจะมีเวลา ก็รีบมาที่บริษัทของคุณทันที พอดีว่า… มันมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น!
บริษัทของฉัน ฉินซูเจี๋ยตกใจและรีบถาม มันเกิดอะไรขึ้น?
มีโจรเอาปืนมาปล้น! จี้เฟิงตอบสั้นๆ
ห๊าาา—! ฉินซูเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาเสียงดัง เธอไม่คิดว่าจู่ๆจะมาได้ยินเรื่องร้ายแบบนี้ เธอจึงถามด้วยความตกใจและมึนงง มัน..เกิดขึ้นได้ยังไง เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่? จี้เฟิงตอนหายใจเบาๆและกล่าวว่า พี่ฉิน ตอนนี้ร้อนใจไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ถ้าตอนนี้ไม่ได้ติดธุระอะไรก็รีบมาเถอะ ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยอะไรบ้างก็ได้
โอเคๆฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ! ฉินซูเจี๋ยพูดทันที เธออดถามไม่ได้ว่า จี้เฟิง แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นที่บริษัทของฉัน
จี้เฟิงรีบอธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นและในขณะที่พูดอยู่ หัวใจของเขาก็เต้นรัวและถามว่า พี่ฉิน แม้ว่าบริษัทของคุณจะเป็นบริษัทจิวเวลรี่ แต่คุณคงไม่ได้มีเครื่องประดับเก็บไว้ที่นั่นมากมายอะไรนักใช่มั้ย ทำไมโจรมันถึงเลือกบริษัทของคุณเป็นเป้าหมายล่ะ?
บริษัทจิวเวลรี่ไม่ใช่ร้านขายจิวเวลรี่ และไม่ใช่สถานที่ที่จะมีหยกเยอะแยะมากมายอย่างห้องจัดแสดงสินค้าในนิทรรศการหินหยก บริษัทเครื่องประดับมีหน้าที่รับผิดชอบในการแปรรูปสินค้าและเครื่องประดับเท่านั้น และโจรพวกนั้นมีปืน ดังนั้นก็ไม่น่าจะใช่โจรโง่ๆกระจอกๆ แต่ทำไมพวกเขาถึงได้เพ่งเล็งบริษัทจิวเวลรี่ของฉินซูเจี๋ย
ฉินซูเจี๋ยนิ่งไปครู่หนึ่งและทันใดนั้นก็ตะโกนขึ้น จี้เฟิง! พวกเขาต้องไปเพื่อเอาหยกที่อยู่ในบริษัทแน่ๆเลย!
ว่าไงนะ จี้เฟิงตกใจและอดไม่ได้ที่จะถามย้ำอีกครั้ง
จำหยกที่นายขายให้ฉันได้มั้ยแม้ว่าส่วนใหญ่จะถูกแปรรูปและขายออกไปบ้างแล้ว แต่ส่วนที่เหลือเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด มันเป็นหยกเนื้อน้ำชั้นยอด แค่ส่วนเล็กๆที่ยังไม่ได้แปรรูปก็มีมูลค่ามากกว่า 10 ล้าน แล้วถ้าแปรรูปเสร็จเรียบร้อยแล้ว หากจะขายในราคา 30 ล้านก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!
ฉินซูเจี๋ยอธิบายอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่นานมานี้ ฉันตัดสินใจแปรรูปหยกชิ้นสุดท้ายให้เป็นวัตถุต่างๆ เพื่อที่จะนำไปใช้เป็นส่วนประกอบหลักในเครื่องประดับชุดและจะส่งไปยังร้านสาขา และวันที่ทำเสร็จก็คือเมื่อวานนี้…
บอกผมทีว่าหยกพวกนั้นไม่ได้อยู่ในบริษัทของคุณ จี้เฟิงถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เนื่องจากที่บริษัทของฉันมีตู้เซฟขนาดใหญ่และมีมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในอาคารที่เข้มงวดแต่หยกพวกนั้นจะถูกนำส่งไปที่สาขาต่างๆในคืนนี้ ดังนั้นฉันเลยไม่ได้เก็บพวกมันไว้ในตู้เซฟหลัก… น้ำเสียงของฉินซูเจี๋ยเต็มไปด้วยความเสียใจ ถ้ารู้แต่แรกว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ต่อให้อีกไม่กี่ชั่วโมงจะต้องนำส่งหยก เธอจะต้องเก็บหยกไว้ในที่ที่ปลอดภัยที่สุดอย่างแน่นอน!
จี้เฟิงรู้สึกเอะใจอะไรบางอย่างเขาหรี่ตาลงและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า พี่ฉิน พี่รีบมาที่นี่เดี๋ยวนี้เลย ถ้าผมเดาไม่ผิด ผมคิดว่าต้องมีหนอนอยู่ในบริษัทของคุณแน่ๆ อ้อ! แล้วกุญแจของตู้เซฟมีอยู่ที่คุณเพียงคนเดียวใช่มั้ย
มีหนอนอยู่ในบริษัทเหรอ ฉินซูเจี๋ยอุทานออกมาด้วยความตกใจ จนไม่ทันได้ตอบที่จี้เฟิงถาม จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า หยกที่เพิ่งจะแปรรูปเสร็จเมื่อวานแถมจะถูกส่งไปยังสาขาต่างๆภายในคืนนี้ โจรพวกนั้นมันจะไม่จังหวะดีเกินไปหน่อยเหรอ ถ้าไม่รู้ข้อมูลวงในจริงๆ ทำไมถึงได้มาในช่วงกลางวันที่พนักงานทุกคนออกไปพักเที่ยงกันหมด? เพราะถ้าผมเป็นโจร ผมจะเลือกช่วงเวลาที่ปลอดภัยที่สุด นั่นก็คือตอนกลางคืน และคงจะเลือกวิธีขโมยมากกว่าปล้น!
หัวใจของฉินซูเจี๋ยดิ่งวูบจี้เฟิงอธิบายซะละเอียดขนาดนี้ ถ้าเธอยังไม่เข้าใจอีกเธอก็ไม่สมควรที่จะเป็นเจ้านายของบริษัท!
เห็นได้ชัดว่าการวิเคราะห์ของจี้เฟิงนั้นสมเหตุสมผลและมีความเป็นไปได้สูงมาก
ฉันจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้! ฉินซูเจี๋ยไม่สามารถใจเย็นได้อีกต่อไป เธอวางสายและรีบไปที่บริษัททันที
บริษัทของเธอไม่ใช่บริษัทที่ใหญ่มากการสูญเสียทรัพย์สินมูลค่า 10-20 ล้านก็เพียงพอที่จะทำให้เธอต้องเจ็บหนัก และคงจะไม่หายดีภายในระยะเวลา 1-2 ปีอย่างแน่นอน!
ดังนั้นฉินซูเจี๋ยจึงรู้สึกวิตกกังวลมาก
ในเวลานี้หลี่ลู่หนานได้ติดต่อกับสถานีหลักอย่างต่อเนื่องและได้รวบรวมข้อมูลพื้นฐานบางอย่างแล้ว
จี้เฟิงวางสายและเดินลงจากรถหลี่ลู่หนานรีบบอกข้อมูลกับจี้เฟิงทันที
บริษัทซูเหยาจิวเวลรี่ตั้งอยู่ในส่วนที่คึกคักที่สุดของถนนจิ่วโจวในเขตพัฒนาเศรษฐกิจเจียงโจว ที่บนชั้น 6 ของอาคารสำนักงานหรูอี้เหอ ในตึกนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นที่ตั้งของบริษัทไฮเทค ดังนั้นมาตรการรักษาความปลอดภัยจึงแข็งแรงมาก รปภ.ทุกคนต่างมีอาวุธ แต่เนื่องจากโจรเหล่านั้นปรากฏตัวในช่วงเวลากลางวันอย่างกะทันหัน รปภ.เหล่านั้นจึงแทบจะไร้ประโยชน์ในทันที และในตอนนี้ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์ด้านในเป็นอย่างไร แต่คนที่อยู่ข้างนอกได้ยินเสียงปืน และมองเห็นผู้ร้ายจากระยะไกลๆ จึงรีบโทรแจ้งตำรวจ
ไอ้พวกถังข้าว*! จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อย และมองไปที่บรรดารถที่อยู่ข้างหน้าเขา ใบหน้าของเขาดูมืดครึ้มน่ากลัวมาก
ใช่!พวกนี้มันก็แค่ถังข้าว! หลี่ลู่หนานเห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำพูดนี้ ตอนนี้มีพวกโจรที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือ แต่พวกเขาได้แต่ติดอยู่ตรงนี้ อย่าว่าแต่จะช่วยอะไรได้เลย เพียงแค่ให้หลุดไปจากตรงนี้พวกเขายังทำไม่ได้เลย หลี่ลู่หนานจึงได้แต่ร้อนใจแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
หึหึ… จี้เฟิงหัวเราะทันที และหันไปถามหลี่ลู่หนานว่า เธอสามารถใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อกับสถานีหลักได้มั้ย
หลี่ลู่หนานพยักหน้าทันที ได้! แต่ต้องใช้เวลาปรับจูนสักหน่อย
งั้นดีเลยขึ้นรถ! จี้เฟิงรีบหันกลับไปและขึ้นไปนั่งยังฝั่งที่นั่งคนขับอีกครั้ง เขากวักมือเรียกหลี่ลู่หนานที่ยังยืนงงอยู่ หา หลี่ลู่หนานได้แต่ทำหน้างง เธอหันไปมองสภาพการจราจรที่อยู่ข้างหน้า แน่นขนัดแทบไม่ขยับขนาดนี้ อย่าว่าแต่รถมอเตอร์ไซค์ของเธอจะขับเบียดแทรกไปได้เลย เกรงว่าคนเดินก็ไม่รู้ว่าจะหาช่องแทรกได้รึเปล่า แล้วจี้เฟิงยังคิดที่จะขับรถไปอีกอย่างนั้นเหรอ?
เป็นอะไรมัวยืนอึ้งอะไรอยู่ รีบขึ้นรถมาเร็วๆเข้า! จี้เฟิงตะโกน
หลี่ลู่หนานแค่นเสียงแล้วรีบวิ่งเข้าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ
บรึ้ม—!
จี้เฟิงเข้าเกียร์และเริ่มถอยหลังอย่างช้าๆเมื่อระยะห่างรถของเขากับคันข้างหน้าห่างกันประมาณ 10 เมตร สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นจริงจัง
บรึ้ม—!บรึ้ม—!
จี้เฟิงเปลี่ยนเกียร์ทันทีมือและเท้าของเขาสอดประสานทำงานกันอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียว BMW X6 ก็พุ่งออกไปราวกับลูกธนูที่หลุดออกจากคันธนู
และในวินาทีถัดมามันก็ชนเข้ากับรถคันที่อยู่ข้างหน้าอย่างรุนแรง รถ BMW X6 ที่จี้เฟิงขับแทบจะเหมือนกับรถถังที่ไล่บี้รถที่อยู่ข้างหน้า
เขายังคงเหยียบคันเร่งอย่างต่อเนื่องเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม และเสียงปะทะกันของรถยนต์ที่ดังจนแสบแก้วหูก็ทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นตกใจ จี้เฟิงพุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งราวกับว่าเขากำลังขับรถถัง!
เอี๊ยดด~~ขวับ~~ ฟึ่บ~~~~!
เมื่อเห็นBMWx6 ที่ขับโดยจี้เฟิงเกิดความบ้าคลั่ง คนขับรถที่เดิมทีนั่งเอื่อยเฉื่อยคาพวงมาลัยก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ รีบหักพวงมาลัยเข้าข้างทางเพื่อหลีกทางให้กับรถของจี้เฟิง
เมื่อจี้เฟิงขับผ่านไปได้อย่างราบรื่นเขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่หลี่ลู่หนานที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ เขาหัวเราะและพูดว่า ดูคนพวกนี้สิ มันรู้ว่าต่อให้คุณเปิดไซเรนหรือบีบแตรยังไง คุณก็ไม่กล้าทำอะไรพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงเมินเฉยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แต่เพียงแค่พวกเขารู้สึกถึงอันตรายเท่านั้นแหละ รีบทำตามที่เราต้องการขึ้นมาเลย ฮ่าๆ!
หลี่ลู่หนานมองเขาด้วยสีหน้าตกตะลึงเธอนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ๆ จนในที่สุดก็พูดออกมา คนบ้า!