The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่193 ไปเจอพ่อกับแม่
จากนั้นเขาก็ออกจากจิตใต้สำนึกมาสู่โลกภายนอกใบหน้าของจี้เฟิงเต็มไปด้วยความพึงพอใจไม่สามารถปกปิดร่องรอยแห่งความสุขได้ “เป็นเรื่องที่ดีมาก อีกเพียงแค่สองเดือน เล่ยซือและเล่ยเล่ยจะสามารถฝึกฝนการเคลื่อนไหวยิมนาสติกชุดแรกนี้ได้ รวมถึงหยูซวนด้วย และถ้าเป็นไปได้ ฉันจะสอนการเคลื่อนไหวยิมนาสติกท่าง่ายๆให้กับพ่อและแม่เล็กๆน้อยๆด้วย” ไอรีนโนเวล
จี้เฟิงที่ผ่านการฝึกฝนชุดยิมนาสติกชุดแรกมามากกว่าหนึ่งปีเขาสามารถทำความเข้าใจถึงมันได้อย่าถ่องแท้ว่าชุดฝึกยิมนาสติกเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นดูเหมือนว่ามันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อจิตวิญญาณ อย่างน้อยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจี้เฟิงก็ไม่เคยรู้สึกหมดแรงทางจิตใจหรือรู้สึกห่อเหี่ยวเลย ผลลัพธ์ที่ดีเหล่านี้คงต้องยกเครดิตให้กับการเคลื่อนไหวยิมนาสติก ไม่เพียงแค่นั้นหากคนธรรมดาได้ฝึกฝนการเคลื่อนไหวชุดยิมนาสติกเหล่านี้จะทำให้พวกเขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญภายในระยะเวลาอันสั้น!
จี้เฟิงไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้เขาไม่ต้องการจนถึงขนาดให้คนรอบตัวของเขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านศิลปะการต่อสู้ แต่อย่างน้อยก็ให้พวกเขามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงไม่มีปัญหาใดๆก็เพียงพอแล้ว
ประเด็นหลักๆที่ทำให้จี้เฟิงคิดเช่นนี้นั่นเป็นเพราะในปัจจุบันจี้เฟิงไม่สามารถเชื่อถือเทคโนโลยีทางด้านการแพทย์ได้มากนักโดยเฉพาะในโรงพยาบาลภายในประเทศบางแห่งที่เขามักจะได้ยินผู้คนพูดถึงเรื่องนี้อยู่เสมอ
แน่นอนว่าจี้เฟิงไม่รู้ว่าการกระทำเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆหรือไม่เพราะตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจในเรื่องนี้ แต่ประโยชน์ที่เขาทราบเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ใครหลายๆคนต้องอิจฉา
ด้วยความคิดนี้จี้เฟิงจึงอดไม่ได้ที่จะกำหมัดของเขาแน่นด้วยความตื่นเต้นดีใจ
จี้เฟิงดึงสติกลับอยู่กับปัจจุบันและพบว่าตอนนี้เวลาได้ล่วงเลยมาจนถึงสองทุ่มแล้ว
“นี่ฉันฝึกฝนมาทั้งวันเลยเหรอ”จี้เฟิงแตะท้องของเขาด้วยความแปลกใจว่าทำไมเขาถึงไม่รู้สึกหิวเลย
เขาคาดเดาด้วยความสงสัย“เป็นไปได้หรือเปล่าว่าเป็นเพราะการฝึกการเคลื่อนไหวชุดที่สอง ที่ทำให้เขาไม่รู้สึกหิว เหมือนกับเทพเจ้าในตำนาน”
จี้เฟิงไม่รู้ว่าพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพมีค่าแค่ไหนสำหรับมนุษย์แต่เดิมร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถดูดซึมพลังงานในอาหารออกมาได้เต็มที่ แต่จากการกระตุ้นของพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพได้ปรับปรุงการดูดซึมสารอาหารได้ดียิ่งขึ้นอย่างมาก
จึงเป็นธรรมดาที่จี้เฟิงจะไม่รู้สึกหิว
“ตายห่า!”จู่ๆจี้เฟิงก็ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้พร้อมกับตบหน้าผากตัวเอง “เกือบลืมไป วันนี้มีนัดทานข้าเย็นกับหยูซวนนี่หว่า!”
เขารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและสิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอก็ทำให้เขาตกใจเล็กน้อยมีสายที่ไม่ได้รับถึงสี่สายและทั้งหมดเป็นสายของเซียวหยูซวน
เขารีบโทรกลับไปหาเธอทันที“หยูซวนตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน ผมจะรีบไปหาเดี๋ยวนี้”
เซียวหยูซวนอดไม่ได้ที่จะประชดประชัน“ติดต่อได้แล้วเหรอคะคุณผู้ชาย ตรงต่อเวลาเหลือเกินนะ!”
จี้เฟิงไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเขาจึงได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวขอโทษ
“ช่างมันเถอะฉันรอคุณอยู่ที่ประตูมหาวิทยาลัยรีบมาเร็วๆเลย!” เซียวหยูซวนรู้ดีว่าปกติแล้วจี้เฟิงเป็นคนตรงต่อเวลามาก ดังนั้นวันนี้ที่เขามาสายจะต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่าง
ยิ่งไปกว่านั้นโดยนิสัยของเซียวหยูซวนเธอไม่ชอบมีปัญหาและเป็นคนไม่ติดใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆแน่นอนว่าเธอชอบจี้เฟิงจึงไม่อยากจะทะเลาะกับเขา อย่างมากก็แค่ประชดประชันเอาคืนบ้างนิดหน่อย เพราะจี้เฟิงชอบทำให้เธอต้องเขินอายอยู่เป็นประจำ
ในร้านอาหารใกล้ๆกับมหาวิทยาลัยจี้เฟิงและเซียวหยูซวนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน
“ไหนบอกมาซิทำไมวันนี้ถึงมาสาย” เซียวหยูซวนถาม
จี้เฟิงหัวเราะเก้อๆ“เหอๆ ขอโทษทีพอดีผมเผลอหลับไป”
ทันใดนั้นเซียวหยูซวนก็ขึ้นเสียงและดุจี้เฟิงทันที“นายจะชะล่าใจเกินไปแล้ว เรียนมหาวิทยาลัยแล้วนะยังจะทำตัวเฉื่อยแฉะนอนกลางวันได้อยู่อีกเหรอ”
จี้เฟิงจ้องมองเธอ“หยูซวนคุณลืมอะไรไปหรือเปล่า คุณกำลังคิดว่าคุยกับใคร ผมเป็นแฟนของคุณไม่ใช่นักเรียนของคุณอีกต่อไป!”
“นี่…!”เซียวหยูซวนเหมือนจะเถียงแต่สุดท้ายเธอก็หัวเราะและกล่าวว่า “โอเคๆ คุณเป็นแฟนของฉัน!”
สำหรับการวางท่าของจี้เฟิงเซียวหยูซวนไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือขัดใจแต่อย่างใด กลับกันความเป็นผู้ใหญ่และความสงบนิ่งของจี้เฟิงเกือบจะทำให้เธอลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเขาอายุน้อยกว่าเธอ
ทั้งสองสั่งอาหารมาสองสามอย่างแบบลวกๆเซียวหยูซวนไม่ใช่ผู้หญิงที่เลือกกินแม้เธอจะเติบโตมาในครอบครัวที่ดีแต่เธอก็เป็นคนง่ายๆ ส่วนจี้เฟิงก็เคยชินกับความยากลำบากมาตลอดชีวิตจนกลายเป็นนิสัยของเขาที่จะไม่ใช้เงินอย่างสิ้นเปลือง ดังนั้นทั้งสองคนจึงกินอาหารง่ายๆสองสามอย่างด้วยกันอย่างเพลิดเพลิน
“อาหารที่ร้านนี้โอเคเลยแต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นมันขึ้นอยู่กับว่ามาทานกับใคร” จี้เฟิงพูดพร้อมกับคีบชิ้นเนื้อให้เซียวหยูซวน “แต่ถ้ากำลังทานอาหารกับคนที่เกลียดก็ยากที่จะบอกได้ว่าจะนั่งลงหรือเปล่า แล้วนับประสาอะไรกับการกิน แล้วถ้าเจอเหตุการณ์แบบนั้น กินคนเดียวซะยังจะดีกว่า”
“อื้ม”เซียวหยูซวนยิ้มและพยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากนั้นเธอเหมือนนึกอะไรบางอย่างออกจึงพูดขึ้นว่า “วันนี้ฉันเจอคนคนหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นคนรู้จักยืนอยู่แถวประตูมหาวิทยาลัย”
“ใคร”จี้เฟิงถามแบบไม่ได้ใส่ใจ
“ฮูซู่ฮุ่ย!”เซียวหยูซวนตอบด้วยสีหน้าลังเล
คิ้วของจี้เฟิงขมวดขึ้นทันที“เธอเรียนที่สหพันธ์มหาวิทยาลัยนี่ด้วยเหรอ”
สหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวไม่ใช่มหาวิทยาลัยธรรมดาที่จะเข้ามาได้ง่ายๆจี้เฟิงพอจะจำได้ลางๆว่า ตอนกรอกแบบสอบถามเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่โรงเรียนมัธยมปลายหมางซือที่สองจะมีสามหรือสี่คนที่ได้มาเรียนที่สหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวแห่งนี้ และเท่าที่จำได้ดูเหมือนว่าจะไม่มีชื่อของฮูซู่ฮุ่ยเป็นหนึ่งในนั้น แม้ว่าจี้เฟิงจะได้พบกับฮูซู่ฮุ่ยในเจียงโจวโดยบังเอิญอยู่สองครั้งแต่เขาก็ไม่รู้ว่าฮูซู่ฮุ่ยนั้นเข้าเรียนที่ไหน เขานึกถึงการเจอกันกับฮูซู่ฮุ่ยสองครั้งอย่างถี่ถ้วนแต่ก็ไม่พบว่าฮูซู่ฮุ่ยเคยพูดถึงว่าเธอเรียนอยู่ที่ไหน
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันจังหวะนั้นฉันกำลังขับรถออกไปเธอจึงไม่เห็นฉันและเราก็ไม่ได้ทักทายหรือพูดคุยอะไรกัน”เซียวหยูซวนพูดพร้อมกับส่ายหัวเล็กน้อย
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ไม่ว่าจะเจอเธอที่ไหน อย่าไปยุ่งกับเธออย่างเด็ดขาด ผมขอให้คุณทำเหมือนกับเธอเป็นคนแปลกหน้า!”
สำหรับฮูซู่ฮุ่ยจี้เฟิงไม่มีวันจำเรื่องที่เธอทำกับเขาไว้ในช่วงมัธยมปลายอย่างเด็ดขาด เขาถึงกับพูดเอาไว้ว่า ในช่วงชีวิตก่อนเรียนมหาวิทยาลัยสิ่งที่ทำให้เขาอับอายที่สุดก็คือการได้รู้จักกับผู้หญิงอย่างฮูซู่ฮุ่ยและสิ่งที่เธอได้ทำกับเขา
แม้ว่าจี้เฟิงจะได้มีการตัดสินใจไปแล้วว่าเขาจะไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับฮูซู่ฮุ่ยอีกต่อไปแต่สำหรับความอัปยศอดสูก่อนหน้านี้เขาจะไม่มีทางลืมมันง่ายๆอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะไม่เคยพูดถึงมัน แต่สิ่งนี้มันได้ฝังลึกอยู่ในใจของเขาไปแล้ว
“ฉันรู้ว่าต้องทำอะไร!”เซียวหยูซวนพยักหน้าเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะเคยเป็นอาจารย์ของฮูซู่ฮุ่ย แต่ตอนนี้เธอเป็นแฟนของจี้เฟิง และแน่นอนว่าเธอสามารถแยกแยะความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาได้อย่างชัดเจน
“อ้อ!ว่าแต่พี่เขยของฮูซู่ฮุ่ยที่ชื่ออู๋ฉางฉุนน่ะ คุณพอจะแอบหาข้อมูลเกี่ยวกับเขาให้ผมหน่อยได้หรือเปล่า ว่าเขาทำอะไรอยู่บ้าง” จู่ๆจี้เฟิงก็ถามขึ้น “เท่าที่ผมรู้มา เหมือนเขาจะอยู่ในแวดวงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับหยก คุณช่วยคอยจับตาดูเขาให้ผมหน่อยสิ!”
เซียวหยูซวนจ้องมองไปที่จี้เฟิงพร้อมกับหรี่ตาเล็กลงด้วยความสงสัย“ทำไมต้องทำอะไรที่มันดูน่าสงสัยแบบนั้นด้วยล่ะ คุณไม่ได้จะทำอะไรไม่ดีกับเขาใช่มั้ย!” จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า“ตราบใดที่เขาไม่มาหาเรื่องผม ผมคงไม่สละเวลาของผมไปจัดการกับคนอย่างเขาหรอก ผมแค่เผื่อๆเอาไว้ก่อน เพราะถ้าหากเขายังทำตัวเหมือนกับที่ทำกับเราเมื่อไม่กี่วันก่อนอีก เขาจะได้รู้สำนึกซักทีว่าขุดหลุมฝังตัวเองมันเป็นยังไง!”
เซียวหยูซวนลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นเธอก็พยักหน้าเล็กน้อย“ฉันจะพยายาม แต่คุณต้องสัญญากับฉันก่อนว่า อย่าเป็นฝ่ายคิดริเริ่มที่จะหาเรื่องหรือจัดการกับคนอื่นก่อน ฉันไม่อยากให้คุณกลายเป็นคนแบบหลี่เว่ยตง!”
เธอรู้ดีว่าแม้ว่าเธอจะไม่ช่วยจี้เฟิงในการจับตาดูอู๋ฉางฉุนแต่ถ้าจี้เฟิงต้องการจะจัดการกับอู๋ฉางฉุนจริงๆ เขาก็สามารถจัดการได้โดยไม่ต้องให้เธอช่วยเลยแม้แต่น้อย เธอก็เพียงแค่อยากเตือนสติเขาไว้บ้างเท่านั้นเอง
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า“ไม่ต้องห่วงผมไม่เหมือนกับคนพวกนั้น”
เซียวหยูซวนอ้าปากแต่แล้วเธอก็หุบปากลงและไม่ได้พูดอะไรออกมา เมื่อจี้เฟิงเห็นแบบนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะถาม“หยูซวนมีอะไรหรือเปล่า ถ้ามีอะไรก็บอกผมมาตรงๆได้เลย เรายังมีอะไรที่ต้องปิดบังกันอยู่อีกเหรอ”
ใบหน้าของเซียวหยูซวนแดงเล็กน้อย“อืม.. คือวันนี้ฉันกลับบ้านไปแล้วพอดีว่าแม่ของฉันดันมาเห็นข้อความในโทรศัพท์มือถือของฉัน ทีนี้แม่เลยบอกว่า… อยากให้ฉันพาคุณไปพบเธอที่บ้านของฉัน!”
“ห๊ะ!”จี้เฟิงตะลึง