The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 103
บทที่ 103 ผลสอบออกแล้ว!
ถงไก่เต๋อเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจําเขตดูแลด้วยตัวเองเพื่อให้ประสิทธิภาพในการจัดการของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมนั้นออกมาดีที่สุด และภายในเวลาไม่ถึงสองวันหลักฐานรวมถึงกระบวนการของคดีทั้งหมดได้ถูกจัดทําเป็นเอกสารและรายงานต่อศาล
และในทันทีที่เรื่องถึงศาล คดีของซูหม่าได้ผลการพิจารณาคดีในอีกสามวันต่อมา
จี้เฟิงไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการดําเนินคดีของศาลเท่าไหร่นัก เขารู้เพียงแต่ว่าในที่สุดซูหม่าก็ถูกตัดสินจําคุกเป็นเวลา 15 ปี และถ้าซูหม่ามีความประพฤติที่ไม่ดีตลอดระยะเวลาที่ อยู่ในคุกเขาอาจจะต้องติดคุกไปตลอดชีวิต
ส่วนชะตากรรมของซูเฉาก็ไม่ได้ดีกว่าลูกชายของเขาสักเท่าไหร่ นอกจากบทลงโทษ ตามกฎหมายแล้วยังมีการลงโทษทางระเบียบวินัยของข้าราชการซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับระดับชาติรอเขาอยู่ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่จี้เจิ้นหัวและคนอื่นๆ ต้องสนใจอีกต่อไป
แน่นอนว่านี่เป็นเพราะในสายตาของจี้เจิ้นหัว ซูเฉาและลูกชายของเขาไม่ไม่ได้มีบทบาทใดๆอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่จําเป็นต้องใส่ใจว่าพวกเขาจะมีชะตาชีวิตอย่างไรต่อไปในเมื่อพวกเขาได้เข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายเรียบร้อยแล้ว
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เขาต้องการจะจัดการพ่อลูกสองคนนั้นจริงๆ เขาแค่เอ่ยปากเพียงไม่กี่คําเท่านั้น เกรงว่าทั้งซูเฉาและซูหม่าก็คงไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตแบบเห็นเดือนเห็นตะวันได้อีกเลย
แต่กับจางเลยแล้วเขายังคงพูดถึงเรื่องของซูหม่า เพราะเขาคิดว่าโทษที่ซูหม่าได้รับนั้นยังไม่เพียงพอ อันที่จริงก็ไม่น่าแปลกใจถ้าจางเล่ยจะคิดเช่นนั้น เพราะเขารู้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมของจี้เฟิงในตอนนั้น เกรงว่าเขาคงจะตายไปตั้งแต่สถานบันเทิงหรือไม่ก็ถูกซ้อมจนตายในห้องสอบสวนที่สถานีตํารวจแล้ว นี่มันมากกว่าการแก้แค้นธรรมดาแต่มันเป็นการปองร้า ยถึงขั้นเอาชีวิต!
ด้วยเหตุผลนี้สําหรับจางเล่ยแล้วบทลงโทษที่ซูเฉาและซูหม่าได้รับมันจึงน้อยเกินไป
จางเลยยังคงมีความคับแค้นอยู่ในอกโดยที่ไม่สามารถจะระบายมันออกมาได้แล้วในตอนนี้ เพราะศัตรูคู่อาฆาตของเขาได้เข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายและผลการตัดสินมันยิ่งทําให้เขารู้สึกไม่พอใจ
แต่ต่อให้ศาลตัดสินประหารชีวิตก็เกรงว่าจางเล่ยก็คงจะยังรู้สึกหงุดหงิดใจอยู่ดี เพราะสิ่งที่เขาต้องการจริงๆคือการจัดการสองพ่อลูกนั่นด้วยมือของเขาเอง เขาต้องการจัดการสองคนนั้นจนกว่าพวกมันจะขอร้องอ้อนวอนและยอมแพ้อย่างหมดรูป สิ่งนั้นมันถึงจะทําให้เขาได้รู้สึกถึงการแก้แค้นจริงๆ
โชคดีที่เรื่องผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาถึงในช่วงเวลาของการไต่สวนคดี จึงทําให้ความสนใจของจางเลยถูกเบี่ยงเบนไป และมันก็ทําให้เขาไม่มีอารมณ์ที่จะสนใจและอยากจะเอาชนะสองพ่อลูกซูเฉากับซูหม่าอีกต่อไป
และสิ่งที่ต้องอธิบายอีกอย่างก็คือ ในที่สุดเซียวซูเหม่ยก็ยอมกลับไปหยานจิงกับจี้เจิ้นหัวถึงแม้ว่าทั้งสองจะยังไม่เคยแต่งงานกันอย่างเป็นทางการ แต่ก็เรียกได้ว่าใกล้เคียง เพราะในตอนนั้นเซียวซูเหม่ยได้หายไปก่อนที่พวกเขาจะแต่งงานกันเพียงวันเดียว และในความเป็นจริงเธอก็ได้รับการยอมรับจากผู้นําตระกูจี้และภรรยาของเขาเรียบร้อยแล้ว
ในที่สุดเซียวซูเหม่ยก็มีที่ที่สามารถเรียกว่าบ้านได้อย่างเต็มปากเสียที จี้เพิ่งรู้สึกมีความสุขจากหัวใจ
ในความคิดเห็นของจี้เฟิง เมื่อในอดีตพ่อของเขาได้เลิกรากับผู้หญิงคนนั้นไปหลายปีแล้วก่อนที่จะได้มารู้จักกับแม่ของเขา และแน่นอนว่าเป็นเรื่องก่อนที่เขาจะเกิด และจากการคิดวิเคราะห์ของจี้เฟิงแล้ว พ่อของเขาตั้งใจที่จะปิดเรื่องผู้หญิงในอดีตของเขาจริงๆ เพราะด้วยนิสัยของแม่ถ้าแม่รู้อาจจะทําให้เธอต้องเสียใจ จนไม่ยอมคบหากับพ่อ ถึงแม้สุดท้ายแม่จะได้รู้จากคนอื่นแบ บผิดๆ จนทําให้แม่เสียใจและจากมาอยู่ดีก็ตามแต่เขาจะไม่โทษพ่อในเรื่องนี้
เดิมทีจี้เฟิงยังคงกังวลอยู่ว่าถ้าเขาไปเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อไหร่ เขาตั้งใจจะพาแม่ของเขาไปอยู่ด้วย ไม่เช่นนั้นหากแม่ของเขาต้องอยู่ที่หมางซื้อเพียงลําพัง เขาจะไม่สามารถดูแลแม่ได้อย่างสะดวกและไม่มีอะไรจะมารับประกันความปลอดภัยของแม่ได้เลย
ยกตัวอย่างแค่ว่าถ้าแม่ของเขาเกิดล้มป่วย ก็จะไม่มีใครที่จะสามารถพาแม่ของเขาไปโรงพยาบาลได้เลย และด้วยเหตุผลนี้จะทําให้จี้เพิ่งไปเรียนมหาวิทยาลัยอย่างสบายใจได้อย่างไร?
ดังนั้นเมื่อหลังจากการจัดการเรื่องของซูเฉาและซูหม่าเรียบร้อย เซียวซูเหม่ยได้ตกลงตอบรับคําเชิญชวนของเจิ้นหัว และคําพูดยุยงสนับสนุนของจี้เฟิง เพื่อกลับไปหยานจิงพร้อมกับจี้เจี้นหัวในที่สุด และแน่นอนว่าอาสามของจี้เพิ่งยังคงไม่ยอมแพ้จนถึงนาทีสุดท้ายที่จะพูดชักชวนเพิ่งให้กลับไปอยู่ด้วยกันที่หยานจิง แต่จี้เพิ่งก็ยังคงปฏิเสธอยู่ดี
ไม่ใช่ว่าจี้เฟิงไม่อยากกลับไป แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้ เพราะอย่างน้อยถ้าเขาจะกลับไปอยู่หยานจิงกับครอบครัว เขาต้องมีอาชีพและสามารถยืนด้วยลําแข้งของตัวเองให้ได้ แม้ว่าแม่ของเขาจะมีพ่อที่ตอนนี้มีอํานาจใหญ่โตมากพอ แต่จี้เพิ่งรู้ดีว่าครอบครัวใหญ่แบบนี้สิ่งสําคัญที่สุดคือเขาจะต้องไม่โดนดูถูก เขาต้องทําให้แม่ของเขาภาคภูมิใจในตัวเขาด้วย
เพราะความมั่นใจและภาคภูมิใจของเซียวซูเหม่ยคือการที่มีสามีและลูกชายที่ดี ไม่จําเป็นต้องพูดว่าสามีของเธอในตอนนี้อยู่ตําแหน่งที่สูงมากสําหรับผู้ชายวัยกลาง ดังนั้นจี้เฟิงจึงจําเป็นต้องมีความขยันและมุ่งมั่นมากขึ้นกว่าคนทั่วไป และต้องพยายามให้แม่ของเขามีความภาคภูมิใจในตัวของเขาให้ได้
แต่ความภาคภูมิใจนั้นจะต้องไม่ได้มาจากการพึ่งพาพลังอํานาจของครอบครัว!
ดังนั้นจี้เพิ่งจึงพยายามพูดโน้มน้าวให้แม่ของเขายินยอมที่จะให้เขาอาศัยอยู่ตัวคนเดียว แน่นอนว่าเพื่อให้แม่ของเขาอนุญาตด้วยความสบายใจเขาได้บอกกับแม่ไปว่าเขาจะอาศัยอยู่ที่บ้านของจางเลย แต่ในความเป็นจริงแล้วเขายังคงอาศัยอยู่ในห้องเล็กๆที่ชุมชนแออัด
อย่างไรก็ตามในตอนนี้จี้เจิ้นหัวกําลังจะกลับหยานจิงกับเซียวซูเหม่ย เขาได้บอกให้จี้เจิ้นผิงมอบโทรศัพท์มือถือให้กับจี้เฟิง ถึงแม้ว่าจี้เฟิงจะไม่อยากได้ของขวัญอะไรจากครอบครัวแต่เพื่อแลกกับการที่เขาได้อยู่คนเดียวตามที่ต้องการและเพื่อให้พ่อกับแม่ของเขาสบายใจเขาจึงยอมรับน้ําใจของพ่อเขาแต่โดยดี
แต่จี้เฟิงไม่รู้ว่าโทรศัพท์มือถือที่จี้เจิ้นผิงมอบให้เขานั้น มันมีไว้สําหรับทหารโดยเฉพาะ เพราะมันมีฟังก์ชั่นระบุตําแหน่งได้ทั่วโลกและไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน จี้เจิ้นหัวก็จะสามารถหาเขาเจอได้ในทันที
ในวันที่สามารถตรวจสอบผลคะแนนได้ จางเล่ยและถงเลยบอกว่าพวกเขาจะมาหาอี้เฟิงที่ห้องพักในตอนเช้า และในเวลานี้เขาได้รับโทรศัพท์จากจี้เจิ้นหัว
“ครับพ่อ” จี้เพิงไม่ได้พูดอะไรมาก เขาเพียงแค่ทักทายและไม่ได้พูดอะไรต่อ
จี้เจิ้นหัวที่ดูอารมณ์ดีเขาหัวเราะเบาๆและพูดว่า “เฟิงเอ๋อ ลูกทําได้ดีมากในการสอบ ลูกหายห่วงเรื่องการสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของลูกได้เลย!”
จี้เฟิงเข้าใจในทันทีว่าพ่อของเขาได้ตรวจสอบคะแนนวัดผลการเข้ามหาวิทยาลัยของเขาล่วงหน้าแล้ว เขาจึงหัวเราะเบาะๆแล้วถามว่า “แล้วคะแนนของผมได้เท่าไหร่หรอครับ?”
ในระหว่างการสอบเข้ามหาวิทยาลัยจี้เฟิงได้พยายามทําอย่างเต็มที่แล้ว จากการประเมินด้วยตัวเขาเอง คะแนนของเขาต้องไม่ต่ํากว่า 700 คะแนนหรืออย่างน้อยมันก็ไม่น่าจะน้อยไป 700 คะแนนเท่าไหร่นัก
เสียงที่ชัดเจนและสง่างามของจี้เจิ้นหัวก็ดังขึ้น “ 732 คะแนน และน่าจะเป็นอันดับหนึ่งในสาขาวิทยาศาสตร์ในพื้นที่เขตภาคกลาง!”
จี้เพิ่งยิ้มกว้างทันทีเมื่อได้ยิน แต่ทันใดนั้นเขาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้และรีบถาม “พ่อ! แล้ว..คะแนนของถงเลยล่ะ แล้วก็จางเล่ยด้วย”
“ฮ่าฮ่า!” จี้เจิ้นหัวหัวเราะออกมาทันที เหมือนเขาจะรู้อยู่แล้วว่าลูกชายของเขาจะต้องถามถึงคะแนนสอบของแฟนตัวน้อยของเขาด้วยอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องที่ถามคะแนนของจางเล่ยด้วยนก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายของเขาเช่นกัน
“ไม่ต้องห่วงแฟนตัวน้อยของลูกก็ทําคะแนนออกมาได้ดีมากเช่นกันคะแนนของเธอก็ เกิน700คะแนนไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยไหนในประเทศก็น่าจะเข้าได้อย่างไม่มีปัญหา!” จี้เงี้นหัวยิ้มบางๆ แล้วกล่าวต่อว่า “ส่วนเด็กผู้ชายจากตระกูลถง เขาได้คะแนนแย่กว่าเล็กน้อย ประมาณว่าถ้าเขาจะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยอ่านก่อนใครที่ไทยโนเวลทั้งสองแห่งในหยานจึงเกรงว่าไม่ควรจะหวังมากนัก แต่เนื่องจากพวกลูกจะไปเรียนกันที่เจียงโจวก็ไม่น่าจะมีปัญหา!”
“เยี่ยมไปเลย!” จี้เฟิงยิ้มอย่างอารมณ์ดี อย่างไรก็ตามจี้เพิ่งรู้ว่าจางเลยไม่อยากไปเจียงโจวเพราะจริงๆแล้วดูเหมือนเขาจะชอบมหาวิทยาลัยในมณฑลเจียงซูและมณฑลเจ้อเจียงมากกว่า ว่า กันว่าที่เมืองซูโจวและหางโจว มีผู้หญิงสวยๆ มากมาย
จี้เจิ้นหัวพูดให้กําลังใจลูกชายอีกสองสามคําก่อนจะวางสายไป
เมื่อจางเล่ยและถงเลยมาถึงห้องพักของจี้เฟิงจี้เพิ่งก็เตรียมตัวพร้อมที่จะออกไปข้างนอกเรียบร้อยแล้ว
“เฮ้ เจ้าบ้า!” จางเล่ยทักทายจี้เฟิง “วันนี้เขาว่ากันว่าสามารถโทรเช็คคะแนนได้แล้ว นายได้โทรไปเช็คคะแนนแล้วหรือยังไ?”
จี้เฟิงยิ้มและตอบว่า“ยังต้องโทรเช็คคะแนนอีกเหรอ?
“ให้มันได้อย่างนี้สิ!” จางเลยพยักหน้าและยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยสําหรับเจ้าชายแห่งตระกูลจี้สินะ นายไม่ต้องกังวลเรื่องคะแนนเลยด้วยซ้ํา ดีชะมัด!”
ถงเล่ยถามเบาๆ “ จี้เฟิงนายจะไม่เช็คคะแนนสอบจริงๆเหรอ?”
“ตรวจสอบไปทําไม ยังไงเธอก็ได้คะแนนมากกว่า 700 คะแนนอยู่แล้ว และการสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในเจียงโจวด้วย 700 คะแนนเรียกได้ว่าไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน” จี้เพิ่งยิ้มให้ถึงเลย “ส่วนเล่ยชื่อ ถ้านายจะไปเจียงซูหรือหรือเจ้อเจียงก็ไม่น่าจะมีปัญหาแต่ทําไมนายถึงต้องอยากไปเจียงซูกับเจ้อเจียงขนาดนั้น”
“ฉันว่าฉันบอกนายไปแล้วนะว่าที่นั่นน่ะมีสาวๆสวยๆเยอะแค่ไหน นายคงไม่ได้ใส่ใจเพื่อนที่ยังโสดคนนี้เพราะมัวแต่กําลังอินเลิฟอยู่สินะ!” จางเลยพูดอย่างประชดประชันพร้อมกับกลอกตา
จี้เฟิงและถงเลยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาพร้อมกัน ตราบใดที่มีจางเล่ยอยู่ เสียงหัวเราะก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
“จี้เพิ่งปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวแบบนี้แหละดีแล้ว!” ถงเลยที่วันนี้สวมเสื้อยืดสีชมพูแต่ก็ยังทําให้เห็นส่วนเว้าส่วนนูนชัดเจน กระโปรงยีนส์สั้นสีฟ้าอ่อนอวดเรียวขาขาว และสวมรองเท้าคริสตัล สีใสมันทําให้จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองแทบจะตลอดเวลา ถ้าจางเลยไม่ได้อยู่ที่นี่ เกรงว่าเขาคงจะจับถงเล่ยกดและกอดเธอด้วยความรักไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับประกบปากของเขาไปที่ริมฝีปากอมชมพูของเธออย่างรุนแรง
ราวกับว่าถงเลยรู้สึกถึงความหมายในแววตาของจี้เฟิง ถงเล่ยจึงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงฉากในโรง ภาพยนตร์ใบหน้าที่น่ารักสดใสของเธอจึงแดงก่ําขึ้นมาทันที เธอเหลือบมองไปที่เพิ่งอย่างเป็นจากนั้นเธอก็หลบตาและหันไปมองท่าอื่น ในเวลานี้เธอดูเป็นหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความเขินอายช่างน่ารักน่าเอ็นดูสุดๆ
“โอเคโอเค ฉันอยากจะบอกพวกคุณสองคนว่า ยังมีฉันอยู่ตรงนี้นะ ไม่รู้ว่าฉันกลายเป็นวิญญาณไปแล้วหรือเปล่า” เสียงของจางเล่ยขัดจังหวะบรรยากาศความรักของพวกเขา “ไปโรงเรียนกันเร็ว สาวๆแสนสวยจากเจียงซูและเจ้อเจียงกําลังรอฉันอยู่!”
“…” จี้เฟิงและถงเล่ยถึงกับพูดไม่ออก
อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขามาถึงโรงเรียน พวกเขาก็ตกใจกับสิ่งที่เจออยู่ตรงหน้า โรงเรียนในเวลานี้ทําไมถึงได้ดูโล่งโจ้งขนาดนี้ ดูราวกับว่าผู้คนได้หายไปหมด
“ทําไมไม่มีใครเลย คนหายไปไหนกันหมด?” จี้เพิ่งงุนงง
“ฉันจะรู้ได้ไง!” จางเล่ยกลอกตา “ถ้าให้ฉันเดา ฉันคิดว่าคนอื่นๆคงจะอายที่คะแนนสอบออกมาแย่มากจนไม่มีใครกล้ามาโรงเรียน!”
“พูดอะไรเพ้อเจ้อ!” ถงเล่ยตีเขาเบาๆ จากนั้นเธอได้ชี้ให้จี้เพิ่งและจางเล่ยดู “ดูสิ ตรงนั้นไง ดูเหมือนคนจะไปรวมกันที่ห้องรับรอง
จี้เฟิงและจางเลยหันศีรษะและมองไปในเวลาเดียวกัน และทันใดนั้นพวกเขาก็พบว่าในห้องรับรองจะมีผู้คนมากมายแออัดกันอยู่ในนั้น
“ไปดูกันเถอะ!” จี้เพิ่งกล่าว
….จบบทที่ 103