The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 104
บทที่ 104 เดินทางสู่เจียงโจว
จากนั้นพวกเขาทั้งสามจึงเดินไปที่ทางเข้าของห้องรับรองและก็พบว่าห้องรับรองเต็มไปด้วย นักเรียนจนแทบจะไม่มีทางให้สอดแทรกเข้าไปทางด้านหน้าได้เลย
“เฮ! พี่ชาย เกิดอะไรขึ้นที่นี่เขาแจกเงินกันหรือไง?” จางเล่ยสะกิดไหล่นักเรียนที่อยู่ด้านนอกสุดตรงหน้าเขาและถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ได้แจกเงินอะไรหรอก แต่ทุกคนกระตือรือร้นที่จะอยากรู้ผลคะแนนของตัวเองกันทั้งนั้น!” นักเรียนคนที่จางเล่ยถาม เขาตอบกลับอย่างรีบร้อน “ยิ่งไปกว่านั้นทางโรงเรียนได้ประเมินคะแนนที่จะสามารถสมัครเข้ามหาวิทยาลัยด้วย นี่ถึงเป็นสิ่งสําคัญที่ทุกคนอยากจะรู้ เพราะฉะนั้นเลิกถามฉันได้แล้ว ฉันกําลังรีบ!”
“โอ้! การสอบเข้ามหาวิทยาลัย” จางเล่ยส่ายหัวเล็กน้อย “การศึกษาที่มุ่งเน้นให้แข่งขันจน แทบจะฆ่ากัน!”
“งั้นก็ช่างมันเหอะ ฉันว่าพวกเราเช็คคะแนนเอาจากโทรศัพท์มือถือของฉันกันดีกว่า!” จางเล่ยส่ายหัวเล็กน้อยและหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าเสื้อและกดหมายเลขในการตรวจสอบคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัย “ขอทราบหมายเลขบัตรสอบของคุณ.” ก่อนที่เสียงตอบรับในโทรศัพท์อ่านก่อนใครที่ไทยโนเวลจะพูดจบ จี้เฟิงก็พูดขัดจังหวะขึ้น “ไม่ต้องโทรหรอกฉันไม่ได้ บอกนายว่าจริงๆแล้วคะแนนของพวกเราได้รับการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว และการสมัครเขาเรียนในมหาวิทยาลัยที่พวกเราต้องการนั้นไม่มีปัญหาแน่นอน!”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกเราก็ไปหาหัวหน้าอาจารย์ประจําชั้นของพวกเราเพื่อกรอกข้อมูลลงใบสมัครกันเลยดีกว่า!” ถงเล่ยกล่าวเบาๆ
เมื่อเทียบกับการตรวจสอบคะแนนแล้ว การกรอกใบสมัครนั้นง่ายกว่ามาก เพราะในห้องสํานักงานแทบจะไม่มีใครมากรอกใบสมัครเลย นักศึกษาที่ต้องการจะมาที่นี่ควรที่จะคิดเรื่องการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยและวิชาเอกที่เหมาะสมกับพวกเขาที่สุดเสียก่อน
เมื่อจี้เฟิงมาถึงห้องสํานักงานเขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆห้องเพื่อหวังว่าอาจจะเจอกับเซียวหยูซวน แต่แล้วเขาก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ที่ไม่เห็นแม้แต่เงา แต่เมื่อเขามองไปยังถงเลยหญิงสาวที่สวยงามจนยากที่จะมีใครเทียบยืนอยู่ข้างๆเขาในเวลานี้ เขาจึงตัดสินใจที่จะเลิกคิดถึงผู้หญิงคนอื่นในทันที
“เฮ้! จางเล่ยทําไมนายถึงกรอกใบสมัครเข้ามหาวิทยาลัยในเจียงโจว?” เมื่อเห็นใบสมัครของจางเล่ยจี้เพิ่งก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ
“ฉันมาลองคิดดูดีๆแล้ว ฉันไม่อยากทิ้งเพื่อนแล้วไปเรียนที่หางโจวคนเดียวนะ” จางเล่ยยิ้มและกระซิบข้างๆหูจี้เฟิง “เจ้าบ้า ฉันจะบอกอะไรให้นะ แม้ว่านายจะมีเงิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านายจะจีบหญิงได้ง่ายๆ หรือถึงจะมีก็มีแต่ผู้หญิงหัวสูงที่สนใจแต่เรื่องเงินเท่านั้น และการจีบผู้หญิงพวกนั้นมันก็ไม่ได้น่าสนใจเลยแม้แต่น้อย!”
“ หมายความว่าไง?” จี้เพิ่งยังคงไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับการจีบสาวยังไง
“เอ้า ก็ทักษะการเล่นบิลเลียดที่สุดยอดของนาย นายยังไม่ได้สอนฉันซักที!” จางเล่ยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “แล้วนายไม่คิดบ้างหรือว่า การจีบสาวของฉันจะง่ายขึ้นมากขนาดไหนถ้าฉันได้เรียนรู้เทคนิคการเล่นบิลเลียดจากนาย?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า-!” จู่ๆจี้เพิ่งก็หัวเราะ จี้เพิ่งเชื่อในเหตุผลที่จางเลยบอกเขา แต่เขาก็เชื่อว่าจางเลยต้องมีเหตุผลอื่นอยู่อีก แต่มันก็เป็นเหตุผลของเขา ถ้าเขาไม่อยากบอกถามไปก็คงไม่ได้คําตอบจริงๆจังๆมาอยู่ดี
อันที่จริงเหตุผลของจางเลยที่เขาต้องการจะสมัครเข้ามหาวิทยาลัยในเจียงโจวนั้นง่ายมากแม้ว่าจางเล่ยจะเป็นคนชอบผูกมิตร มันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะหาเพื่อนใหม่ในสถานศึกษาใหม่แต่เพื่อนสนิทที่รู้ใจอย่างงี้เฟิงนั้นคงหาที่ไหนไม่ได้ มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะไม่อยากไปหางโจวเพียงคนเดียว ในขณะที่จี้เฟิงกับถงเลยน้องสาวของเขาก็อยู่ในเจียงโจว และที่สําคัญถงไค่เต่อพ่อของเขาได้บอกกับเขาให้พยายามมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจี้เฟิงไว้ ส่วนเรื่องที่เขาต้อ งการจะสมัครเข้ามหาวิทยาลัยในเจียงซูและเจ้อเจียงก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในเป้าหมายของเขาเท่า
นั้น
อย่างไรก็ตามจางเลยรู้ดีว่าเป้าหมายและความเป็นจริงนั้นแตกต่างกัน
ยิ่งไปกว่านั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจี้เฟิงไม่ได้เป็นเพียงเพื่อนสนิทธรรมดา แต่เป็นความสัมพันธ์ที่เปรียบได้ดั่งพี่น้องร่วมสายเลือดจนสามารถตายแทนกันได้ เพราะฉะนั้นแล้วการไปเจียงโจวกับเพื่อนรักและน้องสาวที่น่ารักของเขาก็ไม่เลวร้ายนัก เพราะถ้าวันไหนเขาอยากจะไปจีบสาวที่หางโจวก็ใช้เวลาในการเดินทางเพียงแค่สองสามชั่วโมงเท่านั้น
“แบบนี้ก็เยี่ยมไปเลย! พวกเราทุกคนได้อยู่ในเมืองเดียวกัน ในอนาคตจะต้องมีอะไรสนุกๆแน่นอน!” จี้เพิ่งยิ้มอย่างอารมณ์ดี
แม้ว่าสองเดือนถัดมาจะอยู่ในช่วงพักร้อน แต่จี้เฟิงก็ไม่ได้ว่างและชีวิตของเขาก็แฮปปี้มาก
นอกเหนือจากการออกไปช้อปปิ้งกับองเล่ยในวันธรรมดาแล้ว จี้เฟิงยังใช้เวลาที่เหลือในการเดินเล่นในร้านลอตเตอรี่ไปทั่วเขตเมืองเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋า
ส่วนช่วงเย็นจี้เพิ่งได้เริ่มเรียนรู้ความรู้ล่าสุด ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ที่น่าสนใจที่สุดของเขา!
ในแกมมากาแลคซี่ คอมพิวเตอร์มีความฉลาดและมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่สูงมากมานานแล้ว และแม้ว่าตอนนี้จี้เฟิงจะไม่รู้จักเทคโนโลยีเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มากนัก เพราะจนถึงตอนนี้ เขาได้สัมผัสกับคอมพิวเตอร์มากที่สุดก็แค่ช่วงเวลาในคาบเรียนคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนเท่านั้น ถึงแม้จะมีร้านที่เปิดให้ใช้บริการคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต แต่เขาก็ไม่เคยได้เหยียบย่างเข้าไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่จี้เฟิงพอจะรู้ นั่นก็คือโลกในยุคปัจจุบันยังไม่มีการใช้คอมพิวเตอร์อัจฉริยะในการควบคุมการทํางานทั้งหมดเหมือนที่แกมมากาแลคซี่อย่างแน่นอน เรื่องของปัญญาประดิษฐ์นั้นยังอยู่ในระหว่างการศึกษาเท่านั้น
โดยไม่ต้องบอกจี้เพิ่งก็รู้ว่าในความเป็นจริงนั้นแกมมากาแลคซีมีเทคโนโลยีที่ล้ําหน้ากว่าโลกมากกว่าสิบปีหรืออาจจะมากกว่านั้น และแน่นอนว่าในกรณีนี้จี้เพิ่งจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเหล่านี้ด้วยความอดทนและต้องมีความตั้งใจเป็นอย่างมาก
จี้เพิ่งมีความสนใจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ยังมีเหตุผลหลักอีกอย่างหนึ่งเขาคิดว่าในอนาคตอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์จะมีโอกาสเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก และถ้าหากเขาต้องการที่จะเริ่มต้นธุรกิจสักอย่างหนึ่ง อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ในตอนนี้จี้เฟิงได้เรียนรู้ความรู้ส่วนใหญ่เกี่ยวกับระบบฝึกอบรมขั้นสูงแล้ว แต่สิ่งที่ขาดคือโอกาสเท่านั้น
และในตอนนี้เวลาสองเดือนก็ผ่านไป และในที่สุดก็มาถึงเดือนกันยายน การศึกษาในระดับมัธยมปลายของจี้เฟิงก็สิ้นสุดลงเช่นกัน และในเวลานี้จี้เฟิง ถึงเลยและจางเล่ย ก็กําลังขึ้นรถไฟเพื่อที่จะเดินทางไปเจียงโจว
ในวันที่ 5 กันยายน บนรถไฟที่กําลังมุ่งหน้าไปเจียงโจว จี้เฟิงและถงเลยนั่งเคียงข้า งกันในขณะที่จางเล่ยนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามเขาเหล่มองจี้เฟิงและถงเลยสบตากันอย่างหวานหยดย้อ ยบ้างเป็นครั้งคราว และในที่สุดเขาก็หมดความอดทนเขาจึงตัดสินใจที่จะหลับตาลงและทําเหมือนกับว่าเขากําลังหลับ
จี้เพิ่งและถงเลยอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กัน พวกเขานั่งพิงและอิงแอบกันอย่างอ่อนหวานและกระซิบคุยกันอย่างแผ่วเบา
“จี้เฟิง เราสองคนจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้เมื่อเราไปเรียนที่มหาลัย…” เสียงของถงเลยดูเศร้าเล็กน้อย
จี้เพิ่งนั้นสมัครในสาขาการจัดการเศรษฐกิจ ของสหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวในขณะที่ถงเลยสมัครในสาขาวิชาภาษาต่างประเทศ ทั้งสองไม่ได้อยู่คณะเดียวกันดังนั้นจึงทําให้ไม่มีเวลาได้พบเจอกันมากนักในอนาคต
สําหรับจางเลย เขาได้ข่าวมาว่าคณะที่มีผู้หญิงสวยๆมากที่สุดอยู่ในสาขาวิชาภาษาต่างประเทศ เขาจึงสมัครเข้าที่คณะนี้โดยตรง ทั้งจี้เฟิงและถงเล่ยต่างตกตะลึงและคิดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะสามารถเข้าเรียนใน สหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวได้ด้วยคะแนน 690 คะแนน เพราะที่นี่เรียกได้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนําที่มีไม่กี่แห่งของจีน
จี้เฟิงยิ้ม “ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรายังมีเวลาอีกมากที่จะได้เจอกันในมหาวิทยาลัย แต่ถ้าเธอกลัวว่าเราจะไม่มีเวลาได้เจอกันจริงๆ ฉันสัญญาว่าฉันจะไปหาเธอแน่นอน อย่างน้อยก็อาทิตย์ละครั้ง โอเคมั้ย?”
“นายพูดเองนะ!” ถงเล่ยยิ้มทันทีที่ได้ยินคําพูดของจี้เพิ่ง และรอยยิ้มอันแสนหวานก็ฉายอยู่ในดวงตาคู่สวยของเธอ “ถ้าเธอไม่มาหาฉันตามที่พูด ภายในหนึ่งอาทิตย์ฉันจะไปคุยกับผู้ชายคนอื่นและจะไปเดทกับเขา!”
จี้เพิ่งอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ถ้าเธอกล้าที่จะไปออกเดทกับผู้ชายคนอื่น…”
ก่อนที่จี้เฟิงจะพูดจบ ถงเลยพูดขัดจังหวะ “นายจะทําไม?”
“ฉันจะทําไมงั้นเหรอ?” จี้เพิ่งยิ้ม “ฉันก็จะจัดการผู้ชายคนนั้นให้ไม่กล้ามายุ่งกับเธออีกเลย!”
“คิกคิก” เมื่อเห็นจี้เพิ่งทําท่าทางกําหมัดชกออกไปในอากาศ ถงเล่ยก็หัวเราะคิกคักราวกับเสียงของกระดิ่งสีเงิน เสียงหัวเราะที่สดใสของเธอดึงดูดความสนใจของคนหนุ่มสาวหลาย คนในบริเวณใกล้เคียง
“เฮ้! พวกคุณก็ไปเจียงโจวเพื่อไปเรียนมหาลัยใช่มั้ย?” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีใบหน้ามันเยิ้มเดินเข้ามาทักทายและถามขึ้น
จี้เพิ่งสังเกตเห็นคนหนุ่มสาวเหล่านี้มาสักพักแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เฟิง ถงเล่ยและจางเล่ยขึ้นรถไฟมา เขาก็เห็นกลุ่มคนเหล่านี้โดยเฉพาะชายหนุ่มที่มีใบหน้ามันเยิ้ม เขาจ้องมองมาที่ถงเล่ยตาแทบไม่กระพริบ
แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ล้วนเป็นคนหนุ่มสาวจึงไม่แปลกที่จะจ้องมองสิ่งที่สวยงาม
เมื่อได้ยินคําถามของชายที่มีใบหน้ามันเยิ้มจากกลุ่มหนุ่มสาวเหล่านั้น จี้เพิ่งก็พยักหน้า “ใช่ คุณก็เหมือนกันหรือ?”
“ใช่แล้ว” ชายผู้มีใบหน้ามันเยิ้มแสดงรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ แต่สายตาของเขาจับจ้องไปที่ลงเลย เขายิ้มและพูดว่า “ในเมื่อพวกเราทุกคนต่างก็ไปเรียนในเจียงโจว ฉันขอแนะนําตัวเองเลยแล้วกัน ฉันชื่อ อู๋จุนเจี้ยจากผิงฉิง จะให้ฉันเรียกพวกคุณว่าอย่างไรดี”
ตั้งแต่วินาทีที่ถงเล่ยก้าวขึ้นรถไฟมา อีจันเจี้ยก็รู้สึกว่าหัวใจของเขาถูกขโมยไป ด้วยความงามที่ไม่มีใครเทียบได้ของถงเลยทําให้เขาแทบจะละสายตาจากเธอไปไม่ได้ อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นว่าถงเล่ยหัวเราะอย่างมีความสุขอยู่ข้างๆจี้เฟิง อี้จั่นเจี้ยก็รู้สึกไม่พอใจและอิจฉาขึ้นมาทันที
และในเมื่อตอนนี้เขาสามารถหาเรื่องคุยเพื่อแทรกแซงได้แล้วเขาจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปได้อย่างไร?
“จี้เฟิง!” จี้เฟิงตอบด้วยเสียงสงบนิ่ง จี้เพิ่งมองเห็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของชายชื่ออู๋จุนเจียคนนี้อย่างชัดเจน เขาจึงคิดในใจว่าเขาจะไม่มีทางเปิดโอกาสให้ชายคนนี้ได้เข้าใกล้ถงเล่ยโดยเด็ดขาด!
“แล้วหญิงสาวที่สวยงามคนนี้จะให้ฉันเรียกเธอว่าอะไร?” อีจันเจี้ยอดไม่ได้ที่จะถามเจาะจงไปยังถงเล่ยเมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ตอบคําถามแรก
อย่างไรก็ตามถงเลยไม่แม้แต่จะมองไปทางอี้จั่นเจีย เธอทําเพียงแค่นั่งอยู่ข้างๆจี้เพิ่งโดยมองทุกอย่างรอบตัวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความจริงแล้วถงเล่ยเป็นคนนิสัยเย็นชาตั้งแต่ไหนแต่ไร อยู่แล้วเพราะสมัยที่เธอเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายเธอก็ถูกเพื่อร่วมชั้นเข้าใจผิดคิดว่าเธอเป็นคนมีบุคลิกที่เย่อหยิ่งและเย็นชา แต่ที่จริงแล้วถงเลยเธอเปรียบเสมือนดอกลิลลี่ที่บริสุทธิ์และเงียบสงบซึ่งมีความเป็นตัวของตัวเอง สูงส่งและมีเกียรติ
เมื่อเห็นว่าตัวเองถูกเพิกเฉย ใบหน้าของอู๋จุนเจี้ยก็ดูน่าเกลียดเล็กน้อย แต่เขาต้องพยายามรักษาหน้าไม่ให้ตัวเองหน้าแตกต่อหน้าถงเลย เขาจึงส่งยิ้มให้กับองเลย โดยที่ไม่สนใจว่าบรรยากาศรอบข้างเป็นอย่างไร
คิ้วของจี้เฟิงขมวดขึ้นทันที อี้จั่นเจี้ยคนนี้ดูเหมือนจะไม่ยอมแพ้ไปง่ายๆ และการแสดงออกของเขามันเห็นได้ชัดเจนมากเกินไป
“จี้เฟิง? ใช่มั้ย? คุณสมัครเข้ามหาลัยไหนในเจียงโจวเหรอ? ใช่สหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวหรือเปล่า หรือว่า เป็นมหาลัยเจียงโจวอุปถัมภ์?” ลุ้นเจี้ยถาม
จี้เฟิงเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย “แล้วคุณล่ะ?”
“เฮ้อ จะให้ฉันตอบตามจริงก็ยังไงๆอยู่ แต่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ พอดีว่าฉันเป็นนักเรียนแนะนําที่ทางโรงเรียนเลือกส่งตัวไปเรียนที่สหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวโดยตรง” อู๋จุนเจี้ยตอบอย่างขัดเขินเหมือนไม่ค่อยเต็มใจที่ได้รับเลือก แต่การแสดงออกของเขาไม่ได้แสดงถึงความไม่เต็มใจและเขินอายเลยแม้แต่น้อยตรงกันข้ามกันด้วยซ้ําเพราะเขาเหมือนจะพออกพอใจมาก และเห็นได้ชัดว่าเขาภาคภูมิใจสุดๆที่ได้เข้าเรียนที่สหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจว
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย “อ่าหะ…”
“แล้วคุณล่ะ หรือว่าจะเป็น ปวส.ของเจียงโจว?” อี้จั่นเจี้ยหัวเราะและถามอย่างดูถูก
ในตอนนี้ไม่เพียงแต่องเล่ยเท่านั้นที่ขมวดคิ้ว แม้แต่จางเล่ยที่แกล้งหลับก็ลืมตาขึ้นทันที
ชื่อเต็มของที่นี่คือวิทยาลัยอาชีวศึกษาและเทคนิคอาวุโสเจียงโจว จริงๆแล้วที่เป็นวิทยาลัยเพราะว่ามีเพียงสาขาวิชาเดียวและถึงแม้จะมีชื่อเสียงมาก แต่เมื่อเทียบกับสถานศึกษาชั้นนําอย่างสหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวแล้ว เรียกได้ว่าห่างชั้นกันเลยทีเดียว
เห็นได้ชัดว่า อู๋จุนเจี้ยจงใจถามแบบนี้เพื่อที่จะเยาะเย้ยจี้เฟิง
ก่อนที่จี้เพิ่งจะได้ตอบอะไร จางเล่ยก็ยิ้มและพูดขึ้นว่า “นายเป็นนักเรียนแนะนํา? อ่าหะ.. ไม่เลวๆ!”
แม้ว่าจางเลยจะพูดออกไปแบบนั้นแต่ก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างนั้นจริงๆหรือเปล่า
“เหอๆ จริงๆมันก็ไม่มีอะไรมากหรอก พอดีว่าครอบครัวของฉันมีอิทธิพลในผิงฉิงและเจียงโจวนิดหน่อยน่ะ มันจึงสะดวกกว่าถ้าฉันจะไปเรียนที่เจียงโจว แม้ว่าตอนแรกทางโรงเรียนต้องการแนะนําฉันให้กับมหาลัยที่หยานจิงก็ตามที แต่ฉันก็ยังตัดสินใจเลือกไปเจียงโจวอยู่ดี!” อู๋จุนเจี๊ยกล่าวด้วยน้ําเสียงและสีหน้าที่ภาคภูมิใจ
“โอ้วว!! มีอิทธิพลในเจียงโจวเลยหรือนี่แสดงว่าครอบครัวของคุณต้องมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ไม่ เบา!ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!” จางเลยอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาและแสร้งทําเป็นประหลาดใจและชื่นชม
“คุณก็พูดเกินไป อันที่จริงแล้วมันก็แค่เรื่องธรรมดาๆเท่านั้นเอง!” เมื่อเห็นการตอบรับของจา งเลย อู๋จุนเจี้ยก็ยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจ เขายึดอกขึ้นเล็กน้อยมองไปที่นักเรียนสองสามคนรอบตัวเขาจากนั้นก็มองไปที่จี้เพิ่งและถงเลยและพูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “จี้เจิ้นกั่วเลขาธิการคณะกรรมการพรรคเทศบาลนครเจียงโจว ทุกคนรู้หรือไม่ว่าครึ่งหนึ่งของตําแหน่งผู้นําประเทศเป็นของตระกูลแห่งหยานจิง และลูกพี่ลูกน้องของฉัน เขาเป็นเพื่อนกับลูกชายคนเล็กของ จี้เจิ้นกั่ว ฉันกับพวกเขาเราสนิทกันมากแทบจะเรียกได้ว่าตายแทนกันได้ และทั้งหมดที่ฉันพูดมาฉันหวังว่าพวกคุณน่าจะพอนึกภาพออกนะ?”
..จบบทที่ 104