The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 109
บทที่ 109 ลูกพี่ลูกน้องของอู๋จุ๋นเจี๋ย
มันคือพวกเขาจริงๆ!
หัวใจของอู๋จุ๋นเจี๋ยลิงโลดขึ้นมาทันที เขาแน่ใจว่าเขาไม่มีทางจําผิดอย่างแน่นอน หญิงสาวที่มีเสน่ห์และสง่างามในตอนนี้คือคนคนเดียวกับผู้หญิงที่เขาเห็นบนรถไฟอย่างแน่นอนนอกจากนี้ผู้ชายสองคนที่อยู่กับเธอบนรถไฟก็อยู่ข้างๆเธอในเวลานี้ด้วย ซึ่งนั่นยิ่งทําให้เขาแน่ใจ
“จุ๋นเจี๋ยนายมองอะไรอยู่?” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆเขาถามขึ้น ชายหนุ่มคนนี้อายุประมาณยี่ สิบสองถึงยี่สิบสามปี เขาสวมเสื้อยืดตัวใหญ่และมีโซ่ทองเส้นหนาคล้องอยู่ที่คอ ใบหน้าของเขาดูชั่วร้าย
อู๋จุ๋นเจี๋ยพูดขึ้นทันที “พี่ ฉันเหมือนจะเห็นสามคนนั้นที่ฉันเพิ่งเล่าให้พี่ฟังไปก่อนหน้านี้ ที่ฉันเจอพวกเขาบนรถไฟ!”
“อ้อ ผู้หญิงที่นายบอกว่าสวยอย่างกับนางฟ้านั่นน่ะเหรอ?” ชายหนุ่มหัวเราะพร้อมกับตบไหล่อู๋จุ๋นเจี๋ยและพูดว่า “ไม่ต้องห่วง แม้ว่าลูกพี่ลูกน้องของนายคนนี้จะทําอะไรไม่ได้มากในเจียงโจว แต่ถ้าเป็นเรื่องในมหาวิทยาลัยล่ะก็ ฉันสามารถจัดการให้นายได้อย่างสบายๆ!”
อู๋จุ๋นเจี๋ยดีใจมาก “ขอบคุณมากครับพี่!”
“ขอบคุณอะไร เราเป็นลูกพี่ลูกน้องกันไม่จําเป็นต้องสุภาพขนาดนี้หรอกหน่า!” ชายหนุ่มหน้าตาชั่วร้ายโบกมือและยิ้ม “ไป พาฉันไปดูผู้หญิงที่นายพูดถึงหน่อย ฉันอยากจะรู้นักว่าผู้หญิงคนนี้ สวยมากขนาดไหนถึงทําให้ลูกพี่ลูกน้องของฉันคนนี้หลงเสน่ห์ของเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ!”
เมื่อชายหนุ่มที่หน้าตาชั่วร้ายพูดจบเขาก็โบกมือและพูดว่า “ทุกคนขึ้นรถ!”
“พี่ ฉันเห็นพวกนั้นเข้าไปในโรงแรมเหอซุนที่เราเพิ่งผ่านมา แต่เท่าที่ฉันเห็นพวกนั้นมีกันห้าถึงหกคน ฉันกลัวว่ามันจะเสี่ยงเกินไปสําหรับเรา” อู๋จุ๋นเจี๋ยที่นั่งอยู่ในรถพูดด้วยความเป็นกังวล เพราะในเวลานี้แม้จะนับรวมเขาเข้าไปด้วย พวกเขาก็มีเพียงแค่สามคน แล้วถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นพวกเขาอาจจะเป็นฝ่ายที่เดือดร้อนเองก็เป็นได้
“เสี่ยง?” ชายหนุ่มที่มีหน้าตาชั่วร้ายแสยะยิ้ม “ถ้าเป็นที่โรงแรมเหอซุน นายไม่ต้องเป็นห่วงว่าลูกพี่ลูกน้องของนายจะได้รับความเดือดร้อน เพราะถ้าเจ้าของโรงแรมรู้ว่าฉันเข้าไปใช้บริการที่นั่นจะยิ่งรีบออกมาต้อนรับขับสู้อย่างดีเสียมากกว่า เขาไม่กล้าที่จะมองข้ามคนอย่างฉันแน่นอน ตอนนี้นายเอาเวลาไปคิดดีกว่าว่าจะจัดการกับสาวน้อยคนนั้นยังไงเมื่อฉันส่งคนพวกนั้นไปสถานีตํารวจ!”
อู๋จุ๋นเจี๋ยรู้สึกโล่งใจทันทีเมื่อได้ยินลูกพี่ลูกน้องของเขาพูดแบบนี้ และเริ่มเพ้อฝันถึงตอนที่จี้เฟิง และคนอื่นๆถูกจับไปหมด และหญิงสาวที่สวยและมีเสน่ห์คนนั้นกําลังขอร้องอ้อนวอนเขา
หึหึ เธออยากช่วยพวกเขามั้ย? มันง่ายมาก ตราบใดที่เธอมาเป็นคนของฉัน ฉันก็พร้อมจะคุยกับเธอได้ทุกเรื่อง
รถโตโยต้าสีดําสตาร์ทอย่างรวดเร็วและตรงไปที่โรงแรมเหอซุน
ในเวลานี้จี้เฟิง ไม่ได้รู้เลยว่ากําลังจะมีปัญหาเกิดขึ้น เขานั่งอยู่ในห้องอาหารบนชั้นสองของโรงแรมเหอซุน กําลังพูดคุยและหัวเราะอย่างสนุกสนานกับเพื่อนใหม่ร่วมหอพักของเขาทั้งสามคน
จี้เฟิงถึงกับต้องถอนหายใจด้วยความยินดี เพราะมีเพื่อนที่ปกติจริงๆเพียงไม่กี่คนที่เขารู้จัก ไม่ต้องพูดถึงจางเลย เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ฉลาดและเป็นคนตลกแถมยังมีภูมิหลังที่ดี แต่ไม่รู้ว่าทําไมเขาถึงกลัวเหลือเกินว่าคนอื่นจะคิดว่าเขาเป็นนักเรียนที่ดี และดูเหมือนใครก็ตามที่เรียกเขาว่า ‘นักเลงในคราบนักเรียน’ มันจะทําให้เขารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งเมื่อได้ยินคนอื่นพูดถึงเขาแบบนี้
และเพื่อนร่วมห้องอีกสามคนที่จี้เฟิงพบในตอนนี้ต่างก็มีบุคลิกเฉพาะตัวเช่นกัน
‘ตู้เส้าเฟิง’ ชายผิวดําร่างใหญ่ที่มาจากเมืองมัตสึเอะที่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขามีรูปร่างกํายําและผิวสีเข้ม ถ้าเขาอาศัยอยู่ในสมัยโบราณเขาจะต้องเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและ ถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน โดยเฉพาะท่าทางการเดินของตู้เส้าเฟิงที่ดูไม่ธรรมดา จี้เฟิงรู้สึกสนใจท่าทางการเดินของเขาเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากเขาจําไม่ผิด ตู้เส้าเฟิงผู้นี้ต้องเป็ นผู้ที่มีทักษะการต่อสู้ที่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวดแน่นอน
นิสัยของตู้เส้าเฟิงนั้นก็เหมือนกับรูปลักษณ์ภายนอกของเขา เขาดูเป็นคนกล้าหาญและพูดเก่ง และดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่ไม่คิดมากกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ การพูดของเขาเรียกได้ว่าถ้าเขาคิดอะไรอยู่ก็พูดมันออกมาทั้งแบบนั้นโดยที่แทบไม่ได้ผ่านกระบวนการกรองของสมองก่อนเลย
ส่วนเพื่อนร่วมห้องคนที่สอง ‘จ้าวไค’ จากที่เฟิงกะประมาณจากสายตา เขาน่าจะสูง ประมาณ 173 เซนติเมตรซึ่งนั่นทําให้เขาอาจจะดูผอมไปสักหน่อย จากบุคลิกลักษณะภายนอกเขาดูเป็นคนที่เรียบร้อยและอ่อนโยนทีเดียว
อย่างไรก็ตามเมื่อจ้าวไคพูดขึ้น จี้เฟิงก็รู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ควรด่วนตัดสินคนอื่นจากแค่รูปลักษณ์ภายนอก
เพราะถึงแม้ว่าจ้าวไคจะเป็นคนที่พูดน้อย แต่เวลาเขาพูดขึ้นมาแต่ละที เหมือนมีอะไรเสียดแทงเข้าไปในใจอย่างแรง และมักจะทําให้คนอื่นหัวเราะได้เสมอ
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อตอนที่เส้าเฟิงมาถึงโต๊ะอาหารและมองไปที่เมนู เขาพูดขึ้นว่า ราคาอาหารที่เจียงโจวนั้นสูงเกินไป
จ้าวไคมองไปที่ตู้เส้าเฟิงด้วยสีหน้าเรียบเฉยและพูดว่า “พี่ตู้ ด้วยรูปลักษณ์ของคุณ ถ้าคุณไปเต้นรูดเสา ฉันคิดว่าเจ้าของร้านน่าจะให้เราได้กินฟรีอย่างแน่นอน”
จี้เฟิงและคนอื่นๆที่กําลังยกแก้วดื่มน้ํา ถึงกับมีน้ําพุ่งออกมาจากปากของพวกเขาทันที แต่จ้าวไคยังคงมีสีหน้าที่เคร่งขรึมราวกับว่าเขากําลังพูดเรื่องที่จริงจัง
ตามคําสรุปของจางเล่ย จ้าวไคเป็นผู้ชายที่น่าเบื่อเป็นอย่างยิ่ง
และเพื่อนร่วมห้องคนที่สาม ‘ฮั่นจง’ เขาเป็นผู้ชายตัวอ้วนที่ดูมีความสุขตลอดเวลา เขาสูงแค่ 168 เซนติเมตร แต่ตัวของเขานั้นหนาเท่าๆกันทั้งท่อนบนและท่อนล่าง มันจึงทําให้เขาดูเป็นคนที่ไม่มีเอว หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเอวของฮั่นจงนั้นหนาเกินไปดังนั้นจึงทําให้ร่างกายของเขามีลักษณะที่เหมือนและเท่ากันไปหมดทั้งตัว
การประเมินของจ้าวไค “ฮั่นจง ร่างกายของคุณมีความหนาพอๆกันทั้งด้านบนและด้านล่างดังนั้นเข็มขัดของคุณคงจะต้องทํางานหนักมาก?”
ฮั่นจง จี้เฟิง และคนอื่นๆ ถึงกับชะงักในเวลาเดียวกันเมื่อได้ยินที่จ้าวไคพูดและพวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่จ้าวไคพูดนั้นหมายถึงอะไร
สักพักจ้าวไคก็ดันแว่นของเขาขึ้นอย่างใจเย็นและพูดเสริมอย่างจริงจัง “เพราะถ้าหากเข็มขัดของคุณไม่รัดกางเกงของคุณเอาไว้ตลอดเวลา ฉันเกรงว่ากางเกงของคุณคงจะหล่นลงมาใช่หรือไม่? เพราะรูปร่างของคุณคล้ายกับเสาโทรเลข!”
ทุกคนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ในใจ และคิดเหมือนกันว่าจ้าวไคคนนี้ช่างมีพรสวรรค์ในการเปรียบเทียบให้เห็นภาพอย่างชัดเจนมากจริงๆ
นี่คือเพื่อนร่วมห้องสามคนของจี้เฟิง เป็นผู้ชายสามคนที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“จี้เฟิง เพื่อนร่วมห้องของนายสามคนนี้น่าสนใจจริงๆ” ถงเล่ยกระซิบอยู่ข้างๆจี้เฟิงและ เม้มปากของเธอหลังจากที่เพิ่งหัวเราะเบาๆ นั่นจึงยิ่งทําให้เธอดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบหนึ่ง
ตู้เส้าเฟิงตะโกนด้วยความไม่พอใจทันที “พี่ชาย น้องสาวพวกคุณอย่าทําแบบนี้ คุณก็รู้ว่าฉันยังโสดแต่พี่ชายและน้องสาวมาจูกันต่อหน้าฉันแบบนี้ มันจะยิ่งทําให้ฉันอยากหาแฟนให้ได้ไวๆ!”
ใบหน้าสวยของถงเล่ยแดงระเรื่อทันที แต่เธอเป็นคนฉลาดและไหวพริบดี เธอตอบไปว่า “การเป็นโสดมันก็ดีเหมือนกัน มีหลายคนที่อยากเป็นโสดเพราะเขายังไม่ได้ใช้โอกาสเมื่อตอนเป็นโสด และถ้าคุณไม่พูดขึ้นมาฉันก็คิดว่าคุณชอบที่จะเป็นโสดเสียอีก!”
ตู้เสาเฟิงยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ทันที เขาได้แต่ยิ้มแหยๆและคิดในใจ ไม่ว่าใครที่ชอบการเป็นโสด แต่นั่นไม่ใช่ฉันอย่างแน่นอน เพราะฉันต้องการที่จะหาแฟนเยอะๆ มีสาวๆให้กอดซ้ายทีขวาที สิ่งนี้ต่างหากล่ะ คือชีวิตในอุดมคติของฉัน!
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ลงเลยพูดจาอย่างชัดถ้อยชัดคําจึงทําให้ผู้เส้าเฟิงไม่กล้าพูดอะไรมาก มันเป็นเรื่องน่าอายที่ถูกสาวน้อยคนหนึ่งพูดเรื่องจริงด้วยความใสชื่อ นั่นจึงทําให้เขาไม่สามารถพูดอะไรต่อได้
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้จ้าวไคจึงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “พี่ตู้ คุณตัวโตขนาดนี้ แต่ไม่สามารถพูดโต้แย้งกับสาวน้อยคนนี้ได้ คุณนี้โตมาอย่างสิ้นเปลืองค่าอาหารจริงๆ!”
ตู้เส้าเฟิงถึงกับยิ้มเพื่อนๆ “ไคซือ อย่าว่าฉันแบบนั้น ถ้าเป็นนายนายจะเถียงชนะพี่สะใภ้ได้หรือไม่ล่ะ?”
จ้าวไคดันแว่นตาของเขาขึ้นและพูดอย่างจริงจัง “ในเมื่อคุณบอกว่าเธอเป็นน้องสาว แล้วจะเป็นการโต้เถียงกับพี่สะใภ้ไปได้อย่างไร คําพูดของคุณนั้นไม่น่าเชื่อถือ!”
ตู้เส้าเฟิงรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อจากนั้นเขาจึงตระหนักได้ว่าเขาควรหุบปากและก้มหน้าก้มตากินข้าวไปเงียบๆจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นอาจจะมีคนที่ออกมาทําให้เขาพูดไม่ออกอีกก็เป็นได้
ทันใดนั้นทุกคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะขึ้น และในเวลานี้พนักงานเสิร์ฟก็ได้นําอาหารมาเสิร์ฟแล้ว
ตู้เส้าเฟิงหัวเราะ “ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ฉันจะได้ฉายแสงแล้ว คุณพนักงานเสิร์ฟช่วยเอาเบียร์มาให้พวกเราสองลัง!”
เขาพูดกับคนอื่นๆว่า “ พี่น้องครับ เนื่องจากวันนี้เป็นการดื่มร่วมกันครั้งแรกของพวกเรา เพราะฉะนั้นเราก็อย่าเพิ่งรีบเมาและต้องดื่มให้มากที่สุดเลยนะครับ ฮ่าฮ่า!”
จี้เฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ไม่ว่าใครต่างก็ดื่มเยอะจนเมาได้ทั้งนั้น แต่ยกเว้นนาย! เพราะถ้าเกิดว่านายเมาจนสลบขึ้นมาใครจะเป็นคนแบกนายกลับไหวกันล่ะ?”
ตู้เส้าเฟิงกระแทกหน้าอกของเขาและพูดเสียงดังว่า “พูดเป็นเล่น! คนแบบฉันจะเมาจนสลบได้อย่างไร หรือต่อให้เป็นแบบนั้นจริงๆ ผู้ชายอกสามศอกสี่คนจะไม่สามารถแบกฉันกลับได้เลยเชียวรึ!?”
ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็ได้ยินเสียงดังเอะอะมาจากด้านนอก จากนั้นประตูห้องอาหารที่พวกเขานั่งอยู่ก็ถูกเตะเปิดออกอย่างแรง
กลุ่มของจี้เฟิงต่างขมวดคิ้วทันทีและหันหน้าไปทางประตู และพวกเขาก็เห็นชายหนุ่มสามคนกําลังก้าวเข้ามา หนึ่งในนั้นตะโกนขึ้นอย่างเกี้ยวกราด “มอบโทรศัพท์มาเดี๋ยวนี้!”
“โดนปล้น?” ตู้เส้าเฟิงสบถด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นทันที เขาคว้าขวดเบียร์พร้อมกับยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม “ไอ้ชั่วคนไหนมันกล้ามาปล้นเรา?!”
จี้เฟิงขมวดคิ้วและมองไปที่จางเล่ยและเห็นความเยาะเย้ยอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย เพราะหนึ่งในสามคนที่เตะประตูเข้ามามีคนที่พวกเขารู้จักอยู่ นั่นก็คืออู๋จุ๋นเจี๋ย คนที่พวกเขาเจอเมื่อตอนอยู่บนรถไฟ!