The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 115
บทที่ 115 การบันทึกหลักฐาน
“เรื่องจริงงั้นหรือ?” สีหน้าของรองผู้บัญชาการเจิ้งยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่สายตาของเขาหันไปทางจางเล่ย
“ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน!” จางเล่ยตอบอย่างเย็นชาและพูดต่อว่า “ผู้กองหวังคนนี้เปลี่ยนจากขาวให้เป็นดําอย่างหน้าด้านๆ ความจริงก็คือเราเคยพบกับคนคนหนึ่งบนรถไฟตอนมาที่สหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวเพื่อรายงานตัว”
จางเล่ยอธิบายเรื่องราวทั้งหมดโดยละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเฉพาะคําพูดของผู้กองหวังและอู๋เฉียนที่พวกเขาพูดถึงแผนสกปรกของพวกเขาในห้องสอบสวนที่จะจัดการตัวเขาเองกับคนอื่นๆ จางเล่ยเล่าทุกอย่างโดยไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง
“อู๋จุ้นเจี๋ยอยู่ที่ไหน?” รองผู้บัญชาการเจิ้งยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้าหลังจากฟังเรื่องราวทั้งห มดและถามหาอู๋จุ้นเจี๋ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เขาอยู่ที่ห้องสอบสวนอื่นครับ…” ผู้กองหวังตอบ จากนั้นเขาก็พยักหน้าให้กับตํารวจนายหนึ่งแล้วพูดว่า “ไปที่ห้องสอบสวนหมายเลข 5 แล้วพาตัวอู๋จุ้นเจี๋ยมา!”
ก่อนที่นายตํารวจคนนั้นจะเดินออกไปเพื่อพาตัวอู๋จุ้นเจี๋ยมา รองผู้บัญชาการเจิ้งก็พูดขึ้นว่า “ฉันจะไปหาเขาเอง!” หลังจากนั้นเขาก็มองกลับไปที่จี้เฟิงกับคนอื่นๆและพูดว่า “พวกเธอไปกับฉัน!”
“ท่านรองเจิ้ง มันดูจะไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่ ท่านรองเจิ้งไม่จําเป็นที่จะต้องไปพบเขาด้วยตัวเอง เดี๋ยวผมให้คนพาเขามาพบท่านที่นี่จะดีกว่านะครับ” ผู้กองหวังพูดพร้อมกับส่งสายตาขอความช่วยเหลือให้สนับสนุนคําพูดของเขากับคนผู้ชายสองคนที่ตอนนี้ยืนอยู่ข้างๆกับรองผู้บัญชาการเจิ้ง
ผู้ชายสองคนที่ว่านี้ก็คือ “อาจารย์ผู้สอนและผู้กํากับการสถานีตํารวจในเมืองมหาวิทยาลัย หลังจากพวกเขาที่ได้ยินว่ารองผู้บัญชาการเจิ้งมาที่สถานีตํารวจแห่งนี้ พวกเขาก็มาปรากฏตัวและยืนอยู่ข้างๆรองผู้บัญชาการเจิ้งอย่างรวดเร็ว และเมื่อพวกเขาได้ยินว่ารองผู้บัญชาการเจิ้งเดินทางมาที่นี่เพื่อตรงมาหาผู้กองหวัง สีหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเศร้าหมองและหัวใจที่สั่นรัว
ผู้กองหวังคนนี้ชื่อ หวังเหลียนเฉิง เดิมทีเขาเป็นแค่นักเลงข้างถนน แต่เพราะผู้กํากับได้ตกหลุมรักพี่สาวของหวังเหลียนเฉิง และได้ขอให้เธอเป็นคนรักของเขา หวังเหลียนเฉิงคนนี้จึงอาศัยความสัมพันธ์ในลักษณะนี้เพื่อที่จะได้ที่นั่งในสถานีตํารวจแห่งนี้และเขาก็ได้ตําแหน่งผู้กองมาด้ วยวิธีนี้นั่นเอง
และเมื่อรองผู้บัญชาการเจิ้งได้ตรงมาที่นี่เพื่อมาหาผู้กองหวังโดยตรง มันจึงเห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน นั่นจึงทําให้ผู้กํากับถึงกับใจคอไม่ดีทันทีเมื่อรู้ข่าวโดยไม่จําเป็นต้อ งบอกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าหวังเหลียนเฉิงผู้นี้จะต้องก่อปัญหาขึ้นอีกอย่างแน่นอน และครั้งนี้ต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆอย่างที่ผ่านมาและมันยังทําให้ผู้นําต่างๆที่อยู่ในเขตเมืองถึงกับตื่นตระหนก
แม้เขาจะเข้าใจสายตาที่ขอความช่วยเหลือของหวังเหลียนเฉิง แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้สักเท่าไหร่นัก แต่เขาก็พอจะรู้จักนิสัยน้องเขยของเขาคนนี้ดี
และเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อนเขาจึงได้แต่ตามน้ำไป เขารีบพูดว่า “ใช่แล้ว ท่านรองผู้บัญชาการเจิ้ง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ท่านไม่ต้องลําบากไปหาเขาด้วยตัวเองหรอกครับ ปล่อยให้พวกเด็กๆ เป็นคนพาเขามาพบท่านจะดีกว่า”
“ไม่จําเป็น ฉันจะไปเอง!”
รองผู้บัญชาการเจิ้งปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้า แต่อันที่จริงมันก็ไม่ได้ทําให้ผู้กํากับเสียหน้าแต่อย่างใด เพราะในฐานะของผู้กํากับมักจะไม่ค่อยมีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับบุคคลระดับนี้อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น สาเหตุที่เขามาในครั้งนี้ เพียงเพื่อที่จะมาพบจี้เฟิงและหลานๆของเขา แล้วทําไมเขาถึงจะต้องสนใจคําพูดของคนอื่น?
ผู้กํากับถึงกับสะอึกเมื่อเห็นรองผู้บัญชาการเจิ้งกําลังจะก้าวขาเดินออกไป เขาจึงรีบมองไปทางหวังเหลียนเฉิงด้วยสายตาที่ดุดันเพื่อเป็นการบอกให้เขาเดินตามไป
“ห้องสอบสวนไหน!” รองผู้บัญชาการเจิ้งถามด้วยน้ำเสียงที่เริ่มไม่สบอารมณ์
หวังเหลียนเฉิงตกใจกลัวจนพูดตะกุกตะกัก “เอ่อ..ผมอาจจะจําผิด อู๋จุ้นเจี๋ยเป็นผู้แจ้งความเพราะฉะนั้นเขาน่าจะอยู่ที่ห้องสํานักงานในเวลานี้”
“ฮึ่ม!”
รองผู้บัญชาการเฉิงตะโกนอย่างเย็นชา “ไปเรียกทุกคนแล้วไปรวมกันที่ห้องสํานักงาน!”
อย่างไรก็ตามเมื่อทุกคนมาถึงที่ห้องสํานักงานและเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาก็รู้สึกใจคอไม่ดี เพราะอู๋จุ้นเจี๋ยซึ่งเป็นเพียงพลเรือนแม้จะเป็นผู้แจ้งความก็ควรจะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย แต่เขากลับนั่งเล่นคอมพิวเตอร์อยู่ที่โต๊ะทํางานของเจ้าหน้าที่ตํารวจด้วยความเพลิดเพลินจนขนาดที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนเข้ามาในห้องสํานักงาน
“เธอคืออู๋จุ้นเจี๋ย?” หลังจากที่รองผู้บัญชาการเจ๋งกวาดสายตามองไปรอบๆห้องสํานักงานและเมื่อเห็นว่ามีอู๋จุ้นเจี๋ยนั่งอยู่คนเดียวจึงเอ่ยปากถามทันที
“ใช่! แล้วคุณเป็นใคร?” อู๋จุ้นเจี๋ยชะงักและถามกลับอย่างไม่สบอารมณ์
“นี่คือวิธีการทํางานของพวกคุณ?” รองผู้บัญชาการเจิ้งไม่สนใจอู๋จุ้นเจี๋ยและหันไปมองหน้าผู้กํากับและอาจารย์ผู้สอน
ในเวลานี้ผู้กํากับและอาจารย์ผู้สอนที่ยืนหน้าซีดมาซักพักหนึ่งแล้วพวกเขาต่างคิดที่อยากจะเข้าไปจัดการหวังเหลียนเฉิงซะเดี๋ยวนั้น
“สรุปว่ามันเกิดอะไรขึ้น จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ได้รับคําอธิบายอย่างตรงไปตรงมา!” รองผู้บัญชาการเจิ้งจ้องไปที่หวังเหลียนเฉิงและพูดอย่างเย็นชา
แม้ว่าตอนนี้ขาของหวังเหลียนเฉิงจะอ่อนแรงมาก แต่เขารู้ดีว่าไม่ว่ายังไงวันนี้เขาก็ไม่สามารถยอมรับในสิ่งที่เขาทําในวันนี้ได้ มิฉะนั้นเขาจะต้องพบกับความฉิบหายอย่างใหญ่หลวง
เขาก้มหัวและพูดว่า “ท่านรองเจิ้ง เรื่องที่ผมเล่าไปเป็นความจริงทั้งหมด!”
สีหน้าของรองผู้บัญชาการเจิ้งมืดลงทันที เขาไม่มีหลักฐานใดๆในเรื่องนี้อย่างชัดเจน อย่างดีที่สุดเขาก็ทําได้แค่ปลดหวังเหลียนเฉิงออกจากตําแหน่งด้วยเหตุผลอะไรก็ตามในอนาคต แต่ไม่ใช่ในวันนี้เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะระบายความโกรธที่หวังเหลียนเฉิงกล้าทํากับหลานชายและหลานสาวของเขาโดยที่ไม่มีหลักฐาน
“หึหึ!”
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะของจางเล่ยก็ดังขึ้น “ท่านรองผู้บัญชาการเจิ้งครับ ผู้กองหวังคนนี้เขาใช้อํานาจในทางที่ผิดและข่มขู่ประชาชน!”
“โอ้ ใช้อํานาจในทางที่ผิดอย่างไร? มีอะไรก็พูดมาได้เลย ฉันจะรับรองความปลอดภัยให้เอง!” รองผู้บัญชาการเจิ้งโบกมือใหญ่ๆของเขาขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยพลัง
“ท่านรองเจิ้ง คุณอย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของคนพวกนี้ พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้ต้องสงสัยและมันเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะโกหกเพื่อปกป้องตัวเองจากความผิด!” หวังเหลียนเฉิงกล่าวอย่างรวดเร็ว
“คิกคิก ผู้กอง อย่าเพิ่งเถียงสิคร้าบ คุณต้องลองฟังสิ่งนี้ดูก่อน แล้วหลังจากนั้นผู้กองอยากจะพูดอะไรผมก็จะไม่ขัดอีก!” เมื่อพูดจบจางเล่ยก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“ใช่! โทรศัพท์ของฉันมันไม่ได้หาย ฉันแค่ต้องการให้พวกนายมีความผิด แต่แล้วยังไง? ในเมื่อรู้ความจริงแบบนี้แล้วพวกนายจะทําอะไรฉันได้?!”]
“ฉันคงทําอะไรนายไม่ได้ แต่ที่นี่คือสถานีตํารวจที่เต็มไปด้วยผู้รักษากฎหมาย ฉันเชื่อว่าพวกเขาจะรักษาความยุติธรรมให้กับพวกเรา!”
[“เฮ้ เด็กน้อย แกโง่หรือเปล่าเนี่ย? ฉันกับอู๋เฉียนพวกเราสนิทกัน อย่าว่าแต่จะให้ฉันจับเขาเลย ฉันจะปล่อยให้เขาทําร้ายพวกแกจนถึงตายและจะยัดเยียดความผิดให้กับพวกแกด้วย เป็นไง ยุติธรรมพอหรือเปล่า?”]
เมื่อได้ยินบทสนทนาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหวังเหลียนเฉิง ผู้กํากับหรืออาจารย์ผู้สอน ต่างก็มีใบหน้าที่ซีดขาวไร้ร่องรอยของเลือด อู๋เฉียนรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเขาได้แต่พึมพํา “นี่มันเป็นไปได้ยังไง”
จี้เฟิงพยายามอย่างมากที่จะกลั้นหัวเราะ จางเล่ยเจ้าเพื่อนตัวแสบคนนี้ของเขาเรียนรู้ได้เร็วมาก จางเล่ยจํากลอุบายเมื่อตอนที่เขาใช้ในการจัดการกับซูเฉาและลูกชายของเขาซูหม่าเมื่อตอนนั้นได้
แต่ไม่ว่าอย่างไร ผลมันก็ออกมาดีมาก!
“รออะไรกันอยู่ จับคนพวกนี้ไปให้หมด!” รองผู้บัญชาการเฉิงตะโกน และเจ้าหน้าที่ตํารวจหลายสิบนายก็พุ่งตรงไปที่หวังเหลียนเฉิงและคนอื่นๆ อย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นหวังเหลียนเฉิง อู๋เฉียน และคนอื่นๆถูกจับกุม จี้เฟิงก็ยิ้มทันที เขารู้ดีว่าถ้าหวังเหลียนเฉิงไม่ถูกลงโทษให้ออกจากตําแหน่งภายในวันนี้ เขาคงจะไม่สามารถมีชีวิตที่สงบสุขในมหาวิทยาลัยได้ในอนาคต และถงเลยก็ต้องตกอยู่ในอันตรายจากฝีมือของอู๋เฉียนและอู๋จุ้นเจี๋ยอย่างแน่นอน
“เดี๋ยวก่อน!”
จางเล่ยเดินไปหาอู๋จุ้นเจี๋ยอย่างรวดเร็ว และทันใดนั้นเขาก็ใช้ตัวของเขาบดบังสายตาของตํารวจคนอื่นๆและพูดด้วยเสียงต่ำ “กูบอกมึงไปแล้วใช่มั้ยว่า อย่าได้มายุ่งกับพวกกู ตอนนี้มึงเห็นแล้วใช่มั้ย ว่าผลมันเป็นยังไง?”
ทันทีที่เขาพูดจบ จางเล่ยก็กระแทกกําปั้นของเขาเข้าไปที่ท้องน้อยของอู๋จุ้นเจี๋ยอย่างรุนแรง ทันใดนั้นอู๋จุ้นเจี๋ยก็ตัวงอด้วยความเจ็บปวดจนแทบจะกระอักเลือดจนทําให้เขาแทบจะล้มลงไปกองอยู่กับพื้น
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้มเพื่อนๆ จางเล่ย ไม่ว่ายังไงเพื่อนของเขาคนนี้ก็ยังคงเป็นคนที่ใจเย็นไม่เป็นอยู่ดี!
เมื่อทุกคนถูกนําตัวออกไปจากห้องสํานักงาน รองผู้บัญชาการเจิ้งก็มองไปที่จางเล่ยและคนอื่นๆ เขาส่ายหัวเล็กน้อย “ทําไมพวกเธอถึงได้ก่อเรื่องยุ่งตั้งแต่ครั้งแรกที่มาถึงเจียงโจว ทําไมจะต้องทําตัวให้มีปัญหา?!”
จางเล่ยยิ้ม “น้าสอง เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะพวกเราซะหน่อย แต่เพราะเจ้าอู๋เฉียนกับผู้กองหวังนั่นมาก่อกวนเลยเล่ยต่างหาก หรือน้าจะปล่อยให้พวกเรายืนดูเล่ยเล่ยถูกรังแก?”
จากนั้นจางเล่ยก็แหลือบมองไปทางถงเล่ยและขยิบตาเป็นการส่งซิกเพื่อต้องการให้ถงเล่ยช่วยสนับสนุนคําพูดของเขา
การกระทําเล็กๆน้อยๆของจางเล่ยมีหรือจะรอดพ้นสายตาของรองผู้บัญชาการตํารวจแห่งเจียงโจวไปได้ เขายิ้มอย่างเหนื่อยใจ เขาโบกมือและพูดว่า “โอเคๆ ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ ฉันจะจัดการดูแลเรื่องนี้ให้เรียบร้อย เธอก็เอาหลักฐานการบักทึกเสียงไว้ที่นี่แล้วก็รีบๆกลับไปได้แล้ว!”
“น้าสอง จะให้พวกเรากลับไปทั้งแบบนี้ได้ยังไง น้าจะจัดการอย่างไรกับอู๋จุ้นเจี๋ย?” จางเล่ยถามอย่างรีบร้อน เขารู้ดีว่าผู้ที่เป็นสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมดนี้คืออู๋จุ้นเจี๋ยผู้หยิ่งผยอง จางเล่ยจึงถามเรื่องนี้ด้วยความสงสัย
รองผู้บัญชาการเจิ้งยิ้มและส่ายหัว “เพื่อนร่วมชั้นของเธอก็อยู่ที่นี่ ไม่กลัวว่าเพื่อนๆจะหัวเราะเยาะหรือยังไง?” หลังจากนั้นเขาก็เหลือบมองไปที่จี้เฟิง โดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ไม่รู้ได้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของจี้เฟิง และเป็นการบอกกับจางเล่ยเป็นนัยๆว่า เขาไม่อยากใช้อํานาจในเรื่องนี้อย่างชัดเจนเกินไปนัก
จางเล่ยไม่เข้าใจว่าน้าสองของเขาหมายถึงอะไร เขาเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป
ในความเป็นจริงแล้ว มิตรภาพระหว่างจางเล่ยและจี้เฟิงนั้นเป็นที่ชัดเจนมากว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขาแตกต่างจากมิตรภาพทั่วไปอย่างแน่นอน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือความสัมพันธ์ของพวกเขาเทียบไม่ได้เลยกับมิตรภาพของเพื่อนทั่วๆไป
“ท่านรองผู้บัญชาการเจิ้ง ผมก็คิดเช่นเดียวกันกับจางเล่ย ผู้ร้ายตัวจริงในเรื่องนี้คืออู๋จุ้นเจี๋ย ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าท่านรองจะจัดการกับเขาอย่างไร?!” จี้เฟิงพูดสนับสนุนจางเล่ยทันที
รองผู้บัญชาการเจิ้งตกใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็มองไปที่จางเล่ยอยู่พักหนึ่งและทันใดนั้นเขาก็รู้ว่าหลานชายของเขามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับหลานชายของตระกูลจิ้มากกว่าที่คิด จากนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องที่พี่เขยของเขาเคยบอกกับเขาในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างจี้เฟิงกับหลานสาวของเขาถงเล่ยขึ้นมาได้ทันที
เขาหัวเราะเบาๆและพูดว่า “ไม่ต้องกังวล ฉันจะหาข้อกฎหมายมาจัดการกับเรื่องนี้ ทางตํารวจจะจัดการส่งจดหมายไปยังสหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวเพื่อแจ้งเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นและแนะนําให้อู๋จุ้นเจี๋ยถูกไล่ออกจากสหพันธ์มหาวิทยาลัย”
“ใช่แล้ว มันต้องแบบนี้สิ!” จางเล่ยหัวเราะสะใจ “เพราะถ้าในอนาคตฉันยังต้องเห็นหน้าไอ้หมอนั่นอีกในมหาลัย ชีวิตฉันคงจะน่าเบื่อสุดๆ”
“เจ้าเด็กคนนี้!” รองผู้บัญชาการเจิ้งจ้องไปที่จางเล่ยและตําหนิเขาที่พูดออกมาอย่างไร้ยางอาย
จากนั้นรองผู้บัญชาการเจิ้งพูดปลอบใจจ้าวไคและคนอื่นๆหลายคน และขอให้พวกเขาลงบันทึกก่อนที่จะจากไป
จบบทที่ 115