The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 121
บทที่ 121 ผู้ที่เหมาะสมกว่า
“พี่จี้: กําลังคิดอะไรอยู่เหรอ ทําไมนั่งอมยิ้มเหมือนกับมีความสุขมากขนาดนั้น?” ทันใดนั้นตู้เส้าเฟิงก็เดินเข้ามานั่งข้างๆจี้เฟิงและถามด้วยรอยยิ้ม แต่ตอนที่เขาเดินเข้ามาหาอี้เฟิงท่าเดินของเขาดูแปลกไปจากเดิมเล็กน้อย คนทั่วไปถ้าไม่สังเกตให้ดีๆก็คงจะมองไม่ออกแต่นั่นไม่ใช่กับจี้เฟิงเขาสามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อนนี้ได้ในพริบตา!
“ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดอะไรนิดหน่อย แล้วก็รู้สึกเหนื่อยๆด้วย!” จี้เฟิงยิ้ม ส่วนเรื่องท่าเดินกะเผลกของตู้เส้าเฟิงจี้เฟิงคิดว่าน่าจะเป็นเพราะผลจากการฝึกของท่าที่ต้องยืนนิ่งๆเป็นเวลานานเขาจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก
ทันใดนั้นตู้เส้าเฟิงก็พูดขึ้นด้วยความแปลกใจ “พี่จี้เหนื่อยเป็นด้วยเหรอ?”
“ฉันก็คน ไม่ใช่เครื่องจักร ทําไมถึงจะเหนื่อยไม่เป็นล่ะ!” จี้เฟิงรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
“ไม่ใช่แบบนั้น แต่ฉันหมายถึงการฝึกระดับนี้ไม่น่าจะทําให้พี่จี้รู้สึกเหนื่อยได้” ตู้เส้าเฟิงไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเขาจึงพูดออกไปแบบติดๆขัดๆ
จี้เฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “แล้วนายรู้เหรอว่า คนอย่างฉันควรจะเหมาะสมกับการฝึกระดับไหน?”
ตู้เส้าเฟิงตอบทันที “ทําไมฉันจะไม่รู้ ฉันก็เป็นคนที่มีทักษะการต่อสู้และฝึกฝนอยู่กันเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แค่เรื่องการดูคนว่าเขามีพลังมากแค่ไหนทําไมจะดูไม่ออก การฝึกระดับนี้อย่างมากก็เป็นแค่การวอร์มอัพสําหรับพี่จี้เท่านั้นแหละ เพราะไม่ใช่แค่ฉันนะที่คิดแบบนี้แม้แต่ครูฝึกหูก็คิดเหมือนกันกับฉัน!”
“ครูฝึกหู?” หัวใจของจี้เฟิงเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย มันทําให้เขานึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้คนที่จ้อ งมองเขาก็คือครูฝึกหู มันจะใช่เพราะเรื่องนี้หรือเปล่า?
“ใช่! ครูฝึกหู พี่จี้คงคิดไม่ถึงหละสิ เมื่อคืนนี้ในขณะที่ทุกคนกําลังหลับพักผ่อน ฉันตั้งใจไปหาครูฝึกหูโดยเฉพาะ!” ใบหน้าของตู้เส้าเฟิงดูพึงพอใจและภาคภูมิใจราวกับว่าเขาเพิ่งได้ของล้ําค่ามา
จี้เพิ่งมองเขาด้วยสายตาที่ประหลาดใจเล็กน้อย เขายิ้มแล้วถามว่า “เหล่าตู้ นายคงไม่ได้ตั้งใจไปหาครูฝึกหูเพื่อที่จะพูดคุยกับเขาเฉยๆใช่มั้ย?”
“แน่นอน!” ตู้เส้าเฟิงยิ้ม “ฉันก็ต้องขอให้เขาแลกเปลี่ยนทักษะการต่อสู้กับฉันสักเล็กน้อยและมันก็สนุกมาก ทักษะของครูฝึกหูนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!”
จี้เฟิงรู้สึกตกใจเล็กน้อย “ครูฝึกหูแพ้นายเหรอ?”
ตู้เส้าเฟิงส่ายหัวทันที “ฉันก็ตอบได้ไม่เต็มปากว่าใครกันแน่ที่ชนะ เพราะมันไม่มีอะไรมาชี้วัดให้ชัดเจน ฉันว่าเราค่อนข้างจะสูสีกันอยู่นะ เพราะพวกเราต่างคนก็ต่างได้รับบาดเจ็บกันคนละนิดคนละหน่อย!”
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็นึกขึ้นได้ทันที ท่าเดินที่ดูแปลกๆของตู้เส้าเฟิงก่อนหน้านี้ ต้องเป็นเพราะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับครูฝึกหูอย่างแน่นอน เขาจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม
“อ้อ! แล้วก็.ครูฝึกหูดูเหมือนเขาจะสนใจพี่จี้อยู่นิดหน่อย!” ตู้เส้าเฟิงพูดขึ้นอย่างกะทันหัน“หลังจากเมื่อวานที่ฉันได้คุยกับเขา เขาก็ถามฉันเกี่ยวกับพี่จี้ด้วย!”
“นายพูดอะไรไป!” จี้เฟิงถามด้วยน้ําเสียงที่จริงจัง
“ฉันก็แค่พูดในสิ่งที่ฉันพอจะรู้ เช่นเรื่องทักษะการต่อสู้ของพี่จที่แข็งแกร่งมากรวมถึงการเคลี่อนไหวของพี่จี้ที่เหมือนกับมือสังหาร แล้วฉันก็บอกด้วยว่าฉันไม่กล้าสู้กับพี่จี้ ฮ่าๆ” ตู้เส้าเฟิงหัว เราะเบาๆ โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าสายตาของจี้เพิ่งเริ่มเปลี่ยนไป
“นายกล้าหักหลังฉันและเอาฉันไปนินทาลับหลังงั้นเหรอ?” จี้เฟิงมองไปที่ตู้เส้าเฟิงด้วยสีหน้าตึงเครียดและถามด้วยความโกรธ ไม่น่าแปลกใจเลยที่วันนี้หูเกี่ยจวินจ้องมองเขาระหว่างการฝึกทหาร ในตอนนี้จี้เฟิงกําลังคิดว่าที่ผู้เส้าเฟิงเอาเรื่องของเขาไปพูดลับหลังกับหูเกี่ยจวินมันจะเกี่ยวข้องกับการที่หูเกี่ยจวินจ้องมองเขาหรือไม่?
ตู้เส้าเฟิงยังคงยิ้มและพูดขึ้นอย่างไร้ยางอาย “จะเรียกว่าฉันหักหลังได้ยังไง ในเมื่อฉันก็พูดความจริงส่วนหนึ่งนั่นเป็นเพราะท่าทางของครูฝึกหูคล้ายกันกับของพี่จี้อยู่เล็กน้อย ฉันเลยอยากรู้ว่าระหว่างพี่จี้กับครูฝึกหูถ้าสู้กันขึ้นมาจริงๆใครจะเป็นฝ่ายชนะ?”
จี้เฟิงไม่รู้จะทําอย่างไรกับผู้ชายหน้าด้านคนนี้แล้วจริงๆ เขาจึงได้แต่ส่ายหัวอย่างอ่อนใจ
“ฉันว่าพี่จี้เตรียมตัวให้พร้อมดีกว่า ฉันเดาว่าคืนนี้ครูฝึกหูต้องมาขอแลกเปลี่ยนทักษะกับพี่จี้แน่นอนแล้วถ้าถึงเวลานั้นก็อย่ามัวแต่ออมมือล่ะ แสดงให้ครูฝึกหูเห็นไปเลยว่าฝีมือพี่จี้เยี่ยมยอดขนาดไหน ฮ่าๆๆ!!”
เมื่อตู้เส้าเฟิงพูดถึงการต่อสู้ สีหน้าและแววตาของเขาก็เป็นประกาย “ถ้าพี่จี้สามารถเอาชนะครูฝึกหูได้ล่ะก็… ฮิฮิ!!”
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็เหมือนจะจําอะไรบางอย่างได้และถาม “นายเพิ่งพูดว่า นายกับครูฝึกหูฝีมือพอๆกันงั้นใช่มั้ย?”
สําหรับทักษะของตู้เส้าเฟิงจี้เฟิงพอจะรู้อยู่นิดหน่อย เพราะเขาได้เห็นการต่อสู้ของผู้เส้าเฟิงเมื่อตอนที่เขาเอาชนะอู่เฉียนได้ที่ห้องอาหารของโรงแรม กับอีกครึ่งหนึ่งก็ตอนที่ต่อสู้ร่วมกันกับเขาในห้องสอบสวน จี้เฟิงจึงพอจะรู้ว่าฝีมือของตู้เส้าเฟิงนั้นไม่ธรรมดาเลย
แต่เขาก็ไม่คาดคิดว่าหูเกี่ยจวินและตู้เส้าเฟิงจะมีฝีมือสูสีกัน นั่นก็หมายความว่าหูเกี่ยจวินก็มีฝีมือที่ดีพอสมควรเลยทีเดียว ที่จี้เฟิงไม่คิดแบบนั้นเพราะว่าเขาเคยได้ยินมาว่าทหารที่มารับผิดชอบการฝึกทหารของนักศึกษาในครั้งนี้ล้วนเป็นกองกําลังทหารที่ไม่สําคัญ เพราะเป็นเพียงแค่การฝึกทหารของนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เขาจึงคัดเลือกทหารมาจากกรมกองกําลังประชาชนและเมื่อเทียบกับทหารของกองกําลังภาคสนามตามปกติหรือกองทัพอื่นๆ พวกเขานั้นมีทักษะที่แย่กว่ามาก
อย่างไรก็ตามด้วยทักษะของหูเกี่ยจวิน เขาสามารถเลือกที่จะไปอยู่กองทัพภาคสนามหรือแม้แต่กองกําลังชั้นยอดได้แต่ทําไมเขาถึงเลือกที่จะมาเป็นครูฝึกนักศึกษาอยู่ที่นี่?
แต่ในไม่ช้าจี้เฟิงก็เข้าใจได้ในทันที
เมื่อนึกถึงทัศนคติของหูเกี่ยจวินที่มีต่อหวังเสี่ยวหูเมื่อวานนี้ จี้เฟิงจึงรู้ได้ทันทีว่าหูเกี่ยจวินคนนี้ต้องเป็นคนที่รักความยุติธรรมและไม่ค่อยจะพอใจคนประเภทอย่างหวังเสี่ยวหูอยู่พอสมควรแล้วด้วยเหตุผลที่เขาเป็นคนเช่นนี้เขาจึงอาจจะไปทําให้คนใหญ่คนโตรู้สึกไม่พอใจ จึงทําให้เขาไม่ได้รับการเลื่อนตําแหน่งหน้าที่ในอย่างที่ควรจะเป็น ในเมื่อคนใหญ่คนโตไม่พอใจเขา แล้วใครจะกล้าขัดแย้งกับผู้มีอิทธิพลเพื่อที่จะผลักดันเขาแม้ว่าเขาจะมีฝีมือที่ดีมากก็ตาม
พอไม่มีคนที่มีอํานาจมากพอมาผลักดันและสนับสนุน มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะเป็นใหญ่เป็นโตได้ในสังคมสมัยนี้ จี้เฟิงจึงหมดข้อสงสัยในทันที เพราะเห็นได้ชัดว่านี่คือสาเหตุที่หูเกี่ยจวินต้องเข้ามาเป็นครูฝึกทหารให้กับนักศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัย
จี้เพิ่งเริ่มรู้สึกดีกับครูฝึกหูคนนี้ขึ้นเล็กน้อยและแม้จี้เฟิงจะเข้าใจในเรื่องพวกนี้ดี เขาก็ยังคิดว่า หูเกี่ยจวินไม่ควรที่จะก้มหัวยอมรับชะตากรรมง่ายๆเพราะไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่ต้องมากลายเป็นครูฝึกของนักศึกษาอยู่ที่นี่
“ถ้ามีเหตุจําเป็นฉันก็คงจะเลือกเป็นเพื่อนกับเขาเพราะการผูกมิตรกับคนแบบนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี” จี้เฟิงพูดกับตัวเองอยู่ในใจ
“หือ? ดูเหมือนจะมีคนใหญ่คนโตมา!” จ้าวไคที่อยู่ข้างๆอี้เฟิงพูดขึ้น
จี้เฟิงเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่ามีรถจี๊ปเปิดประทุนของทหารกําลังขับมาที่นี่ และมีคนคล้ายเจ้าหน้าที่สองคนนั่งอยู่ที่เบาะหลัง และตลอดทางที่รถจี๊ปขับผ่าน ครูฝึกที่ดูแลการฝึกทหารให้กับนักศึกษาต่างหยุดยืนตรงและทําท่าวันทยหัตถ์ให้กับคนในรถจี๊ป แน่นอนว่าต้องเป็นผู้นําของกองทัพที่นั่งอยู่ในรถจี๊ปคันนั้น
และเมื่อหูเกี่ยจวินเห็นรถจี๊ปเขามองไปที่ป้ายทะเบียนและเขาก็รู้ทันทีว่าคนที่มาคือผู้นําในการตรวจสอบ ในกรณีนี้ไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่ซื่อตรงรักความยุติธรรมแค่ไหนเขาก็ต้องรู้ว่าเขาควรทําตัวอย่างไรเขาตะโกนเสียงดังทันที “รวมพล”
และนักศึกษาเหล่านี้ถึงจะรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ในรถจะเป็นผู้นํากองทัพซึ่งไม่ใช่ผู้นําของพวกเขาแต่เขาก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อคําสั่งของครูฝึกสอนได้ ดังนั้นนักศึกษาเหล่านี้จึงทําได้แค่บ่นแล้วก็บ่นอยู่ในใจ แต่ก็ยังสามารถมารวมตัวกันได้อย่างรวดเร็ว
ตู้เส้าเฟิงวิ่งไปที่ด้านหน้าของทีมทันทีแล้วตะโกนว่า “ทั้งหมดแถวตรง!”
จี้เฟิงยืนมองด้วยความสนใจใคร่รู้ แต่สายตาของเขาก็ถูกดึงดูดโดยรถจี๊ปทหารเนื่องจากเขาพบว่าพฤติกรรมของคนในรถดูแปลกไปเล็กน้อย
เจ้าหน้าที่สองคนยังนั่งอยู่ในรถจนกระทั่งรถจี๊ปขับมาจนใกล้กับทีมของเขาจนเหลือระยะห่างประมาณ 40-50เมตร จากนั้นพวกเขาก็หยุด มีครูฝึกจากทีมอื่นๆอยู่ข้างๆพวกเขาพวกเขาคุยกับ ครูฝึกทีมอื่นๆภายในเวลาไม่ถึงสองนาที จากนั้นพวกเขาทั้งสองก็เดินตรงมาที่นี่
จากรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่จี้เพิ่งสังเกตเห็น เขาก็แน่ใจว่าเจ้าหน้าที่สองคนนี้มีธุระที่เกี่ยวข้องกับทีมของเขาโดยตรง ส่วนจะมาหาใครนั้นเขาคงมิอาจจะรู้ได้ในตอนนี้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่จี้เฟิงแน่ใจว่าไม่มีทางเป็นไปได้ นั่นก็คือเรื่องที่ครอบครัวของเขาจะส่งคนมาที่นี่เพราะเพิ่งเคย พูดกับพ่อของเขาอย่างชัดเจนแล้วว่าตลอดระยะเวลา 4 ปีในการเรียนที่มหาวิทยาลัยเขาจะไม่ยอมรับการดูแลเป็นพิเศษจากทางครอบครัวโดยเด็ดขาด นอกเสียจากว่าเขาจะพบกับเหตุฉุก เฉินหรือประสบกับปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเองจริงๆ
จี้เพิ่งเชื่อว่าพ่อของเขาจะเคารพการตัดสินใจของเขา ดังนั้นผู้นําสองคนนี้ต้องมาเพื่อคนอื่นไม่ใช่ตัวเขาอย่างแน่นอน
“การฝึกทหารของสหพันธ์มหาวิทยาลัย กระผมผู้ฝึกสอนหูเกี่ยจวินทีมที่ห้ากองพันที่สามรายงานรองผู้บังคับบัญชาหวังและผู้บังคับการทางการเมืองโจว โปรดให้คําแนะนํา!”
“ฝึกต่อไป!” เจ้าหน้าที่ระดับผู้นําคนหนึ่งที่มีรูปร่างท้วมกล่าว
จี้เฟิงสังเกตเห็นว่ามีแถบ 2 แถบและมีดาว 2 ดวงอยู่บนอินทรธนูที่ประดับอยู่บนบ่าของชายอ้วนคนนี้ซึ่งยศของเขาคือพันโทและน่าจะดํารงตําแหน่งรองผู้บัญชาการในกองทัพเขาคือหัวหน้าทางการทหารของหูเกี่ยจวิน ส่วนอีกคนก็คงเป็นผู้บังคับการทางการเมือง
รองผู้บัญชาการหวังมีอายุประมาณ 40 ปีต้นๆ เขามองไปยังทีมของจี้เฟิงที่ตอนนี้กําลังเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบตามที่ได้ฝึกมา เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าครูฝึกหูจะฝึกนักศึกษาพวกนี้ได้ดี คุณต้องแสดงให้พวกเขาเห็นถึงความแข็งแกร่งของคุณในกองทัพภาคสนาม ด้วยวิธีนี้กองทัพของเราจะสามารถได้รับความไว้วางใจจากสหพันธ์มหาวิทยาลัย!”
“ครับผม!” หูเกี่ยจวินตอบเสียงดัง
รองผู้บัญชาการหวังพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ หลังจากนั้นเขาก็เดินสํารวจไปรอบๆ และเมื่อเขาเห็นตู้เส้าเฟิงที่ยืนอยู่แถวหน้า คิ้วของเขาก็ขมวดเล็กน้อย “นี่คือ..?”
“รายงานรองผู้บังคับบัญชาหวัง ผู้ชายคนนี้คือนักศึกษาที่ผมคัดเลือกให้มาเป็นหัวหน้าทีม เพื่อมาทําหน้าที่เป็นผู้ช่วยของผมในการฝึกนักศึกษาเหล่านี้ ชื่อของเขาคือตู้เส้าเฟิงครับผม!” หูเกี่ยจวินอธิบายอย่างคล่องแคล่วชัดเจน
“ไร้สาระ!”
จู่ๆรองผู้บังคับบัญชาหวังก็สีหน้าเปลี่ยนไปและตะคอกเสียงดัง “ดูจากท่าทางของตู้เส้าเฟิงคนนี้แล้ว มาตรฐานของเขายังไม่ดีพอ คุณใช้อะไรมาตัดสินให้เขามาฝึกนักศึกษาคนอื่นๆ?”
หูเกี่ยจวินผงะไปครู่หนึ่งแล้วหันไปมองดูตู้เส้าเฟิง แม้ว่าท่าทางของเขาจะค่อนข้างต่ํากว่ามาตรฐานแต่ก็เห็นได้ชัดว่าท่าทางของเขายังดีกว่ากว่านักศึกษาคนอื่นๆ เขาจึงไม่เข้าใจว่าทําไมรองผู้บังคับบัญชาหวังถึงไม่พอใจในเรื่องนี้
“รายงานรองผู้บังคับบัญชาหวัง เนื่องจากเหล่านักศึกษาเพิ่งจะได้เริ่มฝึกท่าทางทหารและกําลังค่อยๆพัฒนาไปตามขั้นตอน มันจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะพบข้อบกพร่องอยู่บ้างแต่ผมจะแก้ไขในทันที!” หูเกี่ยจวินกล่าวเสียงดัง
“ไม่! ฉันคิดว่ายังไงเส้าเฟิงคนนี้ก็ไม่เหมาะสม!” รองผู้บังคับบัญชาหวังโบกมือขึ้น” “ฉันว่าควรจะเปลี่ยน…”
เขาเหลือบมองไปรอบๆ และก้าวไปข้างหน้าสองก้าวทันที เขาหยุดอยู่หน้านักศึกษาคนหนึ่งและพูดว่า “คุณเห็นไหมว่าท่าทางของนักศึกษาคนนี้ค่อนข้างดี ดังนั้นเขาเหมาะสมที่จะได้เป็นหัวหน้าทีม!” หูเกี่ยจวินมองดูบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งโดยรองผู้บังคับบัญชาหวัง และก็พบว่านักศึกษาคนนั้นก็คือ หวังเสี่ยวหู คนที่เพิ่งถูกปลดจากตําแหน่งตัวแทนหัวหน้าทีมไปเมื่อวานนี้ท่าทางของเขาดีกว่าตู้เส้าเฟิงงั้นหรือ?
รอยยิ้มที่สุภาพปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวังเสี่ยวหูทันที ซึ่งเห็นได้ชัดว่าหัวใจของเขากําลังลิงโลดและเต็มไปด้วยความสุข
“ครับ..!”
ในฐานะทหาร การเชื่อฟังคําสั่งของผู้ที่อยู่เหนือกว่าถือว่าเป็นหน้าที่อย่างหนึ่ง แต่การเชื่อฟังคําสั่งบางครั้งก็มีขอบเขต แม้ว่าครูฝึกหูจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจแต่เขาก็ต้องตอบสนองด้วยการเห็นด้วยก่อนจากนั้นเขาก็อธิบายว่า “ตําแหน่งหัวหน้าทีมนั้น นอกจากจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งให้กับนักศึกษาในทีมแล้ว แต่เขายังต้องช่วยผมในการฝึกนักศึกษาคนอื่นๆ ด้วยดังนั้นในแง่ของสุขภาพและความแข็งแรงจึงสําคัญมาเป็นอันดับหนึ่ง และแม้ว่านักศึกษาคนนี้ ะมีท่าทางทางทหารที่ดี แต่สมรรถภาพทางกายของเขาก็ยังเรียกไม่ได้ว่าแข็งแรงเพียงพอเพราะ ฉะนั้นผมคิดว่าสมรรถภาพทางกายของตู้เส้าเฟิงนั้นดีกว่าส่วนทักษะของเขาก็ดี…”
หูเกี่ยจวินยังพูดไม่ทันจบก็ถูกขัดจังหวะโดยรองผู้บังคับบัญชาหวัง หัวหน้าทางการทหารของเขา “หูเกี่ยจวิน การมีทักษะที่ดีไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นหัวหน้าทีมที่ดีได้เพราะขนาดทักษะที่ไม่เลวของคุณ คุณยังเป็นได้แค่หัวหน้ากองเล็กๆอยู่เลย!”