The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 123
บทที่ 123 ปะทะกับหมีดํา
“เฮ้! เจ้าเด็กน้อย ฉันแนะนําให้เธอฟังคําพูดของผู้นําหวัง เป็นเด็กดีเก็บข้าวเก็บของใส่กระเป๋าแล้วกลับบ้านไปซะ เพราะคนอย่างฉันถ้าได้เริ่มการต่อสู้แล้วจะไม่มีความปราณีใดๆอีก!” ชายผู้ที่มีฉายาว่าหมีดํายืดอกพูดพร้อมกับจ้องเขม็งไปที่ตู้เส้าเฟิง เขาฉีกยิ้มที่แฝงไปด้วยความกระหายเลือด “อย่าแส่หาเรื่องใส่ตัวโดยไม่จําเป็น มันไม่ดีสําหรับเธอ”
ตู้เส้าเฟิงพูดตอบโต้ด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย “มีคนเคยพูดกับฉันแบบนี้หลายต่อหลายคน แต่สุดท้ายพวกเขาก็โดนฉันจัดการจนแม้แต่แม่ของพวกเขาก็ยังจําหน้าลูกตัวเองแทบไม่ได้ ผมรับรองได้เลยว่าคุณไม่ใช่คนแรกและคนสุดท้ายแน่นอนที่จะโดนแบบนั้น!”
“โอเค โอเค! เธอก็ไม่ใช่คนแรกที่กล้าพูดกับฉันแบบนี้ และคนที่เคยพูดแบบนั้นแล้วยังยืนอยู่ได้ก็เหลือแค่เธอในเวลานี้!”
แววตาของหมีดําหรี่เล็กลงและยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม จากนั้นเขาก็ค่อยๆถอดเสื้อออก หลังจากที่เขาถอดเสื้อออก กล้ามเนื้อที่มีอยู่แทบทุกส่วนของร่างกายของเขาก็ทําให้ทุกคนที่เห็นถึงกับตกตะลึงมันดูใหญ่โตและเต็มไปด้วยรอยแผลที่น่าเกรงขาม แค่ดูก็รู้แล้วว่าเขาผ่านศึกมาอย่างโชกโชนขนาดไหน
มีนักศึกษาบางคนที่พอเห็นกล้ามแขนของเขาก็แอบก้มลงไปมองขาของตนเองทันทีเพื่อเปรียบเทียบกัน แต่พวกเขาก็ต้องพากันตกใจอีกครั้ง เมื่อพบว่าแขนเพียงข้างเดียวของหมีดํานั้นดูแข็งแกร่งและใหญ่กว่าขาของพวกเขารวมกันสองข้างเสียอีก
นักศึกษาหลายคนในทีมที่กําลังยืนด้วยท่าทางที่เป็นระเบียบทางทหาร ต่างอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วงตู้เส้าเฟิง แม้ว่าตู้เส้าเฟิงจะดูแข็งแกร่ง แต่เขาก็ยังด้อยกว่าหมีดํามาก เมื่อมองไปที่รูปลักษณ์ของหมีดําที่มีสีหน้าของความกระหายเลือดนักศึกษาทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
คิ้วของจี้เฟิงขมวดแน่น เห็นได้ชัดว่าหมีดําคนนี้ไม่ใช่คนขับรถธรรมดาๆ เขาต้องเป็นนักสู้ที่เคยผ่านการฆ่าคนมาแล้วอย่างแน่นอน เพราะเขามีกลิ่นอายของนักฆ่าและมีจิตสังหารที่รุนแรงมากคนที่มีจิตสังหารและความกระหายเลือดเช่นนี้ จี้เพิ่งเคยได้ยินปรมาจารย์ผู้ฝึกสอนในระบบฝึกอบรมสายลับระดับสูงเคยบอกกับเขาว่า หากผู้ใดเคยปลิดชีวิตผู้อื่น คนผู้นั้นก็จะมีจิตสังหารแห่งความกระหายเลือด
แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับปรมาจารย์ผู้ฝึกสอนจากระบบฝึกอบรมสายลับระดับสูงแล้ว ออร่าแห่งการสังหารที่อยู่รอบตัวของหมีดํานั้นด้อยกว่าของปรมาจารย์ผู้ฝึกสอนมาก แต่อย่างน้อยจี้เฟิงก็เคยเอาชนะปรมาจารย์ผู้ฝึกสอนมาได้อย่างฉิวเฉียด อย่างไรก็ตามในตอนนี้คนที่ต้องเผชิญหน้ากับนักสู้ที่ผ่านการฆ่ามาแล้วนั้นไม่ใช่จี้เฟิงแต่เป็นตู้เส้าเฟิง
แม้ว่าตู้เส้าเฟิงจะฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่ยังเด็ก จึงทําให้เขามีพลังและแข็งแกร่งมากแต่จี้เฟิงก็ยังคงเป็นกังวลเกี่ยวกับโอกาสชนะของเส้าเฟิงอยู่ดี เพราะอีกฝ่ายคือบุคคลที่เคยผ่านการฆ่าคนมาแล้ว มันเป็นวิถีการต่อสู้ที่แตกต่างกัน
จ้าวไคและฮั่นจงในเวลานี้ต่างก็มีสีหน้าที่ไม่สู้ดีเช่นกัน จากนั้นพวกเขาก็หันหน้าและ มองไปทางจี้เฟิง
“จี้เฟิงคุณรู้จักการต่อสู้ดี คุณพอจะดูออกมั้ยว่าระหว่างเหล่าตู้และผู้ชายคนนั้นใครจะเป็นผู้ชนะ” จ้าวไคกระซิบถาม
“เหล่าผู้มีโอกาสชนะน้อยมาก!” จี้เฟิงขมวดคิ้วแล้วตอบด้วยเสียงเบา
ใบหน้าของจ้าวไคและฮันจงซีดขึ้นกว่าเดิม เมื่อพวกเขาได้ยินคําตอบของจี้เฟิงว่าโอกาสชนะของผู้เส้าเฟิงนั้นมีไม่มาก นั่นหมายความว่าตอนนี้ตู้เส้าเฟิงกําลังตกที่นั่งลําบาก
“ถ้าอย่างนั้นฉันคิดว่าพวกเราควรรีบหยุดเรื่องนี้กันดีกว่า เราก็แค่ยกตําแหน่งหัวหน้าทีมให้กับหวังเสี่ยวหูไป มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรอยู่แล้ว แล้วหลังจากที่เรากลับไปที่มหาวิทยาลัยเราจะจัดการกับคนอย่างหวังเสี่ยวหูเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ เราก็แค่ต้องปล่อยให้เขาได้ใจไปก่อน!” จ้าวไควิเคร าะห์ทางเลือกที่ดีที่สุดอย่างใจเย็น “ที่นี่คือค่ายทหารมันไม่ใช่ถิ่นของเรา ถึงแม้มันจะมีส่วนที่เกี่ย วข้องกัน แต่เราก็ไม่สามารถทําอะไรได้มากแล้วอีกอย่างถ้าเหล่าผู้พ่ายแพ้เขาจะถูกไล่ออกจาก การฝึกทหารทันที!”
ฮั่นจงพยักหน้าอย่างแรง “ใช่! ถ้าอยากจัดการหวังเสี่ยวหู ฉันว่ารอให้พวกเรากลับจากค่ายทหารนี่ก่อน แล้วเราค่อยหาวิธีจัดการกับเขาที่หลัง แม้ว่าครอบครัวของฉันจะมีอํานาจอยู่บ้างในเจียงโจวแต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะมาใช้กับที่ค่ายทหารนี่ แล้วด้วยนิสัยอย่างเหล่าผู้ถ้าเขาพ่ายแพ้ต่อหน้าผู้คนจํานวนมากเช่นนี้ ต่อให้เขาไม่ถูกไล่ออก เขาก็ต้องลาออกเองอยู่ดี แล้วมันจะทําให้เขาไม่ได้รับประกาศนียบัตรจบการศึกษา!”
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อย ในความเป็นจริงเขาก็คิดไม่ต่างจากจ้างไคและฮั่นจง เห็นได้ชัดว่ารองผู้บัญชาการหวังมีอํานาจมากกว่าในตอนนี้ แม้ว่าเขาจะไม่อยากยอมรับก็ตาม
“เด็กน้อย ถ้าอยากตายก็เข้ามาเลย!” หมีดํายิ้มเยาะ
แต่สีหน้าของตู้เส้าเฟิงกลับสงบลง เนื่องจากทุกครั้งที่เขาจะเริ่มการต่อสู้ เขาจะสงบสติอารมณ์เพื่อตั้งสมาธิและเข้าสู่สภาวะที่ดีที่สุด เขาได้รับการอบรมสั่งสอนจากครอบครัวของเขามาตั้งแต่ยังเด็กเขาจึงไม่คล้อยตามคําพูดยั่วยุของหมีดําในเวลานี้เลยแม้แต่น้อย
“ช้าก่อน!”
ในขณะที่ผู้เส้าเฟิงกําลังปรับการหายใจของเขา ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากในกลุ่มนักศึกษาจากนั้นจี้เฟิงที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็นว่าเขาได้มาอยู่แถวหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ก้าวออกไปข้างหน้าสองก้าว
“หัวหน้าหวัง มีคํากล่าวที่ว่า ให้โอกาสคนแล้วคุณอาจจะได้โอกาสในอนาคต” จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย “แม้ว่าเพื่อนร่วมชั้นของผมอาจจะพูดจาก้าวร้าวไปสักหน่อย แต่ผมว่ามันก็ไม่น่าจะต้องถึงขนาดลงมือต่อสู้กับคนขับรถของหัวหน้าหวังเพื่อที่จะได้รับตําแหน่งหัวหน้าทีม ถ้าเกิดว่าเขายอมรับ ข้อตกลงแล้วปล่อยให้หัวหน้าหวังเป็นผู้คัดเลือกหัวหน้าทีมด้วยตัวเองโดยไม่ขัดข้อง หัวหน้าหวัง คิดเห็นว่าอย่างไร?”
“คุณถามว่าคิดเห็นอย่างไร? แน่นอน ฉันไม่เห็นด้วย!” รองผู้บัญชาการหวังตะคอกอย่างเย็นชา “หัวหน้าทีมที่ไม่มีวินัยทหารก็ไม่สมควรที่จะอยู่ในค่ายทหาร!”
ท่าทีของจี้เฟิงยังคงสงบนิ่งเขาพูดขึ้นเบาๆ “ที่หัวหน้าหวังพูดมาก็ถูก แต่พวกเราเป็นนักศึกษาไม่ใช่ทหารจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น มีสิ่งหนึ่งที่ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ คือบทลงโทษสําหรับนักศึกษาที่มาฝึกทหาร ผมว่ามันไม่ควรถึงขั้นที่จะทําให้เกิดการต่อสู้จนได้รับบาดเจ็บ เพราะเท่าที่ทราบบทลงโทษสําหรับนักศึกษาที่มาฝึกทหารคือการที่พวกเขาต้องเขียนคําขอโทษหรือส่งรายงานความประพฤติเท่านั้น ผมจึงคิดว่าทางเลือกที่หัวหน้าหวังมองให้ทั้ง 2 ทางเลือกนั้นมันออกจะเกินกว่าเหตุไปสักหน่อย?”
“คุณเป็นใคร?!” ใบหน้าของรองผู้บัญชาการหวังเปลี่ยนไปทันทีและถามด้วยเสียงเข้ม ในความเป็นจริงแล้วมีข้อบังคับในกองทัพว่าเมื่อนักศึกษาที่มารับการฝึกฝนทหารก่อปัญหาหรือมีการประพฤติตัวที่ผิดระเบียบ อย่างไรก็ตามนักศึกษาเหล่านี้ไม่ใช่ทหาร ดังนั้นจะไม่มีการดุด่าทุบตีใดๆทั้งสิ้น ข้อนี้เป็นกฎระเบียบที่เคร่งครัดเพื่อหลีกเลี่ยงผลเสียที่อาจจะตามมา
มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่รองผู้บัญชาการหวังจะเกิดความสงสัยเพราะกฎระเบียบเหล่านี้ถูกกําหนดไว้ภายในกองทัพเท่านั้น แล้วนักศึกษาคนนี้รู้ได้อย่างไร?
แม้ว่ารองผู้บัญชาการหวังจะรู้ว่าสิ่งที่ขี้เฟิงพูดนั้นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่เขาก็ยังไม่อยากปล่อยตู้เส้าเฟิงไปง่ายๆ เพราะก่อนที่เขามาจะที่นี่ เด็กคนนี้กล้าที่จะแย่งตําแหน่งหัวหน้าทีมจากหลานชายของเขา และเมื่อเขามาถึง เด็กคนนี้ก็กล้ามาอวดดีกับเขาอีก ถ้าเขาไม่สั่งสอนบทเรียนให้กับตู้เส้าเฟิงในวันนี้เขาคงไม่อาจทําให้ความโกรธที่มีอยู่ในใจของเขาสงบลงได้
“เนื่องจากคุณเลือกที่จะไม่ต่อสู้ ฉันก็จะเขียนรายงานการฝ่าฝืนคําสั่งและการผิดวินัยลงในประวัติของนักศึกษาตู้เส้าเฟิง!” หัวหน้าหวังกล่าวเบาๆ
คิ้วของจี้เฟิงขมวดขึ้นอีกครั้ง “หัวหน้าหวัง ท่านไม่จําเป็นต้องทําเช่นนี้ คุณเป็นผู้ที่มีอํานาจไม่มีความจําเป็นจะต้องทําให้นักศึกษาคนหนึ่งต้องอับอายและหมดโอกาส ทําไมคุณถึงไม่คิดที่จะมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และให้อภัย? ตู้เส้าเฟิงและพวกเราจะปฏิบัติตามคําแนะนําของครูฝึกหูและหัวหน้าทีมหวังเสี่ยวหูในการฝึกทหารโดยเคร่งครัดหัวหน้าหวังคิดเห็นว่าอย่างไร?”
เมื่อเห็นขี้เฟิงที่อ่อนข้อและกําลังขอร้องอ้อนวอนเขาซ้ําๆรอยยิ้มที่เยือกเย็นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของรองผู้บัญชาการหวัง
ในขณะนั้นเอง หวังเสี่ยวหูที่ยืนอยู่แถวหน้าก็ก้าวออกมาแล้วพูดเสียงดัง “หัวหน้าหวัง! ตู้เส้าเฟิงและจี้เฟิงผู้นี้พวกเขาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน จึงไม่แปลกที่เขาจะพูดเข้าข้างตู้เส้าเฟิง โดยปกติแล้วการกระทําของตู้เส้าเฟิงที่กล้าขัดคําสั่งและเผชิญหน้ากับผู้นํา เป็นการผิดวินัยอย่างร้ายแรงไม่ควรได้รับการอภัยได้ง่ายๆ!”
ทันใดนั้นใบหน้าของจี้เฟิงก็เคร่งขรึมขึ้นทันทีตู้เส้าเฟิงก็เบิกตากว้างและส่งเสียงอย่างเย็นชาในลําคอ
เมื่อได้ยินเช่นนี้รองผู้บัญชาการหวังก็รู้ได้ทันทีว่าหลานชายของเขาหมายถึงอะไรเขาโบกมือและพูดว่า “ไม่จําเป็นต้องพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ฉันยังยืนยันคําเดิม มีทางเลือกเพียงแค่ 2 ทาง เลือกที่จะถูกไล่ออกหรือเลือกที่จะไปเรียนรู้มารยาทกับคนขับรถของฉันมันก็แล้วแต่คุณจะเลือก!”
“หัวหน้าหวัง คุณต้องการเลือกเส้นทางที่อาจจะทําให้คุณต้องลําบากในภายหลังแบบนี้จริงๆหรือ?” จี้เฟิงถามอย่างแผ่วเบาแต่มีร่องรอยของความโกรธฉายชัดอยู่ในดวงตาของเขานี่คือผลลัพธ์ที่เขาพยายามขอร้องอ้อนวอนถึงขนาดนี้?
“ทางที่ลําบาก?” รองผู้บัญชาการหวังมองไปที่อี้เฟิงด้วยสีหน้าดุร้าย“นี่คุณหมายความว่าอะไร?!”
“มันไม่มีความหมายอะไรหรอกครับ ผมแค่หวังว่าหัวหน้าหวังจะพิจารณาเรื่องนี้ให้ดีอีกครั้งและอย่าตัดสินใจอะไรที่อาจจะทําให้คุณต้องมาเสียใจในภายหลังเพราะมันอาจจะมีผลลัพธ์ที่คุณคาดไม่ถึงตามมา!” จี้เฟิงกล่าวเบาๆตอนนี้จี้เฟิงรู้สึกโกรธมาก และชื่อของรองผู้บัญชาการหวังคนนี้ก็ถูกเขาขึ้นบัญชีดําเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เหอะ! ดีๆ !!”
รองผู้บัญชาการหวังแสยะยิ้มและชี้ไปที่อี้เฟิง “เด็กน้อยในเมื่อกล้าพูดขนาดนี้ ก็อย่ามาคิดที่ จะเสียใจทีหลังก็แล้วกัน!”
จากนั้นเขาก็หันไปทางตู้เส้าเฟิงแล้วกล่าวว่า “ตกลงว่าคุณจะเลือกทางไหน? ฉันให้เวลาคุณคิดแค่นาทีเดียวถ้าเกินกว่านั้นฉันจะไล่คุณออกทันที!”
จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้ม “หัวหน้าหวัง คุณไม่จําเป็นต้องใช้อํานาจบารมีมาข่มขู่กันขนาดนั้นก็ได้พวกเราสัญญาว่าจะยอมรับเงื่อนไขของหัวหน้าหวังแน่นอน แต่ในเมื่อเพื่อนร่วมชั้นของผมมีการกระทําที่เรียกได้ว่าต่อต้านหัวหน้าหวัง ผมจึงคิดว่าเขาก็ควรที่จะได้เรียนรู้และได้รับการสั่งสอนจากหัวหน้าหวังไม่ใช่คนอื่น มันถึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง!”
“ หมายความว่ายังไง?” จู่ๆ รองผู้บัญชาการหวังก็มีสีหน้าที่ดํามืด เขาไม่คิดว่าเขาจะเป็นคู่ต่อสู้กับชายผิวดําร่างยักษ์ตู้เส้าเฟิงคนนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีคนที่มีทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมอย่างหมีดําอยู่ข้างๆเขาในเวลานี้ แล้วทําไมเขาจะต้องลงมือทํามันด้วยตัวเอง?
“ผมหมายความว่า ถ้าในเมื่อคุณอยากให้เขาได้เรียนรู้และพิสูจน์ทักษะความสามารถของเขา เขาก็ควรที่จะได้เรียนรู้จากคุณไม่ใช่กับคนอื่น!” จี้เฟิงพูดเน้นที่ละคํา
“เพ้อเจ้อ!” รองผู้บัญชาการหวังตะคอก “ฉันเป็นใคร ทําไมฉันจะต้องไปเรียนรู้สั่งสอนกับ คนอย่างพวกคุณ?!”
“เนื่องจากหัวหน้าหวังพูดมาเช่นนี้ ก็หมายความว่าคุณต้องการที่จะส่งคนอื่นมาแทนคุณ เพราะฉะนั้นเพื่อนร่วมชั้นของผมก็มีสิทธิที่จะให้คนอื่นมาแทนที่เช่นกัน!” จี้เฟิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่เย็นยะเยือก “เพื่อนร่วมชั้นของผมคนนี้เขาก็เป็นคนที่มีฐานะเช่นกัน มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะต้องลงมือด้วยตัวเองผมจะทําหน้าที่แทนเขาเอง!”
“จี้เฟิง!”
ตู้เส้าเฟิงรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาทันที “นี่มันเป็นธุระของฉัน นายไม่ต้องสนใจ ฉันจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง!”
เขาไม่อยากทําให้เพื่อนๆต้องมาเดือดร้อนเพราะเขา นั่นไม่ใช่คนที่มีนิสัยอย่างตู้เส้าเฟิงจะทําอย่างแน่นอน
จี้เฟิงโบกมือแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง คนระดับนายไม่จําเป็นต้องลดตัวลงไปคุยกับคนขับรถ!”
“ไอ้เด็กเวร ถึงตายแน่!” หมีดําที่ถูกจี้เพิ่งพูดจาดูหมิ่นถึงกับคํารามด้วยความโกรธ
จี้เฟิงไม่ได้หันไปมองเขา แต่กลับจ้องไปที่รองผู้บัญชาการหวัง
“อืม.. ในเมื่อคุณต้องการที่จะแทนที่เพื่อนร่วมชั้นของคุณมันก็ไม่มีปัญหา แต่ฉันจะขอพูดอีกครั้ง ถ้าพวกคุณชนะ ฉันจะคิดว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น แต่พวกคุณก็ยังต้องฝึกอบรมทหารต่อ แต่ถ้าคุณแพ้ก็นั่นก็หมายความว่าพวกคุณทั้งสองคนแพ้ ในกรณีนี้ฉันจะไล่พวกคุณทั้งสองคนออกพร้อมกัน!” รองผู้บัญชาการหวังกล่าวด้วยสีหน้าที่เกรี้ยวกราด
“ไม่ใช่แค่พวกเขาสองคน แต่รวมถึงผมด้วย!” จ้าวไคที่เสนอตัวและลุกขึ้นยืน ดันแว่นของเขาขึ้นเบาๆ
“และผม!” ฮั่นจงก็ยืนขึ้นเช่นกัน!
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย “ผมขอแย้งสักเล็กน้อย กรณีที่ผมชนะ ผมจะไม่ฝึกต่อและเพื่อนร่วมชั้นของผมก็จะได้เป็นหัวหน้าทีมต่อไป และนอกจากนี้คุณต้องกล่าวคําขอโทษด้วย!”
สีหน้าของรองผู้บัญชาการหวังแทบจะกลายเป็นสีม่วงด้วยความโกรธ หากตอนนี้ไม่มีคนอยู่เยอะขนาดนี้เขาคงจะให้บทเรียนที่ไม่มีวันลืมให้กับจี้เฟิง!
“ไม่มีปัญหา!” รองผู้บัญชาการหวังกัดฟันตอบ จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปที่ด้านข้างของหมีดําอย่างรวดเร็วและพูดอะไรบางอย่างกับหมีดําด้วยเสียงกระซิบ
ทันใดนั้นใบหน้าของหมีดําก็ดูกระหายเลือดขึ้นมาทันที เขาพยักหน้าอย่างดุร้าย
“จี้เฟิง ระวังตัวให้ดี เขาต้องมีแผนชั่วอะไรอย่างแน่นอน!” จ้าวไคกระซิบ
“ไม่ต้องห่วง” จี้เฟิงยิ้ม แต่ในเวลานี้เขาแอบพยักหน้าอยู่ในใจ ไม่ว่าฮั่นจงและจ้าวไคจะเป็นคนที่กล้าหาญหรือไม่แต่อย่างน้อยในช่วงเวลาวิกฤติทั้งสองก็ลุกขึ้นยืนและเข้าข้างพวกเขาโดยไม่ลังเลก็เพียงพอแล้ว
ถึงแม้จี้เฟิงจะรู้ว่าการที่จ้าวไคและฮั่นจงไม่ได้รับประกาศนียบัตรจบการศึกษาจะไม่ส่งผลกระทบต่ออนาคตของพวกเขา แต่การที่พวกเขากล้าที่จะยืดหยัดได้ขนาดนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าจ้าวไคและฮั่นจงนั้นเห็นตู้เส้าเฟิงและตัวเขาเองเป็นเพื่อนอย่างแท้จริง
หมีดําก้าวไปทางจี้เฟิงสองก้าว เขายิ้มอย่างเยาะเย้ยแล้วพูดว่า “เด็กน้อยทั้งสอง ถ้าพวกเธอไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะฉันได้จะเข้ามาพร้อมกันสองคนเลยก็ได้นะ!”
ทันใดนั้นตู้เส้าเฟิงก็ก้าวไปข้างหน้าเช่นกันแล้วพูดอย่างเย้ยหยัน “เรื่องนี้ไม่ต้องถึงมือพี่จี้หรอก แค่ฉันคนเดียวก็เกินพอที่จะเอาชนะคุณได้แล้ว!”
เขาหันหน้าไปทางจี้เฟิงแล้วพูดว่า “พี่จี้ฉันขอไปเล่นสนุกก่อนล่ะ ถ้าเกิดฉันแพ้พี่จี้ค่อยลงไปเล่นสนุกทีหลังก็แล้วกัน!”
รองผู้บัญชาการหวังที่ตอนนี้ยืนอยู่ใกล้ๆหมีดํา เขามีความมั่นใจในตัวหมีดํามาก เขาพูดด้วยเสียงเบา “ฉันมั่นใจว่าไอ้เด็กเวรสองคนนี้ไม่เพียงพอที่จะทําให้นายได้ทันรู้สึกสนุกด้วยซ้ํา!”
จี้เฟิงขมวดคิ้วและพยักหน้าให้กับตู้เส้าเฟิง “ระวังด้วยเหล่าผู้เ”
ตู้เส้าเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วงพี่จี้ ฉันจะเอาชนะเขาให้ดู!”