The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 15
บทที่ 15 ผู้กองหยาน
“พี่จ้าว พี่จะกลัวอะไร!?” ซูหม่าขมวดคิ้วตะคอกถามอย่างเย็นชา “เรากำลังจะแจ้งความกับตำรวจ แต่ตำรวจมาโดยที่เราไม่ต้องทำอะไร พระเจ้าเข้าข้างเราชัดๆ!”
“คุณซูหม่า หมายความว่ายังไง?” เฉินจ้าวถามอย่างสงสัย
“ฉันจะออกไปจากที่นี่ก่อน พี่อยู่ที่นี่แหละแล้วโทรเรียกตำรวจ ถ้าพี่โทรเรียกตำรวจตอนนี้ พวกตำรวจที่อยู่ใกล้ๆแถวนี้ จะต้องมาจัดการที่นี่ก่อนเพราะมันใกล้พวกเขา จากนั้นพี่อย่าลืมว่า พี่ต้องแกล้งเป็นคนที่เดินผ่านมาและเห็นเหตุการณ์โดยบังเอิญ ที่สำคัญอย่าลืมอธิบายลักษณะของจี้เฟิงอย่างละเอียด” ซูหม่ารีบพูดและหันไปโดยไม่ลืมที่จะพูดว่า “พี่ชาย ถ้าเรื่องนี้สำเร็จ พี่แน่ใจได้เลยว่า ฉันจะไม่ลืมพี่แน่นอน!”
หลังจากพูดจบ เขาก็หายเข้าไปในซอยเล็กๆอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เขาออกมา ซูหม่าก็โล่งใจ เมื่อเขาได้ยินเสียงไซเรนของรถตำรวจเขาก็จำที่พ่อบอกกับเขาได้ว่า ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ถ้าเรื่องถึงตำรวจ ก็จะไม่มีใครช่วยอะไรเขาได้
ซูหม่ารู้ดีว่า ตอนนี้สถานการณ์ของพ่อไม่ง่ายนัก เพราะถงไค่เต๋อ เลขาธิการพรรคประจำเขตพยายามอย่างมากที่จะรวบรวมหลักฐานที่จะจัดการกับพ่อของเขา และคนอื่นๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดกฎหมาย หากซูหม่าเกี่ยวข้องหรือยังสร้างปัญหาเพิ่มในตอนนี้ เกรงว่าแม้แต่พ่อเขาที่เป็นรองผู้บริหารเขตก็ยังไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้
ดังนั้นหลังจากอธิบายให้กับชายหัวโล้นเฉินจ้าวเสร็จ เขาจึงรีบชิ่งหนีออกไป
“แม่งเอ้ย!” ชายหัวโล้นสบถออกมาหลังจากที่ซูหม่าหนีหายวับไปอย่างรวดเร็ว เขาอดไม่ได้ที่จะตะโกนด่า “ฉันขอให้นายโดนกระทืบให้หนัก เพราะเรื่องที่นายโยนขี้มาให้ฉันแล้วหายหัวไป!”
เฉินจ้าว รู้สึกหงุดหงิด เขาถ่มน้ำลายลงพื้น แต่เขาก็ทำอะไรซูหม่าไม่ได้ ถึงจะเป็นแค่เด็ก แต่เป็นเด็กที่มีพ่อเป็นสุนัขจิ้งจอกเฒ่าที่มีตำแหน่งเป็นถึงรองผู้บริหารของเขต หากทำให้พวกนั้นขุ่นเคืองใจ เขาเกรงว่าในอนาคตคงเป็นเรื่องยากที่จะทำธุรกิจของเขาต่อในเมืองนี้
เมื่อคิดได้ เขาหันหน้าไปมองชายหกคนที่นอนอยู่บนพื้นอย่างขมขื่นและพูดว่า “พวกนายรู้ใช่มั้ยว่าต้องทำยังไงก่อนที่ตำรวจจะมาถึง?”
พวกเขาที่ยังคงนั่งบ้างนอนบ้างอยู่ที่พื้นรีบตอบทันที “รู้ครับพี่ใหญ่!” พวกเขารู้สึกโมโหและอับอายเป็นที่สุดเมื่อถูกเด็กนักเรียนเพียงคนเดียวจัดการพวกเขาได้
“อืม.. น้องสองอยู่แล้วกัน คนอื่นๆกลับไปที่รถ!” ชายหัวโล้นพูดกับชายร่างผอมคนหนึ่ง “น้องสองพี่จะพยายามไม่ทำนายแรงเกินไป!”
หลังจากพูดจบก่อนที่ชายร่างผอมจะได้ตอบอะไร ก็ถูกไม้ที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนที่ตอนนี้อยู่ในมือของเฉินจ้าว ฟาดเข้ามาที่ขาของชายร่างผอมอย่างแรง
“ปั้ก!!”
“โอ๊ยยยยย!!”
ชายร่างผอมแหกปากร้องด้วยความเจ็บปวดและล้มลงกระแทกพื้น เฉินจ้าวเห็นดังนั้นจึงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาตำรวจและอธิบายสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียดและรวดเร็ว
…………
หลังจากที่ผู้กองหยานวางโทรศัพท์ในมือ เขามองไปที่จี้เฟิงอย่างเย็นชา “คุณชื่อจี้เฟิงใช่ไหม ไหนลองเล่าอีกทีซิ ว่าเกิดอะไรขึ้น!”
จี้เฟิงตกใจและหันไป เขาเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง เขาสามารถจำเหตุการณ์ได้ทั้งหมดไม่มีผิดเพี้ยนด้วยความสามารถในการจำของเขา แต่เพื่อไม่ให้เกิดความน่าสงสัยเขาจึงจงใจเล่าไม่เหมือนในตอนแรกเล็กน้อย ซึ่งมันไม่ได้ส่งผลกับเรื่องโดยรวม
หลังจากเล่าจบ จี้เฟิงมองไปที่ผู้กองหยานอย่างแปลกๆและสงสัยในใจ “ทำไมเขาถึงมีท่าทีที่แตกต่างจากตอนแรกหลังจากที่เขารับโทรศัพท์เมื่อสักครู่ เป็นไปได้ไหมว่า… พ่อของซูหม่าโทรมาเพื่อกดดันเขา”
ในความเป็นจริง ผู้กองหยานเพิ่งได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับแจ้งว่ามีคนเห็นการต่อสู้ที่รุนแรงและหนึ่งในนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส
สถานที่และสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นคือที่เดียวกับที่จี้เฟิงพูด แค่ว่าเรื่องของคนที่โทรมาแจ้งตำรวจนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่จี้เฟิงบอก อีกฝ่ายเล่าว่ามันเป็นการต่อสู้กันซึ่งมีฝ่ายหนึ่งถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง
ดังนั้นผู้กองจึงต้องถามย้ำอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าคำตอบของจี้เฟิง ก็เหมือนคำตอบที่บอกก่อนหน้านี้ ผู้กองหยานจึงเกิดความสับสน หรือคนที่เดินผ่านมาเกิดการเข้าใจผิด?
…………
เมื่อชายหัวโล้นเฉินจ้าว เห็นผู้ที่กำลังนำทีมเดินมาเป็นผู้กองหยานผู้ซึ่งเป็นตำรวจที่เข้มงวดและมีจี้เฟิงอยู่ข้างๆ ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
“ไอ้เหม่งจ้าวเองเหรอ?” เมื่อผู้กองหยานเห็นชายหัวโล้น สีหน้าของเขาก็เกิดความระแวดระวังขึ้นมาทันที รวมถึงตำรวจที่อยู่ข้างหลังก็ดูเหมือนจะรู้จักเฉินจ้าวคนนี้ และเริ่มเดินล้อมเขาอย่างเงียบๆ
“ไอ้บ้าเอ้ยกูจะโชคร้ายอะไรขนาดนี้วะเนี่ย ทำไมต้องมาเจอตำรวจคนนี้!” เฉินจ้าวกรีดร้องในใจ แต่ยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าและกล่าวว่า “อ้าว ผู้กองหยานผู้เข้มงวดนี่เอง บังเอิญอะไรอย่างนี้”
“บังเอิญ?” ผู้กองยิ้มเยาะ “คุณเหม่งจ้าวเนี่ยนะที่เป็นคนโทรแจ้งตำรวจเองเลย?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของเฉินจ้าวก็เปลี่ยนไปทันที เขาหัวเราะเบาๆและยิ้มตอบ “ผู้กองเป็นคนตลกนะครับเนี่ย ผมแค่เดินผ่านมาเห็นเหตุการณ์โดยบังเอิญนอกจากนี้ผมเป็นเพียงนักธุรกิจที่ซื่อตรงและใสสะอาดมาโดยตลอด ผู้กองอย่าเข้าใจผมผิดสิ”
“นักธุรกิจที่ซื่อตรงใสสะอาด?” ผู้กองหยานยิ้มเยาะ และมองไปที่ผู้ชายที่นอนกรีดร้องอยู่บนพื้น “คุณเหม่งจ้าว คุณเดินผ่านมาโดยบังเอิญจริงๆน่ะเหรอ? ผมจำได้ว่าผู้ชายที่นอนอยู่ตรงนั้นเป็นนักเลงประจำร้าน ลูกน้องของคุณ คุณไม่รู้จักกันจริงๆน่ะเหรอ?”
เมื่อผู้กองหยานพูดจบ สีหน้าของเฉินจ้าวและจี้เฟิงก็เปลี่ยนไปในเวลาเดียวกัน
“เอ่อ..ผู้กอง..คือมัน…” สีหน้าของเฉินจ้าวตอนนี้ เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าเขารู้สึกอย่างไร เขาลดเสียงลงและเดินไปข้างหน้าสองก้าว เขาพูดอย่างรวดเร็วที่หูของผู้กองหยาน
“ผู้กองหยาน มันคงเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกันน่ะ ดูสิ…” เขาพูดและมองไปทางจี้เฟิง “น้องชายคนนี้และเพื่อนของฉันเขาคงบังเอิญวิ่งชนกันในขณะที่เดินบนถนนมืดๆนี่ หรือคุณคิดว่ายังไง?” เขาหันไปถามจี้เฟิง
“เข้าใจผิด?” ผู้กองหยานหัวเราะ “แล้วพ่อหนุ่มจี้เฟิงล่ะ ว่ายังไง?”
จี้เฟิงมองไปที่ดวงตาที่น่ากลัวของชายหัวโล้นเฉินจ้าว จี้เฟิงขมวดคิ้ว เขาคิดเล็กน้อยและพูดขึ้นว่า “มันคงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันจริงๆ แต่ผมไม่ต้องการให้เกิดความเข้าใจผิดแบบนี้อีกในอนาคต!”
“นั่นไงนั่นไง!” เฉินจ้าวยิ้มให้แล้วหันไปหาผู้กองหยานผู้เข้มงวดว่า “ผู้กองหยานถือว่าวันนี้พวกเราได้ทำให้พวกคุณตำรวจเดือดร้อนเสียเวลาเปล่า มันเป็นความผิดของเด็กผมเอง เอาไว้ผมจะจัดงานเลี้ยงสุดพิเศษเพื่อเป็นการขอโทษผู้กองและเพื่อนๆแล้วกันนะ สำหรับผู้กองที่ทำงานอย่างจริงจังโดยเฉพาะเลย!”
“ผมหวังว่าจะไม่เกิดเรื่องเข้าใจผิดแบบนี้อีก!” ผู้กองหยานกล่าว “ส่วนเรื่องงานเลี้ยงจะดีมาก ถ้ามันไม่เกิดขึ้น!”
“โอเคๆ” เฉินจ้าวยิ้มและพูดว่า “ขอบคุณสำหรับวันนี้และขอโทษทุกท่านที่ทำให้เสียเวลา”
พอพูดจบเขาก็พยุงชายคนที่นั่งอยู่บนพื้นลุกขึ้นและจากไปอย่างรวดเร็ว!
ปรากฏว่าคนที่จะมาทำร้ายจี้เฟิงกลับกลายเป็นลูกน้องของชายหัวโล้นที่ชื่อว่าเฉินจ้าว
“เฮ้อ…ดูเหมือนว่าเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ”
จี้เฟิงมองและวิเคราะห์เหตุการณ์อย่างรวดเร็ว และเขาก็เข้าใจทุกอย่างในทันที มันต้องเป็นฝีมือของซูหม่าที่ร่วมมือกับชายหัวโล้นคนนี้อย่างแน่นอน ที่ตั้งใจจะมาทำร้ายเขา ส่วนผู้กองหยานก็ดูเหมือนจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับชายหัวโล้นคนนั้น
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณความโชคดี หากตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันนี้ไม่ใช่ผู้กองหยาน แต่เป็นตำรวจที่รู้จักกับตระกูลซู มันคงไม่ง่ายนักที่จะชี้แจงได้ว่าอะไรถูกหรือผิดในวันนี้
จี้เฟิงและแม่ของเขาบางครั้งก็ต้องอาศัยโชคชะตาเมื่ออาศัยอยู่ในเขตเล็กๆอย่างหมางซือ แม้ว่าพวกเขาจะถูกหมิ่นประมาทหรือกลั่นแกล้ง พวกเขาก็ไม่มีคนที่เหมาะสมพอที่จะช่วยเหลือได้
ตอนนี้ในใจของจี้เฟิง มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะแข็งแกร่งขึ้น! การแข็งแกร่งขึ้นอย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะสามารถปกป้องแม่และตัวเขาเองจากการถูกกลั่นแกล้งได้ ไม่ว่าจะมาในรูปแบบใดก็ตาม!