The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 17
บทที่ 17 อาจารย์คนใหม่ 1
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในคืนนี้ จี้เฟิงยังคงฝึกยิมนาสติกในท่าแรกที่เขาได้ฝึกมาในคืนก่อน แต่ครั้งนี้จี้เฟิงได้ขอให้สมองหมายเลข 1 ฝึกเขาด้วยความเข้มงวด เขาจึงถูกสั่งให้ทำในระยะเวลาที่เพิ่มมากขึ้น โดยเขาต้องทำท่านี้ตลอดทั้งคืน
ถึงแม้ว่าคืนนี้จี้เฟิงจะผ่านการฝึกไปอย่างทรมาน โดยฝีมือของสมองหมายเลข 1 แต่สิ่งที่เขาได้รับนั้นเห็นผลชัดเจน เขาสามารถทำท่าแรกได้อย่างง่ายดายโดยรู้สึกอึดอัดน้อยลง
ด้วยการช่วยเหลือของสมองหมายเลข 1 ที่ได้ใช้กระแสไฟฟ้าชีวภาพกับร่างกายของจี้เฟิง ทำให้ร่างกายของเขาปรับตัวได้รวดเร็วภายใต้การฝึกฝนที่เข้มงวด!
จี้เฟิงรู้สึกภูมิใจในตัวเอง มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในการที่จะทำท่านี้ แม้แต่เซียนโยคะยังต้องได้รับการฝึกฝนนานหลายปี นับประสาอะไรกับจี้เฟิง ผู้ที่ไม่เคยได้ฝึกอะไรมาก่อน
ในตอนนี้จี้เฟิงเริ่มรู้สึกถึงความเป็นไปได้ที่เขาจะสามารถสำเร็จการฝึก เพื่อที่เขาจะมีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานของสุดยอดสายลับแห่งยุคดวงดาว ภายในระยะเวลา 1 ปี ตามที่สมองหมายเลข 1 เคยบอกเอาไว้
ด้วยความตื่นเต้น จี้เฟิงรีบลุกขึ้นมาแต่งตัว เขารู้ตัวดี ว่าตั้งแต่เขามีสมองอัจฉริยะ ชีวิตของเขาจะต้องเปลี่ยนไป จะไม่มีใครกล้ามาดูถูกเขาและแม่ได้อีก เขาต้องคว้าโอกาสนี้ไว้!
……….
ตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้าอยู่มาก เมื่อจี้เฟิงมาถึงห้องเรียน เขาก็พบว่า ซูหม่าได้อยู่ในห้องเรียนอยู่ก่อนแล้ว ทั้งสองสบตากัน ซูหม่าดูเฉยเมยราวกับว่าไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
ส่วนจี้เฟิงได้แผ่รังสีอันเยือกเย็นผ่านสายตาของเขา แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรและเดินไปยังที่นั่งของเขาทันที
ในเขตหมางซือ ตระกูลของซูหม่าเป็นที่รู้จักและเป็นที่เกรงขามพอสมควร หากจี้เฟิงไม่มีอำนาจหรือพลังมากพอ ก็ยากที่จะเทียบเคียงกับซูหม่า จี้เฟิงรู้ซึ้งถึงเรื่องนี้ดี
ดั้งนั้นแม้เขาจะรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นซูหม่าที่คิดจะทำร้ายเขาเมื่อคืนนี้ แต่จี้เฟิงก็ยังไม่คิดที่จะกระทำการใดๆ หากตอนนี้เขามีความขัดแย้งกับซูหม่า มีความเป็นไปได้ว่าแม่ของเขาอาจได้รับอันตรายไปด้วย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่จี้เฟิงไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด
“จงแข็งแกร่งขึ้นฉันต้องแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วทีสุด” จี้เฟิงกำหมัดแน่น
จางเล่ยเดินเข้ามาหาจี้เฟิงและยิ้มร่า “งายยย~ ไอ้บ้า ฉันได้ยินมาว่าเมื่อวานนายไปส่งดอกไม้ประจำโรงเรียนเรามา จริงรึ?!”
จี้เฟิงยิ้มตอบ “เพื่อนนักเรียนเหมือนกัน ก็แค่ช่วยเหลือกัน”
“หรออออ?”
จางเล่ยมองเพื่อนด้วยหางตาและยิ้มถามด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “เพื่อนนักเรียนช่วยเหลือกัน… แล้วทำไมไม่เห็นนายช่วยเหลือ ยัยไดโนเสาร์หลิงหลิง บ้างล่ะ?”
จี้เฟิงหัวเราะเขาส่ายหัวอย่างหมดคำพูด
หวังหลิงหลิง เธอเป็นเด็กผู้หญิงห้องเดียวกันกับจี้เฟิงและจางเล่ย เธอมีรูปร่างอ้วนมีใบหน้าที่เป็นฝ้ากระ เธอมีฉายาที่เพื่อนๆในชั้นเรียนใช้เรียกเธอว่า “ไดโนเสาร์”
ในเวลานี้ จางเล่ยเพียงแค่ต้องการที่จะ หยอกล้อและกวนบาทาจี้เฟิงอย่างไม่ต้องสงสัย
“นิสัยนายนี่มันเด็กน้อยชัดๆ พูดดูถูกคนอื่นแบบนี้มันไม่ดี ฉันไม่คุยกับนายล่ะ ฉันเอาเวลาไปอ่านหนังสือดีกว่า” จี้เฟิงส่ายหัวแต่ก็ยิ้ม เขาหยิบหนังสือออกมาและเริ่มอ่าน
จางเล่ยรู้สึกเบื่อหน่ายเป็นที่สุด ในเมื่อเพื่อนของเขาชิงหนีอ่านหนังสือ เขาจึงทำได้เพียงพลิกหนังสือ(เหมือนจะ)อ่านไปด้วย
เวลาหนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทีแรกจี้เฟิงทำใจรอการหาเรื่องของซูหม่า แต่ดูเหมือนว่าซูหม่าจะไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา เขาไม่ได้เข้ามาท้าทายหรือหาเรื่องอะไรจี้เฟิงในวันนี้ จึงทำให้จี้เฟิงรู้สึกแปลกใจ
ทุกคนในโรงเรียนต่างรู้ว่าเมื่อใดที่ซูหม่าไม่พอใจใคร เขาจะไม่ปล่อยคนนั้นไปง่ายๆ เขาเป็นคนที่มีความระแวดระวังและต้องอยู่เหนือคนอื่นเสมอ แต่เมื่อคืนเขาไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่เขาต้องการ แล้วทำไมวันนี้เขาถึงนิ่งเฉย?
…………
เมื่อคืนหลังจากที่เรื่องจบลง เฉินจ้าวได้โทรหาซูหม่า และเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น หลังจากที่ซูหม่าได้ฟังเขาก็รู้สึกเป็นกังวลทันที เขารู้ดีว่าผู้กองหยานเป็นคนของถงไค่เต๋อเลขาธิการพรรคประจำเขต ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูของถงไค่เต๋อ ผลที่ตามมามันจะไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ
ด้วยเหตุนี้ ซูหม่าจึงยังไม่กล้าที่จะหาเรื่องจี้เฟิง อย่างน้อยก็ในตอนนี้ เขายังไม่อยากให้ตัวเองตกเป็นเป้า
“ให้ตายเถอะ! ฉันอยากให้จี้เฟิงตายไปซะ!” ซูหม่านั่งอยู่ในที่นั่งของเขาและคิดอย่างโกรธแค้น
“ถึงฉันจะใช้อำนาจมืดจัดการแกไม่ได้ แต่ฉันคนเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้เด็กยากจนไร้ค่าอย่างแกต้องอับอาย!”
ซูหม่าคิดในใจ “สถานการณ์ปัจจุบันของพ่อฉันไม่สู้ดีนัก ฉันต้องจับคู่กับถงเล่ยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากสองครอบครัวได้มาเป็นทองแผ่นเดียวกัน ตำแหน่งหน้าที่การงานของพ่อฉันจะต้องมีความเข้มแข็งมากขึ้นทีนี้ก็จะไม่มีใครกล้าหือกับฉันได้อีก แถมฉันยังได้ผู้หญิงอย่างถงเล่ยมาครอบครอง ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวชัดๆ! หึหึ!”
เหมือนนึกถึงถงเล่ย ซูหม่าก็จำได้ทันที ดูเหมือนว่า ถงเล่ยจะประทับใจในตัวจี้เฟิงพอสมควร มันเป็นสิ่งที่ซูหม่ารับไม่ได้อย่างแน่นอน!
“ฉันต้องหาวิธีทำให้จี้เฟิงต้องอับอาย และในขณะเดียวกันฉันต้องทำให้ถงเล่ยมาเป็นของฉันให้ได้!” ซูหม่าประกาศกร้าวในใจ
ทันทีที่เขานึกถึงดวงตาที่มีเสน่ห์และรูปร่างหน้าตาอันสวยงามไม่มีใครเทียบของถงเล่ยมาอยู่ในอ้อมแขน หัวใจของเขาก็รู้สึกร้อนรุ่มทันที
…………
“เฮ้ไอ้บ้า นายได้ยินเรื่องที่ว่าจะมีอาจารย์คนใหม่มาแทนอาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษหรือยัง?” เมื่อจี้เฟิงกำลังจะเก็บของออกจากห้องเรียน จางเล่ยที่เดินกลับมาจากด้านนอกก็วิ่งไปที่นั่งและทำท่าเหมือนได้รู้ความลับอะไรมา “ฉันอยากเห็นอาจารย์คนใหม่ไวๆชะมัด นายว่าจะเป็นเรื่องจริงไหม?”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “อาจารย์หวังที่สอนภาษาอังกฤษเราท่านอายุมากแล้ว แถมสุขภาพก็ไม่ค่อยดีอีก มีความเป็นไปได้ที่จะมีอาจารย์คนใหม่มาสอนแทน”
“เรื่องนั้นฉันรู้แล้ว!” จางเล่ยพูดอย่างกระตือรือร้น “ที่ฉันอยากรู้ว่าเรื่องจริงไหม คือฉันได้ยินมาว่าครูสอนภาษาอังกฤษคนใหม่เนี่ยสวยมากแถมยังเก่งและฉลาด จบจากมหาวิทยาลัยในเจียงโจวด้วยนะ!”
จี้เฟิงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เขาส่ายหัวและพูดว่า “คุณชายเล่ยครับ ผมไม่ทราบว่าในสมองคุณคิดแต่เรื่องอะไรอยู่ตลอดทั้งวัน ถึงแม้อาจารย์คนใหม่จะสวยแค่ไหน เขาก็ยังเป็นอาจารย์ รู้ใช่ไหม?”
“ไอ้บ้า!” จางเล่ยสบถใส่จี้เฟิงด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “รู้หน่า แต่ความรักระหว่างอาจารย์กับนักเรียนมันน่าตื่นเต้นดีจะตาย นายไม่คิดงั้นเหรอ?”
“ไปไกลๆป่ะ นายอย่าหาเรื่องให้ฉัน” จี้เฟิงยิ้มและส่ายหัว เขาเก็บกระเป๋าต่อเตรียมตัวที่จะกลับบ้าน
ตอนนี้เขาไม่ได้ต้องการอะไรอีก นอกจากการตั้งใจเรียนและเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีให้ได้ นั่นคือความตั้งใจเพียงอย่างเดียวของเขาในตอนนี้
“เพื่อน!! นายไม่สนใจฉันเลย ไม่สนุกเลยอ่ะ นายเป็นเพื่อนฉันรึเปล่าเนี่ย!!” จางเล่ยส่ายหัวมองจี้เฟิงด้วยหางตา
“ว่าแต่ วันนี้นายมีแผนที่จะไปส่งดอกไม้ของโรงเรียนอีกหรือเปล่า?” จางเล่ยถามในสิ่งที่เขาคิด
เมื่อจี้เฟิงได้ยินคำถามของจางเล่ย เขายิ้มอย่างขมขื่นพร้อมกับส่ายหัวและตอบว่า “ลืมไปได้เลย ฉันทำอะไรแบบนั้นไม่ได้แล้วล่ะ ถ้าฉันไปส่งจางเล่ยอีกเป็นครั้งที่ 2 ฉันเกรงว่าฉันคงจะไม่สามารถมาโรงเรียนได้อีก ฉันต้องเดือดร้อนอย่างไม่ต้องสงสัย”
“มันเกิดอะไรขึ้น?” จางเล่ยตกใจกับคำตอบของจี้เฟิง
จี้เฟิงเล่าแค่ว่าเมื่อคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นและพูดต่ออีกว่า “สถานการณ์ในตอนนี้ ซูหม่าเปรียบได้กับหินก้อนใหญ่ ส่วนฉันนั้นมันเป็นแค่ไข่ใบเล็ก” การเปรียบเทียบนี้ทำให้มองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน
ในความเป็นจริงนั้น หากจี้เฟิงอยู่ตัวคนเดียว เขาคงจะต่อสู้กับซูหม่าอย่างไม่เกรงกลัวแม้ว่าเขาอาจจะต้องถูกจำคุกก็ตาม แต่ตอนนี้เขาทำแบบนั้นไม่ได้ เขาไม่ได้ตัวคนเดียว เขายังมีแม่ที่ต้องกตัญญู และถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับเขา แม่ของเขาก็คงอยู่ไม่ได้เช่นกัน
ดังนั้นจี้เฟิงจึงไม่สามารถทำอะไรตามใจตัวเองจนเกิดผลเสียที่ร้ายแรงได้
หลังจากที่จางเล่ยได้ยินคำพูดของจี้เฟิง ใบหน้าของเขาก็ดำมืดลง ดวงตาฉายแววเย็นชา
จางเล่ยกัดฟันพูดด้วยความโกรธ “แม้แต่เพื่อนที่ฉันรักเหมือนพี่น้อง มันยังกล้า!!”