The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 2
บทที่ 2 ตื่นขึ้น!
ในวอร์ดสีขาวที่เต็มไปด้วยกลิ่นฉุนของยา จี้เฟิงนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล เขายังคงอยู่ในอาการโคม่า
แต่ความเป็นจริง ในเวลานี้ในสมองของจี้เฟิงมีเสียงดังอยู่ตลอดเวลา
“การกระตุ้นทางชีวภาพเพื่อมองหาโอกาสในการรวมเข้าด้วยกัน….”
……
“ความผันผวนตามปกติของจิตวิญญาณเชื่อมต่อปลายประสาทเสร็จสิ้น….”
……
“ประสาทส่วนกลางของโฮสฟิวชั่นสำเร็จ…”
……
“สมองอัจฉริยะข้างหนึ่งเริ่มรวมเข้ากับโฮส…”
……
“การหลอมรวมเสร็จสมบูรณ์ระบบฐานข้อมูลเริ่มขึ้น…ติ๊ง…!!”
……
“โปรแกรมเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายโฮสเริ่มต้นขึ้น . . .”
……
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนจี้เฟิงค่อยๆตื่นจากอาการโคม่า สิ่งแรกที่เขาเห็นคือใบหน้าของผู้หญิงวัยกลางคนที่เต็มไปด้วยน้ำตา
“แม่…!!” จี้เฟิงตะโกนเรียกแม่โดยอัตโนมัติพอเริ่มตั้งสติได้ เขาลุกขึ้นนั่ง และมองไปรอบๆด้วยความมึนงง “แม่ที่นี่…โรงพยาบาลเหรอ ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
เซียวซูเหม่ย หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างๆเตียงในตอนนี้ก็คือ แม่ของจี้เฟิง
เมื่อเห็นจี้เฟิงฟื้นขึ้นมา เธอรีบเอามือปาดน้ำตาบนใบหน้า “เฟิงเอ๋อ! ฟื้นแล้วหรอลูก”
เซียวซูเหม่ย จับมือของลูกชายขึ้นมาพร้อมกับถามต่อว่า “เฟิงเอ๋อเป็นยังไงบ้าง รู้สึกดีขึ้นหรือยัง?”
จี้เฟิงพยักหน้าแบบมึนงง และถามด้วยความสับสน “แม่ผมเป็นอะไร แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?”
เซียวซูเหม่ยเช็ดน้ำตาของเธอและพูดว่า “หลังจากที่ลูกโดดเรียนในวันแรกของการเปิดเทอม ก็มีคนมาเจอลูกหมดสติเพราะโรคลมแดดอยู่ข้างถนน ถ้าไม่ได้เขาช่วยส่งลูกมาที่นี่แม่คงเสียลูกชายของแม่ไปแล้ว”
โดดเรียน? เป็นลมแดด?
พอได้ฟังเรื่องราว ใบหน้าชองจี้เฟิงก็ซีดลง เขาจำได้ว่าวันนั้นเขาโดดเรียน และออกจากโรงเรียนมา เขาแค่ไม่อยากอยู่ที่นั่นอีกต่อไป เขากลัวว่าเขาจะได้ยินคำสามคำนั้น คำว่า ลูกเมียน้อย จากปากของ ฮูซู่ฮุ่ยอีก บวกกับความเจ็บปวดจากการถูกบอกเลิกและจากนั้นเขาก็ออกจากโรงเรียนด้วยความสิ้นหวัง
เมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของลูกชาย เซียวซูเหม่ยผู้เป็นแม่ก็เริ่มเป็นกังวล “ลูกแม่ ทำไมหน้าซีดอย่างนั้นล่ะ อาการไม่ดีเหรอลูก?”
“แม่! ผมสบายดี!”
จี้เฟิงรีบคว้ามือแม่ที่กำลังจะหยิบโทรศัพท์เพื่อโทรตามหมอ พอเห็นท่าทางอันเป็นกังวลของแม่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกจี๊ดในใจ และพูดอย่างรู้สึกผิดว่า “แม่มันเป็นความผิดของผมเองที่ทำให้แม่ต้องเป็นห่วง ต่อไปนี้ผมสัญญาว่าผมจะไม่โดดเรียนอีกในอนาคต ผมจะตั้งใจเรียน แม่จะไม่ต้องกังวลเรื่องการเรียนของผมอีกต่อไป”
“โอเคโอเค” เซียวซูเหม่ยอดไม่ได้ที่จะน้ำตาซึมเมื่อเห็นลูกชายของเธอมีความคิดที่ดี
“แม่รู้ว่าเฟิงเอ๋อ มีสติคิดได้อยู่แล้ว!”
มีสติ?
จี้เฟิงยิ้มอย่างประชดประชันให้กับตัวเอง ถ้าเขามีสติจริงเขาจะไม่มีวันลืมแม่ที่ทำงานเพียงคนเดียว แต่เขากลับไปหมกมุ่นอยู่กับฮูซู่ฮุ่ย ทั้งๆที่แม่ต้องทำงานขายผักเพื่อการศึกษาของเขาเอง
เขามันเป็นลูกที่เลว เลวยิ่งกว่าสัตว์ร้าย! จี้เฟิงรู้สึกเกลียดตัวเอง!!
บ้านเกิดของเซียวซูเหม่ยแม่ของจี้เฟิง อยู่ในชนบทแต่เนื่องจากเธอตั้งท้องโดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน เซียวซูเหม่ยจึงถูกพ่อแม่ไล่ออกจากบ้าน ทำให้เธอไม่มีที่อยู่อาศัย เธอถูกมองว่าเป็นผู้หญิงไม่ดีและถูกเยาะเย้ยถากถางจากญาติและเพื่อนๆรวมถึงผู้คนแถวบ้าน นั่นจึงทำให้เธอไม่สามารถอยู่ที่ชนบทบ้านเกิดของเธอได้อีกต่อไป เธอจึงได้ย้ายมาในเขตเมืองเพื่อลูกในท้องของเธอ
นับว่ายังโชคดี เธอได้รับการช่วยเหลือจากผู้มีจิตใจดีคนหนึ่ง เซียวซูเหม่ยได้บ้านเช่าราคาถูกและเธอก็ได้ให้กำเนิดลูกชายเธอ “จี้เฟิง”
ในตอนที่จี้เฟิงยังเด็ก เซียวซูเหม่ยทำได้เพียงอุ้มจี้เฟิงไว้บนหลังของเธอในขณะที่เธอช่วยคนอื่นๆดูแลเด็กๆในตอนกลางวัน พอตกเย็นเธอไปที่กองขยะใกล้ๆ เพื่อหาเศษขยะที่พอจะสามารถขายได้ ชีวิตของเธอยากลำบากมาก
เมื่อจี้เฟิงโตขึ้นมาหน่อย การทำงานของเซียวซูเหม่ยก็ง่ายขึ้นเล็กน้อย ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนบ้านเธอจึงซื้อรถสามล้อถีบมาเป็นแม่ค้าขายผักเล็กๆน้อยๆ แม้ว่าจะไม่ได้เงินมากมายนักแต่ก็พอเพียงแค่ค่าเล่าเรียนของจี้เฟิงเท่านั้น พวกเขาแทบจะไม่สามารถผ่านความยากลำบากนี้ไปได้เลย
ตอนแรกจี้เฟิงเป็นเด็กที่กตัญญูและมีความคิดดี เขาช่วยแม่ของเขาได้มาก หลังเลิกเรียนเขาจะมาที่ตลาดผักในเมืองเพื่อช่วยแม่ของเขาขายผัก
แต่พอเขาได้คบหากับฮูซู่ฮุ่ย เขาใช้ข้ออ้างเรื่องการเรียนหนักในทุกครั้งที่เขาว่างเพื่อที่จะได้อยู่กับฮูซู่ฮุ่ย ทำให้เขาไปช่วยแม่ได้น้อยลง
เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้ จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกจุกเสียดในอก อะไรทำให้เขาตาบอดไปหลงรักฮูซู่ฮุ่ยและทิ้งแม่ผู้ที่หาเลี้ยงเขามาให้ทำงานหนักเพียงคนเดียว
“แม่ ผมขอโทษ!” จี้เฟิงพูดอย่างจริงจัง “จากนี้ไปผมจะไม่ปล่อยให้แม่ต้องมาลำบาก ผมจะทำให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้น ผมจะไม่ปล่อยให้ใครมาหัวเราะเยาะและดูถูกพวกเราอีก ผมจะทำให้แม่ภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้!”
ในเวลานี้หลังจากที่เขาได้เห็นน้ำตาของแม่ ในที่สุด จี้เฟิงก็ตาสว่างและได้สติ พร้อมจะเริ่มต้นใหม่! นี่เป็นคำสัญญาที่ออกมาจากใจเพื่อแม่ของเขาที่ทำงานหนักและเขาจะทำให้แม่มีชีวิตที่ดีขึ้น!
“จ้ะ ลูกรัก” ทันใดนั้นเซียวซูเหม่ยก็คว้าตัวลูกชายมากอดพร้อมกับหลั่งน้ำตาแห่งความปลาบปลื้ม
เซียวซูเหม่ยรู้สึกดีใจในที่สุดความเจ็บปวดและความยากลำบากกำลังจะหมดลง ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าชีวิตจะยากลำบากแค่ไหนเธอก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่าที่จะมีลูกชายที่ดีและกตัญญู!
จี้เฟิงกอดอกพูดกับตัวเองอย่างแน่วแน่ว่า “นับแต่นี้เป็นต้นไปจี้เฟิง! นายต้องเป็นคนใหม่ นายต้องลืมฮูซู่ฮุ่ยเพราะนายยังมีแม่ที่นายต้องกตัญญูรู้คุณ!”
จี้เฟิงและแม่โผเข้ากอดกัน บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นของครอบครัว
ปึง..ง!!
จู่ๆประตูห้องพักของผู้ป่วยก็ถูกผลักออกอย่างแรง!
จี้เฟิงและแม่หันไปมองพร้อมกัน และเห็นพยาบาลร่างอ้วนเดินเข้ามา เธอมองมาที่สองแม่ลูกด้วยสายตารังเกียจและพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “คุณเซียวซูเหม่ย ระยะเวลารักษาตามกำหนดสามวันของคุณกำลังจะหมดลงในอีก 20 นาที หากต้องการจะรักษาต่อ ก็ช่วยไปชำระเงินด้วย ไม่เช่นนั้นก็เก็บของและเชิญออกไปได้แล้ว!”
เซียวซูเหม่ยตกใจเธอรีบลุกขึ้นและพูดว่า “คุณพยาบาลคะ! ตอนนี้ลูกชายฉันเพิ่งฟื้น ร่างกายของเขายังอ่อนแอ คุณไม่เห็นเหรอคะ? ฉันขอเวลาอีกซักหนึ่งชั่วโมง เพื่อให้เขาได้พักฟื้น แล้วเราจะรีบออกไปทันทีที่เขาดีขึ้น”
“เหอะ!” นางพยาบาลร่างอ้วนพูดอย่างเหยียดหยาม “คิดว่าที่นี่เป็นสถานสงเคราะห์หรอ? ที่นี่คือโรงพยาบาลประจำเมือง ไม่ใช่คลินิกเล็กๆตามชนบท ที่จะจ่ายเงินช้าแค่ไหนก็ได้ ถ้าอยากจะอยู่เพื่อรักษาชีวิตก็ต้องมีเงินจ่ายค่ารักษา ถ้าไม่อย่างนั้นก็ออกไปตายข้างนอก!”
เซียวซูเหม่ยใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ เมื่อนึกถึงร่างกายของลูกชายที่ยังอ่อนแออยู่เธอทำได้เพียงกัดฟันและพูดว่า “โอเค! ฉันจะจ่ายเงินเพื่อรักษาต่อ!”
“แม่!!” สีหน้าของจี้เฟิงดำมืดลงอย่างเห็นได้ชัด จี้เฟิงหันไปมองที่นางพยาบาลอย่างเย็นชาพร้อมกับเดินลงมาจากเตียง เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เรายังมีเวลาอีกยี่สิบนาทีใช่ไหม?”
“ใช่” นางพยาบาลตอบอย่างไม่แยแส “แล้วทำไม? มีปัญหาอะไร? จะทำร้ายร่างกายฉันหรอ?!”
“เหอะ!” จี้เฟิงหัวเราะและกล่าวอย่างเย็นชา “เนื่องจากพวกเรายังมีเวลาอีกยี่สิบนาที และในยี่สิบนาทีนี้ห้องนี้ก็ยังคงเป็นของพวกเราใช่ไหม?”
“เธออยากจะสื่ออะไร ฉันไม่มีเวลามาคุยเล่นกับเธอหรอกนะ รีบเก็บของแล้วรีบออกไปได้แล้ว!” พยาบาลพูดอย่างหมดความอดทน
“ออกไป!!” จี้เฟิงตะคอกกลับ
“เธอ…ว่าอะไรนะ!!” พยาบาลร่างอ้วนถามกลับด้วยอาการอึ้งๆ
“ผมบอกว่าให้คุณออกไป หรือถ้าไม่อยากไปดีๆคุณจะกลิ้งออกไปก็ได้นะ ออก!! ไป!!”
“จี้เฟิงพูดเน้นทีละคำ ในเวลายี่สิบนาทีนี้ สิทธิการรักษาและการใช้ห้องนี้ยังเป็นของพวกเรา และผมขอสั่งให้คุณ ออกไป”
“เธอ..!!” นางพยาบาลจ้องไปที่จี้เฟิงด้วยความโกรธ แต่ไม่สามารถพูดอะไรต่อได้ เพราะภายในระยะเวลา 20 นาทีที่เหลือนี้จี้เฟิงมีสิทธิทุกอย่างตราบใดที่มันไม่ผิดกฎระเบียบของทางโรงพยาบาล!
ในที่สุดนางพยาบาลร่างอ้วนก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ “อีก 20 นาที ถ้าเธอและแม่ของเธอยังไม่ออกไป ฉันจะเรียก รปภ.ให้มาลากตัวพวกเธอออกไป ฮึ่ม!!”
หลังจากนั้นนางพยาบาลร่างอ้วนก็เดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
…จบบทที่ 2~