The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 55
บทที่ 55 ไปสู่ความสำเร็จ
หลังจากออกกำลังกายตอนเช้าเสร็จเรียบร้อย จี้เฟิงก็ตรงกลับบ้านทันที แม่ของเขา เซียวซูเหม่ย ได้ทำอาหารเช้าเตรียมไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเซียวซูเหม่ยเห็นลูกชายกลับมา เธอก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เฟิงเอ๋อ ไปอาบน้ำแล้วมากินข้าวได้แล้วลูก” จี้เฟิงตอบด้วยรอยยิ้ม เขาหยิบผ้าขนหนูตรงอ่างล้างหน้าและเดินลงไปข้างล่าง
การใช้ชีวิตในชุมชนแออัดแห่งนี้การมีห้องน้ำใช้เป็นการส่วนตัวก็ถือว่าเป็นเรื่องหรูหรามากแล้ว ที่พักอาศัยชั้นบนนั้นมีหลายสิบครัวเรือนที่ใช้ห้องน้ำร่วมกันในชั้นล่างที่เป็นแบบเปิดโล่ง แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับจี้เฟิง เขาใช้ชีวิตแบบนี้มานานกว่าสิบปี เขาเคยชินกับชีวิตแบบนี้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่ารูปแบบการใช้ชีวิตแบบนี้ก็ส่งผลเสียอย่างมากเช่นกัน เพราะหากมีคนไม่ดีสักหนึ่งหรือสองคนที่อาศัยอยู่ร่วมกันในอาคารนี้ ก็จะเป็นอันตรายสำหรับผู้หญิงที่ยากจะป้องกันตัวเองจากการถูกแอบมองหรือทำร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูร้อนที่ทุกคนจะสวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นลง ทำให้เป็นที่หมายตาจากคนไม่ดีเหล่านี้
เคยมีคนไม่ดีอาศัยอยู่คนเดียวในห้องพักอาคารเดียวกันกับจี้เฟิงมาก่อน ส่วนลูกและเมียของเขาอาศัยอยู่ที่บ้านเกิดในชนบท ผู้ชายคนนี้มีอาชีพรับซ่อมจักรยาน เขาจะไปตั้งแผงรับซ่อมจักรยานในตอนกลางวัน แต่พอตกกลางคืนเขากลับมีพฤติกรรมที่ไม่ดี
ชายคนนั้นดูเหมือนจะแอบชอบแม่ของจี้เฟิง เนื่องจากเขารู้ว่าแม่ของจี้เฟิงนั้นไม่มีสามีและครอบครัวของเธอมีผู้ชายเพียงคนเดียวนั่นก็คือจี้เฟิงที่เป็นลูกชายของเธอ ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งนั่นก็เป็นเพราะความสวยงามของเซียวซูเหม่ยก็ไม่ได้แพ้หญิงสาวในวัยเดียวกันแต่อย่างใดเลย หากไม่ใช่เพราะเธอต้องเหน็ดเหนื่อยตากแดดในการทำงาน เซียวซูเหม่ยก็เรียกได้ว่าเป็นสาวสวยที่สง่างามคนหนึ่งเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามเนื่องจากเซียวซูเหม่ยเป็นคนจิตใจดีเธอจึงเป็นที่ชื่นชอบของคนในพี่พักอาศัยใกล้เคียงกัน แล้วในคืนหนึ่งชายชั่วคนดังกล่าวพยายามที่จะงัดเข้าห้องของเซียวซูเหม่ย แต่เขาถูกพบโดยเพื่อนบ้านเสียก่อน โดยเพื่อนบ้านผู้หญิงหลายคนถือไม้ถูพื้นและไม้กวาดมาเพื่อจะช่วยกันจัดการคนร้าย หลังจากที่คนร้ายได้รับบทเรียนอย่างสาสม เจ้าของบ้านก็จัดการจับตัวส่งตำรวจในเช้าวันรุ่งขึ้น
ตั้งแต่นั้นมาชีวิตของสองแม่ลูกเซียวซูเหม่ยและจี้เฟิงก็อยู่กันอย่างสงบไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นอีกจนถึงปัจจุบัน
เมื่อคิดย้อนกลับไปยังเหตุการณ์เลวร้ายเหล่านั้น ความเกลียดชังที่มีต่อพ่อที่เขาไม่เคยพบหน้ายิ่งฝังลากลึกลงในจิตใจของจี้เฟิงมากขึ้น ถ้าพ่อไม่ทำเรื่องโหดร้ายอย่างการทิ้งแม่แบบไม่สนใจใยดี แม่ของเขาคงไม่ต้องมาพบเจอกับเรื่องที่ทำให้ต้องทุกข์ทรมานแบบนี้
แต่ก็ยังถือว่าเป็นโชคดีที่ชายชั่วคนนั้นถูกพบโดยเพื่อนบ้านเสียก่อน ในตอนที่กำลังจะงัดประตูห้อง ถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่อยากนึกเลยว่าชะตากรรมเลวร้ายแบบไหนที่จะมาตกอยู่กับแม่ของเขา
“ไม่ว่าคุณจะทอดทิ้งแม่ด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ ผมจะไม่มีวันยกโทษให้คุณ!” จี้เฟิงที่กำลังล้างคราบเหงื่อบนใบหน้าของเขา รู้สึกได้ถึงความขุ่นมัวที่เกิดขึ้นในดวงตา “วันใดที่ผมประสบความสำเร็จ ผมจะทำให้คุณรู้สึกเสียดาย!”
ฟู่~~~!
จี้เฟิงผ่อนลมหายใจยาว เมื่อจิตใจของเขาเริ่มสงบลง เขาจึงรีบอาบน้ำล้างหน้าอย่างรวดเร็ว และกลับขึ้นไปชั้นบน
ระหว่างทานอาหารเช้า จี้เฟิงมองไปที่แม่ของเขา เธอดูเหนื่อยล้ามากจริงๆ จี้เฟิงอยากจะอ้าปากถามหลายครั้งเกี่ยวกับเรื่องของพ่อที่ไม่เคยพบกันมาก่อน แต่พอเขาคิดว่าหากถามไปแล้วแม่ของเขาก็จะต้องทุกข์ใจอีก เขาจึงยั้งใจไว้และได้แต่กัดฟันทนที่จะไม่ถามถึง
“เฟิงเอ๋อกินเยอะๆ หน่อยสิลูกตอนนี้ลูกโตขึ้นมาก นานๆทีครอบครัวของเราจะมีอาหารดีๆ กิน เพราะฉะนั้นลูกต้องกินให้เยอะๆนะ!” เมื่อเห็นลูกชายของเธอนั่งกัดฟันด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เซียวซูเหม่ยก็รู้สึกผิดในใจ
มันเป็นเพราะฉันเอง ที่ทำให้ลูกชายคนเดียวของฉันต้องลำบาก มาอยู่อย่างยากจนข้นแค้นขนาดนี้กับเธอ
แม้ว่าจี้เฟิงจะกลับบ้านมาอย่างปลอดภัยในทุกวัน และไม่เคยพูดว่าเขามีปัญหาที่โรงเรียนเลยสักครั้ง แต่เซียวซูเหม่ยเธอจะแน่ใจได้อย่างไร? เพียงแค่คิดว่าลูกชายอาจจะโดนดูถูกเรื่องที่เป็นลูกนอกสมรส หัวใจของเซียวซูเหม่ยก็เจ็บปวดราวกับถูกเข็มเป็นพันๆเล่มทิ่มแทง!
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “แม่ไม่ต้องห่วง เห็นแบบนี้แต่ตอนนี้ผมสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดเซนติเมตรแล้วนะ เรียกได้ว่าสูงไม่น้อยไปกว่านักเรียนชายทั่วไปในโรงเรียนเลย แล้วอาหารที่มีประโยชน์ไม่จำเป็นจะต้องเป็นแค่ปลาหรือเนื้อสัตว์ แต่สิ่งที่มีคุณค่าทางอาหารที่สุดก็ไม่พ้นพืชผักที่ผมได้กินอยู่ทุกวัน แค่นี้ก็ดีมากแล้วครับแม่!”
เซียวซูเหม่ยเห็นลูกชายพูดอย่างนี้เธอก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย เธอยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วตักอาหารวางบนจานของจี้เฟิง
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ จี้เฟิงก็พาแม่ของเขาไปที่ตลาดค้าส่ง ซื้อแตงกวาและผักอื่นๆไว้ในรถแล้วขี่สามล้อไปที่ตลาดผัก
ในทีแรกจี้เฟิงต้องการจะอยู่ช่วยแม่ของเขาขายผักที่ตลาด แต่เซียวซูเหม่ยแม่ของเขาปฏิเสธอย่างจริงจัง เธอไล่จี้เฟิงให้กลับมาอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนที่บ้าน เธออดไม่ได้ที่จะย้ำให้เขาตั้งใจให้มาก สุดท้ายจี้เฟิงจึงทำได้แค่ยอมแพ้และกลับบ้านไป
วันที่วุ่นวายผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในตอนเย็นจี้เฟิงกลับมาสู่จิตใต้สำนึกของเขาอีกครั้ง โดยเริ่มจากการทำยิมนาสติกในท่าที่ 5 พร้อมกับการเล่นโอเทลโล่กับโอลิเวอร์
เมื่อมาถึงเกมที่ยี่สิบโอลิเวอร์ที่ไม่เคยเอ่ยปากพูดเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยกเว้นการแนะนำกฎให้จี้เฟิงฟังในครั้งแรก แต่ในตอนนี้จู่ๆ โอลิเวอร์ก็ได้พูดขึ้น “จี้เฟิง ความสามารถในการเล่นโอเทลโล่ของคุณสูงขึ้นแล้ว ในขั้นถัดไปฉันจะใช้ความสามารถทั้งหมดในการเล่นโอเทลโล่กับคุณ และฉันหวังว่าคุณจะสามารถรักษาสถานะเช่นนี้ต่อไปได้!”
หลังจากฟังจบ นอกจากจี้เฟิงไม่กลัวแล้ว เขากลับยิ่งรู้สึกตื่นเต้น
ทักษะของเขาได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนทำให้โอลิเวอร์ปรมาจารย์ด้านโอเทลโล่แห่งยุคของดวงดาวสามารถเล่นอย่างสุดความสามารถได้ นี่หมายความว่าฝีมือการเล่นโอเทลโล่ของเขาพัฒนาอย่างมากจนใกล้เคียงระดับปรมาจารย์แล้วสินะ?!”
และแล้วเขาก็สามารถเอาชนะโอลิเวอร์ได้ในที่สุด จี้เฟิงรู้สึกประหลาดใจมาก
ผลลัพธ์ที่ได้มานี้เป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการของจี้เฟิงมาก ถึงจี้เฟิงจะไม่รู้ว่า คนที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์นั้นจะมีสักกี่คน แต่ตอนนี้หลังจากที่เขาเพิ่งจะเรียนรู้ได้เพียงแค่คืนเดียว เขาก็สามารถเอาชนะโอลิเวอร์ผู้ที่ถูกเรียกว่าเป็นปรมาจารย์ได้แล้ว การเรียนรู้และพัฒนาทักษะของเขามันจะไม่น่ากลัวเกินไปหน่อยเหรอ?
จี้เฟิงไม่ได้รู้เลยว่า สมองของเขาได้รับการพัฒนาผ่านกระแสไฟฟ้าของสมองอัจฉริยะที่ได้ผสานรวมเข้ากันกับสมองของเขา และไม่ว่าจะเป็นเรื่องความจำหรือการตอบสนองต่อการเรียนรู้สิ่งต่างๆ มันจึงมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมหลายเท่ามากนัก สิ่งที่จี้เฟิงได้เรียนรู้จากเมื่อคืนนี้เพียงคืนเดียว สามารถเทียบได้กับการเรียนรู้อย่างเข้มข้นของคนทั่วไปที่ใช้ระยะเวลานานกว่า รวมถึงผลที่ได้นั้นก็ย่อมดีกว่ามาก เนื่องจากไม่ต้องเปลืองเวลาและไม่ส่งผลกระทบต่อความเหนื่อยล้าของร่างกาย!
“ยินดีด้วยมาสเตอร์ การเผชิญหน้ากับโอเทลโล่ได้สำเร็จลุล่วงแล้ว!” ในช่วงเวลาที่จี้เฟิงเอาชนะโอลิเวอร์ได้นั้น เสียงของสมองหมายเลข 1 ก็ดังขึ้นจากด้านข้าง หลังจากนั้นโอลิเวอร์ก็ค่อยๆจางหายไปอย่างช้าๆ ต่อหน้าจี้เฟิง
“หืม..การฝึกทักษะนี้เสร็จแล้วเหรอ” จี้เฟิงบ่นพึมพำ ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ แต่เขาก็ต้องเชื่อเนื่องจากมีข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้อยู่ตรงหน้า เขาส่ายหัวและพูดว่า “ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีทักษะเสริมมากมายขนาดนั้น เพราะมันสามารถเรียนรู้ได้เร็วมากนี่เอง!”
“มาสเตอร์ การเผชิญหน้ากับโอเทลโล่ของคุณผ่านพ้นไปแล้ว หลังจากนี้มาสเตอร์ต้องการเรียนรู้ทักษะอื่นๆ ต่อไป หรือจะทดลองรูปแบบอื่นๆ เป็นคู่ต่อสู้ในการเผชิญหน้ากับโอเทลโล่ต่อไป?” สมองหมายเลข 1 ถามอีกครั้ง
“รูปแบบอื่นๆ?” จี้เฟิงตกใจและงุนงง “ไหนว่าเสร็จสิ้นทักษะนี้แล้ว มีรูปแบบอื่นๆ อีกงั้นเหรอ?”
สมองหมายเลข 1 พยักหน้า “ฐานข้อมูลของระบบฝึกนี้ มีการเก็บรวบรวมข้อมูลของปรมาจารย์ด้านโอเทลโล่ทั้งหมดในกาแลกซีแกมมา ต้นแบบแต่ละคน ต่างก็มีสไตล์ที่แตกต่างกัน ต้นแบบบางคนเป็นแนวดุดัน บางคนก็มีความรอบคอบใจเย็น และมาสเตอร์สามารถเลือกที่จะต่อสู้กับร่างเสมือนของพวกเขาเหล่านี้ได้!”
จี้เฟิงถามต่อ “แล้วโอลิเวอร์เป็นปรมาจารย์รูปแบบไหน?”
สมองหมายเลข 1 ตอบว่า “ปรมาจารย์โอลิเวอร์เป็นหนึ่งในผู้ที่มีความสามารถรอบด้านทั้งการโจมตีและการป้องกัน ทั้งหมดนั้นล้วนมีความแข็งแกร่งอย่างมาก เหมาะที่จะเป็นผู้สอนได้อย่างดีเยี่ยม ปรมาจารย์โอลิเวอร์นั้นมีชื่อเสียงอย่างมากในกาแลกซีแกมมาดังนั้นระบบจึงได้คัดเลือกเขามาเป็นหนึ่งในต้นแบบของปรมาจารย์ด้านโอเทลโล่!”
“อย่างนี้นี่เอง!” จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อย เขาคิดเรื่องนี้อยู่พักนึงแล้วพูดว่า “งั้นผมเลือกที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโอเทลโล่ในรูปแบบอื่นต่อไปแล้วกัน หากผมเรียนรู้ทักษะใหม่ในตอนนี้ เกรงว่ามันจะดูโลภเกินไป!”
“ถูกต้องแล้วมาสเตอร์!” สมองหมายเลข 1 กล่าวด้วยความเคารพ “คู่ต่อสู้คนต่อไปของมาสเตอร์เขาถูกเรียกว่า หอกอันแหลมคมของอาณาจักรแกมมา!”
ในทันทีที่สมองหมายเลข 1 พูดจบ ด้านหน้าของจี้เฟิงก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มคนหนึ่ง และเสียงของสมองหมายเลข 1 ก็ดังขึ้นอีกครั้งจากด้านข้าง “มาสเตอร์ ชายคนนี้คือ เทียนเย่ ผู้ที่ได้รับฉายาว่าเป็นหอกอันแหลมคมแห่งกาแลคซี่แกมมา การโจมตีของเขานั้นเฉียบคมและดุดันมาก หวังว่าเขาจะสามารถช่วยมาสเตอร์ให้แข็งแกร่งขึ้นได้!”
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและกล่าวอย่างมั่นใจว่า “เริ่มกันเลย!”
……จบบทที่ 55~