The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 7
บทที่ 7 ดอกไม้ประจำโรงเรียน
บนเตียงจี้เฟิงกำลังนอนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น
บางทีการฝึกในอนาคตอาจจะยากกว่าวันนี้ แต่เมื่อจี้เฟิงนึกถึงแม่ มันยิ่งทำให้เขามีความมุมานะมากขึ้น
เพราะจี้เฟิงรู้ดีว่า เขาไม่ได้มาจากตระกูลที่ใหญ่โต ไม่มีสมบัติหรือต้นทุนใดๆ ถ้าเขาต้องการให้แม่มีชีวิตที่ดีขึ้น เขาต้องพยายามและอดทนในการฝึกสมองและร่างกายของเขาให้แข็งแกร่งมากขึ้น
สมองหมายเลข 1 ได้บอกกับเขาอย่างชัดเจนแล้วว่า หากเขาได้รับการฝึกฝน มันเป็นไปได้ที่เขาจะสำเร็จโปรแกรมการฝึกสายลับระดับสูงในมาตรฐานแห่งยุคของดวงดาว หากเขาทำมันสำเร็จแม้แต่ปืนเลเซอร์พลังงานธรรมชาติก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ เขาจะเปรียบเสมือนยอดมนุษย์!
ถึงจี้เฟิงจะไม่เคยเห็นปืนเลเซอร์พลังงานธรรมชาติมาก่อน… แต่เขาก็พอจะรู้ได้ว่ามันคงมีพลังมากกว่าอาวุธอย่างพวกปืนพกหรือปืนกลในปัจจุบันนี้อย่างแน่นอน!
นอกจากนี้จี้เฟิงยังต้องให้ความสำคัญกับทักษะอื่นๆ ที่สายลับระดับสูงจำเป็นต้องมี
ไม่ว่าจะเป็นความเชี่ยวชาญในภาษาต่างๆมันจะช่วยในการปลอมตัวได้อย่างยอดเยี่ยม การเรียนรู้มารยาททุกประเภททำให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้อย่างใจเย็น และยังมีความเชี่ยวชาญในอาวุธและอุปกรณ์ทุกชนิด…
จี้เฟิงเชื่อว่า ถ้าเขาได้เรียนรู้ทักษะความสามารถรวมถึงเทคโนโลยีต่างๆของยุคแห่งดวงดาว ที่มีความเจริญก้าวหน้าเป็นอย่างมาก และนำสิ่งต่างๆเหล่านี้ไปสร้างเป็นธุรกิจ เขาจะต้องมีรายได้มหาศาลอย่างแน่นอน
เมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านี้ จี้เฟิงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขามองดูที่นาฬิกาและพบว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงจะครึ่งแล้ว เขารีบลุกขึ้นแต่งตัวอย่างรวดเร็ว
ตามระเบียบของโรงเรียนตั้งแต่เวลา 07.00 น. – 07.40 น. เป็นเวลาอ่านหนังสือตอนเช้า ถ้าหากไปสายจะถูกอาจารย์ต่อว่า ถ้าเป็นเมื่อก่อน จี้เฟิงคงไม่ได้สนใจมากนัก เพราะไม่ว่าเขาจะเรียนหนักแค่ไหนผลการเรียนของเขาก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าที่ควร เขาคิดว่าขอแค่อาจารย์ไม่เรียกพบผู้ปกครองก็เพียงพอแล้ว
แต่ตอนนี้นั้นต่างออกไป ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขามีความสามารถในการจำ มันจะทำให้ชีวิตเขาง่ายขึ้น หากเขาปล่อยเวลาให้เสียไปเปล่าๆ เขาจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย
จี้เฟิงจะไม่ลืมว่าเมื่อตอนที่เขาอยู่โรงพยาบาล แม่ต้องขอร้องนางพยาบาลร่างอ้วนที่ดูถูกเหยียดหยามพวกเขา เพื่อให้เขาได้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลต่อ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร แม่ของเขาไม่เคยลังเลที่จะทำเพื่อเขาเลยแม้แต่น้อย เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ จี้เฟิงก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ
“กึก!”
เพราะความรีบร้อนจี้เฟิงได้เผลอทำ กระดุมเม็ดบนหักออกมาเขาจ้องมองไปที่มือของตัวเอง เขารู้สึกแปลกใจเขาแค่ใส่เสื้อ ไม่น่าจะใช้แรงอะไรมากมาย ทำไมกระดุมถึงหัก?
เหมือนเขาคิดอะไรบางอย่างออก จู่ๆจี้เฟิงก็มองไปที่มือของตัวเองอีกครั้ง เขาพึมพำกับตัวเอง “หรือว่าพลังของฉัน…มันจะเพิ่มมากขึ้น?”
เขาลองกำหมัดทั้งสองข้างและชกออกไปข้างหน้า ทันใดนั้นมันเกิดเป็นกระแสลมราวกับว่ามีพลังระเบิดออกมาอย่างมหาศาล ทั้งร่างกายเหมือนจะมีความแข็งแกร่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“เป็นไปได้ไหมว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ สมองหมายเลข 1 พูด” จี้เฟิงนึกถึงคำพูดของสมองหมายเลข 1 ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมสมองถึงบอกเขาแบบนั้น ที่เขาต้องปรับตัวเองให้เข้ากับความแข็งแกร่งของร่างกายที่เพิ่มมากขึ้น แต่ตอนนี้เขายังไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์
จี้เฟิงส่ายหัวพร้อมรอยยิ้มแปลกๆ เขาวางกระดุมที่หักลงบนโต๊ะ และเหลือบมองไปที่ประตูห้อง เห็นแม่ของเขาหยิบกระเป๋านักเรียนขึ้นมาวางไว้ให้ แล้วหันหลังเดินออกไป จี้เฟิงไม่ได้เป็นกังวลเรื่องเสื้อผ้ามากนัก แม่ของเขาเคยบอกว่า ไม่ว่าเสื้อผ้าที่เขาใส่นั้นจะใหม่หรือเก่า จะถูกหรือแพง มันไม่สำคัญเลย ถ้าตราบใดเสื้อผ้าและคนที่ใส่นั้นดูสะอาดและเหมาะสม แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
จี้เฟิงจำคำพูดของแม่ได้ขึ้นใจ บ้านของจี้เฟิงอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก ถ้าเขาเดินไปจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง แต่เพราะเขากลัวว่าจะสายเกินไป จี้เฟิงจึงเลือกที่จะวิ่งไปโรงเรียน
อย่างไรก็ตามในตอนแรกจี้เฟิงยังไม่สามารถควบคุมร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ เขาเซไปเซมาราวกับคนเมา
หลังจากผ่านไปสิบนาทีเขาค่อยๆปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายได้ ฝีเท้าของเขาเริ่มมีความสม่ำเสมอ เมื่อเขามาถึงโรงเรียน เขาสามารถควบคุมร่างกายของเขาได้อย่างคล่องแคล่ว
แต่ถึงอย่างนั้นจี้เฟิงก็ยังคงมาสาย! เมื่อเขาก้าวเข้ามาในประตูโรงเรียน เสียงกริ่งเพื่อเป็นสัญญาณของการอ่านหนังสือในตอนเช้าก็ดังขึ้น เขารีบตรงดิ่งไปที่ห้องเรียนทันที
เมื่อเขามาถึงห้องเรียนและไม่เห็นอาจารย์ประจำชั้น จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก “โชคดีที่อาจารย์ไม่อยู่” เขาเดินไปยังที่นั่งของเขาด้วยความโชคดี แต่จู่ๆก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีคนแอบดูเขาอยู่
จี้เฟิงจึงหันไปมองและพบกับ ถงเล่ย หัวหน้าชั้นมัธยมปลายปีสาม และเธอยังได้ฉายาว่าเป็นดอกไม้ประจำโรงเรียน ทุกคนในโรงเรียนแห่งนี้ต่างรู้จักเธอ ดวงตาที่สวยงามกำลังจ้องมองมาที่จี้เฟิงด้วยความรู้สึกไม่ค่อยพอใจ
“ฉิบหาย!”
จี้เฟิงแอบอุทานในใจ เขาลืมไปว่าทุกครั้งที่มีการอ่านหนังสือช่วงเช้า ถ้าอาจารย์ไม่อยู่ หัวหน้าชั้น ถงเล่ย จะมีหน้าที่ดูแลนักเรียนในชั้น เธอจะคอยจดบันทึกนักเรียนที่มาสายและผิดระเบียบแล้วนำไปรายงานกับอาจารย์
เห็นได้ชัดว่าถงเล่ยได้เห็นแล้วว่าจี้เฟิงนั้นมาสาย จี้เฟิงได้แต่ถอนหายใจถึงแม้เขาจะมาถึงที่นั่งแล้ว เขาก็ต้องได้รับการอนุมัติจากคนคุมห้อง ตอนนี้จี้เฟิงขอแค่เขาไม่โดนเรียกพบผู้ปกครองเขาก็พอใจแล้ว
“ไง ไอ้บ้าเมื่อคืนนอนดึกเหรอ?” จางเล่ยผู้ที่มีผมสีเหลืองพูดกับจี้เฟิงด้วยรอยยิ้มกวนๆ
“นายคงไม่ทันเห็นหัวหน้าชั้นอันงดงามของเราเฝ้ามองนายตั้งแต่ประตูห้องแล้ว ไม่แน่เธออาจจะตกหลุมรักนายอยู่ก็ได้นะ!”
จี้เฟิงเหลือบมองเพื่อนของเขาด้วยความโมโหและพูดว่า “จะบ้าหรือไง นางฟ้าอย่างนั้นเขาจะมาสนอะไรหมาวัดจนๆแบบฉัน นายเลิกเพ้อเจ้อแล้วอ่านหนังสือไปซะ!”
โชคดีที่เวลานี้เป็นเวลาอ่านหนังสือช่วงเช้า บรรยากาศในห้องเรียนเต็มไปด้วยนักเรียนที่มุ่งมั่นมีสมาธิกับการอ่านทำให้ไม่มีใครสนใจการสนทนาของจี้เฟิงและจางเล่ย มิฉะนั้นพวกเขาคงกลายเป็นเป้าสายตาแน่นอน ถึงจะเป็นการพูดเล่นแต่การพูดถึงถงเล่ยผู้เป็นหญิงสาวในฝันของเด็กผู้ชายทุกคน หากใครกล้าแกล้งหรือแตะต้องเธอรับรองได้เลยว่าไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขแน่!
จางเล่ยแสยะยิ้มและตอบกลับ “ยากจนแล้วเป็นยังไง? เด็กยากจนไม่ใช่คนหรอ? ถึงนายจะเป็นคนบ้าแต่ก็มั่นใจในตัวเองหน่อย! โอเค๊?”
จี้เฟิงยิ้มแล้วมองลงไปที่หนังสือและไม่สนใจจางเล่ยอีก เขาพูดกับตัวเองในใจว่า “ความมั่นใจน่ะเหรอ ในตอนนี้ฉันมีมันมากพอควรเลยหล่ะ แต่หลังจากที่ได้เจอเรื่องฮูซู่ฮุ่ยแล้วฉันคิดว่าฉันยังไม่พร้อมที่จะเปิดใจให้กับเรื่องรักๆใคร่ๆในตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น กับผู้หญิงอย่างถงเล่ยเธอเหมือนอยู่กันคนละโลก”
เกือบทุกคนรู้ดีว่า ตำแหน่งดอกไม้ประจำโรงเรียนที่ทุกคนยกให้นั้น ไม่ใช่แค่ความสวยงามของเธอเท่านั้นที่ไม่มีใครเทียบ แต่เธอยังเป็นคนที่ฉลาดเรียนเก่ง และที่สำคัญเธอเป็นถึงลูกสาวของคนใหญ่คนโตในเขตหมางซือ
“ถงไค่เต๋อ” พ่อของถงเล่ยนั้นเป็นเลขาธิการของคณะกรรมการพรรคประจำเขตหมางซือ
ด้วยต้นกำเนิดและสิ่งแวดล้อมส่วนตัวที่เหนือกว่าในทุกๆด้าน ไม่ว่าจี้เฟิงจะเก่งแค่ไหน โอกาสที่ถงเล่ยจะเห็นเขาอยู่ในสายตานั้นน้อยนิดมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจี้เฟิงในตอนนี้ที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลย
ดังนั้นจี้เฟิงจึงเห็นคำพูดของจางเล่ยเป็นเพียงแค่เรื่องตลกและไม่ได้เก็บมาใส่ใจ สิ่งที่เขาคิดในตอนนี้มีเพียงการตั้งใจเรียนรู้บทเรียนที่เขาตามไม่ทันก่อนหน้านี้
จี้เฟิงไม่ได้รู้เลยว่า ขณะที่เขาคุยเล่นกับจางเล่ย กลับมีคนข้างๆที่ได้ยิน