The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 76-77
บทที่ 76 ฮูซู่ฮุ่ยผู้หยิ่งยโส 1
เมื่อการแข่งขันบิลเลียดในครั้งนั้นได้จบลงไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นจี้เฟิงก็หมกมุ่นอยู่กับการฝึกจากระบบฝึกฝนสุดยอดสายลับระดับสูง เขาพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็ว จนถึงตอนนี้เขาสามารถเคลื่อนไหวยิมนาสติกท่าที่สิบได้อย่างชำนาญ ยิ่งไปกว่านั้นจี้เฟิงยังเห็นผลลัพธ์เกี่ยวกับความแข็งแกร่งทางร่างกายที่เพิ่มขึ้นของเขาได้อย่างชัดเจน
นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ มันทำให้จี้เฟิงรู้สึกมีความสุขมาก
เพราะก่อนหน้านี้แม้จี้เฟิงจะมีการเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็วในการฝึกซ้อม เขาก็ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงได้มากเท่าที่ควร แม้ว่าในเวลานั้นร่างกายและสมองของเขาจะดีขึ้นจากเดิมมากจากพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพที่ช่วยปรับสมดุลต่างๆของร่างกาย ยิ่งการฝึกภายในสมองดีมากขึ้นเท่าไหร่ร่างกายของเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นตามไปด้วย
อย่างไรก็ตามผลลัพธ์เหล่านั้นล้วนเป็นเพราะการช่วยเหลือจากพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพ
แต่ตอนนี้นั้นต่างกัน
นับตั้งแต่ที่จี้เฟิงได้เริ่มต้นฝึกทำท่าการเคลื่อนไหวยิมนาสติกท่าที่สิบ พลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพก็มีผลต่อร่างกายจี้เฟิงน้อยลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายเขาก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆอีก เพราะในตอนนี้ร่างกายของจี้เฟิงได้ก้าวมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ มันเป็นผลมาจากการฝึกฝนสุดโหดอย่างเข้มข้นในระยะเวลาเกือบสามเดือน แน่นอนว่าหากต้องการจะพัฒนาร่างกายให้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงมันไม่มีทางลัดในเวลาอันรวดเร็วอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เซียวหยูซวนไม่เคยคุยกับจี้เฟิงอีกเลยตั้งแต่เกิดเหตุการณ์การแข่งบิลเลียดระหว่างเขาและเหอตงในครั้งนั้น เธอไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาด้วยซ้ำ เธอเพียงแค่มาสอนในชั้นเรียนตามปกติและจากไปทันทีหลังหมดคาบเรียน ใบหน้าของเธอแทบจะไม่ปรากฏรอยยิ้มอีกเลย
แม้ว่าจี้เฟิงจะไม่รู้จักเซียวหยูซวนอย่างลึกซึ้ง แต่เขาก็รู้ได้ว่าเซียวหยูซวนนั้นเปลี่ยนไป
แม้ว่าในอดีตอาจจะไม่สามารถถึงกับพูดได้ว่าเซียวหยูซวนเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นง่ายแค่ไหน แต่อย่างน้อยเธอก็เป็นคนสวยที่น่าทึ่งและไม่ถือตัว แต่ในตอนนี้ใบหน้าของเซียวหยูซวนนั้นบูดบึ้งตลอดเวลาราวกับว่าทุกคนรอบตัวเธอนั้นติดหนี้เธอเป็นจำนวนเงินหลายหมื่นหยวน
“ถ้าพูดกันตามจริง เธอต่างหากที่ติดหนี้ฉัน..” จี้เฟิงพึมพำกับตัวเอง แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้าที่เย็นชาของเซียวหยูซวนเขาก็ทำได้เพียงแค่กลืนประโยคนี้เข้าไป แม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังคงรู้สึกเป็นทุกข์
เมื่อก่อนเซียวหยูซวนมักจะพูดคุยหยอกล้อและหัวเราะกับนักเรียน แม้ขนาดวันแรกที่เธอเพิ่งได้เข้ามาสอนที่ชั้นเรียนนี้ เธอก็สามารถเข้ากับนักเรียนในชั้นได้ในเวลาอันรวดเร็ว ความมีเสน่ห์ที่น่าดึงดูดและน่าเข้าหาของเธอมักจะมาพร้อมร้อยยิ้มเสมอ นั่นจึงทำให้นักเรียนทุกคนรู้สึกว่าอาจารย์คนนี้มีความเป็นมิตรอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในเวลานี้กลับไม่มีรอยยิ้มที่ร่าเริงปรากฏบนใบหน้าของเธอเลย
เมื่อฟังอาจารย์อธิบายเกี่ยวกับกระดาษข้อสอบ จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อย เป็นเพียงเพราะเขาเล่นบิลเลียดโดยไม่ไว้หน้าเหอตงในตอนนั้น จึงทำให้เซียวหยูซวนเกลียดเขาได้มากถึงขนาดนี้?
หากเป็นอย่างที่คิดจริงๆ จี้เฟิงก็รู้สึกพูดไม่ออก เขาทำได้แค่ถอนหายใจ ผู้หญิงที่เขาตกหลุมรักนั้น เป็นคนที่ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย อย่างน้อยก็ไม่ควรปฏิบัติกับเขาต่างจากคนทั่วไป
แน่นอนว่าจี้เฟิงรู้ดี ว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของเขาเองล้วนๆ บางทีเหตุผลที่เซียวหยูซวนไม่พอใจอาจจะเป็นเพราะเหตุผลอื่น
อย่างไรก็ตามจี้เฟิงไม่ต้องการถามเซียวหยูซวนเกี่ยวกับเรื่องในวันนั้นอีก โดยไม่ต้องพูดถึงสีหน้าของเหอตงในวันที่แพ้บิลเลียดให้กับจี้เฟิงอย่างขาดลอยในตอนนั้น เพราะแค่นั้นมันก็มากเพียงพอที่จะทำให้เซียวหยูซวนรู้สึกแย่ แต่เหตุการณ์กลับถลำลึกไปมากกว่านั้น จนในที่สุดเซียวหยูซวนยอมเป็นฝ่ายเปิดปากร้องขอความเมตตาจากจี้เฟิง จนทำให้เหอตงตะคอกใส่เธอ ซึ่งเป็นเหตุผลที่มากพอที่จะทำให้จี้เฟิงไม่กล้าที่จะถามออกไป
เพราะถ้าเกิดเขาถามออกไป แล้วเซียวหยูซวนถามกลับมาว่า “แล้วทำไมจี้เฟิงถึงคิดว่าเธอไม่มีความสุข?”
แล้วจี้เฟิงควรจะตอบเธอกลับไปว่าอย่างไร?
ดังนั้นเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นเหล่านี้ เขาจึงเลือกที่จะไม่พูดหรือถามอะไรออกไป เพราะในอีกแง่หนึ่งเขาก็รู้สึกผิดเล็กน้อยแต่ในทางกลับกันเขาก็รู้สึกถึงความไม่เหมาะสมกันอยู่ดีระหว่างเซียวหยูซวนและเหอตง ผู้ชายคนนั้นไม่คู่ควรแม้แต่น้อยที่ได้เป็นแฟนของเธอ เพราะฉะนั้นตอนนี้หัวใจของจี้เฟิงจึงมีความรู้สึกที่หลากหลายและซับซ้อนมาก
ในขณะที่อารมณ์ของจี้เฟิงนั้นขัดแย้งกัน และแล้ววันหยุดฤดูหนาวก็มาถึงพร้อมกับหิมะแรกของฤดูหนาวก็ได้โปรยลงมา ทำให้โลกทั้งใบกลายเป็นสีขาวของหิมะ เช่นเดียวกับเมืองหิมะในเทพนิยาย
ในช่วงวันหยุดฤดูหนาวจางเล่ยเดินกลับบ้านอย่างหดหู่ ซึ่งนั่นทำให้จี้เฟิงถึงกับหัวเราะเยาะในความโชคร้ายของเพื่อน เขารู้ดีว่าจางเล่ยไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบายนักทั้งๆ ที่ครอบครัวยิ่งใหญ่ร่ำรวยมากแค่ไหน เพราะแน่นอนว่าหลังจากที่จางเล่ยกลับไปที่บ้านเขาจึงพอจะจินตนาการได้ว่า ‘เด็กผู้ชายยากจนเด็กผู้หญิงร่ำรวย’ นั้นเป็นอย่างไรจากที่จางเล่ยเคยเล่าถึงความหมายของประโยคนี้ให้ฟัง
ส่วนถงเล่ยเธอไม่ได้พูดอะไรกับเขามากนัก เมื่อตอนที่กำลังจะแยกย้ายกันกลับบ้าน เธอทำเพียงแค่เหลือบมองมาทางจี้เฟิง แต่ในแววตาของเธอนั้นไม่สามารถซ่อนความเสน่ห์หาที่เธอมีต่อจี้เฟิงได้ สิ่งนี้ทำให้หัวใจของจี้เฟิงรู้สึกมีความสุขและอบอุ่นในใจขึ้นมา
จี้เฟิงเข้าใจเป็นอย่างดีว่า ถงเล่ยไม่กล้าที่จะแสดงสิ่งที่เธอคิดออกมาง่ายๆ เพราะด้วยเหตุและผลหลายๆอย่าง กับการที่เธอมองเขาด้วยสายตาอันลึกซึ้งเพียงแค่นี้ ก็เรียกได้ว่าเธอได้ข้ามเส้นของเธอมามากแล้ว และมันก็เพียงพอแล้วสำหรับจี้เฟิงในเวลานี้
สำหรับเซียวหยูซวน… ตั้งแต่สิ้นสุดการสอบปลายภาค จี้เฟิงก็ไม่เคยเห็นเธออีกเลย หลังจากที่คิดดูแล้ว เซียวหยูซวนคงจะกลับบ้านเกิดไปแล้ว จี้เฟิงได้ยินจากจางเล่ยว่า บ้านเกิดของเซียวหยูซวนนั้นอยู่ที่เจียงโจว ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ และได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองไข่มุกแห่งตะวันออกมาโดยตลอด
เมื่อนึกถึงเจียงโจว จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะจำคำพูดที่พูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยามเมื่อตอนที่ฮูซูฮุ่ยบอกเลิกกับเขา “จี้เฟิง มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไปต่อ เพราะเส้นทางในอนาคตของเรานั้นแตกต่างกัน!”
………..
“นายคิดว่าสภาพครอบครัวของนายจะมีปัญญาสนับสนุนนายให้ไปเรียนมหาวิทยาลัยได้ด้วยเกรดของนายในตอนนี้ได้เหรอ? ฉันกำลังจะไปเรียนมหาวิทยาลัยและฉันก็จะอาศัยอยู่ในเมืองหลวงอย่างเจียงโจว และการคบหากับนายมันก็มีแต่จะทำลายอนาคตของฉัน!”
……….
“จี้เฟิงนายรู้ไหมว่าช่วงปิดเทอมฤดูร้อนฉันไปบ้านพี่สาวฉันที่เจียงโจว และบ้านที่พี่สาวกับพี่เขยของฉันอาศัยอยู่นั้นมันแพงและหรูหราแค่ไหน เพราะต่อให้นายทำงานหนักตลอดชีวิตคงจะไม่มีปัญญาซื้อได้แม้แต่ห้องน้ำ แล้วนายรู้ไหมว่ารถที่พี่สาวฉันขับนั้นมีราคาเท่าไหร่!”
……….
“นายจะทำงานหนักโดยใช้เวลากี่ปีดีล่ะ? สิบปี ยี่สิบปี หรือห้าสิบปี กว่านายจะซื้อบ้านในเมืองใหญ่ กว่านายจะซื้อรถราคาแพงๆได้ ฉันไม่อยากจมอยู่กับนายไปจนแก่หรอกนะ!! จี้เฟิงนายเลิกยุ่งกับฉันได้แล้ว และอย่ามารบกวนฉันอีกต่อไป ฉันต้องไปเจียงโจวเพื่อไปเรียนมหาวิทยาลัยเราคงไม่ได้เจอกันอีกเพราะหลังจากนี้เราจะเหมือนอยู่กันคนละโลก!!”
………..
ประโยคเหล่านั้นแทบจะฝังลึกอยู่ในหัวใจของจี้เฟิง นั่นจึงทำให้จี้เฟิงยังคงรู้สึกเหมือนเขาเพิ่งจะได้รับฟังประโยคเหล่านั้นเมื่อไม่นานมานี้ คำพูดพวกนั้นมันยังคงวนเวียนหลอกหลอนซ้ำเติมเขาและทุกครั้งที่นึกถึง หัวใจของเขาก็รู้สึกโกรธแค้นทุกครั้งเช่นกัน
ตลอดระยะเวลาหกเดือนที่ผ่านมา จี้เฟิงหมกมุ่นอยู่กับการฝึกอบรมจากระบบฝึกสุดยอดสายลับระดับสูงทุกวัน เขาใช้ชีวิตในโรงเรียนด้วยการตั้งใจเรียนและพูดหยอกล้อกับจางเล่ยในบางครั้ง แต่อันที่จริงในใจของเขาไม่เคยลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในวันแรกของการเปิดเทอมในชั้นม.ปลายปีสุดท้ายนี้เลย
และเหตุการณ์ในบ่ายวันนั้น ที่ไม่ว่าจะเป็นใครก็คงลืมไม่ลง ฮูซู่ฮุ่ยได้พูดคำว่า “ลูกเมียน้อย” ออกมาจากปากของเธออย่างดูถูกเหยียดหยาม เมื่อนึกถึงคำพูดพวกนั้น ฤดูหนาวนี้ของเขาจึงหนาวมากเป็นพิเศษ
ทั้งสองอยู่ในชั้นเรียนเดียวกัน แต่ในช่วงหกเดือนนับจากที่ฮูซูฮุ่ยบอกเลิกจี้เฟิงด้วยคำดูถูก เธอก็ไม่เคยแม้แต่จะมองหน้าจี้เฟิงอีกเลย แม้กระทั่งแค่เป็นการได้ยินชื่อของจี้เฟิง ฮูซูฮุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วทุกครั้งไป
ตัวจี้เฟิงเองก็เคยได้ยินคำพูดของฮูซูฮุ่ยโดยบังเอิญ เมื่อครั้งที่มีข่าวลือเกี่ยวกับตัวเขาและถงเล่ย ฮูซู่ฮุ่ยนั้นหัวเราะเยาะและพูดว่า “ไอ้เด็กพันธุ์ทางคนนั้นยังคงทำตัวเป็นคางคกอยากกินเนื้อหงส์อยู่อีกเหรอ พอโดนฉันทิ้งก็เลยคิดที่จะไปเกาะถงเล่ยต่องั้นสินะ ไร้สาระ!”
เมื่อครั้งที่จี้เฟิงได้ยินเช่นนี้ เขาถึงกับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นานกว่าสิบนาที เป็นการระงับความโกรธในใจของเขา มิฉะนั้นเขาอาจจะกระทำเรื่องรุนแรงกับฮูซูฮุ่ยเพื่อให้เธอหัดสงบปากสงบคำเสียบ้างก็ได้
จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมผู้หญิงที่เคยสัญญากับเขาด้วยความรักเมื่อตอนที่คบกัน ถึงได้กลายเป็นคนใจคอโหดร้ายไร้ความปราณีกับเขาได้ขนาดนี้ เขาสามารถอดทนฟังคำว่า “เด็กถูกทิ้ง” จากปากของเธอได้ แต่พอคำว่า “เด็กพันธุ์ทางไม่มีหัวนอนปลายเท้า” โผล่ออกมาจากปากของเธออีกครั้ง เส้นความอดทนของจี้เฟิงถึงกับขาดผึง!
อย่างไรก็ตามในตอนนี้ จี้เฟิงได้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างนับไม่ถ้วน ถือได้ว่าเขาในตอนนี้ได้เติบโตขึ้นมากแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาได้รับการฝึกอบรบเกี่ยวกับการแฝงตัวของสายลับและการปลอมตัว มันจึงทำให้เขาได้รู้สึกการสงบจิตใจมากขึ้น
และจี้เฟิงได้จัดคนประเภท ฮูซูฮุ่ยให้อยู่ในจำพวกบุคคลไม่พึงประสงค์และสมควรจะอยู่ให้ห่างมากที่สุดอย่างแน่นอน!
อย่างไรก็ตามจี้เฟิงก็ไม่ได้คาดหวังว่าในวันแรกของวันหยุดฤดูหนาวที่เขาไปช่วยแม่ขายผักที่ถนนเขาจะได้พบกับฮูซู่ฮุ่ยอีกครั้ง
………จบบทที่ 76~
บทที่ 77 ฮูซู่ฮุ่ยผู้ยิ่งยโส 2
ในวันแรกของวันหยุดฤดูหนาว จี้เฟิงตื่นแต่เช้าเพื่อช่วยแม่ของเขาทำงาน เขานั่งรถสามล้อถีบไปพร้อมกับแม่ของเขา ที่ตลาดค้าส่งผักและผลไม้ เพื่อรับผักไปขาย หลังจากรับผักเสร็จ จี้เฟิงก็พาแม่ของเขาไปที่ตลาดผัก ด้วยรถสามล้อของพวกเขา
เนื่องจากแผงขายผักในตลาด ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการจัดการและภาษีบางส่วนทุกปี และแผงขายของที่กว้างเกือบสองเมตรนั้นมีราคามากกว่า 1,000 หยวนต่อปี ด้วยจำนวนเงินที่มากกว่าหนึ่งพันหยวนนี้ ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยสำหรับครอบครัวของจี้เฟิง
เพื่อเป็นการประหยัดเงินตรงส่วนนี้ เซียวซูเหม่ยแม่ของจี้เฟิง จึงไปขายผักที่ถนนด้านนอกของตลาดแทน แต่ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือที่ริมถนนนั้นไม่มีคอกกั้นหรือสถานที่ที่เหมาะสมกับการวางแผงขายของ เธอจึงทำได้เพียงใช้รถสามล้อของเธอเปิดประตูด้านหลังทำเป็นร้านขายของเฉพาะกิจ
แต่ด้วยวิธีนี้เอง ในกรณีที่มีลมแรงหรือฝนตก เธอก็จะไม่สามารถขายผักได้ เพราะหากต้องกางร่มก็ต้องเป็นร่มที่ถือเอาเท่านั้น แต่เนื่องจากรถมีขนาดใหญ่ ร่มจึงต้องใหญ่ตามไปด้วย และแน่นอนว่าเธอไม่สามารถกางร่มขนาดใหญ่แบบนั้นได้
แล้วลองนึกดูว่าถ้าเป็นฤดูหนาวที่เวลามีลมพัดผ่าน ความรู้สึกจะไม่ต่างกับถูกมีดกรีดผ่านผิวหนัง ในสถานที่ริมถนนหน้าตลาดนี้ มันไม่มีอะไรช่วยกั้นกำบังลมได้เลย แต่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะที่ตรงนี้มันก็ไม่ได้มีไว้สำหรับขายของแต่แรกอยู่แล้ว
ทุกครั้งที่จี้เฟิงนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็รู้สึกทุกข์ใจอย่างที่สุด
เมื่อจี้เฟิงได้จัดการจอดรถไม่ให้รถเคลื่อนที่เรียบร้อย เขาจึงรีบจัดจานวางผักต่างๆ เผื่อมีคนเดินผ่านไปผ่านมาพวกเขาจะได้เห็นอย่างชัดเจนว่าตรงนี้มีอะไรวางขายอยู่
เมื่อเห็นลูกชายที่กำลังทำงานอย่างขมักเขม้น เซียวซูเหม่ยก็ยิ้มด้วยความพึงพอใจ ลูกชายของเธอเป็นเด็กกตัญญู ถึงแม้ตอนนี้เธอจะรู้สึกทุกข์ใจที่ต้องเห็นความเหน็ดเหนื่อยของลูกชายแต่เธอก็รู้สึกภูมิใจและมีความสุขมาก
หลังจากที่จี้เฟิงจัดของต่างๆจนเสร็จสิ้น จี้เฟิงก็หยิบเก้าอี้ตัวเล็กสองตัวออกมาจากหน้ารถและยิ้ม “แม่นั่งลงก่อน วันนี้ผมจะขายของให้เอง แม่นั่งดูอยู่เฉยๆ ข้างๆผมนี่แหละ!”
“ฮ่าฮ่า~” เซียวซูเหม่ยอดหัวเราะไม่ได้ “ลืมไปได้เลย ถ้าให้เฟิงเอ๋อของแม่เป็นคนขายแม่กลัวว่าลูกค้าจะหนีหมด เอาเป็นว่าคอยอยู่ช่วยตอนแม่ยุ่งมากๆ ก็พอ!”
จี้เฟิงได้แต่พยักหน้าพร้อมกับยิ้มแห้งๆ ดูเหมือนว่าแม่จะยังไม่เชื่อมั่นในตัวเขาสักเท่าไหร่…
เนื่องจากช่วงนี้ยังมีผู้คนไม่มากนัก จี้เฟิงจึงคุยกับแม่ของเขาระหว่างที่นั่งรอลูกค้า
เมื่อพวกเขาคุยกันมาถึงเรื่องการศึกษาของจี้เฟิง จี้เฟิงก็อดยิ้มอย่างภาคภูมิใจไม่ได้ “แม่ไม่ต้องห่วงผมสัญญาว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ที่มีชื่อเสียงให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัย หยานจิง หรือ เจียงโจว”
เมื่อเซียวซูเหม่ยได้ยินคำว่า ‘หยานจิง’ จู่ๆ เธอก็รู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันทีและแววตาที่ดูผิดปกติก็แวบผ่านเข้ามาดวงตาของเธอ เซียวซูเหม่ยจับปลายผมของเธออย่างเหม่อลอยโดยไม่รู้ตัว ซึ่งดูผิดปกติวิสัยของเธอมาก
“โอเคๆ เรียนที่เจียงโจวน่าจะดีกว่านะแม่ว่า แถมยังอยู่ในเมืองใหญ่ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ถ้าลูกเรียนที่เจียงโจว ที่นั่นน่าจะมีการเรียนการสอนที่ดีมาก แถมบริษัทต่างๆก็รู้จักชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยนี้เป็นอย่างดี น่าจะเป็นการการันตีหากลูกต้องหาที่ทำงานดีๆในอนาคต!” หลังจากเซียวซูเหม่ยพูดจบ เธอก็ยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
แต่จี้เฟิงก็สามารถที่จะทันสังเกตเห็นสีหน้าและรอยยิ้มที่ผิดปกติของเซียวซูเหม่ยแม่ของเขา จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย และคิดว่าแม่ของเขาคงกังวลเรื่องที่จะต้องหาค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยของเขา เขาจึงอดยิ้มออกมาไม่ได้
“แม่ ผมจะบอกข่าวดีอะไรให้แม่รู้อย่างหนึ่ง โรงเรียนของผมปีนี้ ได้มีโครงการสวัสดิการกองทุนสาธารณะสนับสนุนเงินให้กับนักเรียนที่ไม่สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนได้ในบางส่วน นอกจากนี้ยังมีกองทุนให้กู้เรียนได้อีกสำหรับนักเรียนที่ต้องการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแถมเขาไม่ต้องให้เรารีบใช้คืนระหว่างเรียนอีกด้วย เราสามารถใช้คืนได้หลังจากที่เราเรียนจบและได้งานทำ!”
“จริงหรอ?! มันดีมากๆ เลย!” เซียวซูเหม่ยพยักหน้าซ้ำๆ
จี้เฟิงยิ้มและหันกลับไปจัดเรียงผักในจาน เนื่องจากอากาศค่อนข้างเย็น จึงมีน้ำแข็งสีขาวก่อตัวขึ้นบนผักในช่วงเวลาสั้นๆ นั่นทำให้เขาต้องคอยพลิกผักเป็นครั้งคราว ไม่เช่นนั้นผักจะแข็ง
เซียวซูเหม่ยยิ้มเมื่อมองไปที่ความมุ่งมั่นของลูกชายของเธอ เซียวซูเหม่ยอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าแห่งความลำบากใจออกมา เธอถอนหายใจเบาๆ “เด็กโง่ คนไม่มีภูมิหลังอย่างเราจะได้รับกองทุนสวัสดิการสาธารณะได้อย่างไร ลูกไม่เคยเห็นที่อยู่อาศัยที่เรียกว่าสวัสดิการสาธารณะในเขตเมืองหรือ? พวกเขาล้วนแต่มีเส้นสายเป็นญาติของคนใหญ่คนโตกันทั้งนั้น ต่างกันกับพวกเราที่เป็นเพียงแค่คนธรรมดา ไม่มีทรัพย์สินหรือความมั่นคงทางการเงินใดๆ และไม่มีผลประโยชน์อะไรกับใครได้เลย”
“คุณลุงท่านนั้นตื่นแต่เช้าเลย มาออกกำลังกายหรือครับ ลองแวะดูผักขึ้นฉ่ายก่อนไหมครับ?” จี้เฟิงยิ้มและทักทายผู้คนที่อยู่ริมถนน
หากมีใครไม่รู้ผ่านมาเห็น คงคิดว่าจี้เฟิงและชายชราต้องเป็นคนที่รู้จักกันหรืออย่างน้อยก็เป็นเพื่อนบ้านกันอย่างแน่นอน แต่ที่จริงแล้วทั้งสองเป็นแค่เพียงคนแปลกหน้ากันเท่านั้น จี้เฟิงจึงทักทายเพียงเพราะแค่ต้องการรีบขายผักให้หมดโดยเร็ว เขาไม่ต้องการให้แม่ของเขาต้องทนทุกข์ทรมานกับลมหนาวที่พัดมาเรื่อยๆ แบบนี้
ชายชราที่เดินเลยไปแล้ว เมื่อได้ยินเสียงเรียกเชิญชวนของจี้เฟิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอยกลับมาแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พ่อหนุ่ม ทำงานหนักเลยนะเรา ช่วยแม่ขายผักงั้นหรือ?”
จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า “สายตาคุณลุงเฉียบแหลมสุดๆ ไม่มีอะไรสามารถหลบซ่อนสายตาของคุณลุงได้จริงๆ แล้วอากาศหนาวขนาดคุณลุงยังตื่นแต่เช้ามาออกกำลังกาย แสดงว่าสุขภาพต้องดีมากๆแน่เลย คุณลุงสนใจผักขึ้นฉ่ายตรงนี้มั้ยครับ หรือจะเป็นผักโขมนี่ก็ดีต่อสุขภาพมากเลยนะฮะ!”
“โอเค โอเค” ชายชรายิ้ม ด้วยประสบการณ์ชีวิตของชายชราผู้นี้ เขาเห็นเด็กหนุ่มที่ตาหน้าหล่อเหลาแววตาสดใสแถมปากยังหวานคนนี้ มีความขยันขันแข็งในการช่วยแม่ของตนค้าขาย ซึ่งหาได้ยากสำหรับวัยรุ่นที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ต่างกับหลานของเขาจริงๆ..
เมื่อนึกถึงหลานชายที่ไม่เอาถ่านของเขาเอง ชายชราก็อดไม่ได้ที่ส่ายหัว ถ้าหลานชายของเขาดีได้เพียงแค่ครึ่งหนึ่งของเด็กหนุ่มที่ขายผักอยู่ตรงนี้ เขาก็คงจะเป็นกังวลน้อยลง
“งั้นฉันเอาผักโขม 2 กิโล แล้วก็ขึ้นฉ่าย1 กิโล” ชายชรากล่าว “อืม.. ใกล้จะถึงเทศกาลปีใหม่เฉลิมฉลองวันตรุษจีนแล้ว ผักเหล่านี้น่าจะได้ใช้พอดี ส่วนขึ้นฉ่ายก็คงจะเอาไปทำไส้เกี๊ยว!”
จี้เฟิงยิ้มตอบรับด้วยใบหน้าที่สดใส เขาไม่ได้หันไปถามแม่เรื่องขายของ เขาหยิบถุงขึ้นมาทันทีหลังจากที่ชายชราพูดจบ เขาหยิบผักใส่ถุงและวางลงบนเครื่องชั่งน้ำหนัก ปรากฎว่าน้ำหนักของผักที่จี้เฟิงหยิบใส่ถุงมาชั่งนั้น ตรงตามที่ชายชรากล่าวออกมาอย่างพอดิบพอดี
“พ่อหนุ่มคนนี้ แข็งแรงดีจริงๆ แถมยังหยิบผักได้น้ำหนักที่ฉันต้องการได้ในคราวเดียวอีก เธอทำได้ยังไงกัน?” ชายชราถามด้วยความประหลาดใจ
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยให้ชายชรา “ไม่มีอะไรมากหรอกครับ มันเป็นความชำนาญของผมเอง ฮ่าๆๆ”
“พ่อหนุ่มคนนี้นี่ไม่เลวเลยจริงๆ” ชายชราจ่ายเงินโดยไม่ได้ต่อรองราคาเหมือนลูกค้าคนอื่นๆ หลังจากกล่าวชื่นชมจี้จบ เฟิงเขาก็รับถุงผักด้วยรอยยิ้มและจากไป
“เป็นไงล่ะ ฝีมือการขายผักของผม แม่คิดว่าผมขายของแทนแม่ได้หรือยัง? ฮิฮิ!” จี้เฟิงถามด้วยรอยยิ้มซุกซน
เซียวซูเหม่ยอดรู้สึกไม่ได้ที่จะใจหายเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานเธอก็พูดด้วยความพึงพอใจ “เฟอเอ๋อของแม่ ลูกโตขึ้นมากแล้วจริงๆ!”
จี้เฟิงหัวเราะ “ผมโตพอที่จะมาขายของแทนแม่ในวันหยุดฤดูหนาวนี้ได้แล้ว เพราะฉะนั้นแม่ก็สามารถพักผ่อนอยู่บ้านอย่างสบายใจได้เลย ให้โอกาสผมได้แสดงความกตัญญูต่อแม่บ้าง ตกลงนะ?”
“คุณลูกกตัญญู!” เซียวซูเหม่ยอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “แม่ยังไม่แก่ถึงขนาดเคลื่อนไหวร่างกายและมาขายของไม่ไหวเสียหน่อย แม่มาขายของที่นี่ แม่ก็มีลูกค้าประจำมากมายที่พวกเขามาอุดหนุนแม่บ่อยๆ และลูกยังไม่รู้จักพวกเขาด้วย”
จี้เฟิงพยักหน้าและยิ้ม เขาเห็นด้วยกับสิ่งที่แม่พูดเพราะว่ากันตามจริงแล้วถ้าพูดถึงการขายผักเขาก็ยังไม่มีประสบการณ์มากเท่ากับแม่ของเขา
เมื่อมองไปที่ร่างสูงของลูกชายตัวน้อยของเธอที่เติบโตขึ้นมากจนเธอเองก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยกับวันเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อคิดถึงเรื่องเรียนของลูกชายเซียวซูเหม่ยก็อดไม่ได้ที่จะกัดฟันพูดในใจอย่างลับๆ
“ไม่ว่าอย่างไรฉันก็จะไม่มีวันยอมปล่อยให้จี้เฟิงไปเรียนที่หยานจิง การไปเข้าเรียนที่เจียงโจวคือทางเลือกที่ดีที่สุด หรือต่อให้ฉันไม่มีเงินส่งเสียค่าเล่าเรียนฉันก็จะไม่ยอมแพ้ ฉันจะไม่มีวันไปขอร้องผู้ชายไร้หัวใจคนนั้นให้ช่วยเรื่องเรียนของเฟิงเอ๋ออย่างเด็ดขาด!”
………จบบทที่ 77~