The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - ตอนที่ 82
บทที่ 82 ความคิดของเซียวหยูซวน
“เธอ..!เธอ..!!”
คำพูดของจี้เฟิง ถึงกับทำให้อาจารย์ประจำระดับชั้นพูดไม่ออก และไม่รู้จะตอบกลับไปว่าอย่างไร
ในความเป็นจริงอาจารย์ประจำชั้นก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าสิ่งที่จี้เฟิงพูดนั้นถูกต้องทุกอย่าง หรือต่อให้เขาจะสอบได้ที่หนึ่งของโรงเรียน แล้วมันยังไงล่ะ? ถ้าผลสุดท้ายแล้ว เขาไม่สามารถทำคะแนนตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ออกมาดีได้เหมือนกับที่ทำการทดสอบของโรงเรียน คนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็ต้องเป็นตัวของเขาเอง
และเหตุผลส่วนใหญ่ที่นักเรียนหลายคนโกงข้อสอบในโรงเรียนก็ไม่พ้นเรื่องที่จะทำให้ตัวเองดูดีขึ้นหรือทำให้พ่อแม่พอใจ
ส่วนจี้เฟิง นักเรียนที่อยู่ต่อหน้าเธอในตอนนี้ มักจะเป็นคนที่ซื่อสัตย์และไม่ได้ทำให้เกิดความสนใจมากนัก นอกเสียจากเมื่อไม่นานมานี้เธอได้ยินมาว่า หลังเลิกเรียนเด็กนักเรียนถงเล่ยจะอยู่กับเขาต่อจนถึงค่ำทุกวัน
และถึงแม้จะมีข่าวลือออกมาแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์ที่ทำให้อาจารย์ได้เข้าไปสอบถามอะไร เพราะไม่มีใครคิดว่าเด็กชายยากจนผู้น่าสงสารคนนี้จะกล้าจนถึงขนาดตามจีบลูกสาวของเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำเขต
หรือต่อให้มันเป็นเรื่องจริง เลขาถงไค่เต๋อก็คงส่งคนไปจัดการกับเด็กจี้เฟิงนี้ด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตามหากลองคิดดูถึงสาเหตุที่ผลการเรียนของจี้เฟิงดีขึ้นอย่างกะทันหัน บางทีมันอาจเกี่ยวข้องกับการที่ถงเล่ยอยู่ช่วยเขาทุกวันหลังจากที่โรงเรียนเลิกก็เป็นได้?
เมื่อครูประจำชั้นนึกถึงสิ่งนี้ เธอก็ยิ่งรู้สึกถึงความเป็นไปได้ที่มากขึ้น เธอรู้ดีว่าถงเล่ยเป็นเด็กที่ฉลาดและมีผลการเรียนที่ดีเยี่ยม หากเด็กเรียนเก่งอย่างเธอ ให้คำปรึกษากับจี้เฟิงเกี่ยวกับเนื้อหาของส่วนที่น่าจะออกสอบ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้สำหรับจี้เฟิงที่จะทำคะแนนของการทดสอบให้ออกมาดี
อย่างไรก็ตามอาจารย์ประจำชั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหัว เมื่อนึกถึงงานที่รองผู้อำนวยการมอบหมายให้เธอจัดการ คำสั่งของรองผู้อำนวยการนั้น คือเธอต้องหาวิธีที่จะทำให้จี้เฟิงยอมรับให้ได้ว่าเขานั้นโกงการสอบพร้อมทั้งต้องมีหลักฐานในการรับสารภาพที่จะต้องยื่นให้กับทางโรงเรียนพิจารณา
“อาจารย์คะ จี้เฟิงได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนแล้ว อาจารย์มีอะไรจะถามเพิ่มเติมอีกไหมคะ?” ถงเล่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ จี้เฟิงเธออดไม่ได้ที่จะถามขึ้น ในขณะที่อาจารย์ประจำชั้นนิ่งเงียบมาพักหนึ่ง
“เอ้อ.. ไม่แล้วล่ะ จี้เฟิงเนื่องจากนี่คงเป็นผลแห่งการตั้งใจเรียนของเธอที่แท้จริงจึงทำให้ผลทดสอบออกมาได้ดี จงรักษามันต่อไปและฉันหวังว่าจะได้เห็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้อีกในการทดสอบครั้งต่อไป!” อาจารย์ประจำชั้นพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม
“เชื่อใจได้เลยครับอาจารย์ ผมสัญญาว่าจะทำให้คุณได้เห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจอย่างแน่นอน!” จี้เฟิงยิ้มและพูดเบาๆ เขาเข้าใจดีว่าความหมายที่แท้จริงในประโยคที่อาจารย์ประจำชั้นเพิ่งพูดออกมาหมายความว่าอย่างไร เธอต้องการจะบอกว่า ‘หากผลการทดสอบครั้งต่อไปของเขา ออกมาแล้วได้คะแนนแตกต่างจากครั้งนี้มากเกินไป นั่นก็หมายความว่าเรื่องการโกงข้อสอบนี้คงไม่จบง่ายๆ แน่’
จี้เฟิงไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากเขาต้องการ แม้จะเป็นคะแนนเต็ม มันก็ไม่เหนือไปกว่าความสามารถที่แท้จริงของเขาในเวลานี้ เว้นเสียแต่ว่าข้อสอบของเขาจะถูกเปลี่ยนแปลงในภายหลังเพื่อต้องการให้เขาได้อับอาย
“ยังไงก็ตาม นักเรียนจี้เฟิง เธอต้องใส่ใจกับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนนักเรียนคนอื่นในชั้นเรียนด้วย และพยายามอย่าให้มีความขัดแย้งกับคนอื่นเกิดขึ้น” อาจารย์ประจำชั้นพูดปิดท้ายอีกหนึ่งประโยค
จี้เฟิงพยักหน้าและเดินตรงออกไป จนกระทั่งเขาออกไปจากห้องสำนักงานเขาก็ไม่ได้มองไปที่เซียวหยูซวนอีก เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องไปสนใจกับคนที่เย็นชาใส่เขาด้วย
“เจ้าเด็กร้ายกาจนี่!”
เมื่อเซียวหยูซวนเห็นจี้เฟิงเดินออกจากห้องทำงานด้วยท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว โดยไม่คิดที่จะหันมามองเธอเลย เซียวหยูซวนก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “ไอ้เด็กบ้านี่ นอกจากจะไม่มาขอโทษฉันแล้ว ยังไม่แม้แต่จะมองหน้าพี่สาวคนนี้ด้วยซ้ำ!”
ถ้าจี้เฟิงรู้ว่า เซียวหยูซวนกำลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้ เกรงว่าเขาคงจะร้องไห้ด้วยความเสียดายที่ไม่ได้มาง้อเธออย่างแน่นอน สาเหตุที่เซียวหยูซวนบึ้งตึงกับจี้เฟิงนั่นเป็นเพราะว่า จี้เฟิงไม่ยอมมาขอโทษเธอเสียที ทั้งๆ ที่จี้เฟิงก็เห็นอยู่ว่าเธอกำลังโกรธเขาอยู่ เขาไม่เคยแม้แต่จะมาถามว่าเธอโกรธเขาด้วยเรื่องอะไรด้วยซ้ำ
นับตั้งแต่ที่เขาทำให้เหอตงต้องอับอายในห้องบิลเลียดของโรงแรมเผิงเฉิง จี้เฟิงก็ต้องการหาโอกาสคืนดีกับเซียวหยูซวนมาโดยตลอด เหตุผลหนึ่งที่เขาทำลงไปในวันนั้นก็เพราะต้องการเอาคืนให้กับจางเล่ยเพื่อนที่เปรียบเสมือนพี่ชายของเขา แต่ในทางกลับกันเขาก็ทำในสิ่งที่เหอตงทำกับจางเล่ย นั่นคือการพูดและแสดงฝีมือที่เหนือกว่าให้เหอตงต้องพบกับความอับอาย และทำให้เซียวหยูซวนได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเหอตงที่เขาซ่อนอยู่อย่างชัดเจน
ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าแท้จริงแล้วจี้เฟิงนั้นมีจุดประสงค์อื่นที่อยากจะทำให้เซียวหยูซวนได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเหอตง นั่นก็คือเขาอยากให้เซียวหยูซวนนั้นมีปัญหากับเหอตงและถ้าเป็นไปได้เขาอยากให้เธอกับเหอตงเลิกรากัน
อย่างไรก็ตามเขาไม่กล้าบอกคนอื่นถึงความคิดแบบนี้ แม้แต่กับจางเล่ยที่เขานับถือไม่ต่างจากพี่ชาย
อย่างไรก็ตามจี้เฟิงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเซียวหยูซวนไม่ได้โกรธเพราะเรื่องที่เขาทำให้เหอตงต้องอับอายขายหน้าในการแข่งขันบิลเลียด ในความเป็นจริงแล้ว เซียวหยูซวนรู้จักนิสัยด้านนี้ของเหอตงมานานแล้ว เขาเป็นคนที่มีความโลภชอบโอ้อวดและเป็นคนที่ใจแคบ .. เซียวหยูซวนรู้จักนิสัยส่วนที่แย่ของเหอตงเป็นอย่างดี แต่ที่เธอตกหลุมรักเขานั่นเป็นเพราะเหตุผลอื่น
เซียวหยูซวนรู้สึกไม่พอใจที่จี้เฟิงไม่เห็นแก่หน้าของเธอในวันที่เขาตั้งใจจะทำให้เหอตงได้พบกับความอับอาย แถมเขายังเล่นบิลเลียดโดยการใช้เทคนิค แม็กซี่มั่มเบรกสั่งสอนเหอตงในหลายเกมจนได้รับเงินเดิมพันไปอีกหลายพันหยวน
เมื่อเหอตงกลับไปในคืนนั้นเขาไม่มีแม้กระทั่งเงินที่จะซื้อตั๋ว และเซียวหยูซวนก็เป็นผู้ที่ต้องควักเงินจ่ายให้แก่เขา
เหตุการณ์ที่น่าอับอายเหล่านี้ต่างหากที่เป็นสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เซียวหยูซวนโกรธจริงๆ
ส่วนเรื่องที่เหอตงถูกจี้เฟิงสั่งสอนจนทำให้เขาต้องรู้สึกอับอาย ในความคิดของเซียวหยูซวนแล้วเธอถือว่าเป็นเรื่องที่ดีอยู่เหมือนกัน เพราะเหอตงควรที่จะได้รับบทเรียนและจดจำเหตุการณ์ที่น่าอับอายเหล่านี้เสียบ้าง หรืออย่างน้อยก็อาจจะทำให้เขาได้เรียนรู้ว่าการทำตัวหยิ่งผยองโอ้อวดกับคนอื่นไปทั่วนั้นสุดท้ายแล้วผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไร
แต่ใครจะคิดว่าเมื่อหลังเหตุการณ์เหล่านี้จบ แทนที่จี้เฟิงจะรีบมาคุยหรือขอโทษเธอ แต่เขากลับนิ่งเฉยและทำเหมือนกับว่าเหตุการณ์เหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นจึงทำให้เซียวหยูซวนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธ
“น้องชายคนนี้ เงินของเธอยังอยู่ในบัญชีของฉัน ไม่ช้าก็เร็วสุดท้ายเธอก็ต้องมาหาฉันอยู่ดี เมื่อถึงตอนนั้นฉันจะดูแลเธอเป็นอย่างดีเลยล่ะ!!” เซียวหยูซวนบ่นอยู่ในใจด้วยความโกรธ ปากกาที่อยู่ในมือของเธอจิ้มลงไปในกระดาษอย่างแรง
แต่ในไม่ช้าเซียวหยูซวนก็เหมือนจะเอะใจอะไรบางอย่างในตัวเธอเอง “ฉันกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมฉันต้องโมโหขนาดนี้?”
จู่ๆ เธอก็รู้สึกได้ว่าเธอมีความคิดบางอย่างที่ดูเหมือนจะผิดปกติ
“ถ้าเปลี่ยนเป็นคนแปลกหน้า ฉันจะโกรธขนาดนี้หรือเปล่า?” เซียวหยูซวนอดไม่ได้ที่จะถามตัวเอง
คำตอบคือไม่อย่างชัดเจน เพราะถ้าหากเป็นคนแปลกหน้า เหอตงอาจจะไม่กล้าทำตัวจองหองขนาดนั้น เขาเป็นคนที่ชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่า แต่ก็เป็นคนขี้ขลาดด้วยในเวลาเดียวกัน
ตอนนี้สิ่งที่เซียวหยูซวนกลัวที่สุดคือความคิดของตัวเธอเอง
ทำไมฉันถึงต้องโทษจี้เฟิง ราวกับว่าจี้เฟิงมาทำอะไรให้ฉันต้องเสียใจ?
ความรู้สึกแบบนี้ดูเหมือนมันจะเกิดขึ้นกับคนที่กำลังตกหลุมรักเท่านั้น…
เซียวหยูซวนรีบโยนความคิดทั้งหมดออกจากหัว และก้มหน้าก้มตาเพื่อจัดการเตรียมการเรียนการสอนของเธอต่อไป วันนี้มีสอนภาษาอังกฤษสามคลาส!
ในตอนนั้นเอง เซียวหยูซวนเห็นอาจารย์ประจำชั้นของจี้เฟิงกำลังจะเดินออกจากห้องทำงานพร้อมกับโทรศัพท์มือถือของเธอ เธอกดโทรออก
“รอง ผอ.หู ฉันเองค่ะ ใช่ ฉันมีบางอย่างจะรายงานให้คุณทราบเกี่ยวกับหลักฐานการโกงข้อสอบของจี้เฟิง ฉันเข้าใจ… อย่าเพิ่งโกรธ คุณฟังฉันอธิบายก่อน พอดีว่านักเรียนถงเล่ยเข้าข้างเขาพอสมควร ฉันเลยพูดอะไรมากไม่ได้ … ตกลงๆ คุณไม่ต้องกังวลค่ะรองผอ.หู ฉันจะจัดการให้เรียบร้อยอย่างแน่นอน!”
มันเกี่ยวกับจี้เฟิง!!
เซียวหยูซวนตื่นตัวทันทีเมื่อได้ยินชื่อของจี้เฟิง มันหมายความว่าอย่างไรกัน? ทำไมรองผู้อำนวยการหู ดูเหมือนจะสั่งให้ครูประจำชั้นของจี้เฟิงค้นหาหลักฐานการโกงผลทดสอบของจี้เฟิง?!
“ฉันต้องรีบไปบอกจี้เฟิงให้เขารู้ตัว” เซียวหยูซวนรีบลุกขึ้นยืน เธอนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเธอก็กลับลงไปนั่งอีกครั้ง “เซียวหยูซวน เซียวหยูซวน ทำไมเธอยังคิดเรื่องของจี้เฟิงอยู่อีก ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเธอเลย นอกจากนี้จี้เฟิงยังมีถงเล่ยที่คอยอยู่เคียงข้างเขา และเขาจะไม่ต้องเจอกับเรื่องไม่ดีในชีวิตแน่นอน เธอต้องเลิกคิดเรื่องของจี้เฟิงได้แล้ว!” “แล้วถ้าถงเล่ยไม่รู้เรื่องนี้ล่ะ! จะทำยังไง?” เซียวหยูซวนรู้สึกสับสนและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
……………
ในขณะนั้นเอง จี้เฟิงที่ไม่ได้รู้ถึงความคิดของเซียวหยูซวนเลยแม้แต่น้อย กำลังเดินกลับไปที่ห้องเรียนพร้อมกับถงเล่ย เมื่อมาถึง เขาได้พบกับสายตาแปลกๆ ของเพื่อนร่วมชั้นที่มองมาที่เขาอีกครั้ง
จี้เฟิงไม่ได้สนใจสายตาเหล่านั้น เขามีความบริสุทธิ์ใจในสิ่งที่เขาทำ ทำไมเขาจะต้องมาสนใจสายตาคนอื่นที่มองเขาด้วย
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้จี้เฟิงต้องระวังก็คือสายตาของซูหม่า การจ้องมองของซูหม่าแฝงไปด้วยเจตนาร้ายอย่างที่เขาสัมผัสได้ไม่ยากแถมยังมีรอยยิ้มที่ดูมีความสุขเหมือนเขากำลังทำเรื่องชั่วร้ายอะไรบางอย่าง
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะซูหม่าอยู่ในใจ ซูหม่าต้องการที่จะจัดการกับเขามากกว่าหนึ่งหรือสองครั้งและมันก็ไม่เคยสำเร็จ แล้วครั้งนี้จะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ?
ขณะเดียวกันซูหม่าก็แอบยิ้มเยาะจี้เฟิงอยู่เช่นกัน เขาได้คุยกับรองผู้อำนวยการเรียบร้อยแล้วว่าถ้า สามารถหาหลักฐานการโกงผลการทดสอบของจี้เฟิงมาได้ รองผู้อำนวยการรับรองว่าจี้เฟิงจะถูกไล่ออกอย่างแน่นอน “เมื่อถึงตอนนั้นฉันอยากจะรู้นักว่าแกจะมีโอกาสได้เข้าใกล้ถงเล่ยอีกหรือเปล่า!”
อย่างไรก็ตามซูหม่าที่รอจนถึงเวลาเลิกเรียนก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ ซูหม่าอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นกังวล สิ่งต่างๆ มันจะเป็นไปตามที่เขาคิดไว้หรือไม่?
ด้วยความร้อนใจเขาจึงตรงไปยังห้องทำงานของรองผู้อำนวยการหูจิน
รองผู้อำนวยการหูจินเป็นญาติกับครอบครัวของซูหม่า และเป็นเพราะความสัมพันธ์นี้จึงทำให้เขาได้รับตำแหน่งรองผู้อำนวยการใหญ่ที่โรงเรียนแห่งนี้ ดังนั้น หูจินจึงพูดอย่างเป็นกันเองกับซูหม่า
“อ้าว ซูหม่าเองเหรอ มาๆ นั่งลงก่อน” หูจินพูดด้วยรอยยิ้มเมื่อเขาเห็นซูหม่า
“ลุงหู ทำไมลุงยังไม่ไล่ไอ้จี้เฟิงมันออกอีกล่ะ?” ซูหม่าถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “ไหนลุงบอกผมว่า แค่ให้อาจารย์ประจำชั้นเรียกจี้เฟิงไปยอมรับสารภาพและบันทึกคำสารภาพไว้ ทุกอย่างก็เรียบร้อยไง”
หูจินส่ายหัวและพูดว่า “ใจเย็นๆซูหม่า เรื่องนี้มันไม่ง่ายอย่างที่คิด พอดีว่านักเรียนถงเล่ยออกมายืนยันให้กับความบริสุทธิ์ของจี้เฟิง ว่าเขานั้นไม่ได้โกงข้อสอบแต่อย่างใด แล้วสาเหตุที่เขาทำผลทดสอบออกมาได้ดีนั่นก็เพราะว่า เป็นเธอเองที่ให้คำปรึกษากับเขาทุกวันหลังเลิกเรียน แล้วจี้เฟิงก็ไม่ยอมรับว่าเขานั้นโกงข้อสอบแต่อย่างใด เราจึงไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะไล่นักเรียนจี้เฟิงออก.. ในตอนนี้!”
“เป็นถงเล่ยอีกแล้ว!!” ใบหน้าของซูหม่ามืดมนลง เขาไม่รู้ว่าไอ้เด็กยากจนจี้เฟิงนั่นมีอะไรดีนักหนา ถงเล่ยถึงได้ติดใจและคอยปกป้องมันอยู่ตลอดแบบนี้!
“ซูหม่า อันที่จริงแล้ว ในมุมมองของลุง ลุงว่าเธอไม่จำเป็นต้องกังวลขนาดนั้น!” หูจินพูดด้วยรอยยิ้ม
“ที่ลุงพูดหมายความว่ายังไง?” ซูหม่าถามทันที
หูจินยิ้มเล็กน้อยและพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ซูหม่า ในความคิดของลุง สิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ตอนนี้มันไม่มีประโยชน์ เพราะนักเรียนถงเล่ยกำลังปกป้องเด็กจี้เฟิงนั่นอยู่ แล้วลุงก็เป็นแค่รองผู้อำนวยการ ไม่ใช่คนที่มีตำแหน่งใหญ่ที่สุดในโรงเรียนนี้ อาศัยเพียงแค่คำพูดของลุงคงไม่สามารถทำอะไรเด็กนั่นได้หากเราไม่มีหลักฐานชัดเจน เพราะผู้อำนวยการก็ถือข้างเด็กถงเล่ยนั่นอยู่ เพราะฉะนั้นในตอนนี้หากเราคิดทำอะไรไอ้เด็กจี้เฟิงนั่นไปก็ไร้ประโยชน์”
“แล้วลุงหูมีแผนอย่างไร?” ซูหม่าถามพร้อมกับขมวดคิ้ว เขาคิดในใจ “หูจินคนนี้ ได้ตำแหน่งรองผู้อำนวยการแล้วยังไม่พอใจอีก เขาต้องการตำแหน่งผู้อำนวยการงั้นสินะ?”
หูจินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ซูหม่า เหลืออีกเพียงแค่เทอมเดียวเท่านั้น หลานไม่ต้องเป็นห่วง การเรียนเทอมสุดท้ายนี้ค่อนข้างหนัก พวกเขาจะมีเวลาพัฒนาความสัมพันธ์กันได้สักแค่ไหนเชียว?”
“จะให้ผมปล่อยมันไปง่ายๆ แบบนี้?” ซูหม่าถามอย่างเป็นกังวล
“ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน!” หูจินรีบพูดต่อทันที “ลุงว่า หลานควรจะอดทนจนถึงปิดเทอมนี้ แล้วรอให้เหลืออีกวันสองวันจะเป็นวันที่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราก็ไปหาจ้างนักเลงหัวไม้แถวสลัมสักสองสามคนแล้วให้พวกนั้นไปจัดการจี้เฟิง เมื่อพวกนั้นทะเลาะต่อยตีกัน ทางโรงเรียนก็จะแจ้งตำรวจทันที…และแม้ว่าเด็กจี้เฟิงมันจะได้รับการประกันตัว แต่ลุงคิดว่าเด็กนั่นต้องไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ทันอย่างแน่นอน แล้วเมื่อถึงเวลานั้น ไม่ว่ามันจะโกงข้อสอบหรือสอบด้วยตัวเองได้จริงๆ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ถูกมั้ย?”
“เจ๋งมาก ความคิดของลุงหูสุดยอดไปเลย!” ดวงตาของซูหม่าสว่างวาบขึ้นมาทันที
“งั้นก็เอาตามนี้ ส่วนเรื่องที่เราต้องจัดการในตอนนี้คือ เรื่องการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของหลาน ก็ให้พ่อของหลานจัดการคิดหาวิธีที่จะให้หลานเข้ามหาวิทยาลัยที่ต้องการให้ได้ ส่วนลุงจะจัดการหาคำตอบมาให้ได้ว่า นักเรียนถงเล่ยต้องการที่จะสมัครเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยไหน หลังจากนั้นตราบใดที่หลานและถงเล่ยอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน และจี้เฟิงก็เป็นที่รู้จักในชื่อ เด็กซิ่วสอบตก หลานคิดว่าหลานจะยังไม่มีโอกาสอีกหรือเปล่าล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า?” ใบหน้าของหูจินยิ้มเยาะ
“ความคิดดีลุงหู!” ซูหม่าอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วขึ้นมา และพูดว่า “ตกลง ผมจะปล่อยให้มันได้เริงร่าต่อไปอีกซักหนึ่งเทอม แล้วมันจะไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับถงเล่ยอีกต่อไป ถงเล่ยรอฉันก่อนนะ หึหึ!”
ต้องบอกเลยว่าความคิดของหูจินนั้นเป็นแผนการที่แยบยลมาก แน่นอนว่าซูหม่าถูกใจและถึงกับชื่นชมหูจิน “ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดนั้นเป็นอย่างนี้นี่เอง!”
“คุณหนูซูหม่าก็พูดเกินไป ฮ่าฮ่าฮ่า” หูจินพูดหยอกล้อกับซูหม่าอย่างสนุกสนาน
“ซูหม่าน้อย ถ้าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจับจี้เฟิงมาที่โรงเรียนเพื่อสอบถามว่าจะจัดการอย่างไรกับเจ้าเด็กจี้เฟิงนั่น ถ้าจะให้ได้ผลดีจนมันไม่สามารถมีโอกาสพลิกกลับได้ ลุงคิดว่า คำพูดของลุงต้องมีน้ำหนักมากกว่านี้!”
หูจินพูดอย่างมีชั้นเชิง เขามีความปรารถนาที่จะอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของโรงเรียนแห่งนี้ นั่นก็คือตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ของโรงเรียน
ซูหม่าผู้ซึ่งอยู่ในบ้านของข้าราชการ เขาเข้าใจในสิ่งที่หูจินพูดโดยทันที เขายิ้มและพูดว่า “ลุงหู ไม่ต้องเป็นกังวลไป ฉันจะบอกพ่อเมื่อกลับถึงบ้าน ลุงหูมีความสามารถมากขนาดนี้ มันคงเป็นเรื่องผิดอย่างมากหากคนเก่งอย่างลุงหูไม่ได้เป็นผู้อำนวยการใหญ่!”
หูจินและซูหม่ามองหน้ากันแล้วก็พากันหัวเราะทันที
………………
ในตอนนี้จี้เฟิงไม่ได้รู้ตัวเลยว่า เขาได้ตกอยู่ในแผนการของคนอื่นเรียบร้อยแล้ว และในเวลานี้เขากับถงเล่ยกำลังอยู่ในร้านอาหารข้างโรงเรียน เพื่อรับประทานอาหารกัน
นี่เรียกได้ว่าเป็นเดทแรกของพวกเขาทั้งสองคน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาชัดเจน แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกเขาทั้งคู่ต่างชอบพอกันและกัน
จี้เฟิงเลือกร้านอาหารที่เป็นหม้อไฟ เมื่อมองไปที่หม้อไฟที่มีน้ำซุปที่กำลังเดือดอยู่บนโต๊ะ จี้เฟิงก็อดยิ้มไม่ได้ “ถงเล่ยขอบคุณที่ช่วยฉันในครั้งนี้นะ ไม่งั้นเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆแน่!”
ถงเล่ยเหลือบมองไปทางจี้เฟิง “ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมนายต้องอายกับเรื่องที่นายสามารถทำข้อสอบให้ออกมาดีได้แบบนี้ แถมก่อนหน้านี้ก็ไม่คิดที่จะตั้งใจทำมันให้ออกมาดีอีก ทั้งๆที่ถ้าคิดจะทำก็ทำได้แท้ๆ!”
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “ก็ตอนนั้นฉันไม่มีแรงจูงใจ แต่พอมีคำสัญญาจากเธอ ฉันก็มีกำลังใจขึ้นมา!”
“ใครไปสัญญาอะไรกับนาย!” ถงเล่ยอดไม่ได้ที่จะเขินอายเล็กน้อยและพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“ฮ่าฮ่าฮ่า เราไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้นก็แล้วกัน น้ำเดือดแล้วเรามาใส่ผักกันเถอะ!” จี้เฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม “สาวๆ ควรกินผักเยอะๆ นี่ด้วย สาหร่ายทะเลมันดีต่อร่างกาย!”
ด้วยเหตุนี้ จี้เฟิงจึงทยอยใส่ผักใบเขียวและสาหร่ายทะเลลงไปในหม้อฝั่งที่เป็นน้ำซุปแบบไม่เผ็ดตรงหน้าของถงเล่ย จากนั้นจึงตามด้วยผักชนิดอื่นๆ
เมื่อเห็นความเอาใจใส่อย่างเป็นธรรมชาติของจี้เฟิง ถงเล่ยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชอบจี้เฟิงมากขึ้น
“จี้เฟิง ถ้านายรักษาระดับคะแนนแบบนี้ไว้ได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่นายจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเจียงโจว แต่นายห้ามเหลิงเด็ดขาดล่ะ! ถงเล่ยกลัวว่าเธออาจจะไม่มีโอกาสได้ทานอาหารร่วมกันกับจี้เฟิงได้อีก ถ้าถึงเวลานั้นเธอก็คงไม่สามารถช่วยอะไรได้
“ไม่ต้องห่วง แม้ว่าเธอจะขอให้ฉันไปสอบเข้าที่อื่น ฉันก็จะไม่ยอมห่างจากเธอไปอย่างแน่นอน!” จี้เฟิงยิ้ม
“ไร้สาระ!” ถงเล่ยเขินอายจนหน้าแดงก่ำ แม้ว่าเธอจะยอมรับกับตัวเองแล้วว่าเธอชอบจี้เฟิง แต่เธอก็ยังคงมีสัญชาตญาณของหญิงสาวอยู่
เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่กำลังเขินอายแสนสวยของถงเล่ย จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
………จบบทที่ 82~