The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 128 ความเหมือนที่แตกต่าง
- Home
- The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ
- บทที่ 128 ความเหมือนที่แตกต่าง
เมื่อกลับไปที่ค่ายจี้เฟิงก็รีบเก็บข้าวของและเปลี่ยนไปใส่ชุดเดิมจากนั้นเขาก็เดินไปที่ประตูของค่ายทหาร
“ปี๊นนนนน!”
รถจี๊ปคันหนึ่งบีบแตรและมาจอดอยู่ข้างๆเขาจี้เฟิงหันหน้าไปและพบว่าคนที่ขับรถอยู่เป็นทหารรักษาการณ์ที่ชื่อว่าจิง
“นักศึกษาพอดีว่าท่านผู้บัญชาการได้สั่งให้ผมขับรถไปส่งคุณออกจากค่าย” ทหารรักษาการณ์กล่าว
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย“แล้วตอนนี้ผู้บัญชาการของคุณอยู่ที่ไหนเหรอครับ”
“ผู้บัญชาการกำลังประชุมอยู่กับผู้นำคนอื่นๆเพื่อหารือเกี่ยวกับวิธีการที่จะจัดการกับหวังเว่ยจิน เขาจึงไม่สะดวกมาด้วยตัวเองและให้ผมเป็นคนขับรถไปส่งคุณ” ทหารรักษาการณ์ตอบ
จี้เฟิงพยักหน้าจากนั้นเขาก็เปิดประตูและเข้าไปนั่งตรงที่นั่งผู้โดยสาร
ทหารรักษาการณ์จิงสตาร์ทรถและแอบเหลือบมองไปที่ใบหน้าของจี้เฟิงเวลานี้มีสีหน้านิ่งเฉยและนึกสงสัยอยู่ในใจ “ไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้มีความเกี่ยวข้องยังไงกับผู้บัญชาการ เพราะปกติผู้บัญชาการไม่เคยที่จะให้ไปส่งนักเรียนนักศึกษาคนไหนมาก่อน!”
ทหารรักษาการณ์ก็ไม่รู้ว่าจี้เฟิงกำลังคิดบางอย่างอยู่ในใจเช่นกัน“ผู้บัญชาการคนนี้ค่อนข้างรอบคอบ ดูเหมือนว่าเขาน่าจะเป็นลูกน้องเก่าหรือไม่ก็เพื่อนเก่าของอาสาม!”
เมื่อตอนที่เขามีความขัดแย้งกับหวังเว่ยจินจี้เฟิงได้โทรศัพท์ไปที่หมายเลขของผู้บัญชาการซึ่งเป็นหนึ่งในหมายเลขที่จี้เจิ้นผิงอาสามของเขาบันทึกไว้ในโทรศัพท์ของจี้เฟิง
ก่อนที่จี้เจิ้นผิงจะกลับไปที่หยานจิงเขาได้บันทึกหมายเลขโทรศัพท์ไว้ในโทรศัพท์มือถือของจี้เฟิงหลายหมายเลข มีตั้งแต่คนที่เกี่ยวข้องกับการเมืองการทหาร บุคคลในแวดวงธุรกิจ และแน่นอนว่าหมายเลขของผู้บัญชาการกองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ในความเป็นจริงถ้าไม่ใช่เพราะเขาไม่มีวิธีที่ดีในการจัดการกับหวังเว่ยจินจี้เฟิงก็ไม่ต้องการใช้หมายเลขเหล่านี้ เพราะถ้าเขาคุ้นเคยกับมันเขาก็จะต้องพึ่งพาอำนาจของตระกูลไปตลอด ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่จี้เฟิงต้องการ
อย่างไรก็ตามหลังจากคิดถึงเรื่องนี้จี้เฟิงก็ส่งข้อความไปหาผู้บัญชาการกองโดยพูดถึงทีมนักศึกษาทหารใหม่ที่จางเล่ยและถงเล่ยอยู่ และขอให้ผู้บัญชาการช่วยดูแลทั้งสองคน อย่างน้อยก็อย่าให้พวกเขาฝึกหนักกันมากเกินไป
………
เป็นเวลา2 ชั่วโมงแล้ว หลังจากที่จี้เฟิงเดินไปตามท้องถนนในเจียงโจว
เมื่อมองดูความวุ่นวายของผู้คนบนถนนและอาคารสูงมากมายในเมืองนี้จี้เฟิงที่ยืนอยู่ตรงป้ายรถประจำทางก็อดไม่ได้ที่จะชูกำปั้น ในเมืองที่คึกคักแห่งนี้มันจะต้องมีสถานที่สำหรับฉัน และในบรรดาตึกสูงเหล่านั้นสักวันฉันจะต้องได้เป็นเจ้าของตึกแบบนั้นกับเขาบ้าง!
หลังจากที่เขาได้ระบายความคิดที่อัดแน่นอยู่ในใจจี้เฟิงก็กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง สาเหตุที่เขาเลือกออกจากค่ายทหารก่อนกำหนดนั้นเป็นเพราะว่าจริงๆแล้วเขาต้องการใช้ประโยชน์จากเวลาหนึ่งเดือนนี้เพื่อทำความคุ้นเคยกับเมืองโดยเร็วที่สุดและมันเป็นโอกาสที่เขาจะได้มองหาธุรกิจที่เหมาะสมกับเขา
แต่ก่อนอื่นเขาต้องนำข้าวของไปเก็บที่ห้องพักของมหาวิทยาลัยก่อน
และในขณะนั้นเองจี้เฟิงรู้สึกได้กลิ่นหอมสดชื่นลอยมากระทบจมูกของเขา
เมื่อได้กลิ่นน้ำหอมที่ชวนหลงใหลจี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆเพื่อหาเจ้าของกลิ่นน้ำหอมนี้และทันใดนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ
ห่างจากเขาไปทางซ้ายประมาณสี่ถึงห้าเมตรเขาก็ได้พบกับความงามที่น่าทึ่ง เธอเป็นหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบหกหรือยี่สิบเจ็ดปี ผมของเธอม้วนเป็นลอนใหญ่ยาวเลยบ่าไปเล็กน้อย สวมรองเท้าส้นสูงสีม่วงดูแล้วเธอน่าจะสูงราวๆ 175 เซนติเมตรเพราะเธอเตี้ยกว่าจี้เฟิงไม่มากนัก
สิ่งที่ทำให้เธอดูโดดเด่นคือเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ท่อนบนเป็นเสื้อสไตล์เกาหลีสีดำและท่อนล่างเป็นกางเกงขายาวทรงดินสอ กางเกงขายาวของเธอที่รัดรูปเล็กน้อยแสดงให้เห็นถึงส่วนโค้งของสะโพกเวลาที่เธอเคลื่อนไหวและขาที่เรียวยาวของเธออย่างชัดเจน
แม้ว่าท่อนบนของเธอจะเป็นเสื้อเกาหลีที่หลวมๆแต่ก็ไม่สามารถปกปิดรูปร่างที่น่าภาคภูมิใจของเธอได้โดยเฉพาะเนินอกที่เด่นชัดของเธอ ไม่ว่าใครที่เห็นเพียงแค่แวบเดียวจะต้องหันกลับมามองซ้ำอีกครั้งอย่างแน่นอน
ในความเป็นจริงแล้วหญิงสาวคนนี้สวมใส่ชุดที่เรียบง่ายแต่กลับให้ความรู้สึกที่น่าทึ่งกับคนอื่นๆที่พบเห็น.ไอรีนโนเวล.
จี้เฟิงจ้องมองไปยังใบหน้าของเธออีกครั้งแต่ครั้งนี้มันกลับทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงมากขึ้น
นี่เป็นใบหน้าที่สวรรค์ประทานมาอย่างแน่นอนไม่ว่าจะเป็นลักษะใบหน้าที่สวยงามหรือดวงตาคู่นั้นที่ดูเหมือนจะสามารถมองลึกเข้าไปถึงจิตใจของผู้คนได้ ใครที่ได้จ้องมองเข้าไปในแววตาของเธอต่างก็ต้องรู้สึกเหมือนหัวใจถูกกระชากออกไป
โคตรสวย!
สองคำนี้โผล่ขึ้นมาในความคิดของจี้เฟิงทันทีเขาเชื่อว่าถ้าเพื่อนซี้ของเขาจางเล่ยอยู่ที่นี่กับเขาด้วย เขาจะต้องพูดคำนี้ออกมาอย่างแน่นอน
แท้จริงแล้วผู้หญิงคนนี้ก็สามารถเรียกได้ว่าสวยที่สุดแล้วตั้งแต่จี้เฟิงเคยพบเจอมา
ในความคิดของจี้เฟิงจากบรรดาผู้หญิงที่เขารู้จัก เซียวหยูซวนน่าจะเป็นคนเดียวที่พอจะสามารถนำมาเปรียบเทียบกับผู้หญิงคนนี้ได้ เรียกได้ว่าทั้งสองคนมีความงามที่ชวนให้ทึ่งและมีรูปร่างที่สมบูรณ์แบบเกือบจะเหมือนกันทุกส่วน
แน่นอนว่าถ้าจี้เฟิงยืนกรานที่จะหาความแตกต่างระหว่างหญิงสาวทั้งสองคนนี้จี้เฟิงก็ต้องยอมรับตามตรงว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นน่าจะดีกว่า แต่ไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนี้สวยกว่าเซียวหยูซวนแต่เป็นเพราะเธอมีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ที่เซียวหยูซวนนั้นยังไม่มี
ใช่!มันเป็นความสวยที่ดึงดูดใจแปลกๆ
แม้เสน่ห์แบบนี้อาจจะไม่เกี่ยวกับอายุสักเท่าไหร่เพราะเมื่อมองแวบแรกเธอและเซียวหยูซวนน่าจะมีอายุไล่เลี่ยกัน แต่อย่างไรก็ตามจี้เฟิงกลับรู้สึกถึงเสน่ห์ที่แตกต่างจากผู้หญิงคนนี้
อืม…จี้เฟิงครุ่นคิดอย่างหนักและในที่สุดเขาก็พอจะนึกได้ว่าอะไรทำให้เสน่ห์ที่น่าค้นหาของเธอคนนี้นั้นแตกต่างจากเซียวหยูซวน
เป็นเสน่ห์ของหญิงสาวที่เคยผ่านการมีคู่ครองมาแล้ว!
ใช่แล้ว!ถูกต้อง!
แม้ว่าเซียวหยูซวนจะมีอายุไล่เลี่ยกันแต่ในทางปฏิบัติแล้ว เซียวหยูซวนนั้นยังไม่ได้แต่งงานและเธอน่าจะยังไม่เคยผ่านมือชาย ดังนั้นจึงถือได้ว่าเธอก็เหมือนกับเด็กผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า
แต่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าของจี้เฟิงเธอเป็นหญิงสาวที่สวยงามครบเครื่อง เสน่ห์ที่เย้ายวนความสวยเซ็กซี่แบบผู้ใหญ่คือความแตกต่างของเธอกับเซียวหยูซวน
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อยมันเกิดอะไรขึ้นกับเขาทำไมเขาถึงต้องมาครุ่นคิดเรื่องพวกนี้เมื่อเขาเห็นผู้หญิงสวยๆ หรือมันเป็นโรคติดต่อมาจากจางเล่ย
เมื่อคิดได้แบบนี้จี้เฟิงจึงคิดที่จะถอนสายตาออกจากหญิงสาวคนนั้นแต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าหญิงสาวคนที่เขาจ้องมองอยู่หันหน้ามาทางเขาด้วยสายตาที่แสดงถึงความรังเกียจ มันทำให้จี้เฟิงถึงกับตกใจ
หรือว่าฉันกำลังทำให้เธอไม่พอใจ
แต่เมื่อเขามาลองคิดทบทวนดูเขาก็เข้าใจได้ในทันที เป็นเพราะหญิงสาวคนนี้รู้ว่าเขากำลังจ้องมองเธออยู่ เธอจึงมองมาด้วยความรังเกียจสินะ
หลังจากที่จี้เฟิงวิเคราะห์ความเป็นไปได้และก็น่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆเขาจึงได้แต่ถอนหายใจ จากนั้นเขาก็หันศีรษะกลับมาแล้วได้แต่ยิ้มอย่างละอายใจ มันเป็นเรื่องที่ไม่สุภาพมากในการจ้องมองคนอื่นอย่างไร้ยางอาย ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ถูกมองกลับรู้ตัวและพบพฤติกรรมที่น่าอายนี้ของเขา
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้วซึ่งเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนสำหรับผู้คนที่กำลังเลิกงาน จำนวนรถบนท้องถนนเพิ่มขึ้นอย่างมากจนแทบจะทำให้การจราจรติดขัด ไม่เพียงแต่รถบนท้องถนนเท่านั้นที่เพิ่ม แม้แต่ป้ายรถบัสที่จี้เฟิงยืนอยู่ก็เต็มไปด้วยผู้คน
เนื่องจากตรงป้ายรถบัสที่จี้เฟิงยืนอยู่ไม่ใช่ใจกลางเมืองจึงมีรถประจำทางน้อยกว่าปกติหากจี้เฟิงต้องการจะกลับไปยังมหาวิทยาลัยจะมีรถประจำทางเพียงสายเดียวเท่านั้นที่เขาสามารถจะโดยสารไปได้ จี้เฟิงมองไปที่ป้ายบอกเวลาและพบว่ารถประจำทางคันที่เขาต้องการจะโดยสารจะมาถึงเวลา 17.30 น.
จี้เฟิงขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้เขาไม่คาดคิดว่าจะมีรถประจำทางน้อยขนาดนี้ คุณรู้หรือไม่ว่าสถานที่ซึ่งเป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยของจี้เฟิงเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจไฮเทคที่เพิ่งสร้างขึ้นเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีบริษัทไฮเทคจำนวนมากอยู่ที่นั่น รวมไปถึงบริษัทข้ามชาติที่มีชื่อเสียงบางแห่งไม่ว่าจะเป็นสาขาเล็กและสาขาใหญ่ต่างก็ตั้งอยู่ที่นั่นโดยตรง
ซึ่งตามหลักเหตุผลแล้วปัญหาการจราจรต้องได้รับการแก้ไขก่อนแต่จากที่เห็นตอนนี้ดูเหมือนว่าจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขอีกมาก
จี้เฟิงที่คิดเรื่องเหล่านี้ก็ได้แต่หัวเราะอย่างว่างเปล่าแม้ว่าบริษัทเหล่านั้นจะตั้งอยู่ในเขตพัฒนาแต่ก็มีคนบอกว่าคนที่ทำงานส่วนใหญ่ต่างก็เช่าบ้านอยู่ใกล้ๆกับบริษัทที่ตนทำงาน ส่วนเจ้านายหรือผู้บริหารของบริษัทเหล่านั้นกลับซื้อบ้านอยู่ที่อื่น
แล้วใครเคยเห็นเจ้านายหรือเจ้าของบริษัทนั่งรถประจำทางไปทำงานบ้าง
ยิ่งไปกว่านั้นสถานที่แห่งนี้ยังอยู่ในที่ห่างไกลแม้ว่าจะเจริญรุ่งเรืองมากเมื่อเทียบกับเขตเล็กๆอย่างหมางซือแต่สำหรับเจียงโจวนั้นถือได้ว่าสถานที่นี้เป็นเพียงชานเมืองเท่านั้น
การเดินทางที่ไม่สะดวกในสถานที่แห่งนี้จึงเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้
จี้เฟิงส่ายหัวและถอนหายใจเล็กน้อย“ฉันคงจะไม่เกรงใจและให้เขาไปส่งฉันถึงที่มหาวิทยาลัยซะก็ดี ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันอยากนั่งแท็กซี่ก็ไม่สามารถทำได้ ฉันไม่น่าเสียเวลามารอรถประจำทางเลย เฮ้อ..!”
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเขาเกรงว่าผู้บัญชาการอาจจะมีเหตุจำเป็นที่จะต้องใช้รถเขาจึงปฏิเสธที่จะให้คนขับรถของผู้บัญชาการไปส่งเขาที่มหาวิทยาลัย แต่พอมาถึงจุดนี้เขาจึงคิดว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดโดยสิ้นเชิง
ไม่เพียงแต่จี้เฟิงที่ถอนหายใจแต่คนอื่นๆที่ยืนรออยู่ที่ป้ายรถประจำทางก็อดไม่ได้ที่จะบ่น
อันที่จริงจี้เฟิงยังคิดอยู่เลยว่าตัวเขานั้นช่างโชคร้ายทำไมเขาถึงได้มาในช่วงเวลาเร่งด่วนที่ผู้คนส่วนใหญ่เลิกงานและเดินทางกลับบ้านอย่างพอดิบพอดีได้ขนาดนี้
เจียงโจวเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจจึงทำให้มีผู้คนหลายสิบล้านคนอาศัยอยู่ที่นี่เพราะฉะนั้นเราพอจะสามารถจินตนาการได้ว่าจะมีผู้คนมากมายขนาดไหนบนท้องถนนเมื่อถึงช่วงเวลาที่เร่งด่วนที่สุดสำหรับการเดินทาง
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะห้าโมงครึ่งแล้วแต่รถประจำทางที่จี้เฟิงรออยู่ก็ยังมาไม่ถึงการจราจรที่ติดขัดบนท้องถนนทำให้ผู้คนเป็นกังวล และผู้คนที่ป้ายรถประจำทางนี้ก็มามากขึ้นเรื่อยๆ
“แย่ชะมัดสงสัยฉันคงได้ออกกำลังกายโดยการวิ่งกลับไปมหาลัยซะล่ะมั้ง!” จี้เฟิงแอบบ่นพึมพำ ในที่สุดเขาก็รู้ซึ้งถึงรถประจำทางในเจียงโจว
ไม่น่าแปลกใจเลยที่คนมักจะพูดกันว่าพนักงานออฟฟิศที่ทำงานในเจียงโจวที่ต้องนั่งรถประจำทางไปทำงาน มีเวลาเฉลี่ยที่พวกเขาอยู่บนท้องถนนคือชั่วโมงครึ่ง ซึ่งมันเป็นอะไรที่แย่มาก
จี้เฟิงไม่ใช่คนเดียวที่เซ็งกับเหตุการณ์ในตอนนี้เพราะคนอื่นๆก็รอไม่ได้อีกต่อไป พวกเขาเริ่มมองหารถแท็กซี่และเลือกที่จะนั่งแท็กซี่กลับบ้านแทน และจี้เฟิงก็พบว่าผู้หญิงสวยที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ก็พยายามมองหาแท็กซี่อยู่ริมถนนเช่นกัน
อย่างไรก็ตามเวลานี้จะหาแท็กซี่ได้จากที่ไหนเพราะรถที่เต็มท้องถนนร่วมถึงผู้คนต่างก็คิดเหมือนๆกัน พวกเขาแทบจะเหยียบกันเองเพื่อแย่งกันขึ้นรถแท็กซี่
“มาแล้ว!”
ในตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นเสียงของใครตะโกนขึ้นจากนั้นสายตาของทุกคนก็มองไปที่ถนนทันที และก็พบว่ารถประจำทางกำลังขับเข้ามาอย่างช้าๆ ความเร็วแทบจะไม่ต่างจากการขี่จักรยาน
“ในที่สุดก็มาซะที!”จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น เขาดูเวลาก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะหกโมงเย็นแล้ว
อย่างไรก็ตามหลังจากที่รถประจำทางจอดจี้เฟิงก็ต้องตกตะลึง