The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 131 ความมุ่งมั่น
ตอนนี้บรรยากาศในรถเงียบมากมีเพียงเสียงเครื่องยนต์ของรถประจำทางที่กำลังขับเคลื่อนไปอย่างช้าๆอาจเป็นเพราะผู้โดยสารเหล่านี้กลัวว่าจู่ๆจะมีคนบ้าอย่างผู้ชายร่างใหญ่คนนั้นโผล่มาหรือไม่ก็อาจเป็นเพราะว่าอากาศร้อนเกินไปจึงทำให้ไม่มีใครอยากจะสิ้นเปลืองพลังงานโดยไม่จำเป็น
จี้เฟิงเปิดหน้าต่างบานที่อยู่ใกล้ตัวเขาทั้งหมดและคลื่นความร้อนก็ซัดเข้ามาที่ใบหน้าของเขาทันทีเขาสบถออกมาเล็กน้อยและปิดหน้าต่างลงตามเดิม
ในความเป็นจริงความร้อนแบบนี้ไม่ได้มีผลอะไรกับจี้เฟิงเพราะในระบบฝึกสายลับระดับสูงสมองจะใช้กระแสไฟฟ้าชีวภาพเพื่อจำลองสภาพแวดล้อมต่างๆเพื่อให้จี้เฟิงต้องอดทนต่ออุณหภูมิในรูปแบบต่างๆ และถ้าเมื่อเทียบกันแล้ว อากาศที่เขาเพิ่งเจอเมื่อครู่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นลมหนาวได้เลยทีเดียว
เวลาผ่านไปกว่ายี่สิบนาทีรถประจำทางก็แล่นไปอย่างช้าๆและในที่สุดก็มาถึงเขตเมืองที่มหาวิทยาลัยของจี้เฟิงตั้งอยู่ซึ่งเป็นป้ายสุดท้ายของรถประจำทางคันนี้
ทันทีที่ประตูรถเปิดออกจี้เฟิงก็เดินลงมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง เขาเงยหน้าขึ้นและพบกับป้ายบอกทางที่บอกว่ามหาวิทยาลัยของเขานั้นห่างออกไปจากจุดนี้อีกประมาณ4-5ป้าย โดยถ้านับจากระยะทางตามปกติของเจียงโจวแล้ว ระยะห่างของหนึ่งป้ายจะอยู่ที่ประมาณ 2 กิโลเมตร เพราะฉะนั้นจากจุดที่จี้เฟิงยืนอยู่กับจุดหมายปลายทางของเขาก็จะมีระยะทางทั้งหมดประมาณเกือบ 10 กิโลเมตร
จี้เฟิงก้มดูข้าวของที่อยู่ในมือและกระเป๋าเดินทางของเขาถึงแม้ว่าข้าวของจะมีไม่มากนักแต่การเดินเป็นระยะทางกว่า10 กิโลเมตรในฤดูร้อนแม้แต่จี้เฟิงที่ผ่านการฝึกฝนมาบ่อยครั้งมันก็ยังทำให้รู้สึกขมขื่นอยู่และถึงจี้เฟิงจะอดทนได้แต่การกระทำแบบนี้ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยฉลาดสักเท่าไหร่ เป็นเรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสีย
หลังจากที่คิดได้แบบนี้เขาก็ส่ายหัวและพึมพำกับตัวเอง “คงต้องนั่งรถแท็กซี่แล้วล่ะ!”
จี้เฟิงมองไปยังถนนเพื่อที่จะหารถแท็กซี่คันที่ยังว่างอยู่
“ปี๊นนน—!”
จู่ๆก็มีเสียงแตรรถดังขึ้นใกล้ๆ และจากนั้นรถคาดิลแลคสีชมพูสดใสก็มาจอดอยู่ข้างถนนตรงป้ายรถประจำทางข้างหน้าจี้เฟิง
“คุณจี้!จะไปที่ไหนเหรอคะ ให้ฉันไปส่งคุณดีกว่า!” กระจกหลังของคาดิลแลคลดลงและเผยให้เห็นใบหน้าที่จี้เฟิงคาดไม่ถึง เธอคือฉินซูเจี๋ยที่เขาพบบนรถประจำทาง
เมื่อเห็นฉินซูเจี๋ยจี้เฟิงก็ทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ตัวเอง “คุณกำลังพูดกับผมเหรอ”
ท่าทางที่ดูประหลาดและคาดไม่ถึงของจี้เฟิงทำให้ฉินซูเจี๋ยถึงกับอมยิ้มเธอพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ใช่ค่ะ ฉันกำลังพูดกับคุณ ฉันคิดว่าคุณคงรอรถประจำทางอยู่ ให้ฉันไปส่งคุณดีมั้ย”
เมื่อเห็นจี้เฟิงมองไปที่ถนนฉินซูเจี๋ยจึงยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า“อย่ามัวแต่คิดอยู่เลย ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่คนกำลังเลิกงาน ถ้าคุณจะรอรถประจำทางฉันว่าก็อีกพักใหญ่ๆเลยล่ะ ส่วนรถแท็กซี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง คงไม่มีคันว่างหลุดมาง่ายๆหรอกค่ะ!”
จี้เฟิงนิ่งคิดขนาดเธอเป็นผู้หญิงยังใจกล้า แล้วฉันเป็นผู้ชายยังจะกลัวอะไร
จากนั้นเขาก็พยักหน้าและเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับและพบว่าคนที่ขับรถเป็นผู้ชายอายุประมาณ 30 ปี เขามีสีหน้าที่เคร่งเครียดจริงจังและไม่ได้หันมามองจี้เฟิงเลยแม้แต่น้อย
จี้เฟิงที่คิดอยู่ในใจไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกไปเขาเพียงแค่วางกระเป๋าเดินทางไว้บนตัก
“คุณจะไปที่ไหน”ฉินซูเจี๋ยที่นั่งอยู่เบาะหลังถามขึ้น
“สหพันธ์มหาวิทยาลัยครับ”จี้เฟิงตอบด้วยรอยยิ้ม
“เฒ่าหวังออกรถ!”ฉินซูเจี๋ยกล่าวกับคนขับรถ
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยคนขับรถคนนี้จากที่ดูน่าจะอายุแค่สามสิบแต่ทำไมเขาจึงถูกเรียกว่าเฒ่าหวัง
นอกจากนั้นจี้เฟิงยังสังเกตเห็นว่าเฒ่าหวังคนนี้ไม่น่าใช่สามีของฉินซูเจี๋ยไม่เช่นนั้นฉินซูเจี๋ยควรที่จะต้องนั่งในตำแหน่งข้างคนขับคู่กันกับเขาและก็จะไม่ทำตัวที่ดูเป็นทางการกับสามีของตัวเองเช่นนี้
เมื่อคิดได้ว่าผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นคนขับรถของฉินซูเจี๋ยเขาก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย เพราะจี้เฟิงสามารถเข้าใจได้ว่าทำไมในตอนที่เขาขึ้นรถมาผู้ชายคนนี้ถึงได้มีสีหน้าเคร่งขรึม มันเป็นเรื่องปกติที่คนขับรถจะต้องมีความจริงจังในขณะที่ขับรถให้กับผู้เป็นนายหรือหัวหน้า
“คุณจี้เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยระดับท็อปงั้นเหรอเนี่ยสงสัยต้องเก่งมากแน่เลย” ฉินซูเจี๋ยพูดขึ้นจากที่นั่งด้านหลัง
จี้เฟิงยิ้มและส่ายหัว“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ นักศึกษาสมัยนี้เมื่อเรียนจบแล้วก็ใช่ว่าชีวิตจะประสบความสำเร็จ ตอนนี้นักศึกษาจบใหม่แทบจะไร้ค่า ผมเคยเห็นเจ้าของบริษัทหลายคนที่จบการศึกษาแค่ระดับประถมแต่พนักงานของเขาล้วนเป็นผู้ที่จบการศึกษาระดับสูงกันทั้งนั้น”
ฉินซูเจี๋ยยิ้มเล็กน้อยและพูดเบาๆ“แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะเจ้านายหรือเจ้าของบริษัทคนไหนที่มีวุฒิการศึกษาไม่สูงมากก็จะทำให้บริษัทเติบโตและพัฒนาได้ยาก!”
จี้เฟิงพยักหน้าและไม่ได้ตอบอะไรอีกความรู้สึกของจี้เฟิงในตอนนี้เขารู้สึกกดดันเล็กน้อยเมื่อต้องพูดคุยกับฉินซูเจี๋ย เป็นความกดดันที่บอกไม่ถูก แต่ไม่ได้เป็นเพราะสถานะของเธอที่เป็นเจ้าของบริษัทจิวเวลรี่ แต่น่าจะมาจากความงามที่มีเสน่ห์เย้ายวนของเธอ
ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่นุ่มนวลไพเราะของฉินซูเจี๋ย เขาก็อยากจะหันไปมองใบหน้าที่มีเสน่ห์อย่างมากของเธอ แต่เขารู้ว่าหากทำเช่นนั้นมันจะเป็นเรื่องที่หยาบคายไร้มารยาทมาก เขาจึงทำได้เพียงบังคับตัวเองให้นั่งมองตรงไปข้างหน้าโดยไม่วอกแวก
นอกจากนั้นจี้เฟิงที่เป็นคนมีจิตใจแน่วแน่เด็ดเดี่ยวไม่ว่าภายในใจเขาจะคิดหรือรู้สึกอย่างไร เขาก็สามารถควบคุมสีหน้าของเขาไม่ให้แสดงความรู้สึกออกมาได้ และเขาก็ทำสิ่งนี้ได้ดี
แต่เป็นเพราะเหตุนี้ฉินซูเจี๋ยถึงเข้าใจผิดคิดว่าจี้เฟิงคงไม่ชอบคุยกับเธอ เธอจึงทำได้เพียงแค่จิ้มจางๆและไม่ได้ชวนจี้เฟิงคุยต่อ
.ไอรีนโนเวล.
ส่วนเรื่องที่จู่ๆเธอก็อาสาที่จะไปส่งจี้เฟิงเหตุผลนั้นก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมากนัก มันเป็นเพราะเรื่องก่อนหน้านี้บนรถประจำทางที่เธอตบเขาด้วยความเข้าใจผิด และเธอก็รู้สึกอยากขอโทษจากใจจริง เพราะโดยปกตินิสัยของฉินซูเจี๋ยแล้ว เธอเป็นคนไม่ชอบติดค้างใคร ดังนั้นเธอจึงใช้โอกาสนี้เป็นการตอบแทน
ยิ่งไปกว่านั้นระยะทางระหว่างสหพันธ์มหาวิทยาลัยและโรงเรียนอนุบาลของลูกสาวเธอนั้นไม่ไกลกันนักเธอจึงสามารถไปรับลูกสาวของเธอได้ตามปกติซึ่งถือได้ว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
บรรยากาศในรถเงียบลงไปชั่วขณะจี้เฟิงในเวลานี้ที่ทำได้แค่มองทิวทัศน์ภายนอกรถที่ขับไปตามถนนอย่างรวดเร็วมันทำให้เขาว่างจนคิดฟุ้งซ่าน
เมื่อนึกถึงวันก่อนๆจี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าถึงเวลาที่จะต้องเริ่มหางานอย่างจริงจังแล้วเขาไม่สามารถใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยแบบนี้ได้อีกต่อไป เวลานั้นผ่านไปเร็วมาก เพียงพริบตาเดียวเขาที่เคยถูกเหยียดหยามว่าเป็นสัตว์พันทาง เป็นลูกไม่มีพ่อ ก็กลายเป็นคนที่มีภูมิหลังแถมยังเป็นตระกูลที่ใหญ่โตอย่างคาดไม่ถึง แต่อย่างไรก็ตามชีวิตที่เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือของเขานี้เป็นเพียงเพราะอิทธิพลจากพ่อของเขาเท่านั้น
เขาไม่ต้องการพึ่งพาคนอื่นหรือแม้แต่กับพ่อของเขาเองก็ตามหากเขาแข็งแกร่งมากพอที่จะยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้ เขาก็จะสามารถสร้างโลกในแบบที่เขาต้องการได้
ฉันต้องทำให้ได้!จี้เฟิงกำหมัดแน่น
ทันใดนั้นฉินซูเจี๋ยที่นั่งอยู่เบาะหลังได้เห็นแววตาที่ลุกโชนไปด้วยความมุ่งมั่นของจี้เฟิงผ่านกระจกมองหลังมันก็ทำให้หัวใจของเธอสั่นไหวเล็กน้อย และแววตาที่มุ่งมั่นของจี้เฟิงยังทำให้เธอนึกถึงตัวเธอเองในสมัยก่อน มันเหมือนกันมาก
เมื่อเห็นแววตาของจี้เฟิงที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งนักสู้บวกกับภายนอกที่ดูสงบนิ่งต่างจากคนหนุ่มสาวทั่วๆไปฉินซูเจี๋ยก็รู้ได้ทันทีว่าก่อนหน้านี้เธอประเมินชายหนุ่มคนนี้ต่ำเกินไป
หรือบางทีอาจะเป็นเพราะครั้งแรกที่เธอเห็นสายตาไร้ยางอายของจี้เฟิงกำลังจ้องมาที่เธอมันจึงทำให้เธอด่วนสรุปไปว่าจี้เฟิงเป็นเพียงแค่ชายหนุ่มแย่ๆคนหนึ่ง และทำให้เธอมีอคติกับเขาตั้งแต่ตอนนั้น
แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะแก้ไขความเข้าใจผิดกันบนรถประจำทางในภายหลังแต่เรื่องที่จี้เฟิงจ้องมองเธอด้วยสายตาหื่นกระหายมันก็เป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ฉินซูเจี๋ยผู้ที่มีประสบการณ์ทำงานในห้างสรรพสินค้ามานานเธอได้พบเจอผู้คนมากหน้าหลายตา มันจึงทำให้เธอได้เรียนรู้ว่าการเชื่อใจใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้ว่าเธอจะมีความรู้สึกผิดต่อจี้เฟิงอยู่ในใจ เธอก็แค่ต้องหาโอกาสในการชดใช้ให้กับเขาเท่านั้น เพราะในใจลึกๆแล้วเธอก็ยังคงเป็นคนที่ไม่ไว้ใจใครง่ายๆ
แต่ตอนนี้ความระแวงที่อยู่ในใจของเธอที่มีต่อจี้เฟิงได้ลดลงอย่างมากไม่ว่าชายหนุ่มคนนี้จริงๆแล้วเขาจะเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยอย่างไร แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นคนที่มีจิตวิญญาณนักสู้เป็นคนไม่ย่อท้อหรือยอมแพ้อะไรง่ายๆ ไม่ใช่ว่าหนุ่มสาวทุกคนจะมีสิ่งนี้
ในเวลานี้ฉินซูเจี๋ยยังคงมองไปที่จี้เฟิงผ่านกระจกมองหลังและพบว่าดวงตาของเขานั้นปิดลงราวกับว่าเขานั้นหลับไปจริงๆมันทำให้ฉินซูเจี๋ยนึกขึ้นได้ทันทีว่า จี้เฟิงก็เหมือนจะทำแบบนี้เช่นกันเมื่อตอนที่อยู่บนรถประจำทาง เขาทำราวกับว่าทุกสิ่งในโลกภายนอกไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา แม้ว่าเขาจะอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายในเมืองที่พลุกพล่านเต็มไปด้วยผู้คน เขาก็สามารถนอนหลับได้อย่างสงบ
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉินซูเจี๋ยบนรถประจำทางในตอนนั้น เพราะความเข้าใจผิดจากผู้ชายร่างใหญ่ที่น่ารังเกียจคนนั้น ทำให้เธอคิดไปว่าจี้เฟิงที่ยืนหลับตาได้แกล้งตีเนียนทำเป็นหลับหลังจากที่ลวนลามเธอ แต่ตอนนี้ดูเหมือนกับว่าชายหนุ่มคนนี้จะเข้าถึงความสงบนิ่งได้ในระดับหนึ่งหรือพูดอีกอย่างก็คือเขาเป็นคนที่มีความคิดค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่และไม่แยแสกับทุกสิ่งรอบตัว
เมื่อคิดถึงเหตุและผลเหล่านี้ฉินซูเจี๋ยก็อดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกดีต่อชายหนุ่มคนนี้เพิ่มมากขึ้นแน่นอนว่าความรู้สึกนี้ไม่ได้เป็นความรู้สึกแบบที่ผู้ชายและผู้หญิงมีต่อกันแต่เป็นเพียงแค่ความรู้สึกของคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่าชื่นชมคนหนุ่มสาวที่เป็นคนรุ่นใหม่
และยิ่งไปกว่านั้นการมีความรู้สึกดีๆเช่นนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอลดกำแพงที่อยู่ในใจของเธอลงอย่างสมบูรณ์เพราะถ้าเธอเป็นคนที่เชื่อใจใครง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงธุรกิจที่ไม่ต่างจากสนามรบ เธอก็คงไม่ได้มีบริษัทเป็นของตัวเองและก็คงจะถูกกลืนหายไปนานแล้ว
จี้เฟิงไม่รู้ว่าดวงตาข้างหนึ่งของเขาตกอยู่ในสายตาของฉินซูเจี๋ยโดยไม่ได้ตั้งใจและนอกจากนี้ยังเกิดความคิดมากมายเกี่ยวกับจี้เฟิงอยู่ในหัวของฉินซูเจี๋ยในเวลานี้
ในขณะนี้เขาเพียงแค่หลับตาลงอย่างเงียบๆเพราะเขากลัวว่าหากเขาลืมตา สายตาของเขาอาจจะเผลอไผลจ้องมองไปที่ใบหน้าและเรือนร่างอันสวยงามของฉินซูเจี๋ยโดยไม่ได้ตั้งใจอีกและเขาก็กลัวที่ตัวเองอาจจะทำอะไรโง่ๆแบบนั้นออกไป
ถ้าฉินซูเจี๋ยรู้ความจริงก็เดาไม่ออกเหมือนกันว่าเธอจะรู้สึกอย่างไร
ระยะทางเพียง4-5 ป้ายรถประจำทางนั้นไม่ไกลโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคาดิลแลคที่หรูหรา แค่เพียงไม่กี่นาทีรถก็มาถึงประตูของสหพันธ์มหาวิทยาลัย เมื่อจี้เฟิงมองเห็นประตูของมหาวิทยาลัยจากระยะไกลเขาก็ยกกระเป๋าของเขาเพื่อเตรียมตัวที่จะลงจากรถ
แต่ในขณะนั้นเองโทรศัพท์มือถือของเฒ่าหวังที่เป็นคนขับรถก็ดังขึ้นและเขาก็แสดงท่าทางราวกับว่ายังไม่สะดวกที่จะจอดให้จี้เฟิงลงจากรถ เฒ่าหวังชะลอความเร็วรถและเมื่อเขากดรับโทรศัพท์เพียงไม่กี่วินาทีสีหน้าของเขาก็เคร่งเครียดขึ้น
จากนั้นไม่นานเฒ่าหวังก็วางสายและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า“คุณฉินครับ ลูกสาวของคุณเกิดปัญหานิดหน่อยที่โรงเรียนอนุบาล ดูเหมือนเธอจะถูกรังแก ผมว่าเราควรรีบไป!” ก่อนที่เสียงของเขาจะลดลง เฒ่าหวังก็เพิ่มความเร็วของรถทันที โดยที่จี้เฟิงยังไม่ทันได้ลงจากรถด้วยซ้ำ
จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นอีกฝ่ายรีบร้อนขนาดนี้ เขาจึงตัดสินที่จะยังไม่ถามอะไรออกไป เขาเพียงแค่ทำตามและนั่งไปแบบเงียบๆและคิดว่าถ้าเธอพาเขาไปได้เธอก็คงจะพาเขามาส่งได้
ฉินซูเจี๋ยเริ่มเป็นกังวลและถามอย่างรีบร้อนว่า“เฒ่าหวังมีอะไรเหรอ มันเกิดอะไรขึ้น!”
ฉินซูเจี๋ยรู้จักคนขับรถของเธอเป็นอย่างดีเธอรู้ว่าเขาจะไม่มีทางวิตกกังวลง่ายๆในสถานการณ์ปกติ โดยไม่ต้องพูดถึงว่ามันเป็นเพียงแค่ปัญหาของเด็กอนุบาลที่อาจจะมีปัญหาขัดแย้งกัน เพราะที่โรงเรียนมีคุณครูคอยดูแลอย่างใกล้ชิด แล้วทำไมคนขับรถของเธอถึงได้ดูตกใจขนาดนี้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ฉินซูเจี๋ยก็เข้าใจทันทีว่าอาจเกิดปัญหาที่คุณครูประจำโรงเรียนอนุบาลไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง
เฒ่าหวังพยักหน้าและกล่าวอย่างเคร่งขรึม“เมื่อสักครู่คุณครูที่โรงเรียนอนุบาลโทรมา บอกว่าคุณหนูมีปัญหาขัดแย้งกับเพื่อนร่วมชั้น ด้วยเหตุนี้ผู้ปกครองของเด็กคนนั้นจึงเข้ามาและดูเหมือนว่าเธอจะตบหน้าของคุณหนู!” ในขณะที่พูดความเร็วของรถก็เพิ่มเร็วขึ้น จี้เฟิงรู้สึกได้ว่าตัวของเขาเหมือนถูกแรงดันจนหลังติดเบาะ
“อะไรนะ!”
เมื่อฉินซูเจี๋ยได้ยินว่าลูกสาวของเธอถูกทำร้ายเธอก็กรีดร้อง“เฒ่าหวังเร็วกว่านี้อีก รีบไปที่โรงเรียนอนุบาลให้เร็วที่สุด!”
โรงเรียนอนุบาลอยู่ไม่ไกลจากสหพันธ์มหาวิทยาลัยภายในเวลาไม่กี่นาทีพวกเขาทั้งสามคนก็มาถึงประตูของโรงเรียนอนุบาล