The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 132 เหตุการณ์ในโรงเรียนอนุบาล
- Home
- The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ
- บทที่ 132 เหตุการณ์ในโรงเรียนอนุบาล
ทันทีที่รถจอดฉินซูเจี๋ยก็รีบเปิดประตูและวิ่งลงจากรถอย่างรวดเร็วเพื่อเข้าไปในโรงเรียนอนุบาลเธอรีบจนไม่ทันได้บอกกล่าวอะไรกับจี้เฟิง
“คุณจี้ได้โปรดรอในรถสักครู่”คนขับรถหวังไม่ลืมที่จะบอกกับจี้เฟิง เขากล่าวอย่างรวดเร็วและวิ่งตามฉินซูเจี๋ยไปทันที
เมื่อไม่เหลือใครอยู่ในรถและยังมีเรื่องเกิดขึ้นกับเด็ก ไม่ว่าเป็นใครก็คงจะนั่งรออยู่ในรถเฉยๆไม่ได้ จี้เฟิงจึงวางกระเป๋าและเปิดประตูรถเดินตามออกไป
มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งยืนอยู่ที่สนามเด็กเล่นมีทั้งเด็กอนุบาลและผู้ใหญ่ที่น่าจะเป็นผู้ปกครองของเด็กเหล่านั้น จี้เฟิงที่มองเห็นจากระยะไกลจึงพอจะเดาได้ว่าตรงนั้นน่าจะเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องที่เกิดขึ้น
จี้เฟิงลังเลเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็รีบเดินไปยังสนามเด็กเล่นที่มีกลุ่มคนมุงอยู่
“ไม่สำคัญว่าวันนี้ใครจะมาที่นี่แต่คุณต้องมีคำอธิบายให้กับเรา ถ้าไม่อย่างนั้นก็อย่ามาโทษฉันแล้วกันถ้าเกิดอะไรขึ้นกับโรงเรียนของคุณ!”
ทันทีที่จี้เฟิงเข้าใกล้ฝูงชนเขาก็ได้ยินเสียงที่แหลมบาดหูจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างใน มันทำให้หูของเขาแทบชา ผู้หญิงคนนี้ดูเป็นคนปากร้ายไม่เบา
จี้เฟิงรีบขยับเข้าไปใกล้ตรงใจกลางของกลุ่มคนที่กำลังมุงอยู่เขาสามารถหาช่องทางเบียดแทรกเข้าไปได้อย่างเงียบเชียบ และฉากตรงหน้าก็ทำให้เขาถึงกับขมวดคิ้วทันที
ภาพที่เขาเห็นคือคนขับรถของฉินซูเจี๋ยตอนนี้ยืนอยู่ตรงกลางมีฉินซูเจี๋ยกำลังดึงเด็กผู้หญิงอายุประมาณสามขวบที่กำลังร้องไห้ไปปลอบและลูบแก้มของเธอเบาๆอยู่ที่ด้านหลังของคนขับรถหวัง บนใบหน้าที่ไร้เดียงสาของเด็กหญิงมีร่องรอยของการถูกตบอยู่ที่แก้มทั้งสองข้างของเธออย่างชัดเจน
ถัดจากเด็กหญิงตัวน้อยก็มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งยืนอยู่เธอมีสีหน้าเศร้ามองผู้หญิงคนนี้น่าจะมีอายุประมาณ 20 กลางๆดูเหมือนว่าเธอเพิ่งจบมหาวิทยาลัยและน่าจะเป็นครูที่อยู่ในโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้
คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับคนขับรถหวังมีผู้ชายรูปร่างกำยำสวมใส่สร้อยทองเส้นหนารอบคอและนิ้วมือที่เต็มไปด้วยแหวนทองชายคนนี้น่าจะอายุสามสิบเขามีสีหน้าหยิ่งผยองและอวดดีกำลังจ้องมองคนขับรถหวังอย่างดุร้าย
ข้างๆชายคนนี้มีผู้หญิงหน้าตาดีแต่ดูร้ายๆกับเด็กผู้ชายอายุประมาณสามหรือสี่ขวบแต่สิ่งที่ทำให้จี้เฟิงรู้สึกมองบนเล็กน้อยคือสีหน้าท่าทางที่เย่อหยิ่งของเด็กผู้ชายซึ่งเหมือนกับผู้ชายคนนั้นทุกกระเบียดนิ้ว
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็คงจะพอทำให้จี้เฟิงเดาได้ไม่ยากว่าเด็กน้อยที่เป็นลูกสาวของฉินซูเจี๋ยนั้นมีความขัดแข้งกับเด็กผู้ชายที่หน้าตาเย่อหยิ่งอย่างไรก็ตามรอยตบทั้งสองข้างบนแก้มของเด็กหญิงก็ทำให้จี้เฟิงขมวดคิ้วและมีสีหน้าที่ตึงเครียด
“คุณผู้ปกครองคะตอนนี้ดิฉันว่าใจเย็นๆก่อนดีกว่าค่ะ เพราะการที่พวกคุณทะเลาะกันที่นี่มันไม่ดีสำหรับเด็กๆ!” ครูอนุบาลสาวพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวจากที่มองเขาก็พอจะรู้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความมั่นใจในอิทธิพลของฝ่ายตัวเอง เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมจบเรื่องนี้ลงง่ายๆ
โดยเฉพาะฉินซูเจี๋ยจากท่าทางและสายตาที่ดูเป็นกังวล ในฐานะคนเป็นแม่ที่ลูกสาวถูกตบตี เธอไม่มีทางปล่อยให้เรื่องนี้จบลงง่ายๆอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามก่อนที่ฉินซูเจี๋ยจะทันได้เอ่ยปากผู้หญิงที่หน้าตาดูร้ายๆที่ตอนนี้ยืนประจันหน้ากับคนขับรถหวังก็ตะโกนด้วยเสียงที่แหลมเล็กบาดหู “ใจเย็น ฝันไปเถอะ! ลูกชายของเราไม่ได้เป็นฝ่ายผิด ฉันเลี้ยงลูกมาอย่างทะนุถนอมไม่เคยตีเขาแม้แต่ครั้งเดียว แล้วอยู่ดีๆก็ถูกเด็กที่พ่อแม่ไม่สั่งสอนมาทำร้าย แล้วยังจะให้ฉันใจเย็นและยอมจบเรื่องนี้อีกงั้นเหรอ?!”
“คือ..”คุณครูสาวก็รู้สึกอับอายในความบกพร่องในหน้าที่ไม่น้อย เพราะอันที่จริงเรื่องนี้อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของเธอ แต่เธอเป็นเพียงแค่หญิงสาวที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยมาหมาดๆจึงไม่มีประสบการณ์และความสามารถพอที่จะจัดการกับเรื่องนี้ได้
คุณครูสาวรู้สึกวิตกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆเธอโทรหาครูใหญ่โรงเรียนอนุบาลนานเกินกว่าสิบนาทีแล้วแต่ครูใหญ่ก็ยังไม่มา แล้วฉันจะจัดการอย่างไรกับเรื่องนี้!
“นังผู้หญิงไร้สมองเธอยังจะกล้าปกป้องเด็กนั่นทั้งๆที่มันทำผิดอีกงั้นเหรอ”เมื่อเห็นว่าฉินซูเจี๋ยไม่ได้ตอบโต้ แต่กลับนั่งยองๆจับมือเล็กๆของลูกสาวและลูบแก้มของเธอเบาๆอย่างอ่อนโยนโดยไม่ได้สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย ผู้หญิงปากร้ายก็โมโหและพูดจาเหน็บแนมอย่างหยาบคาย “นังเด็กไม่มีพ่อลูกของเธอมันมาข่วนลูกชายฉัน ให้มันมาขอโทษลูกฉันเดี๋ยวนี้!”
“คุณผู้หญิงถ้าคุณหยาบคายอีกครั้งอย่าหาว่าผมไม่เตือน!”เมื่อคนขับรถหวังเห็นผู้หญิงปากร้ายคนนั้นก่นด่าอย่างหยาบคายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงกล่าวเตือนด้วยใบหน้าขมึงทึง
“ว่าไงนะ!”
ชายร่างกำยำข้างๆหญิงสาวปากร้ายถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนอย่างคุณจะทำอะไรได้ หรือเก่งแต่ปาก!”
คนขับรถหวังขมวดคิ้วเขาหันไปมองที่ฉินซูเจี๋ยและพบว่าเธอยังคงนั่งยองๆเพื่อปลอบโยนลูกสาวของเธอเขาจึงทำได้แค่เพียงกัดฟันอดทนและไม่ได้โต้ตอบอะไรออกไป อย่างไรก็ตามสีหน้าของเขาในเวลานี้กลับน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว
เมื่อเห็นว่าคนขับรถหวังไม่กล้าเถียงผู้หญิงปากร้ายก็ได้ใจมากขึ้นเธอตะโกน “นี่! นังผู้หญิงสารเลวอย่ามัวแต่หลบอยู่ข้างหลังแสร้งทำตัวหน้าสงสาร และรีบพาอิเด็กพันทางนั่นมาขอโทษลูกชายของฉันและชดใช้ค่าเสียหายเดี๋ยวนี้!”
จี้เฟิงเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ไม่ไกลอย่างเงียบๆเขาไม่ได้พูดและไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆออกมา อย่างไรก็ตามหากมีคนที่คุ้นเคยสนิทสนมกับเขาอยู่ที่นี่ด้วยจะรู้ได้ในทันทีว่าจี้เฟิงในเวลานี้เต็มไปด้วยความโกรธ
“ไอ้เด็กพันทาง!”
คำๆนี้เป็นคำที่จี้เฟิงคุ้นเคยเป็นอย่างดีมันอยู่กับเขามาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต เพียงเพื่อกำจัดคำนี้ ไม่รู้ว่าเขาต้องต่อสู้กับคนอื่นมากี่ครั้ง จนเมื่อเวลาผ่านไปพร้อมกับเขาที่เติบโตขึ้น คำๆนี้มันก็ค่อยๆจางหายไป
แต่ตอนนี้เขากลับต้องมาได้ยินมันอีกครั้งแม้ว่าคนที่พูดจะไม่ได้หมายถึงเขาก็ตาม แต่มันก็เพียงพอที่จะกระตุ้นความโกรธที่อยู่ในใจของเขาขึ้นมาอีกครั้ง คำว่าไอ้เด็กพันทางถือว่าเป็นความอัปยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเขา!
จี้เฟิงยืนกำหมัดแน่นอย่างเงียบๆพยายามข่มใจที่จะไม่ยุ่งกับเรื่องที่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องเขาได้แต่เพียงสงสัยว่าฉินซูเจี๋ยจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร แม้ว่าพ่อของเด็กผู้ชายคนนั้นดูจะเป็นคนที่พอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง แต่จี้เฟิงก็มั่นใจในระดับหนึ่งว่าภูมิหลังของฉินซูเจี๋ยก็ไม่น่าจะด้อยไปกว่าผู้ชายที่เย่อหยิ่งคนนั้นแน่นอน
ฉินซูเจี๋ยปลอบโยนลูกสาวของเธออย่างนุ่มนวลจนกระทั่งลูกสาวของเธอหยุดร้องไห้ฉินซูเจี๋ยจึงยืนขึ้นและค่อยๆหันหน้ากลับมาและจูงมือเล็กๆของเด็กหญิงไปที่ด้านหน้าของคนขับรถหวังและส่งให้คนขับรถหวังอุ้มเธอไว้
จากนั้นเธอก็มองไปที่พ่อแม่ของเด็กชายตัวน้อยด้วยสายตาที่เย็นชาอยู่ครู่หนึ่งและหันไปมองครูสาวและถามอย่างใจเย็น“วันนี้เกิดอะไรขึ้น”
ครูสาวไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นสบตากับการจ้องมองของฉินซูเจี๋ยแต่หลังจากที่ครูสาวเหลือบมองไปที่เด็กหญิงเธอก็เปิดปากพูดออกมาเบาๆว่า “เรื่องมันเกิดขึ้นในตอนที่ผู้ปกครองท่านอื่นๆกำลังมารับลูกๆของพวกเขา แต่ฉินหยุนเหยายังไม่มีใครมารับ โจวเสี่ยงกังจึงบอกกับฉินหยุนเหยาว่าเธอเป็นเด็กที่ไม่มีใครรัก เลยไม่มีใครมารับเธอ …”.ไอลีนโนเวล.
ทันใดนั้นสายตาของฉินซูเจี๋ยก็เย็นลงและเธอก็ถามว่า“แล้วยังไงต่อ”
“จากนั้นฉินหยุนเหยาก็จ้องมองโจวเสี่ยวกังและปรากฏว่า…”ครูสาวเหลือบมองไปที่พ่อแม่ของเด็กน้อยโจวเสี่ยวกังและพูดอย่างกล้าๆกลัวๆ” จากนั้นแม่ของโจวเสี่ยวกังก็ดุฉินหยุนเหยาว่าเป็นเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน ฉินหยุนเหยาจึงโกรธและข่วนโจวเสี่ยวกัง แล้ว… แม่ของโจวเสี่ยงกังก็เข้ามาตบฉินหยุนเหยาสองครั้ง.. คุณฉิน ฉันขอโทษจริงๆ ฉันขอโทษที่ไม่สามารถหยุดเรื่องนี้ได้ทัน!”
ฉินซูเจี๋ยพยักหน้าและพูดว่า“ฉันเข้าใจ ฉันคงว่าอะไรคุณไม่ได้ถ้าคุณได้พยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว”
ครูสาวถอนหายใจเบาๆด้วยความโล่งอก
หลังจากที่รับฟังเรื่องราวทั้งหมดฉินซูเจี๋ยก็หันไปทางพ่อแม่ของโจวเสี่ยวกังแล้วถามอย่างใจเย็น“สำหรับเรื่องทั้งหมดนี้ คุณมีอะไรจะพูดมั้ย”
แม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะสงบแต่ทุกคนที่มุงดูอยู่ต่างรับรู้ได้ว่าภายใต้น้ำเสียงที่สงบนั้นแฝงไปด้วยความโกรธที่อาจจะระเบิดออกมาได้ทุกเวลา เพราะไม่ว่าจะเป็นใครหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับลูกของตนเองที่ถูกคนอื่นดุด่าและตบตีคนเป็นพ่อแม่จะไม่มีวันยอมทนรับเรื่องนี้ได้ง่ายๆอย่างแน่นอน แล้วนับประสาอะไรกับฉินซูเจี๋ยที่เป็นถึงเจ้าของบริษัทจิวเวลรี่
“มีสิก็ลูกของเธอข่วนลูกชายของฉัน เธอก็ต้องรับผิดชอบให้ลูกสาวของเธอมาขอโทษลูกชายของฉันพร้อมกับเธอต้องชดใช้ค่าเสียหายทางจิตใจและร่างกายของลูกชายฉันด้วย!” หญิงสาวปากร้ายพูดขึ้นทันที
แต่ดวงตาของผู้ชายร่างกำยำที่ยืนข้างๆเธอสว่างขึ้นเมื่อมองไปที่เรือนร่างที่งดงามอย่างไม่มีใครเทียบได้ของฉินซูเจี๋ยดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความโลภและหื่นกระหายจนแทบจะกลืนกินฉินซูเจี๋ยได้ในคำเดียว
จู่ๆพ่อแม่ของเด็กๆในโรงเรียนอนุบาลต่างก็เริ่มพูดคุยซิบซิบกันทุกคนได้ยินสิ่งที่ครูสาวเล่าว่าผู้หญิงที่หน้าตาดีแต่ปากร้ายคนนี้ดุด่าลูกคนอื่นและยังตบตีเด็กหญิงตัวน้อยที่ชื่อฉินหยุนเหยาอีกด้วย แต่พวกเธอกลับต้องการคำขอโทษและเงินชดเชย นี่มันมันมากเกินไป
อย่างไรก็ตามไม่มีใครกล้าพูดออกมาดังๆเพราะเมื่อแวบแรกที่มองชายร่างกายกำยำที่สวมใส่ทองคนนี้พวกเขาก็พอจะเดาได้ว่าผู้ชายคนนี้คงมีอิทธิพลหรืออำนาจมากพอที่อาจจะทำให้พวกเขาเดือดร้อนได้ถ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของพวกเขา
ดังนั้นทุกคนจึงทำแค่แอบกระซิบกระซาบและแอบมองไปที่ฉินซูเจี๋ยว่าเธอจะมีปฏิกิริยา
อย่างไรก็ตามเธอกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่พวกเขาคิดไว้ว่าเธอจะทำอย่างสิ้นเชิงฉินซูเจี๋ยมีทีท่าไม่แยแสกับเรื่องนี้ เธอพยักหน้าและพูดว่า “ลูกสาวของฉันทำร้ายลูกชายของคุณจริง ดังนั้นพวกเราควรขอโทษและชดเชยความเสียหายอย่างเหมาะสม คุณต้องการให้ฉันชดใช้เงินเป็นจำนวนเท่าไหร่”
หญิงสาวปากร้ายตาโตและรู้สึกตื่นเต้นทันทีเมื่อได้ยินเธอตะโกนเสียงดังว่า “หนึ่งแสน! เงินจำนวนหนึ่งแสนหยวนเป็นค่าทำขวัญที่ลูกของเธอทำกับลูกชายอันแสนมีค่าของฉัน และถ้าขาดไปแม้แต่หยวนเดียวเรื่องนี้จะต้องไม่จบง่ายๆแน่!”
“ตกลงฉันจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งแสนตามที่คุณเรียกร้องมา!” ฉินซูเจี๋ยพยักหน้าทันทีและพูดกับคนขับรถหวังที่อยู่ข้างๆเธอ “เฒ่าหวัง รบกวนไปหยิบกระเป๋าของฉันที่รถมาให้หน่อยได้มั้ยคะ”
แม้ว่าคนขับรถหวังจะยังรู้สึกงงงวยแต่เขาก็พยักหน้าและทำตามคำสั่งทันที
จี้เฟิงที่เฝ้าดูอยู่เงียบๆเขารู้ดีว่าฉินซูเจี๋ยจะไม่มีทางยอมแพ้ให้กับเรื่องนี้ง่ายๆอย่างแน่นอนเธอจะต้องมีแผนการอะไรบางอย่าง เพียงแค่ว่าตอนนี้ยังไม่มีใครเห็นเงินจำนวนหนึ่งแสนหยวนจริงๆ จึงไม่มีใครรู้ว่าฉินซูเจี๋ยต้องการจะทำอะไรกันแน่
หลังจากนั้นไม่นานคนขับรถหวังก็เดินกลับมาพร้อมกระเป๋าใบหนึ่งเขาส่งให้ฉินซูเจี๋ย
“คุณบอกว่าคุณต้องการให้ฉันชดใช้ให้เป็นจำนวนเงินหนึ่งแสนหยวนใช่มั้ย”ฉินซูเจี๋ยถามเบาๆหลังจากรับกระเป๋าจากคนขับรถหวัง
“ถูกต้องลูกชายของฉันเป็นคนบอบบางมาก คุณจะจ่ายน้อยกว่าหนึ่งแสนหยวนไม่ได้หรอกนะ!” หญิงสาวปากร้ายกล่าวอย่างเหยียดหยาม
“คุณแน่ใจใช่มั้ยว่าค่าชดเชยในเรื่องนี้คือเงินจำนวนหนึ่งแสนหยวน!”ฉินซูเจี๋ยถามย้ำอีกครั้ง
“เอ๊ะพูดไม่รู้เรื่องหรือไง! ฉันบอกว่าหนึ่งแสนก็หนึ่งแสนสิ ยืดเยื้อเพราะไม่มีปัญญาจะจ่ายก็พูดมาตรงๆ!” หญิงสาวปากร้ายตะคอกอย่างดูถูก
“โอเคหนึ่งแสนหยวน ไม่มีปัญหา!” ฉินซูเจี๋ยหยิบเช็คจากกระเป๋าของเธอและเขียนตัวเลขจำนวนหนึ่งแสนและยื่นให้คนขับรถหวังนำไปส่งให้กับผู้หญิงปากร้ายคนนั้น “นี่คือเช็คเงินสดจำนวนหนึ่งแสนหยวน คุณสามารถนำไปขึ้นเงินได้ตลอดเวลา”
“เฮือก~!”
ฝูงชนที่มุงอยู่โดยรอบต่างอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเฮือกใหญ่สำหรับครอบครัวทั่วไปเงินจำนวนนี้เป็นเงินจำนวนที่เยอะมาก ไม่มีใครคาดคิดว่าผู้หญิงแสนสวยคนนี้จะจ่ายเงินหนึ่งแสนหยวนโดยไม่ลังเลราวกับว่าเธอกำลังจ่ายเงินเพียงแค่สิบหยวนเท่านั้น
ผู้หญิงปากร้ายเมื่อได้รับเช็คเงินสดจำนวนหนึ่งแสนหยวนแล้วใบหน้าของเธอก็แสดงความภาคภูมิใจมากขึ้นกว่าเดิมแต่เมื่อหันไปเห็นสามีของเธอที่กำลังมองฉินซูเจี๋ยด้วยแววตาหื่นกระหาย ความโกรธก็มาแทนที่ความภาคภูมิใจเมื่อครู่ของเธอทันที แต่เธอก็รู้ดีว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาดุด่าสามี เธอจึงทำได้แค่เพียงมองไปที่ฉินซูเจี๋ยด้วยแววตาที่แทบจะลุกเป็นไฟ
“จ่ายเงินแล้วก็จริงแต่เธอลืมอะไรไปหรือเปล่า เธอยังไม่ได้กล่าวขอโทษฉันกับลูก!” หญิงสาวปากร้ายพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ
ฉินซูเจี๋ยพยักหน้าเล็กน้อยจากนั้นเธอก็ก้มลงไปกอดลูกสาวของเธอและกระซิบเบาๆ “เหยาเหยา หนูข่วนเพื่อนใช่มั้ยคะ เพราะฉะนั้นหนูต้องขอโทษเพื่อนกับคุณแม่ของเขา หนูรู้ใช่มั้ยคะ”
เด็กหญิงตัวเล็กๆพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง“คุณน้าหนูทำให้คุณน้าโกรธ หนูขอโทษอย่าโกรธหนูเลยนะคะ”
จากนั้นเด็กหญิงก็หันไปพูดกับโจวเสี่ยวกัง“โจวเสี่ยวกังฉันขอโทษ”
“ฉันขอโทษ!”ฉินซูเจี๋ยก็พูดขอโทษเช่นกัน
“เหอะ!”
หญิงสาวปากร้ายตะคอกอย่างเย่อหยิ่ง“สั่งสอนลูกสาวของเธอให้ดีๆหน่อยก็แล้วกัน ไม่งั้นคนอื่นเขาจะคิดว่าเด็กคนนี้ไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอน!”
หลังจากพูดจบหญิงสาวปากร้ายก็จับแขนสามีของเธอและจูงมือโจวเสี่ยงกังลูกชายของเธอด้วยมืออีกข้างก่อนที่จะสะบัดหน้าพร้อมกับหมุนตัวเพื่อเดินออกไป
ในขณะนั้นเองเสียงของฉินซูเจี๋ยก็ดังขึ้น“เดี๋ยวก่อน!”