The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 143 หยกราคาสูงเสียดฟ้า
เสียงของล้อเจียรที่ขัดลงไปบนพื้นผิวของหินยังคงส่งเสียงดังอย่างต่อเนื่องแต่ไม่มีใครในเวลานี้คิดว่าเสียงนี้เป็นที่น่ารำคาญอีกต่อไป เมื่อคริสตัลสีมรกตค่อยๆปรากฏขึ้นให้เห็นมากขึ้นทีละนิดๆ ทุกคนกลับต้องการให้เสียงเจียรหินนั้นรุนแรงและรวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม
ผู้สังเกตการณ์เกือบทั้งหมดแสดงความอิจฉาและความโลภผ่านดวงตาของพวกเขาอย่างชัดเจนพวกเขามองไปยังซากปรักหักพังที่ร่วงหล่นไปบนพื้นใกล้เท้าอาไห่ ในตอนนี้แร่หินที่ถูกเครื่องเจียรขัดจนเผยให้เห็นหยกที่มีขนาดครึ่งหนึ่งของลูกบาสเกตบอล และนี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมองไปยังทิศทางของหยกที่เหลือในแร่หินแล้วดูเหมือนว่ามันน่าจะมีหยกอีกมากกว่าครึ่งหนึ่งจากที่เห็นอยู่ในแร่หินที่ยังไม่ได้รับการเจียระไน!
นอกเหนือจากผู้สังเกตการณ์เหล่านั้นแล้วยังมีอีกสองคนที่รู้สึกประหลาดใจมากที่สุด นั่นก็คือฉินซูเจี๋ยและอู๋ฉางฉุน แต่ใบหน้าที่บ่งบอกถึงความประหลาดใจของพวกเขานั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ฉินซูเจี๋ยมองไปที่จี้เฟิงด้วยรอยยิ้มจางๆด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อครั้งแรกที่เธอได้เห็นหยกชิ้นใหญ่แบบนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะตื่นเต้นจนไม่สามารถควบคุมสีหน้าของเธอได้เลย แต่ชายหนุ่มตรงหน้าเธอกลับดูสงบนิ่งมาก แม้ว่าใบหน้าของจี้เฟิงจะมีการแสดงออกถึงความตื่นเต้นยินดีอยู่บ้าง แต่ฉินซูเจี๋ยก็ไม่มั่นใจนักว่าเป็นการแสดงออกที่มาจากใจจริงหรือเป็นเพียงแค่การเสแสร้งของเขา
พูดกันตรงๆดูเหมือนว่าจี้เฟิงจะไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่เขาชนะพนันหินหยกแถมยังเป็นหยกที่มีขนาดใหญ่!
มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะรู้มาก่อนว่ามีหยกอยู่ข้างในหรือเขาเคยผ่านประสบการณ์ชีวิตที่ระทึกกว่านี้จนทำให้เหตุการณ์ตรงหน้านี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยจนไม่สามารถทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นได้เลย? ฉินซูเจี๋ยมึนงงอยู่พักใหญ่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอแน่ใจ นั่นก็คือตอนนี้เธอรู้สึกตื่นเต้นมาก
ปัจจุบันธุรกิจอัญมณีและหยกเป็นธุรกิจที่ไม่ค่อยราบรื่นนักแน่นอนว่าการแข่งขันก็เป็นสาเหตุหนึ่ง แต่อุปทานที่ตึงตัวก็มีความสำคัญเช่นกัน
(*อุปทานปริมาณความต้องการเสนอขายสินค้า หรือบริการชนิดใดชนิดหนึ่งที่ผู้ประกอบการ หรือผู้ผลิตมีความเต็มใจที่จะเสนอขาย และสามารถจัดหามาขาย หรือบริการได้ในขณะใดขณะหนึ่ง ณ ระดับราคาต่าง ๆ ที่ตลาดกำหนดมาให้ )
ตัวอย่างเช่นบริษัทของฉินซูเจี๋ยในเวลานี้เหลือเพียงหยกชั้นดีของร้านค้าที่ตั้งอยู่ในเมืองเพียงหนึ่งหรือสองชิ้นเท่านั้น แต่ก็ยังเรียกได้ว่าไม่ใช่หยกที่ดีที่สุด ส่วนใหญ่เครื่องประดับและอัญมณีถูกแกะมาจากหยกสีม่วงหรือหยกคุณภาพต่ำ มันจึงไม่เป็นที่ดึงดูดมากพอสำหรับเหล่าคนรวย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเร็วๆนี้อุปทานของบริษัทซูเหยาจิวเวลรี่เกิดความตึงตัว ถึงแม้อัญมณีชนิดอื่นๆจะยังคงเพียงพอ แต่หยกชั้นดีเริ่มลดน้อยลงและเริ่มที่จะขาดแคลนแถมยังมียอดขายหยกที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้เห็นได้ชัดว่าความต้องการหยกของผู้คนสวนทางกับหยกที่เริ่มหาได้ยากมากยิ่งขึ้น นี่จึงเรียกได้ว่าเป็นความเสียหายอย่างมากสำหรับบริษัทจิวเวลรี่
เป็นเพราะสาเหตุนี้ฉินซูเจี๋ยจึงเข้าร่วมงานแสดงสินค้าหยกด้วยตัวเองเพื่อหาซื้อวัตถุดิบให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาดและเพื่อบรรเทาวิกฤตของบริษัท
อย่างไรก็ตามนักธุรกิจคนอื่นๆก็คิดเช่นเดียวกันพวกเขาต่างเข้าร่วมในงานแสดงสินค้าหยกจนทำให้มีผู้ซื้อและรอประมูลหยกนั้นมีจำนวนมากเกินไปจนการแข่งขันยิ่งถีบตัวสูงมากขึ้น บางบริษัทนั้นเรียกได้ว่าเป็นบริษัทที่มีอำนาจและมีขนาดใหญ่มาก แม้ว่าบริษัทซูเหยาจิวเวลรี่ของฉินซูเจี๋ยจะมีความแข็งแกร่งในด้านทรัพยากรทางการเงิน แต่เมื่อเทียบกับบริษัทเหล่านั้นแล้วนับได้ว่ายังห่างไกลมากทีเดียว
ดังนั้นจึงเป็นเวลาเกือบครึ่งวันแล้วที่ฉินซูเจี๋ยมาที่งานแสดงสินค้าแห่งนี้และยังไม่ได้ซื้อหยกเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
ถ้าไม่ใช่เพราะฉินซูเจี๋ยได้เจอกับจี้เฟิงโดยบังเอิญเธอคงเข้าร่วมการพนันแร่หินด้วยตัวเองอย่างแน่นอน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอพาอาไห่เซียนหยกคนนี้มาที่งานแสดงสินค้าด้วย
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นแล้ว
แร่หินหรือหินหยกหยาบที่จี้เฟิงซื้อมาได้เผยให้เห็นว่ามีหยกอยู่ข้างในนั้นอย่างแน่นอนและมันก็เป็นปริมาณที่ไม่น้อยเลย!
เมื่อพิจารณาจากขนาดของหยกที่ถูกเผยให้เห็นแล้วก็พอจะรู้ได้ว่าหยกชิ้นนี้มีขนาดใหญ่เท่ากับลูกบาสเกตบอลและลักษณะของเนื้อหยกยังดีมากอีกด้วยหากเธอซื้อมันมาได้มันก็จะเพียงพอสำหรับบริษัทของเธอที่จะยืนหยัดต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง
“ช่างเป็นชายหนุ่มที่น่าสนใจจริงๆ!”เมื่อฉินซูเจี๋ยมองไปที่จี้เฟิงที่ยืนอยู่ไม่ไกล เธอก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมา
ส่วนความประหลาดใจที่แสดงออกอย่างตรงกันข้ามกันกับของฉินซูเจี๋ยนั่นก็คือท่าทีของอู๋ฉางฉุนที่เวลานี้นั่งกองอยู่กับพื้นข้างๆเครื่องตัดหินด้วยสีหน้าเหมือนคนไร้วิญญาณและมีสองพี่น้องฮูซู่ฉินและฮูซู่ฮุ่ยยืนทำหน้าเหวออยู่ข้างๆ
พวกเขาทั้งสามคนมองไปที่จี้เฟิงอย่างว่างเปล่าความรู้สึกโมโหและอิจฉาปะปนอยู่ในใจของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอู๋ฉางฉุนที่ตอนนี้ใบหน้าของเขาเริ่มกลับมามีสีเลือด แต่เป็นสีที่แดงก่ำราวกับมีใครบางคนกำลังบีบคอของเขาอยู่ มีเส้นเลือดสีฟ้าปูดขึ้นที่หน้าผากของเขาสองสามเส้น
“ไอ้สารเลว!มีเงินติดตัวแค่หนึ่งล้านแต่กลับกล้าประมูลแร่หินจนทำให้กูต้องซื้อเศษหินในราคาหกล้าน!”
การสูญเสียเงินมากกว่าหกล้านหยวนทำให้อู๋ฉางฉุนแทบกระอักเลือดเกรงว่าถ้าไม่มีผู้คนจำนวนมากอยู่ที่นี่เขาคงคว้าเครื่องเจียรไปทำร้ายจี้เฟิงให้รู้แล้วรู้รอด
แต่หญิงสาวสองพี่น้องฮูซู่ฉินและฮูซู่ฮุ่ยซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยากำลังรับไม่ได้และไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า“ทำไมอู๋ฉางฉุนถึงพ่ายแพ้ในการพนันหินหยกที่มั่นใจนักหนา แต่เด็กขายผักยากจนด้อยค่าไร้ความสามารถกลับชนะพนันจนได้หยกชิ้นใหญ่”
อันที่จริงสองพี่น้องยังไม่รู้ว่าหยกขนาดใหญ่ที่จี้เฟิงได้มานั้นมีมูลค่าเท่าไหร่เกรงว่าถ้าหากพวกเธอรู้ก็คงจะอิจฉาจนตาแทบจะลุกเป็นไฟ
“เอื้อก!”
เสียงกลืนน้ำลายของหลายๆคนดังออกมาอย่างชัดเจนพวกเขาจ้องมองหยกที่กำลังปรากฏและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆในมือของอาไห่ด้วยความตื่นเต้นและมีความโลภฉายชัดอยู่ในดวงตาของพวกเขา
“เห้ย!นั่นมันหยกน้ำแข็ง!” พ่อค้าหยกคนหนึ่งอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจสุดขีด “ไม่จริงใช่มั้ย มันคือหยกเนื้อน้ำแข็งขนาดใหญ่!”
จี้เฟิงตกตะลึงในทันทีเขาไม่เคยได้ยินเรื่องหยกเนื้อน้ำแข็งมาก่อน
“ไม่ใช่ว่าหยกที่ดีที่สุดคือหยกเนื้อน้ำหรอกหรือแล้วหยกเนื้อน้ำแข็งมาได้ยังไง” จี้เฟิงงุนงงเล็กน้อย เขาอยากจะถามอาไห่ แต่เมื่อเห็นว่าอาไห่ยังคงยุ่งอยู่เขาจึงขับไล่ความสงสัยนี้ออกไปก่อน แล้วรอจนกว่าอาไห่จะจัดการธุระตรงหน้าเสร็จ
“แจ่ดดด..ดด!!”
เมื่อเสียงเจียรครั้งสุดท้ายหยุดลงหยกในมือของอาไห่ก็เผยสีและปริมาณที่แท้จริงออกมา
หยกขนาดใหญ่เท่ากับลูกบาสเกตบอลสองลูกถึงแม้จะมีรูปร่างที่บิดเบี้ยวผิดปกติอยู่บ้าง แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้บดบังความสวยงามและลดทอนมูลค่าของตัวมันได้เลย
“อืม..สวยจริงๆช่างเป็นหยกน้ำแข็งที่งดงามมาก!”
อาไห่ปาดเหงื่อบนหน้าผากของเขาแล้วอุทานออกมาเบาๆ“ฉันคร่ำหวอดอยู่ในวงการหยกมาเกือบตลอดชีวิตแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ไขแร่หินหยกก้อนใหญ่ขนาดนี้ด้วยมือของฉันเอง และที่ยิ่งกว่านั้นมันยังเป็นหยกน้ำแข็งที่สวยงามอีกต่างหาก!”
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่ประหลาดใจแต่ผู้คนโดยรอบที่จ้องมองไปยังหยกน้ำแข็งที่สวยงามราวกับถูกมันดึงดูดจนยากที่จะละสายตา ก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน
มันคือหยกเนื้อน้ำแข็งขนาดเท่ากับลูกบาสสองลูก!
อาไห่สั่งให้พนักงานชั่งน้ำหนักทันทีซึ่งผลที่ออกมายิ่งทำให้ผู้คนโดยรอบถึงกับขนลุกน้ำหนักของมันมากกว่าสี่สิบสามกิโลกรัม!
สายตาแห่งความโลภของผู้คนโดยรอบต่างจับจ้องไปที่หยกอย่างไม่สามารถปกปิดได้
“จุ๊จุ๊!”อาไห่เดาะลิ้นเบาๆและหันไปพูดกับจี้เฟิง “จี้เฟิงเธอช่างเป็นเด็กหนุ่มที่โชคดีจนฉันไม่รู้จะพูดยังไงเลยจริงๆ!” อาไห่มองไปที่เด็กหนุ่มเจ้าของหยกก้อนใหญ่อย่างจี้เฟิงแล้วอดยิ้มไม่ได้ บางทีอาจเป็นเพราะความตื่นเต้น ดูเหมือนอาไห่จะกล้าพูดอย่างสนิทสนมกับจี้เฟิงมากขึ้น
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า“อาไห่นี่ไม่ใช่โชคของผมคนเดียวหรอก อาไห่เป็นคนลงมือขัดเจียรหินด้วยตัวเองขนาดนี้ถ้าจะบอกว่าเป็นโชคก็ต้องเป็นเพราะโชคและฝีมือของอาไห่ด้วยเช่นกัน!”.ไอลีนโนเวล.
อาไห่ยิ้มเขาชี้ไปที่หยกแล้วพูดว่า “จี้เฟิง หยกชิ้นนี้คือหยกเจไดต์เนื้อน้ำแข็ง ประเภทของมันอยู่ไม่ห่างจากหยกไจไดต์เนื้อน้ำเท่าไหร่นัก แต่หยกชิ้นนี้มีขนาดที่ใหญ่มาก และภายใต้สถานการณ์อย่างในปัจจุบันหยกไจไดต์ชนิดนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นหยกเจไดต์ที่ดีที่สุด!”
จี้เฟิงที่ไม่ทันจะได้พูดหรือถามอะไรกับอาไห่ก็ถูกนักธุรกิจคนหนึ่งตะโกนแทรกขึ้นมา “พ่อหนุ่ม เธอเอาหยกไปประเมินราคาได้เลย ฉันจะจ่ายราคาเต็มให้ทันที!”
“ฉันอยู่ในวงการค้าหยกมามากกว่าสิบห้าปีเครดิตแน่นปึ้ก พ่อหนุ่มขายให้ฉันดีกว่า!” พ่อค้าหยกวัยกลางคนคนหนึ่งพูดด้วยรอยยิ้ม “หรือไม่ก็ให้อาไห่ตีราคาเดี๋ยวนี้เลยและหลังจากตีราคาได้แล้ว ฉันจะเพิ่มให้เธออีก 10%!”
คนอื่นๆเห็นดังนั้นจึงตะโกนเสนอราคาบ้างทันทีหยกชิ้นใหญ่เช่นนี้เพียงพอที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าบริษัทเล็กๆจะมีสินค้าคงคลังได้นานถึงครึ่งปีโดยไม่มีปัญหาใดๆ และที่สำคัญมันยังเป็นหยกเนื้อน้ำแข็งซึ่งเป็นสิ่งที่ดึงดูดลูกค้าที่ร่ำรวยได้อย่างแน่นอน
อาไห่มองไปที่จี้เฟิงและพูดด้วยรอยยิ้ม“อยู่ที่เธอแล้วว่าจะตัดสินใจอย่างไร!”
มีรอยยิ้มจางๆปรากฏบนใบหน้าของจี้เฟิงเขาพูดขึ้นด้วยเสียงที่ดังและสง่าผ่าเผยแต่แฝงไปด้วยความอ่อนน้อม “ผมต้องขอโทษทุกๆท่านด้วย หยกชิ้นนี้ถูกจองแล้ว!”
นักธุรกิจหลายคนรู้สึกผิดหวังอย่างกะทันหันแต่ก็ยังมีบางคนที่ยังรู้สึกว่าน่าจะพอมีหวังอยู่บ้างและพูดขึ้นว่า “น้องชายหยกก้อนนี้มันใหญ่มาก มันอาจจะเป็นเรื่องยากที่คนคนนึงจะรับซื้อมันได้ทั้งหมด ทำไมน้องชายไม่ลองไปปรึกษากับคนที่จองไว้ดูก่อน ว่าเขาพอจะแบ่งขายให้กับฉันบ้างได้ไหม”
“ใช่ใช่!”คนอื่นๆสนับสนุนคำพูดนี้ทันที
จี้เฟิงหันไปมองทางฉินซูเจี๋ยแล้วยิ้ม“คุณฉิน เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับคุณแล้ว คุณควรเป็นคนตัดสินใจ”
“หืม!ฉันเหรอ” สายตาของทุกคนเปลี่ยนไปที่ฉินซูเจี๋ยอย่างรวดเร็ว และเมื่อพวกเขาพบว่าเป็นเธอ พวกเขาก็รู้สึกตกตะลึงทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักธุรกิจท้องถิ่นในเจียงโจวถึงกับทำหน้าไม่ถูก
ฉินซูเจี๋ยรีบก้าวไปข้างหน้าเธอกลัวว่าเธออาจจะพลาดโอกาสที่จะได้หยกชิ้นนี้
เนื่องจากหลายคนพอจะรู้ว่าภูมิหลังของฉินซูเจี๋ยนั้นไม่ธรรมดาแถมบริษัทของเธอก็ยังแข็งแกร่งมากเช่นกันและในสถานการณ์เช่นนี้มันมีความเสี่ยงมากเกินไปที่อาจจะทำให้เธอไม่พอใจและไม่ใช่เรื่องที่ดีนักที่จะแข่งขันกับบริษัทซูเหยาจิวเวลรี่ของเธอ
ท้ายที่สุดแล้วนักธุรกิจต่างชาติจะจากไปเมื่อไหร่ก็ได้แต่นักธุรกิจที่อยู่ในพื้นที่ต้องอยู่ที่นี่ต่อไปมันจึงจำเป็นที่พวกเขาจะต้องรู้งานและรู้ว่าอะไรที่ควรยุ่งและอะไรที่ไม่ควรยุ่ง และที่สำคัญหากพวกเขาต้องการดำเนินธุรกิจอยู่ที่นี่ต่อ การขัดแย้งกับซูเหยาจิวเวลรี่ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีอย่างแน่นอน!
“โอ้วเป็นประธานฉินนี่เองที่สั่งซื้อหยกชั้นดีชิ้นนี้ สมกับที่เป็นประธานฉินแห่งซูเหยาจิวเวลรี่ ช่างมีวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยมมาก!” สิ่งที่นักธุรกิจเชี่ยวชาญอีกอย่างหนึ่งคือการยกยอเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ แม้ว่าพวกเขาจะยอมแพ้ให้กับการแข่งขันประมูลหยกอย่างเด็ดขาดแล้วแต่อย่างน้อยก็ยังไม่ยอมแพ้ในเรื่องอื่นและไม่ยอมพลาดหากจะมีอะไรติดไม้ติดมือกลับไปสักเล็กน้อย ด้วยการมีสัมพันธ์อันดีกับฉินซูเจี๋ยซึ่งเป็นประธานและเจ้าของบริษัทซูเหยาจิวเวลรี่จะต้องส่งผลดีกับพวกเขาในอนาคตอย่างแน่นอน!
ด้วยรอยยิ้มที่สง่างามบนใบหน้าสวยของฉินซูเจี๋ยริบฝีปากสีแดงของเธอค่อยๆเปิดออกเล็กน้อย “คุณก็ชมเกินไป”
จี้เฟิงยิ้ม“คุณฉิน ตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ที่เราได้คุยกันไว้ หยกชิ้นนี้ผมจะขายให้กับคุณ”
ฉินซูเจี๋ยพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มหวานเธอมองไปที่อาไห่และกระซิบ “อาไห่คุณสามารถประเมินราคาได้เลย!”
อาไห่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“หยกของจี้เฟิงเป็นหยกเนื้อน้ำแข็งที่ยอดเยี่ยมและมีขนาดใหญ่ นอกจากจะนำไปแกะสลักวัตถุขนาดเล็กได้แล้วยังสามารถแกะสลักวัตถุขนาดใหญ่ที่หาได้ยากและเป็นที่ต้องการของตลาดอีกด้วย ดังนั้นราคาจึงค่อนข้างสูงทีเดียว อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากค่าแกะสลักและค่าใช้จ่ายอื่นๆ จะขอพูดถึงแต่ราคาของหยกเท่านั้น ฉันคิดว่ามันควรจะอยู่ที่สี่ถึงห้าสิบล้านหยวน!”
“เฮือก!”
ทันทีที่คำพูดของอาไห่สิ้นสุดลงสองพี่น้องฮูซู่ฉินและฮูซู่ฮุ่ยก็เผลอสูดลมหายใจเข้าไปอย่างแรงและแทบจะลืมผ่อนลมหายใจออกมา มันแพงขนาดนั้นเลยหรอ!
ใบหน้าของฮูซู่ฮุ่ยยิ่งแสดงถึงความไม่อยากจะเชื่อเธอสูญเสียเสียงของเธอไปโดยไม่รู้ตัวและได้แต่คิดในใจ “เป็นไปได้ยังไง จี้เฟิงเด็กยากจนที่มีเพียงแม่ที่ขายผักตามข้างทางคอยหาเลี้ยงจะกลายเป็นมหาเศรษฐีในพริบตาได้อย่างไร แล้วหยกเพียงแค่ชิ้นเดียวจะมีค่าราคาแพงจนถึงขนาดพลิกชีวิตคนคนหนึ่งได้ขนาดนี้เลยหรือ!”
ฉินซูเจี๋ยมองไปที่จี้เฟิงแล้วถามว่า“คุณจี้จะคิดราคาอย่างไรกับหยกชิ้นนี้”
จี้เฟิงยิ้มอย่างอารมณ์ดีเขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า“ตามที่อาไห่บอก นั่นคือราคาของหยกชิ้นนี้!”
“ถ้าคุณพูดแบบนั้นมันจะไม่เป็นการเอาเปรียบคุณจี้เกินไปหรอกหรือ” ฉินซูเจี๋ยหัวเราะเบาๆ
จี้เฟิงส่ายหัวและยิ้ม“คุณฉินอย่าลืมนะครับว่าถ้าผมไม่ได้เงินที่ยืมมาจากคุณฉิน ผมคงไม่ได้ซื้อแร่หินก้อนนี้ด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรกับการที่ผมจะได้ขายหยกชิ้นนี้!”
“จี้เฟิงเธอนี่เป็นชายหนุ่มที่ซื่อตรงและไม่มีความโลภเลยแม้แต่น้อย ดีๆ!” อาไห่กล่าวชื่นชม
เมื่อเห็นฉินซูเจี๋ยสั่งให้คนโหลดหยกขึ้นรถไปนักธุรกิจบางคนที่ยังแอบมีความหวังอยู่ลึกๆก็เสียดายที่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังคงพลาดโอกาสดีๆเช่นนี้ไป
เมื่อมองจากสถานการณ์ในปัจจุบันเกรงว่าการซื้อขายหยกในครั้งนี้จะเป็นการซื้อขายหยกเจไดต์ที่ดีที่สุดในงานแสดงสินค้านี้แล้ว
ในความคิดของสองพี่สองฮูซู่ฉินและฮูซู่ฮุ่ยต่างมีคำว่า“ราคาสูงเสียดฟ้า!”