The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 144 คลับสำหรับการพักผ่อน
- Home
- The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ
- บทที่ 144 คลับสำหรับการพักผ่อน
ความรู้สึกของทั้งสองสาวถูกแสดงออกมาทางสีหน้าอย่างไม่ปิดบังพวกเธอรู้สึกตกใจมากเมื่อเห็นว่าฉินซูเจี๋ยไม่ได้พูดถึงราคาของหยกอย่างจริงจังแต่เธอกลับสั่งให้พนักงานขนย้ายหยกขึ้นรถทันที
อย่างที่พวกเธอได้ยินมูลค่าของหยกตามที่อาไห่บอกนั้นอยู่ที่ราวๆสี่สิบถึงห้าสิบล้านหยวน แม้จะเป็นคำพูดที่ตีราคาอย่างใกล้เคียงที่สุด แต่ช่องว่างระหว่าง ‘สี่สิบล้าน’ และ ‘ห้าสิบล้าน’ มันคือจำนวนเงินที่มากถึง ‘สิบล้านหยวน!’ แต่ฉินซูเจี๋ยกับจี้เฟิงไม่ได้พูดคุยเจรจาในรายละเอียดตรงนี้ต่อ! พวกเขาตกลงราคากันเสร็จเรียบร้อยโดยที่ไม่สนใจคำว่า ‘ถึง’ ที่เป็นเงินสิบล้านหยวนเลยงั้นหรือ!
ความประหลาดใจนี้ไม่ได้เกิดแต่กับหญิงสาวพี่น้องสองคนนี้เท่านั้นแต่นักธุรกิจที่อยู่ในเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน แม้กระทั่งอู๋ฉางฉุนที่โมโหจนแทบกระอักเลือดก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ ทุกคนต่างสงสัยราคาซื้อขายที่แน่นอนของหยกคุณภาพสูงชิ้นใหญ่นี้
วันนี้ฉินซูเจี๋ยใช้รถMercedes-Benz SUV มาที่งานแสดงสินค้า เมื่อหยกที่ได้รับการบรรจุไว้ในกล่องที่มีแผ่นโฟมกันกระแทกอย่างดีอยู่ด้านในซึ่งถูกจัดเตรียมไว้โดยผู้จัดงาน ถูกขนย้ายไว้ท้ายรถของฉินซูเจี๋ย เธอก็หยิบสมุดเช็คออกจากประเป๋าที่เธอพกติดตัว เธอเขียนตัวเลขลงไปและส่งให้กับจี้เฟิงทันที
“นี่มันอะไร!”
เมื่อจี้เฟิงเห็นตัวเลขบนเช็คเขาก็ขมวดคิ้วคนอื่นๆที่ได้ยินต่างเกิดความสงสัยทันที พวกเขาคิดว่าฉินซูเจี๋ยอาจไม่รักษาคำพูดและเขียนตัวเลขที่ต่ำกว่า แล้วถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงจี้เฟิงจะสามารถพิจารณาการซื้อขายหยกในราคาที่ดีกว่าได้
ถึงแม้ครั้งนี้บริษัทซูเหยาจิวเวลรี่ของฉินซูเจี๋ยจะไม่อนุญาตให้บริษัทอื่นเข้าแข่งขันเนื่องจากพื้นฐานความแข็งแกร่งของบริษัทและภายใต้สมมติฐานของราคาเดียวกัน บริษัทอื่นๆก็ไม่เต็มใจที่จะแข่งขันกับบริษัทซูเหยาจิวเวลรี่เช่นกัน แต่ถ้าฉินซูเจี๋ยจงใจลดราคาและกลั่นแกล้งจี้เฟิง พวกเขาก็พร้อมที่จะจ่ายราคาเต็มที่ได้รับการประเมินไว้ให้กับจี้เฟิงทันที
อย่างไรก็ตามประโยคต่อมาของจี้เฟิงก็ทำลายความหวังอันริบหรี่ที่ก่อตัวขึ้นในใจของทุกคน
จี้เฟิงที่ขมวดคิ้วมองไปที่ฉินซูเจี๋ยพร้อมกับส่ายหัวและพูดว่า“คุณฉิน ผมว่าคุณคงจะเข้าใจอะไรผิดไป ตามที่อาไห่ประเมินราคาของหยกในตอนนี้จะมีราคาอยู่ที่ 40 ล้านหยวน และผมก็เห็นด้วยกับราคานี้ แล้วไหนจะเงินที่มากกว่าหนึ่งล้านหยวนที่ผมยืมคุณมาก่อนหน้านี้อีก ดังนั้นคุณต้องให้ผมแค่ 38 ล้านหยวนเท่านั้น แต่ทำไมตัวเลขบนเช็คนี้ถึงเป็นจำนวนเงิน 50 ล้านหยวน มันดูเป็นการจงใจให้ผมได้รับผลประโยชน์ การที่คุณทำแบบนี้ผมว่ามันไม่ถูกต้องเท่าไหร่นะ ผมพูดถูกมั้ย”
เมื่อพ่อค้าและนักธุรกิจคนอื่นๆได้ยินคำพูดนี้พวกเขาก็รู้สึกอยากจะอาเจียนเป็นเลือด คนแบบนี้ก็มี ทำไมเขาถึงไม่อยากจะได้เงินเพิ่มล่ะ
อย่างไรก็ตามจี้เฟิงยังคงยืนยันคำเดิมไม่ว่ามิตรภาพจะเป็นอย่างไร เรื่องเงินก็ไม่สมควรที่จะออกมาในลักษณะนี้ เขารู้ดีว่าเขาจะไม่สามารถซื้อแร่หินหรือหินหยกหยาบก้อนนี้ได้หากฉินซูเจี๋ยไม่ได้ให้ยืมเงินกว่าหนึ่งล้านหยวนกับเขา
แน่นอนว่าเขามีเงินในมือมากกว่า1.7 ล้านในขณะนั้น ด้วยความสามารถด้านการมองของเขา แม้ว่าเขาจะสามารถซื้อหินหยาบก้อนอื่นๆก่อนได้ และเขาก็สามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นได้อย่างมั่นคงโดยไม่กระทบกับเงินทุนทั้งหมด และไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะสามารถเพิ่มเงินทุนให้ถึง 3 ล้านหยวนได้ในที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม มีประเด็นหนึ่งที่ไม่สามารถละเลยได้ นั่นก็คือกระบวนการที่เขาซื้อหินหยาบก้อนอื่นๆต้องใช้เวลาและกว่าเขาจะรวบรวมเงินในจำนวนที่ต้องการได้ แล้วในระหว่างนั้นจะมีอะไรมารับประกันได้ว่าหินหยาบที่มีหยกที่ดีที่สุดก้อนที่เขาต้องการในราคา 3 ล้านหยวนนั้นจะไม่ถูกคนอื่นซื้อไปก่อน
แม้ว่ามันอาจจะดูเป็นเรื่องบังเอิญไปหน่อยก็ตามหากจะพูดแบบนี้แต่นี่คือสิ่งที่เรียกว่าโชค บางทีอาจเป็นช่วงเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาทีที่อาจทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ และมันก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงหากมีใครมาซื้อแร่หินก้อนนี้ไปก่อน
อย่าถามว่ามีคนรวยเพียงพอหรือไม่ที่จะซื้อแร่หินราคาหลักล้านเหล่านี้เพราะอยากจะบอกว่ามีคนรวยมากเกินไปด้วยซ้ำที่เข้าร่วมงานแสดงสินค้านี้
ถ้าสมมติว่าคุณยืนหลับตาชี้ไปยังคนที่เข้าร่วมงานแสดงสินค้าครั้งนี้สัก5 คน แน่นอนว่า 3 ใน 5 จะต้องเป็นคนที่มีเงินในบัญชีไม่ต่ำกว่า 5 ล้านหยวน!
ดังนั้นเมื่อคำนึงถึงปัจจัยต่างๆเหล่านี้จี้เฟิงจึงกำหนดราคาไว้ที่ 40 ล้านหยวนตามที่อาไห่ประเมินไว้ขั้นพื้นฐาน เขาไม่ได้คาดหวังว่าฉินซูเจี๋ยจะให้ราคากับหยกก้อนนี้ถึง 50 ล้านหยวนแถมยังไม่หักเงินที่เขายืมไปก่อนหน้านี้อีกซึ่งมันเป็นเงินที่มากกว่าหนึ่งล้านหยวน จี้เฟิงจึงรู้สึกไม่ค่อยพอใจเล็กน้อย
ถ้าจี้เฟิงยอมรับราคานี้เขาจะรู้สึกว่าเขาเป็นหนี้บุญคุณฉินซูเจี๋ย
เงินที่เป็นหนี้กับหนี้บุญคุณการชดใช้หนี้ด้วยเงินยังไงก็ต้องดีกว่าอยู่แล้ว
เมื่อเห็นการแสดงออกที่ไม่ค่อยพอใจของจี้เฟิงฉินซูเจี๋ยก็รู้สึกว่าการกระทำนี้ของจี้เฟิงมันกระแทกใจของเธออย่างบอกไม่ถูก เธอรู้ได้ทันทีว่าเธอประเมินชายหนุ่มคนนี้ต่ำเกินไป แม้ว่าฉินซูเจี๋ยจะไม่ได้ดูถูกจี้เฟิงเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้เธอรู้แค่ว่าเธอยังคงประเมินจี้เฟิงต่ำไปมากอยู่ดี
ชายหนุ่มที่ไม่หวั่นไหวต่อหน้าผู้คนมากมายและไม่ถูกล่อลวงโดยเงินนับล้านย่อมสมควรที่จะได้รับการประเมินสูงสุดจากเธอ
เดิมทีฉินซูเจี๋ยตั้งใจจะให้เงินแก่จี้เฟิงเพิ่มอีกสองสามล้านเพื่อเป็นการขอบคุณที่จี้เฟิงขายหยกให้กับเธอโดยตรงซึ่งทำให้อุปทานที่ตึงตัวของบริษัทลดลงและในอีกแง่เธอต้องการให้จี้เฟิงเป็นหนี้บุญคุณเธอจริงๆ
เหตุผลนั้นไม่มีอะไรมากเลย เธอเพียงแค่เชื่อและมั่นใจในโชคของจี้เฟิงจริงๆ
คุณรู้ไหมว่าในธุรกิจพนันหินทั้งวิสัยทัศน์และประสบการณ์มีความสำคัญน้อยกว่าโชคคนที่มีเพียงโชคก็เพียงพอแล้วสำหรับทุกคนที่ต้องการจะผูกมิตร
นอกจากนั้นฉินซูเจี๋ยที่เป็นนักธุรกิจเธอจึงใช้ความคิดในเรื่องต่างๆแบบนักธุรกิจเธอรู้ดีว่าตั้งแต่จี้เฟิงได้ลิ้มรสความหอมหวานในการพนันหินหยกครั้งแรก เขาจะต้องมีส่วนร่วมในการพนันหินหยกอีกอย่างแน่นอนในอนาคต และตราบใดที่เธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจี้เฟิง เธอก็จะสามารถซื้อหยกของเขาได้ก่อนคนอื่น
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจี้เฟิงจะไม่ใช่คนที่ถูกล่อลวงได้ง่ายๆด้วยเงินเพียงไม่กี่ล้าน
ฉินซูเจี๋ยเปลี่ยนกลยุทธ์ภายในใจของเธอทันทีเธอไม่พยายามยัดเยียดเงินหลายล้านและหนี้บุญคุณตามแผนเดิมที่เธอตั้งใจไว้ มิฉะนั้นอาจจะทำให้เกิดการผิดใจกับจี้เฟิงมากขึ้น
ฉินซูเจี๋ยยิ้มเผยรอยยิ้มจางๆและกล่าวว่า“คุณจี้ เรื่องที่อาไห่ประเมินราคาหยกอยู่ระหว่าง 40 ถึง 50 ล้าน ซึ่งยังไม่ได้คำนึงถึงมูลค่าหลังจากการแกะสลักและยิ่งไปกว่านั้นการที่ฉันได้หยกชิ้นนี้มามันเพียงพอที่จะช่วยให้บริษัทของฉันดำเนินการต่อไปได้อย่างราบรื่นขึ้นมาก ฉันจึงคิดว่าเงิน 50 ล้านหยวนนั้นสมเหตุสมผลแล้ว!”
จี้เฟิงส่ายหัวและพูดว่า“คุณฉิน ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องอื่น จากราคาประเมิน 40 ล้านและแน่นอนว่าเงินที่ผมยืมคุณมาจะต้องถูกหักออกไปด้วย!”
จี้เฟิงที่พูดด้วยสีหน้าท่าทางที่มั่นคงทำให้หัวใจของฉินซูเจี๋ยสั่นไหวเธอพยักหน้าเล็กน้อยและส่งยิ้มหวานและกล่าวว่า “ถ้าคุณจี้ยืนกรานเช่นนั้น ตัวเลขใหม่นี้คงเป็นฉันนี่แหละที่จะได้เปรียบ!”
จี้เฟิงไม่ได้พูดอะไรเขาเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยและยื่นเช็คที่มีจำนวนเงิน 50 ล้านคืนให้ฉินซูเจี๋ย
ฉินซูเจี๋ยรับเช็คและฉีกออกเธอเปิดสมุดเช็คและเขียนตัวเลขจำนวน 44 ล้านลงไปแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณจี้ ครั้งนี้ฉันจะไม่ยอมรับการปฏิเสธอีก!”
จี้เฟิงมองไปที่เช็คและไม่ได้สนใจมันอีกต่อไป
“อ้อมีอีกเรื่องหนึ่ง ผมคิดว่าคุณฉินควรเรียกผมว่าจี้เฟิงก็พอ เรียกว่าคุณจี้ผมว่ามันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดชอบกล!” หลังจากทำธุรกรรมการเงินเสร็จสิ้น จี้เฟิงก็กลับมาเป็นคนอารมณ์ดีตามปกติ แต่ถ้าว่ากันตามจริง ไม่ว่าจะเป็นใครหากจู่ๆได้เปลี่ยนจากเด็กที่ยากจนกลายเป็นคนรวยที่มีเงินมากกว่าสี่สิบล้านก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะอารมณ์ดี.Aileen-novel.
ฉินซูเจี๋ยรู้สึกมีความสุขมากมันเป็นเรื่องธรรมดาที่นักธุรกิจอย่างเธอจะมีความสุขที่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอย่างจี้เฟิงผู้มีโชคดีติดตัว เธอยิ้มและพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “แล้วเธอยังจะเรียกฉันว่า คุณฉินอีกงั้นหรือ ฉันก็รู้สึกอึดอัดเหมือนกัน คิดเสียว่าฉันเป็นพี่สาวของเธอคนหนึ่งก็แล้วกันเพราะฉะนั้นเรียกฉันว่าพี่สาวหรือพี่ฉินก็พอ”
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยเขายิ้มและพูดว่า“พี่สาว.. พี่ฉิน!”
เมื่อฉินซูเจี๋ยจ้องมองไปยังดวงตาที่ชัดเจนของจี้เฟิงและดูราวกับว่าเขาไม่ได้แยแสสิ่งใดเลยและยังมีลมหายใจที่อธิบายไม่ได้ของเขา มันทำให้ฉินซูเจี๋ยเกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้นภายในในจิตใจ เธอรู้สึกสบายใจเมื่อได้ยืนเคียงข้างเขา
ฉินซูเจี๋ยรู้สึกโล่งใจมากยิ่งเธอได้สัมผัสและใกล้ชิดกับจี้เฟิงมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกถึงความรู้สึกแปลกๆที่ก่อตัวขึ้นในใจของเธอ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้นจี้เฟิงยังมีความมั่นคงอย่างที่คนในวัยของเขาไม่มี ซึ่งสิ่งนี้มันยิ่งทำให้ฉินซูเจี๋ยอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับจี้เฟิงมากขึ้นเล็กน้อย ด้วยอายุของเขาควรจะเป็นวัยที่ใจร้อนผลีผลามง่าย เขาต้องผ่านอะไรมาในชีวิตถึงได้ทำให้เขากลายเป็นคนที่ใจเย็นและสุขุมเช่นนี้
“ในเมื่อฉันมีน้องชายมันทำให้ฉันมีความสุขมาก ฉันคิดว่าเราควรไปทานอาหารกลางวันด้วยกัน” ฉินซูเจี๋ยพูดชวนจี้เฟิง
จี้เฟิงก้มมองนาฬิกาและพบว่าตอนนี้มันเป็นเวลา11 โมงแล้ว เขายิ้มและส่ายหัวเล็กน้อย
เขาคิดในใจว่าวันนี้เขาคงต้องพอเพียงเท่านี้เขาทำเงินได้มากกว่า 40 ล้านหยวนภายในครึ่งวัน จี้เฟิงพอใจมากแล้ว เขาไม่ต้องการให้ตัวเองดูร่ำรวยมากจนเกินไปและมันไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอนที่จะดึงดูดความสนใจของคนอื่น
รอยยิ้มที่มีความสุขบนใบหน้าของฉินซูเจี๋ยหายวับไปแทบจะทันทีเธอสลัดคราบนักธุรกิจสาวและพูดด้วยน้ำเสียงผู้หญิงธรรมดาว่า “ทำไมล่ะ พี่สาวชวนไปทานอาหารกลางวันด้วยกัน ทำไมเธอถึงปฏิเสธ!”
เมื่อเห็นท่าทีของฉินซูเจี๋ยจี้เฟิงจึงทำได้เพียงยิ้มและพยักหน้า “พี่สาวชวนไปทานข้าวทั้งที ผมจะปฏิเสธได้อย่างไร!”
“หึ!เกือบแล้ว!” ฉินซูเจี๋ยตอบอย่างโกรธๆ
การที่จู่ๆก็มีพี่สาวมันทำให้จี้เฟิงรู้สึกแปลกๆแต่มันก็ทำให้เขามีความสุขมากเช่นกัน เขาอดคิดไม่ได้ว่าบางทีการมีพี่สาวก็น่าจะดีเหมือนกัน
………
คนทั้งสี่นั่งอยู่ในรถMercedes-Benz SUV เฒ่าหวังยังคงทำหน้าที่เป็นคนขับ แต่ในมุมมองของจี้เฟิงเขาคิดว่า เฒ่าหวังคนนี้ไม่น่าจะเป็นเพียงแค่คนขับรถทั่วไปเขาน่ามีอาชีพหลักเป็นคนคุ้มกันให้กับฉินซูเจี๋ย
จี้เฟิงนั่งอยู่บนเบาะหนังในรถเบนซ์เขามองไปรอบๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือรถหรู เบาะทำด้วยหนัง มีทีวีและโทรศัพท์อยู่ในรถ มีสิ่งที่จี้เฟิงสนใจคือรูเล็กๆนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบๆและมีลมเย็นๆจากเครื่องปรับอากาศที่แผ่ออกมาจากรูเล็กๆเหล่านั้น มันทำให้เขารู้สึกเย็นสบายมาก
ยิ่งไปกว่านั้นจี้เฟิงที่กำลังนั่งอยู่ในรถถ้าเขาไม่มองออกไปเขาก็แทบจะไม่รู้สึกเลยว่ารถกำลังเคลื่อนที่ แม้กระทั่งตอนที่รถกำลังเลี้ยวซึ่งแรงเหวี่ยงของรถหรูคันนี้เท่ากับศูนย์
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างลับๆรถหรูยี่ห้อดังแบบนี้เป็นเพียงสิ่งที่เขาได้แค่ใฝ่ฝันถึงเมื่อตอนพูดคุยเล่นกับคนอื่นๆเท่านั้น แต่ไม่เคยคิดเลยว่าตอนนี้เขาจะได้มานั่งอยู่ในรถหรูแบบนั้นจริงๆ
“มันเป็นรถที่ดีจริงๆรถที่คนใหญ่คนโตใช้นี่มันช่างแตกต่างกัน!” จี้เฟิงยิ้มอย่างอิจฉา
เมื่อฉินซูเจี๋ยได้ยินที่จี้เฟิงพูดแซวเธอเธอก็มองค้อนเขาเล็กน้อยและพูดแซวกลับ “เช็คที่เธอเพิ่งได้รับไป ก็ซื้อได้ไม่รู้ตั้งกี่คัน งั้นเธอก็เป็นคนใหญ่คนโตเช่นกัน!”
“ฮ่าฮ่า..”จี้เฟิงหัวเราะและส่ายหัว
สถานที่ที่ฉินซูเจี๋ยพาจี้เฟิงไปเป็นคลับแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า ดอกไม้ท่ามกลางดวงจันทร์ในฤดูใบไม้ผลิ (สาบานว่าชื่อร้าน – -“) ซึ่งชื่อนี้ดูไร้รสนิยมมาก แต่ทันทีที่จี้เฟิงเข้าไปในร้าน เขาก็รู้สึกได้ว่าการตกแต่งภายในนั้นดูวิจิตรงดงามมากและเป็นสไตล์คลาสสิค หากเขาไม่ได้เห็นโคมไฟระย้าบนเพดาน เขาคงคิดว่าเขานั้นเดินเข้ามาภายในบ้านโบราณแบบโรงเตี๊ยมสมัยก่อน
บรรยากาศในคลับนั้นดีมากมันเงียบสงบและหรูหรา เขารู้สึกถึงความผ่อนคลายได้ทันทีที่เดินเข้ามา
จี้เฟิงพยักหน้าอยู่ในใจการตกแต่งของคลับแห่งนี้ดีมากจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูร้อนที่นี่จะเป็นสถานที่พักผ่อนที่ดีมาก
พวกเขาทั้งสี่คนเดินมาที่ห้องอาหารส่วนตัวที่นำโดยพนักงานของร้าน พวกเขานั่งลงทีละคนจากนั้นฉินซูเจี๋ยก็ยื่นเมนูให้กับจี้เฟิงและพูดว่า “อยากทานอะไรก็สั่งได้ตามสบายเลยนะ!”
“ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่เกรงใจล่ะนะ!”จี้เฟิงยิ้มและในขณะที่เขากำลังจะเปิดเมนู เขาก็ได้ยินเสียงดังโวยวายจากด้านนอก “ซูเจี๋ยอยู่ที่นี่ทำไมคุณถึงไม่บอกฉันทันทีห๊ะ!”
จี้เฟิงเงยหน้าและเห็นว่าคิ้วของฉินซูเจี๋ยย่นเล็กน้อย