The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 148 หมออัจฉริยะ
ห่างจากลานบ้านประมาณสองถึงสามร้อยเมตรจี้ช่าวเหลยจอดรถบนถนนสายเล็กๆ แล้วเดินไปที่บ้านพร้อมกับจี้เฟิง
“จอดรถในสนามหน้าบ้านเลยไม่ได้เหรอ”จี้เฟิงขมวดคิ้วถาม
จี้ช่าวเหลยส่ายหัวและยิ้ม“อาคนที่สองของนายเป็นเลขาธิการคณะกรรมการพรรคเทศบาลนครเจียงโจว ฉันเป็นประธานบริษัทเจียนอันกรุ๊ป ส่วนพี่ชายของฉันเขามีอายุมากกว่าฉันไม่ถึงสองปี เขาเป็นนายทหารระดับผู้อำนวยการ แค่นี้ก็เป็นที่สะดุดตามากพออยู่แล้ว ถ้าฉันยังจะขับ BMW เข้าไปยังสนามหน้าบ้านอีกคัน มันคงเป็นเรื่องยากที่จะรับประกันได้ว่าจะไม่มีใครเอาไปพูดอะไรไม่ดี
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อย“ต้นไม้ใหญ่ต้านลม” (สำนวนจีนหมายถึง ยิ่งมีชื่อเสียงมากก็ยิ่งตกเป็นเป้าได้ง่าย)
“นั่นคือความจริง!”จี้ช่าวเหลยพยักหน้าและพูดว่า “ฉันเพิ่งโทรหาอาคนที่สองของนาย บังเอิญเขาอยู่ที่บ้านพอดี เห็นบอกว่าวันนี้จะมีหมออัจฉริยะมารักษาเขาที่บ้าน แต่ปกติเวลานี้เราจะไม่ได้เจอเขาอยู่ที่บ้านหรอก”
“รักษา”จี้เฟิงสะดุ้ง เขารู้สึกตกใจเล็กน้อย “สุขภาพของอาสองไม่ค่อยดีเหรอ?”
“อืมเขามีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลังส่วนเอว เขาเป็นมาหลายปีแล้ว มันเป็นปัญหาตั้งแต่สมัยก่อนที่คุณปู่ของเราถูกกล่าวหาจนต้องไปใช้แรงงานอย่างทุกข์ทรมาน ตอนนั้นอาสามของนายยังเด็ก ส่วนพ่อและอาสองของนายไม่ยอม จึงไปต่อสู้กับคนเหล่านั้น แล้วตั้งแต่นั้นมาอาสองของนายก็มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลังมาโดยตลอด”
จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเขาไม่รู้เรื่องราวของสมัยก่อนดีเท่าไหร่นัก จึงไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอะไรออกไป
ทั้งสองมาถึงลานบ้านของครอบครัวแน่นอนว่ายามรักษาการณ์นั้นรู้จักจี้ช่าวเหลย จึงไม่ได้บอกให้พวกเขาหยุดแต่อย่างใด กลับกันพวกเขากลับทักทายจี้ช่าวเหลยด้วยความเคารพ ไม่ว่าใครก็อยากจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกชายของเลขาธิการพรรคเทศบาลนครเจียงโจว
“คนพวกนี้ก็เป็นแบบนี้แหละฉันจะบอกอะไรให้เมื่อก่อนสมัยที่อาสองของนายถูกกล่าวหา มีแต่คนอยากจะอยู่ให้ห่างจากพวกเรา พวกเขากลัวว่าจะมีใครหาว่าพวกเขามีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลจี้ ฮ่าฮ่า!” มีความเหยียดหยามอยู่ในน้ำเสียงและแววตาของจี้ช่าวเหลย เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกขยะแขยงกับโลกที่มีแต่คนเห็นแก่ได้แบบนี้
จี้เฟิงรู้สึกชื่นชอบพี่ชายคนนี้ของเขามากขึ้นเล็กน้อยเขาสามารถเห็นได้ว่าจี้ช่าวเหลยถึงแม้จะเป็นคนหัวดื้อแต่เขาก็เป็นคนที่มีจิตใจดีและมีสายตาที่เฉียบคม เขาสามารถมองเหตุการณ์ต่างๆออกได้อย่างรวดเร็วและรู้ว่าคนแบบไหนที่ควรจะคบเป็นเพื่อนจริงๆและคนแบบไหนมีโอกาสที่จะหักหลัง
พี่ชายของเขาคนนี้เป็นคนที่มีความคิดและมีสติที่ดีมาก
“บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงไม่อยากจะเข้าสู่เส้นทางทางการเมือง!”จี้เฟิงบ่นพึมพำกับตัวเองในใจ
“ถึงแล้ว!”จี้ช่าวเหลยหยุดที่หน้าประตูและเคาะประตู
“เสี่ยวเหลย”
คนที่มาเปิดประตูเป็นผู้หญิงอายุสี่สิบกว่าเธอดูใจดีมาก“มาพอดีเลย พี่ชายของลูกพาหมอเก่งๆมาคนหนึ่งเห็นว่าเป็นหมออัจฉริยะเลยนะ แต่พ่อของลูกน่ะสิดื้อจริงๆเลย ไม่รู้เป็นอะไร ไม่ค่อยจะให้ความร่วมมือ รีบไปช่วยกันพูดเดี๋ยวนี้เลย!”
จี้ช่าวเหลยยิ้มทันใด“แม่ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกหน่า” จากนั้นเขาก็วางมือบนไหล่ของจี้เฟิงและถามด้วยรอยยิ้ม “แม่ ทายสิว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร”
“หือม์..”แม่ของจี้ช่าวเหลยจ้องมองไปยังจี้เฟิงอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นดวงตาของเธอก็เบิกกว้าง “เสี่ยวเฟิง?!”
“สวัสดีครับอาสะใภ้!”จี้เฟิงยิ้มและกล่าวทักทายด้วยความเคารพ
“นี่คือเสี่ยวเฟิงจริงๆหรอเนี่ย!”อาสะใภ้รู้สึกประหลาดใจมากและกล่าวอย่างรีบร้อน “เสี่ยวเหลย ทำไมถึงจะพาน้องชายของลูกมาเอาป่านนี้ ลูกนี่แย่จริงๆเลย!”
เมื่อได้ยินคำบ่นของแม่จี้ช่าวเหลยก็ได้แต่ยิ้มอย่างบิดเบี้ยวและกล่าวว่า “แม่ก็รู้ว่าพ่อเป็นยังไง ผมเดาอารมณ์ของพ่อไม่ถูกหรอก แล้วผมจะกล้าดีทำอะไรตามใจได้ยังไง!”
อาสะใภ้ไม่คิดที่จะสนใจคำบ่นอุบอิบของลูกชายเธอเพียงแต่ทักทายจี้เฟิงอย่างกระตือรือร้น “เสี่ยวเฟิง นั่งตรงนี้ก่อนเดี๋ยวฉันไปตามอาสองกับพี่ชายคนโตของเธอมาก่อน”
จี้ช่าวเหลยได้แต่ยิ้มแหยๆให้กับจี้เฟิง“แม่ของฉันก็เป็นแบบนี้แหละ”
จี้เฟิงยิ้มตอบและพูดว่า“มีแม่ที่น่ารักแบบนี้ ถือว่าโชคดีจริงๆ!”
จี้ช่าวเหลยชะงักเล็กน้อยแต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย“ก็จริง ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน!”
ในไม่ช้าก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากนั้นก็มีคนสามคนเดินออกมา คนแรกเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบถึงห้าสิบปี บุคลิกของเขามีความองอาจสง่าผ่าเผยและน่าเกรงขาม ดูเหมือนว่าเขาจะมีจิตวิญญาณที่น่าทึ่งมาก จี้เฟิงรู้ได้ทันทีว่าชายคนนี้คือจี้เจิ้นกั๋ว อาคนที่สองของเขา
คนที่เดินตามมาอยู่ด้านหลังของอาคนที่สองของเขาคือชายหนุ่มที่สงบนิ่งเขามีหน้าตาและบุคลิกลักษณะคล้ายกับอาคนที่สองของเขามาก ชายหนุ่มคนนี้น่าจะเป็นจี้ช่าวตง ลูกชายคนโตของอาคนที่สอง
ส่วนคนสุดท้าย..น่าจะเป็นหมออัจฉริยะที่พวกเขาเพิ่งพูดถึงกัน
………
การมาถึงอย่างไม่คาดคิดของจี้เฟิงทำให้จี้เจิ้นกั๋วและภรรยาของเขามีความสุขมากโดยเฉพาะจี้เจิ้นกั๋วตลอดหลายปีที่ผ่านมาจี้เจิ้นหัวพี่ชายคนโตของเขาเป็นสิ่งที่เขาและพ่อของเขาซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจี้รู้สึกเป็นห่วงมากที่สุด ไม่ว่าอย่างไรตัวตนของจี้เจิ้นหัวนั้นสำคัญมากจริงๆ เขาครองตัวเป็นโสดมานานมากแม้กระทั่งเขาได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงเช่นนี้ มันจึงเหมือนกับเป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นซุบซิบนินทาเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้
จนถึงเมื่อตอนที่จี้เจิ้นผิงลูกคนที่สามได้ทราบข่าวว่าเขาได้พบกับพี่สะใภ้ของเขาจี้เจิ้นกั๋วจึงได้รู้ว่าพี่ชายคนโตของเขาก็มีลูกชายอาศัยอยู่ในย่านชานเมืองแห่งหนึ่ง มันทำให้พี่ชายคนโตของเขามีความสุขมากและจี้เจิ้นกั๋วก็ดีใจมากเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขารู้ว่าลูกชายของพี่ชายคนโตไม่เพียงแต่โตมาเป็นเด็กหนุ่มที่ดี แต่เขายังเป็นคนที่มีทักษะการต่อสู้ที่พิเศษอีกด้วย นั่นจึงยิ่งทำให้จี้เจิ้นกั๋วรู้สึกยินดีและมีความสุขมากขึ้น
คุณรู้ไหมว่าจี้เจิ้นหัวเป็นลูกชายคนโตของตระกูลจี้ดังนั้นลูกชายของเขาจึงเป็นหลายชายโดยตรงของตระกูลจี้ แม้ว่าถ้านับจากอายุเขาจะไม่ใช่หลานชายคนโต แต่ตัวตนของเขาก็มีความสำคัญอย่างมาก หากเป็นเพราะเขาได้เติบโตและใช้ชีวิตมาแบบชาวบ้านธรรมดาจนกลายเป็นคนเหยาะแหยะแต่พอเขาได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาว่าเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยแล้วทำให้เขากลายเป็นเด็กที่หยิ่งผยองเกเรไม่เห็นหัวผู้อื่น นั่นคงเป็นสิ่งที่จี้เจิ้นกั๋วไม่ต้องการจะเห็น
โชคดีที่จี้เฟิงหลานชายคนนี้ของเขาเมื่อดูจากภายนอกแล้วเป็นคนสงบนิ่งใจเย็นไม่มีความหยิ่งผยองอยู่ในท่าทางและที่สำคัญเขายังเห็นแสงที่เฉียบคมฉายออกมาเป็นบางครั้งจากแววตาของจี้เฟิงอีกด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่เพียงแต่เติบโตมาเป็นคนที่ดีรู้จักกาลเทศะแล้วเขายังเป็นคนที่เฉลียวฉลาดอีกด้วย
“อาสอง!”
จี้เฟิงยิ้มและยืนขึ้น.ไอลีนโนเวล.
“เธอต้องเป็นเสี่ยวเฟิง!”จี้เจิ้นกั๋วผู้องอาจเผยรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่งของเขาออกมาทันที เขาเดินอย่างรวดเร็วและมองขึ้นลงไปที่จี้เฟิงด้วยสายตาแห่งความรัก “เสี่ยวเฟิง ในที่สุดหลานก็มาที่นี่ได้ซะทีนะ!”
จี้เฟิงรู้สึกอายเล็กน้อยเขาพูดอย่างขัดเขิน“อาสองผมควรจะมาเยี่ยมอาสองตั้งนานแล้วแต่.. แฮะๆ!”
จี้เจิ้นกั๋วตบไหล่จี้เฟิงและพูดด้วยรอยยิ้มว่า“ดีแล้วๆ อย่างน้อยวันนี้หลานก็มา”
จี้ช่าวเหลยที่ยืนอยู่ข้างๆจี้เฟิงไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่ที่พ่อเขาเดินเข้ามาจนถึงตอนนี้ เขายิ้มเล็กน้อยและพูดขึ้นว่า “จี้เฟิง ฉันจะแนะนำคุณผู้ชายคนนี้ที่ดูเหมือนฝาแฝดกับอาสองของนาย เขาชื่อ จี้ช่าวตง เป็นพี่ชายคนโตของเรา”
“วอนซะแล้ว!”จี้ช่าวตงจ้องเขม็งไปที่จี้ช่าวเหลย
จี้เฟิงเหลือบมองและเห็นว่าพี่น้องสองคนนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีและสนิทสนมกันพอสมควรและดูเหมือนพวกเขาจะหยอกล้อกันบ่อยๆ
“เสี่ยวเฟิงเธอเรียนอยู่ที่สหพันธ์มหาวิทยาลัยใช่หรือเปล่า” จี้ช่าวตงยิ้ม จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อไปคุยเรื่องการศึกษาของจี้เฟิง
“ครับสหพันธ์มหาวิทยาลัยเจียงโจวสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์และการจัดการ” จี้เฟิงยิ้ม
จี้ช่าวตงพยักหน้าและกล่าวว่า“มาๆ เรามานั่งคุยกันดีกว่า เสี่ยวเฟิง เธอไม่ต้องเกรงใจนะทำตัวตามสบายในเมื่อเธอมาอยู่ที่นี่แล้วพวกเราคือครอบครัวเดียวกัน!”
เมื่อมาถึงที่นี่จี้เฟิงไม่รู้สึกอึดอัดอย่างที่แอบเป็นกังวลแต่กลับกันเขารู้สึกดีมากและเห็นได้ชัดว่าจี้ช่าวตงกับอาคนที่สองนั้นคล้ายกันมากจริงๆ นอกจากความสัมพันธ์ทางสายเลือดแล้วพวกเขายังมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันอีกด้วย ซึ่งทำให้คนอื่นที่มองเข้ามารู้สึกได้
จี้เฟิงทำตัวไม่ถูกเล็กน้อยแต่สุดท้ายเขาก็ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าและนั่งลงบนโซฟา
ในตอนนั้นเองหมออัจฉริยะก็พูดขึ้น“คุณจี้ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะบ่ายโมงแล้วผมเกรงว่าถ้าเริ่มการรักษาช้าเกินไปมันจะไม่เป็นผลดีซักเท่าไหร่และอาจจะต้องรอถึงวันพรุ่งนี้!”
ทันใดนั้นจี้เจิ้นกั๋วก็ขมวดคิ้วของเขาเล็กน้อยเขายังอยากจะพูดคุยกับหลานชายของเขาที่เพิ่งจะได้เจอกัน
จี้ช่าวตงเห็นดังนั้นจึงรีบพูดขึ้น“หมอหลู่ โปรดรอสักครู่”
“อาสองปวดเอวเหรอครับ”จี้เฟิงแสร้งถาม
“ใช่แล้วอาสองของเธอมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกนิดหน่อย หมอหลู่คนนี้มีฝีมือทางการแพทย์สูงมากและเขายังมีชื่อเสียงโด่งดังในเขตที่ราบของภาคกลางมากด้วย ครั้งนี้ฉันเลยเชิญหมอหลู่มาดูแลอาสองของเธอเป็นพิเศษ” จี้ช่าวตงยิ้มและอธิบายให้จี้เฟิงฟัง จากนั้นก็หันศีรษะไปอีกทางและพูดกับจี้เจิ้นกั๋วพ่อของเขาว่า “พ่อ ปล่อยให้เสี่ยวเหลยกับเสี่ยวเฟิงนั่งคุยเล่นอยู่ที่นี่กันไปก่อน เรารีบไปให้หมอหลู่ทำการรักษากันตอนนี้เลย เราจะได้รีบกลับมาคุยกับเสี่ยงเฟิงยาวๆ”
จี้เจิ้นกั๋วนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า“เสี่ยวเฟิง ถ้าอย่างนั้นเธอนั่งรออาอยู่ที่นี่ก่อนนะ ไม่นานหรอก เดี๋ยวอาลงมาคุยด้วย!”
“ผมขอตามไปด้วยดีกว่าครับอาสองการรักษาของหมออัจฉริยะหาดูได้ยากผมอยากจะเห็นอย่างใกล้ชิด” จี้เฟิงยิ้มและยืนขึ้นทันที
จี้ช่าวตงขยิบตาไปทางจี้เฟิงอย่างรวดเร็วเขารู้สึกกังวลเล็กน้อย เพราะกว่าเขาจะพาตัวหมออัจฉริยะคนนี้มาได้มันเป็นเรื่องยากมาก กว่าจี้ช่าวตงจะเชิญหมอคนนี้ได้ก็ต้องรอนานถึงหนึ่งสัปดาห์ แล้วถ้าคำพูดโดยไม่คิดของจี้เฟิงทำให้หมอหลู่ไม่พอใจและยกเลิกการรักษา มันจะทำให้พ่อของเขาเป็นทุกข์จากอาการบาดเจ็บ เขาจะไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะได้รักษาพ่อของเขาไปแบบนี้แน่ๆ
แต่ดูเหมือนว่าจี้เฟิงจะไม่สามารถอ่านความหมายจากสายตาของเขาได้เลยจี้เฟิงแค่หันหน้าไปทางหมอหลู่และพูดว่า “หมอหลู่ผมสนใจเรื่องของการแพทย์มากๆเลย จึงอยากรู้อยากเห็นการรักษาของหมอฝีมือดีๆที่หาได้ยากแบบคุณ ผมจึงหวังว่ามันจะไม่เป็นการรบกวนจนเกินไปถ้าให้เด็กคนหนึ่งยืนดูอยู่ใกล้ๆอย่างเงียบๆ”
หมออัจฉริยะหลู่ยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า“นั่นไม่ใช่ปัญหา แต่แค่การยืนดูมันไม่ทำให้เธอสามารถเข้าใจการรักษาของฉันได้ทั้งหมดหรอกนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาของฉันเป็นแนวทางของลัทธิเต๋าคนธรรมดาจะยิ่งไม่สามารถทำความเข้าใจได้”
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า“ตราบใดที่หมอหลู่อนุญาต ผมจะไม่เกะกะขวางทางเลยแม้แต่น้อย ฮ่าฮ่า..”
เมื่อเห็นหมออัจฉริยะเห็นด้วยและไม่ว่าอะไรจี้ช่าวตงก็โล่งใจและรีบพูดขึ้น“พ่อ ผมขอร้อง รีบไปรักษากันเถอะ!”
บ้านของจี้เจิ้นกั๋วเป็นโครงสร้างแบบดูเพล็กซ์ซึ่งมีขนาดเกือบจะเท่ากับวิลล่าครึ่งหลังมีห้องใต้หลังคาอยู่ชั้นบนและมักจะเป็นที่ที่จี้เจิ้นกั๋วชอบทำงาน ถัดจากห้องนั้นก็จะเป็นห้องนอนของเขา
มีคนสองสามคนมาที่ห้องนอนของจี้เจิ้นกั๋วและระหว่างนั้นอาสะใภ้ของจี้เฟิงก็ดึงจี้ช่าวตงออกมาและพูดด้วยความเป็นกังวลว่า“ช่าวตงหมออัจฉริยะคนนี้เชื่อถือได้จริงๆใช่มั้ย เขาไม่ได้จะมาหลอกเอาเงินเราฟรีๆใช่หรือเปล่า ความเจ็บปวดตรงกระดูกสันหลังส่วนเอวของพ่อเราน่ะค่อนข้างร้ายแรง เอาจริงๆแม่ก็ไม่อยากมองโลกในแง่ร้ายนะ แต่จากการที่พ่อของลูกได้ไปรักษาที่โรงพยาบาลดีๆมาก็หลายแห่งแต่ก็ไม่เห็นว่าจะดีขึ้นเลย แล้วหมอคนนี้เขาจะรักษาพ่อของลูกได้จริงๆหรือ”
จี้ช่าวตงพยักหน้าเล็กน้อยและพูดด้วยสีหน้าจริงจัง“การลองมันอาจจะเป็นความเสี่ยง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป ถ้าลองแล้วไม่หายก็คิดซะว่าเราพาพ่อไปหาหมอแล้วไม่ได้ผลเหมือนที่ผ่านๆมา แต่ตราบใดที่เขาสามารถรักษาพ่อได้ ไม่ว่าจะเสียเงินเท่าไหร่มันก็เป็นเรื่องที่คุ้มค่า!”
อาสะใภ้พยักหน้า“อืม.. แม่ก็เห็นด้วยในเรื่องนี้”
จี้ช่าวตงยิ้มและกล่าวว่า“แม่ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะเฝ้าดูหมอคนนี้ไม่ให้คลาดสายตา!”
อาสะใภ้ได้ยินดังนั้นก็เบาใจ“ถ้าอย่างนั้นลูกก็ไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อและจัดการให้เรียบร้อย แม่จะไปทำอาหารรอ เสี่ยวเฟิงมาหาเราเป็นครั้งแรกทั้งที แม่จะทำอาหารอร่อยๆ”
จี้ช่าวตงยิ้มและพยักหน้าจากนั้นก็หันกลับและเดินเข้าห้องนอนของจี้เจิ้นกั๋วไป
ตอนนี้จี้เจิ้นกั๋วเปลี่ยนเป็นชุดนอนและลงไปนอนบนเตียงเรียบร้อยแล้ว
หมออัจฉริยะหลู่พูดขึ้น“คุณจี้ วิธีการรักษาของฉันอาจจะค่อนข้างแปลกใหม่เมื่อเทียบกับการรักษาปกติ และอาจจะส่งผลให้คุณจี้รู้สึกเจ็บปวด ฉันหวังว่าคุณจี้จะสามารถอดทนได้”
จี้เจิ้นกั๋วพยักหน้าและกล่าวว่า“อืม ฉันทนได้ หมอหลู่รักษาได้เต็มที่!”
หมอหลู่หยิบสิ่งของที่คล้ายๆกับเข็มขัดขึ้นมาแต่มันมีลักษณะที่สั้นและกว้างกว่าเข็มขัดปกติมาก จากนั้นเขาก็กางออกและเผยให้เห็นเข็มสีเงินอยู่ด้านใน
หมอหลู่ก็หยิบขวดแอลกอฮอล์ออกมาและแช่เข็มสีเงินไว้ในนั้นจากนั้นหมอหลู่ก็ใช้มือทั้งสองของเขากดไปที่เอวของจี้เจิ้นกั๋วทันใดนั้นใบหน้าของจี้เจิ้นกั๋วก็ดูเคร่งเครียดขึ้นทันทีคิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าการกดของหมอหลู่ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด
แต่จี้เจิ้นกั๋วไม่ส่งเสียงหรือพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวความรู้สึกเจ็บปวดจากการรักษาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาไม่ใช่คนอ่อนแอหรือคนที่ชอบโวยวายเมื่อรู้สึกเจ็บปวด
อย่างไรก็ตามหลังจากหมออัจฉริยะหลู่กดอีกสองสามครั้งร่างกายของจี้เจิ้นกั๋วก็แข็งทื่อและมีเหงื่อเย็นๆผุดขึ้นที่หน้าผากของเขา เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกเจ็บปวดมาก
หมออัจฉริยะหลู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า“คุณจี้ อาการบาดเจ็บของคุณรุนแรงกว่าที่ฉันคิดเอาไว้มาก ฉันเกรงว่าการรักษาเพียงครั้งเดียวคงจะไม่เห็นผลและมันจะไม่สามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของคุณได้ ดังนั้นฉันจึงคิดว่ากว่าอาการบาดเจ็บของคุณจี้จะหายขาดจะต้องทำการรักษาติดต่อกันอย่างน้อยก็เป็นเวลาสองเดือน”
จี้เจิ้นกั๋วรู้สึกเจ็บปวดมากจนไม่สามารถพูดตอบหมอหลู่ได้เลยแต่จี้ช่าวตงที่อยู่ข้างๆเขารีบพูดขึ้นทันทีว่า “หมอหลู่ ตราบใดที่คุณสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของพ่อผมให้หายได้ คุณสามารถบอกวิธีการหรือเงื่อนไขที่คุณต้องการโดยตรงได้เลย!”