The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 157 ทักษะพิเศษ!
ม่านแสงตรงหน้าของจี้เฟิงกำลังฉายภาพเหตุการณ์ที่ชายหนุ่มและชายวัยกลางคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดจี้เฟิงรู้สึกตกตะลึงกับความแข็งแกร่งของพวกเขาที่เหมือนกับยอดมนุษย์ในภาพยนตร์ และในตอนที่ก้อนหินก้อนหนึ่งถูกทุบด้วยหมัดของพวกเขาแตกกระจายและบินว่อน ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด มันทำให้จี้เฟิงเผลอโยกตัวหลบโดยอัตโนมัติ การต่อสู้ที่ดุเดือดและเหมือนจริงนี้ทำให้จี้เฟิงถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
“ฟึ่บ~!”
ม่านแสงหายไปและนั่นทำให้จี้เฟิงไม่ทราบผลการต่อสู้ระหว่างชายหนุ่มและชายวัยกลางคน เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย “สมองหมายเลข 1 คุณกำลังทำอะไรเนี่ย ผมกำลังสนุกเลย ฉากบู๊สุดยอดมากมันสมจริงยิ่งกว่าหนังฮอลลีวูดซะอีก!”
“หนังฮอลลีวูดคืออะไร”สมองหมายเลข 1 ถาม
จี้เฟิงโพล่งออกมา“มันคือภาพยนตร์ไง!”
สมองหมายเลข1 ส่ายหัวทันทีและกล่าวว่า “มาสเตอร์ สิ่งที่ฉายเมื่อสักครู่นี้ไม่ใช่ภาพยนตร์ แต่เป็นข้อมูลภาพเคลื่อนไหวของสมอง ซึ่งเป็นเหตุการณ์จริง”
“ห๊ะอะไรนะ!” จี้เฟิงสะดุ้งและอุทานเสียงดัง “สมองหมายเลข 1 คุณจะบอกว่า การต่อสู้อย่างดุเดือดที่ผมเห็นเมื่อกี้นี้ไม่ใช่ภาพยนตร์ แต่เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ? พูดเป็นเล่นคนที่ไหนจะระเบิดภูเขาได้ด้วยมือเปล่าๆ ไหนจะการกระโดดที่โคตรสูงนั่นอีก ถ้าแบบนั้นก็คงเป็นซุปเปอร์แมนแล้วแหละ!”
สมองหมายเลข1 พูดว่า “มาสเตอร์นี่คือข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ของคนทั้งสอง คนที่อยู่ในวีดิโอต่างก็เป็นสายลับที่ดีมาก ชายหนุ่มคนนี้คือสายลับของอาณาจักรแกมมา ตามข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ในวีดิโอนี้ นี่เป็นฉากที่เขาได้ปฏิบัติการต่อสู้กับสายลับของประเทศที่เป็นศัตรู”
“…..”
“บ้าไปแล้วมันจะเป็นไปได้ยังไง” จี้เฟิงส่ายหัวและพึมพำกับตัวเองอยู่สองสามคำโดยไม่รู้ตัว
แม้ว่าในภาพยนตร์ที่จี้เฟิงเคยดูจะมีปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้เหล่านั้นบินข้ามกำแพง และแสดงทักษะการต่อสู้ชั้นสูง แต่จี้เฟิงก็รู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องสมมติที่อาศัยเทคนิคการถ่ายทำเท่านั้น เขาไม่เคยได้ยินว่าจะมีใครที่มีศิลปะการต่อสู้ระดับสูงเช่นนี้มาก่อน ไม่เช่นนั้นสิ่งที่พวกเขาทำในภาพยนตร์เหล่านั้นหากมีคนทำได้จริง งั้นบนโลกใบนี้จะไม่เต็มไปด้วยภูตผีปีศาจและสัตว์ประหลาดหรอกหรือ
แต่ตอนนี้คำพูดของสมองหมายเลข1 ทำให้ความเชื่อที่มีอยู่เดิมของจี้เฟิงต้องสั่นคลอน แม้ว่าสัตว์ประหลาดหรือภูมิผีปีศาจจะไม่มีอยู่จริง แต่ปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้นั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าน่าจะมีอยู่จริง
โดยไม่ต้องพูดถึงว่าเขาที่เป็นเพียงเด็กยากจนผู้น่าสงสารเมื่อได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดจากระบบฝึกอบรมสายลับระดับสูง ทำให้เขามีความก้าวหน้าอย่างมากในด้านพละกำลังความเร็วและการต่อสู้ซึ่งเหนือกว่าคนธรรมดาไม่รู้กี่เท่า
ดังนั้นแค่เรื่องที่สมองหมายเลข1 ที่เป็นปัญญาประดิษฐ์มีอยู่จริงก็เป็นเรื่องที่จี้เฟิงไม่สามารถเข้าใจได้
แม้หลายคนจะเคยพูดว่าในจักรวาลนั้นมีมนุษย์ต่างดาวอาศัยอยู่เพียงแต่มนุษย์บนโลกยังไม่เคยค้นพบ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การสันนิษฐานและไม่มีใครคิดจริงจังกับเรื่องนี้ แต่ตอนนี้สมองที่เป็นสุดยอดปัญญาประดิษฐ์นั้นมีอยู่จริงและมันก็อยู่ในสมองของเขาเองด้วย มันไม่ใช่แค่ความฝันอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุผลต่างๆเหล่านี้ปรมาจารย์แห่งศิลปะการต่อสู้ในตำนานก็อาจจะมีอยู่จริงเช่นกัน
ความคิดที่วุ่นวายเหล่านี้ยังคงวนเวียนอยู่ภายในหัวของจี้เฟิงมันทำให้เขายากที่จะยอมรับไปชั่วขณะ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องจำใจเชื่อ เพราะเรื่องนี้มันทำให้เขาปวดหัวมากจริงๆ
หลังจากนั้นไม่นานจี้เฟิงก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่สองสามครั้งก่อนที่เขาจะพยักหน้าและกล่าวว่า “สมองหมายเลข 1 ตอนนี้ผมเชื่อแล้วว่าสิ่งที่คุณพูดนั้นเป็นความจริง แต่ผมอยากรู้ว่า หลังจากที่ผมเรียนรู้ยิมนาสติกชุดที่สองทั้งหมดแล้วผมสามารถเป็นเหมือนบุคคลในภาพยนตร์นั้นได้หรือไม่… ผมหมายถึงผมพอจะมีโอกาสได้เป็นแบบสองคนนั้นที่ถูกบันทึกเป็นวีดิโอที่คุณฉายให้ผมดูเมื่อสักครู่หรือไม่”
จนถึงตอนนี้ภายในจิตใจลึกๆของจี้เฟิงยังคงแอบเชื่อว่าการต่อสู้อันดุเดือดของทั้งสองคนที่ถูกฉายผ่านม่านแสงนั้นเป็นการแสดงในภาพยนตร์
“จากข้อมูลในทางทฤษฎีถ้าหากมาสเตอร์ปฏิบัติการเรียนรู้ยิมนาสติกชุดที่สองสำเร็จ มาสเตอร์จะสามารถบรรลุได้ถึงครึ่งหนึ่งของพละกำลังของพวกเขา แล้วถ้าหากมาสเตอร์ปฏิบัติการเรียนรู้ยิมนาสติกชุดที่สามสำเร็จ เกรงว่าความแข็งแกร่งของมาสเตอร์จะต่ำกว่าพวกเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” สมองหมายเลข 1 ตอบด้วยน้ำเสียงสงบเหมือนเดิม
“ยังจะมียิมนาสติกชุดที่สามอีกงั้นเหรอ!”จี้เฟิงยิ้มอย่างขมขื่น “สมองหมายเลข 1 คุณช่วยพูดเรื่องสำคัญให้จบภายในครั้งเดียวไม่ได้หรือไงเนี่ย!” จี้เฟิงมองค้อนเล็กน้อยและถามต่อว่า “แล้วถ้าสมมติว่าฉันต้องการเป็นสายลับระดับสูงที่สุดจะต้องฝึกฝนยิมนาสติกทั้งหมดกี่ชุด?”
“ในตอนนี้มีทั้งหมดสี่ชุดแต่การฝึกฝนยิมนาสติกชุดแรกสำเร็จก็เพียงพอที่จะกลายเป็นสายลับที่ยอดเยี่ยม” สมองหมายเลข 1 ตอบ
“แล้วชุดที่สี่ล่ะ”จี้เฟิงถาม
สมองหมายเลข1 กล่าวว่า “มาสเตอร์ การปฏิบัติการยิมนาสติกชุดที่สี่ยังไม่ใช่ชุดปฏิบัติการที่สมบูรณ์ เพราะในวันที่กาแลคซี่แกมมาถูกทำลายลงผู้แข็งแกร่งแห่งกาแลกซี่ได้ศึกษาปฏิบัติการชุดที่สี่จนถึงขั้นตอนที่ห้า แต่อย่างไรก็ตาม ในทางทฤษฏีถ้าการฝึกฝนชุดที่สี่สำเร็จ พลังชีวิตของมาสเตอร์จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากการคำนวณตามเวลาบนโลก มาสเตอร์จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึง 500 ปี”
“บ้าไปแล้ว!”
จี้เฟิงเบิกตากว้างจนดวงตาของเขาแทบจะถลนออกมามันยิ่งกว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันไร้สาระเสียอีก ใครมันจะมีอายุยืนได้ถึง 500 ปี หากไม่เห็นกับตาเขาก็จะไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด
“เป็นไปได้มั้ยว่าสมองหมายเลข 1 ได้ถูกพัฒนาจากนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องบ้าคลั่งคนหนึ่งในกาแลคซี่แกมมา นั่นจึงทำให้สมองหมายเลข 1 อาจจะบ้าๆบอๆ” จี้เฟิงแอบคาดเดาอยู่ในใจ
“โอเคเรื่องอื่นค่อยว่ากัน เอาเป็นว่าเราควรเริ่มฝึกฝนยิมนาสติกชุดที่สองกันเลยก็แล้วกัน” จี้เฟิงส่ายหัวอย่างหมดหนทางและบอกกับสมองหมายเลข 1 ในเวลาเดียวกัน “อ้อ มีอีกเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้ที่คุณบอกว่า ถ้าผมเรียนรู้เทคโนโลยีการสื่อสารและเครื่องข่ายจนเชี่ยวชาญผมจะสามารถสร้างม่านแสงอย่างที่คุณเพิ่งสร้างขึ้นมาได้”
“ถูกต้องครับมาสเตอร์”สมองหมายเลข 1 กล่าว
จี้เฟิงกำหมัดอย่างยินดี“เยี่ยมไปเลย!”
ในความเป็นจริงแม้ว่าข้อมูลในวีดิโอเมื่อสักครู่นี้จะทำให้จี้เฟิงรู้สึกตื่นเต้นและทึ่งมากก็ตามแต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่จี้เฟิงให้ความสนใจมากที่สุด นั่นคือม่านแสงที่สามารถฉายข้อมูลที่ถูกบันทึกเป็นวีดิโอเหล่านั้นออกมาได้ ตามที่สมองหมายเลข 1 บอกไว้ก่อนหน้านี้ ม่านแสงที่ฉายออกมานั้นเปรียบเสมือน ‘ทีวี’ ชนิดหนึ่งที่ชาวกาแลคซี่แกมมาต่างใช้กันโดยทั่วไป
อย่างไรก็ตามในตอนที่ม่านแสงฉายภาพข้อมูลการบันทึกวีดิโอจี้เฟิงรู้สึกตกใจมาก ในแง่หนึ่งของความตกใจเกิดขึ้นจากการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างสุดยอดสายลับทั้งสองคนในวีดิโอและในทางกลับกันมันเกิดจากผลของม่านแสง
“โทรทัศน์”ที่ว่านี้มันมีความล้ำหน้ามากกว่าโรงภาพยนตร์ที่หรูหราและล้ำสมัยที่สุดบนดาวโลก การฉายภาพเคลื่อนไหวที่สมจริงยิ่งกว่าภาพยนตร์ 3 มิติที่ดูเหมือนกับว่ามีสิ่งต่างๆเกิดขึ้นรอบตัวเขาจริงๆ อย่างเช่นในตอนที่มีก้อนหินกระเด็นปลิวว่อน มันทำให้จี้เฟิงเผลอหลบโดยไม่รู้ตัวเพราะกลัวว่าหินที่กระเด็นมาจะกระแทกเข้ากับตัวเขา นั่นเป็นเพราะว่าภาพเคลื่อนไหวที่ถูกฉายอยู่นั้นมันดูสมจริงมาก
แม้ว่าจี้เฟิงจะไม่เคยไปโรงหนังเพื่อชมภาพยนตร์3 มิติบนโลกมาก่อนและโดยปกติจี้เฟิงจะได้ยินคำว่า 3 มิติทางทีวีหรือในข่าวเท่านั้น แต่จี้เฟิงก็รู้ดีว่าด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันบนโลก ไม่ว่าภาพใดๆก็มักจะมีความผิดเพี้ยนบางอย่าง แต่ม่านแสงที่ถูกสร้างขึ้นโดยสมองหมายเลข 1 นั้นไม่มีข้อบกพร่องในเรื่องนี้อย่างแน่นอน
เพราะเมื่อตอนนี้ม่านแสงนี้ฉายข้อมูลวีดิโอที่บันทึกการต่อสู้ระหว่างผู้ชายทั้งสองคนเอาไว้จี้เฟิงสามารถมองเห็นรายละเอียดอย่างเส้นผมบนศีรษะของพวกเขาได้อย่างชัดเจน และระดับความสมจริงนั้นมันเป็นเรื่องยากที่จะสามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูด
ดังนั้นความสนใจของจี้เฟิงที่มีต่อม่านแสงนั้นจึงมีมากเกินกว่าความสนใจในสิ่งที่เขาจะต้องปฏิบัติในเวลานี้แม้สมองหมายเลข 1 จะใช้เรื่องนี้เป็นสิ่งกระตุ้นให้เขาเกิดแรงบันดาลใจก็ตาม
จี้เฟิงยังคงรู้สึกตื่นเต้นเมื่อนึกถึงม่านแสงเพราะนับตั้งแต่วันที่เขาเริ่มเรียนมัธยมปลายปีสามและได้พบกับสมองหมายเลข 1 จี้เฟิงก็มีความสงสัยอยู่ในใจมาโดยตลอดว่าเขาจะใช้ช่องทางไหนเพื่อมาสร้างธุรกิจเป็นของตัวเองได้ แต่หลังจากคิดแล้วจี้เฟิงก็ยังไม่สามารถมองเห็นถึงวิธีและหนทางที่เหมาะสม
ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของเขามันเป็นเรื่องง่ายที่เขาจะสามารถทำเงินจนร่ำรวยได้แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างอาชีพในระยะยาวและมั่นคง อันที่จริงจี้เฟิงก็มีความคิดที่จะเปิดบริษัทอัญมณี หากในกรณีนี้ด้วยความสามารถด้านการมองทะลุของเขามันจะทำให้เขาหมดห่วงเรื่องปัญหาของการหาวัตถุดิบและมันจะช่วยทำให้ธุรกิจของเขาทำเงินและดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น
อย่างไรก็ตามความสนใจของจี้เฟิงไม่ได้อยู่ในด้านนี้โดนเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องจัดการกับแร่หินเหล่านั้นตลอดทั้งวัน จึงทำให้จี้เฟิงไม่ชอบตรงส่วนนี้มากนัก สำหรับเขาในตอนนี้ที่มีเงินมากกว่า 40 ล้านหยวนอยู่ในตัวมันก็เพียงพอแล้วที่จะใช้ชีวิตแบบปกติ แต่ถ้าเขาอยากจะสุขสบายไปตลอดชีวิตและทำให้ทั้งครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขมันก็คงจะไม่เพียงพออย่างแน่นอน
ดังนั้นเป้าหมายในปัจจุบันของจี้เฟิงคือการค้นหาอาชีพที่น่าสนใจสำหรับเขาและในขณะเดียวกันมันต้องเป็นอาชีพที่มั่นคงอืม… จี้เฟิงคิดอย่างรอบคอบและมีคำหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเขา มันจะต้องเป็นอะไรที่ ทำให้เขามีความสุขและมันจะต้องประสบความสำเร็จ
ใช่!มันเป็นความรู้สึกของความสำเร็จ.ไอรีนโนเวล.
.ไอลีนโนเวล.
ด้วยเพราะความรู้สึกของความสำเร็จนี้บวกกับความอยากรู้อยากเห็นของเขาจึงทำให้เขามีความสนใจเกี่ยวกับม่านแสงนี้มาก
“มาสเตอร์จะเริ่มการเรียนรู้ยิมนาสติกชุดที่สองในตอนนี้เลยหรือไม่”เสียงของสมองหมายเลข 1 ขัดจังหวะการครุ่นคิดของจี้เฟิง
จี้เฟิงพยักหน้าทันทีและกล่าวว่า“แน่นอน! มันเป็นสิ่งจำเป็นที่ผมจะต้องเรียนรู้!”
จี้เฟิงจำได้ว่าก่อนหน้านี้สมองหมายเลข 1 บอกว่า ถ้าเขาต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการสื่อสารและเครือข่ายเขาจะต้องเริ่มเรียนรู้การปฏิบัติยิมนาสติกชุดที่สองด้วย เนื่องจากจี้เฟิงสนใจในม่านแสงนี้มากเขาจึงมีความต้องการเรียนรู้ชุดยิมนาสติกเหล่านี้ไปด้วย
“ครับมาสเตอร์!”สมองหมายเลข 1 พยักหน้า “กรุณารอสักครู่” ไม่กี่วินาทีต่อมาก็มีม่านแสงปรากฏขึ้นต่อหน้าจี้เฟิงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ม่านแสงไม่ได้ฉายออกมาเป็นภาพวีดิโอ แต่มันกลายเป็นกลุ่มแสงและเริ่มบิดตัวจากนั้นมันค่อยๆขยายขึ้นพร้อมกับเคลื่อนที่เข้ามาใกล้และในที่สุดมันก็กลายเป็นรูปร่างของร่างกายมนุษย์
แต่มันเป็นร่างกายมนุษย์ที่เหมือนกับภาพลวงตาที่ดูโปร่งใสยิ่งไปกว่านั้นบนร่างกายมนุษย์ลวงตานี้ยังเต็มไปด้วยเส้นและจุดแสงต่างๆตั้งแต่ศีรษะลำตัวแขนและขาต่างเต็มไปด้วยเส้นและจุดแสงดังกล่าว
“มาสเตอร์โปรดทำตามบุรุษแสงนี้เพื่อเริ่มต้นการฝึกฝน”เสียงของสมองหมายเลข 1 ดังขึ้น
จี้เฟิงพยักหน้าและเลิกสนใจว่าทำไมการเคลื่อนไหวยิมนาสติกชุดที่สองของร่างกายมนุษย์โปร่งใสนี้ถึงได้แตกต่างจากการเคลื่อนไหวยิมนาสติกชุดแรกอย่างไรก็ตามเขาแค่ต้องทำตามการเคลื่อนไหวที่ยากลำบากเหล่านั้นอีกครั้ง ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขาที่เคยผ่านมันมาแล้ว
ในตอนนี้ร่างกายของมนุษย์โปร่งใสเริ่มนั่งลงเป็นการนั่งโดยให้เท้าอีกข้างวางบนต้นขาของอีกข้างหรือที่เรียกว่านั่งขัดสมาธิ มือทั้งสองข้างวางไว้ที่หน้าตัก… ยังคงเหมือนโยคะ!
จี้เฟิงทำตามร่างโปร่งใสอย่างรวดเร็วเป็นเพราะเขาได้ผ่านการฝึกฝนยิมนาสติกชุดแรกอย่างเชี่ยวชาญมาแล้ว ดังนั้นการเคลื่อนไหวของร่างมนุษย์โปร่งใสนี้จึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเลย
แต่ในไม่ช้าจี้เฟิงก็เริ่มงุนงงเพราะร่างกายมนุษย์โปร่งใสตรงหน้า หลังจากที่นั่งลงและทำท่าขัดสมาธิเช่นนี้แล้วเขาก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนอีกเลย จี้เฟิงเบิกตากว้างและคิดกับตัวเองว่าไม่ใช่ว่าตอนนี้พลังงานของสมองหมายเลข 1 จะอ่อนลงและทำให้ร่างกายมนุษย์โปร่งใสที่เป็นต้นแบบการฝึกนี้ค้างจนหยุดทำงานไปแล้ว
อย่างไรก็ตามลูกบอลที่เป็นแสงกลมๆมีหน้าคล้ายเด็กของสมองหมายเลข1 ยังคงลอยวนอยู่รอบๆจี้เฟิง จึงทำให้จี้เฟิงล้มเลิกความคิดนี้ไป และอาจเป็นไปได้ว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นในร่างกายมนุษย์โปร่งใสนี้โดยที่เขาไม่ทันได้สังเกตเห็น หรือการปฏิบัติยิมนาสติกชุดที่สองนี้จะเน้นที่การนั่งทำสมาธิ
จี้เฟิงเชื่อว่าความเป็นไปได้ในอย่างแรกน่าจะมีมากกว่าดังนั้นเขาจึงสังเกตร่างกายมนุษย์โปร่งใสนี้อย่างไม่กระพริบตา
จี้เฟิงค่อยๆพบว่ามีหมอกจางๆปรากฏขึ้นรอบๆร่างกายมนุษย์โปร่งใสและทันทีหลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่าหมอกได้ทะลุเข้าไปในผิวหนังและเข้าสู่ร่างกายของเขา
ร่างกายมนุษย์ลวงตาที่โปร่งใสจะมีผิวหนังได้อย่างไรจี้เฟิงรู้สึกตลกเล็กน้อยกับความรู้สึกนี้ของเขา แต่เขาก็แน่ใจว่าสิ่งที่เขาเห็นมันทำให้เขารู้สึกเช่นนี้
มันยังเร็วเกินไปที่เขาจะคิดหาคำตอบจี้เฟิงจึงตัดสินใจที่จะเฝ้าดูต่อไป หมอกจางๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์โปร่งใส่ไปนั้น มันเข้าไปในเส้นที่มีอยู่ตามร่างกายและไหลไปตามเส้นเหล่านั้น
ในตอนนั้นเองจี้เฟิงตระหนักได้ว่าเส้นเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เส้นแต่เป็นเหมือนกับท่อบางๆเช่นเดียวกับสายยาง
หมอกเหล่านั้นไหลไปตามสายยางและค่อยๆรวมตัวเข้าหากันในร่างกายของมนุษย์โปร่งใสและในที่สุดมันก็ไปรวมกันจนกลายเป็นหมอกขนาดเล็กอยู่ที่ท้องส่วนล่างของร่างกายมนุษย์โปร่งใส
“ใครจะไปทำได้วะ!”
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะก่นด่าสาปแช่งอยู่ในใจสมองหมายเลข 1 ไม่ได้กำลังล้อเขาเล่นอยู่ใช่มั้ย เห็นได้ชัดว่านี่มันเหมือนกับที่เขาเคยเห็นในละครทีวี ที่จะมีปรมาจารย์การต่อสู้นั่งสมาธิรวบรวมลมปราณอะไรแบบนั้น แล้วสุดท้ายพวกเขาก็ธาตุไฟแตก มันจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นกับเขาใช่มั้ย?
ส่วนหมอกที่เขาเห็นมันไปรวมกลุ่มกันที่ท้องน้อย…กำลังภายใน
จี้เฟิงรู้สึกงุนงงสับสนมากในตอนนี้เขาอยากจะเอ่ยปากถามสมองหมายเลข 1 ว่านี่มันเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงของต่างดาวหรือเป็นความลับของศิลปะการต่อสู้ในตำนานกันแน่
“มาสเตอร์โปรดทำตามบุรุษแสงต่อไปอย่างตั้งใจ!”เมื่อเห็นจี้เฟิงที่กำลังคิดฟุ้งซ่านและกำลังจะอ้าปากถาม สมองหมายเลข 1 ที่อยู่ข้างๆ ก็เตือนเขาทันที
“โอเค..”จี้เฟิงพยายามดึงสติและตั้งสมาธิใหม่อีกครั้ง เขาเรียนรู้สิ่งที่ร่างโปร่งใสทำและพยายามดูดซับหมอกรอบกายของเขา
แต่..เขาจะหาหมอกพวกนี้ได้จากที่ไหน