The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 169 กำลังภายใน
พี่สาวหยูซวนหลังจากกลับไปคุณก็ไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก หลี่เว่ยตงไม่กล้าทำอะไรคุณแล้วล่ะ” จี้เฟิงยิ้มและพูดขึ้นขณะที่ขับรถ “ไม่เพียงแค่นั้น เขายังชวนพวกเราไปทานอาหารเย็นด้วยซ้ำ แล้วถ้าคุณมีอะไรอยากพูดเพิ่มเติม ผมก็พร้อมจะพาคุณไปได้ทุกเมื่อ”
เซียวหยูซวนพยักหน้าเล็กน้อยโดยรู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เป็นเพราะจี้เฟิงถ้าหากไม่มีจี้เฟิงเธอกับครอบครัวของเธอคงจะหนีจากเจียงโจวไปแล้ว
ในความเป็นจริงเซียวหยูซวนไม่รู้เลยว่าแม้เธอเลือกที่จะหนีออกจากเจียงโจวแต่เธอก็จะไม่สามารถทำได้สำเร็จ เพราะหลี่เว่ยตงได้เตรียมการทั้งหมดไว้แล้ว โดยการส่งคนไปเฝ้าพ่อแม่และครอบครัวของเธอเอาไว้ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เธอหนีไปไหนได้
“จี้เฟิงฉันต้องขอบคุณนายมากจริงๆถ้าไม่ได้นายฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ฉันจะเป็นยังไง!” เซียวหยูซวนหันหน้าไปด้านข้างและจ้องมองจี้เฟิงที่กำลังขับรถอย่างจริงจัง ในขณะเดียวกันเธอก็พูดกับตัวเองในใจว่า มันเป็นโชคดีของเธอหรือไม่ก็เป็นโชคชะตาที่ทำให้เธอหนีเหอตงไปที่หมางซือและได้พบกับจี้เฟิงในวันแรกที่ไปถึงที่นั่นและตอนนี้จี้เฟิงก็ได้เข้ามาช่วยเธอจัดการปัญหาใหญ่ของเธอในครั้งนี้ ซึ่งดูเหมือนกับว่าทุกอย่างได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
จี้เฟิงยิ้ม“พี่สาวหยูซวนไม่ต้องขอบคุณผมหรอก ถ้าจะขอบคุณคงต้องขอบคุณพฤติกรรมชั่วๆของเหอตง ที่แสดงออกมาจนทำให้คุณรู้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่ถูกหลอกไปนานกว่านี้”
เมื่อกล่าวถึงเหอตงเซียวหยูซวนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจท่าทางประจบประแจงที่ไม่ต่างจากสุนัขจนตรอกของเหอตงที่เธอเห็นที่หลินจิงคลับเฮ้าส์มันทำให้เธอมีความรู้สึกแย่หลากหลายรูปแบบ ทั้งอึดอัดใจ สมเพชเวทนา และโกรธตัวเองที่เคยตาบอดไปหลงรักคนแบบนั้น
“เมื่อก่อนฉันคงโง่มากถึงได้ไปตกหลุมรักเขา!”เซียวหยูซวนส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น
จี้เฟิงยิ้มอย่างให้กำลังใจและกล่าวว่า“เราทุกคนต่างเคยขาดความยั้งคิดเมื่อสมัยเป็นวัยรุ่น มันไม่แปลกหากคนเราจะเคยทำผิดพลาดลุ่มหลงไปกับความรักโง่ๆ แต่สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ว่าเมื่อเราผิดพลาดแล้วเราจะนำสิ่งเหล่านั้นมาเป็นบทเรียนได้หรือจะยังทำผิดแบบเดิมซ้ำๆ!”
เมื่อจี้เฟิงพูดถึงเรื่องเหล่านี้มันก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งโง่ๆที่เขาเคยทำเมื่อในอดีตในตอนที่เขาตกหลุมรักฮูซู่ฮุ่ย มันก็คงไม่ต่างจากที่เซียวหยูซวนคิดว่าเธอเคยตาบอดรักคนผิด
เซียวหยูซวนยิ้มจางๆ“พูดอย่างกับคนอายุเจ็ดสิบแปดสิบ!”
“ฮ่าฮ่า!”จี้เฟิงหัวเราะเก้อๆ
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็จำได้ว่าเขายังติดค้างคำขอโทษกับเพื่อนร่วมบ้านของเซียวหยูซวนที่ชื่อเสี่ยวหลิงในเรื่องที่เขาใช้สายตาไปมองในที่ที่ไม่ควรมองโดยไม่ตั้งใจอยู่เขาจึงพูดขึ้นว่า“พี่สาวหยูซวนผมอยากรบกวนคุณฝากคำขอโทษไปบอกกับเพื่อนร่วมบ้านของคุณได้มั้ย ผมคิดว่ามันคงจะไม่สะดวกเท่าไหร่หากผมจะไปพูดด้วยตัวเอง”
“คิกคิก”เซียวหยูซวนหัวเราะเบาๆ เธอหันไปมองจี้เฟิงด้วยสายตาซุกซนแล้วถามว่า “แล้วทำไมนายไม่ไปขอโทษเธอด้วยตัวเองล่ะ”
“ผมจะกล้าได้ยังไง!”จี้เฟิงยิ้มอย่างขมขื่น “แม้คุณจะไม่บอกว่าเพื่อนร่วมบ้านของคุณเป็นคนโมโหร้าย แต่จากที่ผมมองบุคลิกภายนอกของเธอผมก็พอจะเดาออก อีกอย่างคุณก็น่าจะรู้ว่าถ้าผมไปปรากฏตัวต่อหน้าเธอในตอนนี้เธอคงได้ฆ่าผมอย่างแน่นอน!”
เซียวหยูซวนยิ้มตาหยี“ไหนบอกว่าเป็นลูกหลานตระกูลจี้ที่ยิ่งใหญ่ แท้จริงแล้วเป็นคนกลัวตายขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
จี้เฟิงพูดไม่ออกและไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน เป็นลูกหลานตระกูลจี้แล้วทำไมถึงจะกลัวตายไม่ได้
“โอเคๆ!ฉันไม่แกล้งนายแล้ว” เมื่อเห็นจี้เฟิงไม่ได้โต้เถียงอะไรกลับมา เซียวหยูซวนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “แม้บุคลิกภายนอกของเสี่ยวหลิงจะดูเป็นคนโมโหร้าย แต่จริงๆแล้วเธอเป็นคนใจดีและใจกว้าง ถ้าวันนั้นนายไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เธอก็น่าจะเข้าใจ ไว้ฉันจะนำคำขอโทษของนายไปบอกเธอให้!”
“เสี่ยวหลิงก็เป็นอาจารย์ของสหพันธ์มหาวิทยาลัยด้วยเหรอ”ที่จี้เฟิงถามเพราะเขาสงสัยว่าอาจารย์ที่มีบุคลิกเช่นนี้นักเรียนของเธอจะมีชะตากรรมอย่างไร?
“ไม่ใช่หรอกเธอเป็นรุ่นน้องในแผนกภาษาต่างประเทศตอนเรียนมหาวิทยาลัย แต่เนื่องจากเธอเป็นโค้ชของชมรมศิลปะการต่อสู้ของโรงเรียนและยังเป็นรองประธานของสหภาพนักเรียน เธอจึงอาศัยอยู่กับฉันด้วย” เซียวหยูซวนส่ายหัวและพูด “จี้เฟิงนายอย่าทำเป็นเล่นไป แม้เสี่ยวหลิงจะดูเป็นคนสบายๆแต่เธอก็มีพื้นฐานครอบครัวที่ดีมากและเธอก็เป็นคนจิตใจอ่อนโยนกว่าที่เห็น หากนายพยายามเข้าใจเธอ และในอนาคตมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับเธอจริงๆ ฉันมั่นใจว่านายจะต้องไม่เกลียดเธออย่างแน่นอน!”
“ไว้คุยเรื่องนี้กันทีหลังก็แล้วกัน”จี้เฟิงยิ้ม
“เฮ้อออ~ในที่สุดเรื่องนี้ก็จบลงเสียที!” เซียวหยูซวนผ่อนลมหายใจยาว เธอทิ้งตัวลงไปกับพนักพิงและหลับตาลงเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นอีก แต่ตราบใดที่จี้เฟิงอยู่เคียงข้างเธอ เธอก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป
เมื่อพวกเขากลับมาถึงสหพันธ์มหาวิทยาลัยจี้เฟิงและเซียวหยูซวนก็แยกย้ายกันกลับที่พักของตน
ทั้งคู่ต่างมีเบอร์โทรศัพท์ของกันและกันอยู่แล้วมันจึงสะดวกมากที่จะติดต่อกัน ดังนั้นในตอนที่พวกเขาต้องแยกจากกันจึงไม่ได้มีท่าทีอาลัยอาวรณ์ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อนึกถึงถงเล่ย เซียวหยูซวนก็ตระหนักได้ว่าตัวเธอนั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะลังเลเมื่อต้องแยกจากกับจี้เฟิง
ให้เธอต้องมาทรยศหักหลังถงเล่ยเธอคงไม่สามารถทำอะไรแบบนั้นได้ แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิงแต่เธอก็เป็นผู้หญิงที่มีหลักการและความมุ่งมั่นของเป็นตัวเอง
หรือแม้แต่การแบ่งปันผู้ชายคนเดียวกันกับถงเล่ยเธอก็มิอาจทำได้เช่นกัน เพราะเธอนั้นไม่อยากจะทำ
ดังนั้นเซียวหยูซวนจึงแยกกับจี้เฟิงด้วยท่าทีที่เฉยเมย
จี้เฟิงรู้สึกปวดหัวเมื่อคิดว่าเขาควรจะบอกกับถงเล่ยอย่างไร ถึงแม้ว่าเขาและเซียวหยูซวนจะไม่ได้มีสถานะใดๆต่อกันอย่างชัดเจน แต่พวกเขาทั้งคู่ก็รู้อยู่แก่ใจถึงความรู้สึกของกันและกัน
“โอ้นี่เราถึงขั้นมานั่งคิดที่จะหาโอกาสเหมาะๆที่จะบอกกับถงเล่ยเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วหรือเนี่ย” จี้เฟิงส่ายหัวและถอนหายใจ “เอาเป็นว่าถึงเวลาที่เหมาะสมเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน บางทีโอกาสที่ว่านี่คงจะยังไม่มาถึงเร็วๆนี้!”
เมื่อเขากลับมาถึงห้องพักจี้เฟิงก็ตัดสินใจที่จะเลิกคิดเรื่องเหล่านี้และตรงเข้าไปสู่ส่วนลึกของจิตใจทันทีและตะโกนว่า “คุณสมองออกมา!”
“สมองอยู่นี่ครับมาสเตอร์!”สมองหมายเลข 1 ปรากฏตัวต่อหน้าจี้เฟิงอย่างเชื่อฟัง
“เราจะเริ่มฝึกทันที”จี้เฟิงกล่าวอย่างขึงขัง
“ครับมาสเตอร์!”สมองหมายเลข 1 ตอบอย่างนอบน้อม
หากจี้เฟิงต้องการกำจัดความกังวลในจิตใจของเขาเขาก็แค่เข้ารับการฝึกฝนทักษะจากสมองหมายเลข 1 โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ที่เขากำลังฝึกท่าทางการเคลื่อนไหวของยิมนาสติกชุดที่สอง โดยโปรแกรมการฝึกของสมองจะทำให้เขาไม่มีเวลาได้คิดฟุ้งซ่านอย่างแน่นอน ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของจี้เฟิงในเวลานี้พอดี
ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่ที่จี้เฟิงได้ฝึกฝนการเคลื่อนไหวยิมนาสติกชุดที่สองนี้มาจี้เฟิงสามารถสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนมาก เพียงแต่เขายังไม่รู้เวลาที่แน่นอนว่ากว่าเขาจะได้ก้าวข้ามไปสู่การเป็นปรมาจารย์แห่งศิลปะการต่อสู้จะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน ถึงจะพอเทียบเคียงได้กับผู้ชายสองคนในม่านแสงที่เขาเคยได้เห็นเมื่อก่อนหน้านี้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขารู้อย่างชัดเจนนั่นคือเขามีความต้องการพลังที่เพิ่มมากขึ้น ทางด้านความคิดและความแข็งแกร่งของร่างกาย
เพราะเหตุนี้เองจึงทำให้จี้เฟิงฝึกฝนหนักมากยิ่งขึ้นแม้ว่าจะมีสมองหมายเลข 1 ที่เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่ฉลาดมากหลบซ่อนอยู่ในความคิดของจิตใจเขาในตอนที่เขาสร้างผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่าเทคโนโลยีของโลกในยุคปัจจุบันก็คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าจะมีคนมากมายแค่ไหนที่อาจจะคิดเหมือนกันกับเขา
เขาควรที่จะวางแผนไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดเหตุไม่คาดคิดอันดับแรกเขาจะต้องมีความสามารถเพียงพอที่จะป้องกันตัวเอง เพราะถ้าแม้แต่ตัวเองยังรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ก็อย่างหวังว่าจะปกป้องญาติพี่น้องหรือคนรอบตัวได้ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้จี้เฟิงยังไม่มีความสามารถพอในการที่จะป้องกันตัวเอง เพราะไม่ว่าผลลัพธ์การฝึกของเขาจะดีแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับกระสุนปืนได้ ดังนั้นเขาจึงต้องเพิ่มพูนทักษะทางด้านความเร็วให้มากที่สุด โดยมีเป้าหมายเหมือนอย่างชายสองคนที่อยู่ในม่านแสง บุคคลที่มีความแข็งแกร่งจนถึงขนาดทุบภูเขาให้สั่นสะเทือนได้ด้วยหมัดเพียงหมัดเดียวและถีบตัวขึ้นสูงได้หลายร้อยเมตรด้วยการกระทืบเท้าทั้งสองข้างเท่านั้น สิ่งเหล่านี้ถึงจะเป็นความแข็งแกร่งที่แท้จริง
จี้เฟิงเริ่มฝึกฝนยิมนาสติกชุดที่สองอีกครั้งและในขณะเดียวกันสมองหมายเลข 1 ก็เริ่มปลูกฝังหลักสูตรการสื่อสารและเทคโนโลยีเครือข่ายให้กับเขา จี้เฟิงรู้สึกเหมือนชีวิตได้รับการเติมเต็มขึ้นอีกครั้ง
กว่าหนึ่งสัปดาห์จี้เฟิงหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งและความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขารู้สึกได้ถึงพลังงานอุ่นๆอยู่ในช่วงท้องส่วนล่างของเขา!
ตันเถียน!
จากละครทีวีหรือนิยายที่เขาเคยผ่านหูผ่านตาเมื่อในอดีตจู่ๆจี้เฟิงก็เข้าใจว่าตำแหน่งนี้เป็นจุดที่ไว้ใช้รวบรวมกำลังภายใน แม้เขาจะรู้แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่ามันจะมีอยู่จริง!
“งั้นก็หมายความว่าฉันมีกำลังภายในงั้นเหรอ”จี้เฟิงค่อนข้างแปลกใจ “ไม่มีทาง! ถ้ากำลังภายในมันสามารถฝึกฝนกันได้ง่ายๆ งั้นก็คงมีปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้เกลื่อนโลกไปแล้ว!”
หากมีปรมาจารย์อยู่จริงบนโลกนี้แล้วมาได้ยินที่เขาพูดปรมาจารย์เหล่านั้นคงจะโกรธแทบคลั่ง ในความเป็นจริงมันเป็นเรื่องยากมากกว่าจะฝึกฝนความแข็งแกร่งจนเกิดแหล่งพลังงานในร่างกายที่เรียกว่ากำลังภายใน และแม้ว่าจี้เฟิงจะรู้สึกเหมือนสำเร็จได้อย่างง่ายดายแต่อันที่จริงแล้วขั้นตอนการฝึกของเขานั้นไม่ง่ายเลย
เพราะระบบฝึกสุดยอดสายลับตั้งแต่การฝึกท่าทางการเคลื่อนไหวแปลกๆที่จี้เฟิงพอจะสรุปเรียกได้ว่ายิมนาสติกผสมโยคะจากชุดแรกจนถึงชุดสุดท้ายอันที่จริงมันเป็นวิธีการฝึกฝนที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน แต่ดูเหมือนจี้เฟิงจะลืมไปแล้วการถูกทรมานด้วยพลังงานกระแสไฟฟ้าชีวภาพเมื่อตอนฝึกฝนยิมนาสติกชุดแรกเป็นอย่างไร
โดยไม่รู้ตัวเวลาครึ่งเดือนก็ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว Aileen-novel
เช้าตรู่ของวันนี้จี้เฟิงขับรถตรงไปยังค่ายทหารเนื่องจากวันนี้เป็นวันที่การฝึกทหารสิ้นสุดลง หลังจากการฝึกซ้อมใหญ่ครั้งสุดท้ายในช่วงเช้าจบลง โดยปกติแล้วก็จะไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก และนักศึกษาที่มาเข้าร่วมการฝึกวิชาทหารสามารถกลับไปที่มหาวิทยาลัยได้
“ฉันไม่ได้เห็นถงเล่ยมาหนึ่งเดือนแล้ว”จี้เฟิงบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ เขาคิดถึงถงเล่ยมาก โดยเฉพาะช่วงเวลาครึ่งเดือนที่ผ่านมาที่เขาได้มีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับเซียวหยูซวน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้จี้เฟิงรู้สึกผิดกับถงเล่ย “ฉันอยากเห็นใบหน้าที่น่ารักเหมือนตุ๊กตาลายครามให้เร็วที่สุด!”
ตอนที่จี้เฟิงเริ่มออกเดินทางมันเป็นเวลาตีห้าเนื่องจากมันยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เร่งด่วนที่ผู้คนมักจะเดินทางไปทำงานและยังเป็นเส้นทางที่ห่างไกล จึงทำให้ถนนในเวลายังไม่มีรถมากมายนัก
ในเจียงโจวตราบใดที่คุณคิดจะเดินทาง สิ่งแรกที่คุณจะต้องคิดถึงก่อนสิ่งอื่นใดเลยนั่นก็คือการขนส่ง!
ถ้าคุณไม่ได้นั่งเครื่องบินคุณจะต้องวางแผนก่อนออกเดินทางให้ดีก่อนว่าควรจะออกเดินทางกี่โมงและใช้เส้นทางไหนอย่างไร เพราะถ้าหากคุณไม่คิดถึงสิ่งเหล่านี้ คุณจะต้องพบกับรถจำนวนมากที่ติดยาวเป็นกิโลและจะเสียเวลาไปเปล่าๆโดยที่คุณไม่สามารถทำอะไรได้
การวางแผนการเดินทางถือได้ว่าเป็นคุณสมบัติที่ต้องมีหากคุณต้องการจะอยู่ในเจียงโจว
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะมันเป็นเพราะเหตุนี้จึงทำให้เขาตื่นแต่เช้าและซื้อขนมปังสองสามชิ้นและน้ำเต้าหู้มาแก้วหนึ่งจากร้านขายอาหารในซอยเล็กๆไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย และกินขณะขับรถ
เนื่องจากเขายังไม่มีบัตรอาหารของมหาวิทยาลัยมันจึงทำให้เขาไม่สามารถซื้ออาหารในโรงอาหารได้แต่จะพูดให้ถูกเลยคือเขาไม่สามารถซื้ออาหารจากร้านค้าใดๆในมหาวิทยาลัยได้เลยเพราะบัตรรับประทานอาหารนี้มีลักษณะเป็น “ออลอินวัน” ตราบใดที่คุณถือบัตรนี้คุณก็สามารถใช้แทนเงินสดได้ทุกที่ในมหาวิทยาลัยซึ่งสะดวกมาก
อย่างไรก็ตามความสะดวกที่ว่านี้มันกลับทำให้นักศึกษาใหม่อย่างจี้เฟิงไม่สะดวกอย่างมากดังนั้นเมื่อเขาจะทานอาหารในมหาวิทยาลัยเขาจะต้องไปกับเซียวหยูซวนทุกครั้ง หรืออย่างเช่นวันนี้ถ้าเขาจะหาอะไรกินด้วยตัวเอง เขาก็จะต้องไปซื้ออาหารจากร้านค้าหรือแผงอาหารข้างนอกมหาวิทยาลัยเท่านั้น
เมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่เขาได้รับประทานอาหารร่วมกันกับเซียวหยูซวนมันก็ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาทันที
เซียวหยูซวนและถงเล่ยเมื่อเทียบกันแล้วหญิงสาวทั้งสองมีลักษณะที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ถงเล่ยน่ารักสดใสอ่อนเยาว์และสวยงามเหมือนกับนางฟ้าตัวน้อยๆบนสวรรค์ซึ่งมันทำให้ผู้คนต่างอดไม่ได้ที่จะหลงรักหรือเอ็นดูเธอ
และแม้ว่าร่องรอยแห่งความสดใสอ่อนเยาว์ของเซียวหยูซวนจะจางหายไปมากแต่เธอก็มีเสน่ห์ที่น่าค้นหาความสวยแบบผู้ใหญ่ที่เซ็กซี่น่าหลงใหล โดยเฉพาะดวงตาที่ดูเหมือนน้ำในฤดูใบไม้ร่วงของเธอมันสามารถสะกดผู้คนให้ตกตะลึงและฉุดกระชากหัวใจของผู้ชายได้อย่างไม่ทันตั้งตัว
หากได้เป็นเป็นคู่รักกับใครซักคนในสองสาวนี้คงจะเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่นับประสาอะไรกับการที่จะได้มีทั้งสองคนพร้อมๆกัน คงจะเป็นความสุขที่ยากจะจินตนาการ
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะเกาหัวเล็กน้อยกับการจัดการปัญหาของถงเล่ยและเซียวหยูซวนมันเป็นเรื่องที่ยากเกินไป
และสิ่งที่ยากไปกว่านั้นคือเซียวหยูซวนนั้นเป็นอาจารย์ในแผนกภาษาต่างประเทศ!
ความจริงแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือการคาดเดาของจี้เฟิงมันจะเป็นอะไรไปได้อีกเพราะเซียวหยูซวนเคยเป็นอาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษที่โรงเรียนมัธยมปลายหมางซือ ดังนั้นมันจึงไม่แปลกหากเธอจะมาเป็นอาจารย์แผนกภาษาต่างประเทศในสหพันธ์มหาวิทยาลัย!
และปัญหาที่ว่านั่นก็คือถงเล่ยก็เรียนอยู่แผนกภาษาต่างประเทศ!
“ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้งสองสาวคงจะไม่ได้เจอกันไม่เช่นนั้นชีวิตฉันก็คงจะ…” ใบหน้าของจี้เฟิงปรากฏรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว
ด้วยเหตุนี้จี้เฟิงจึงตัดสินใจที่จะยังไม่บอกถงเล่ยเกี่ยวกับเรื่องของเซียวหยูซวนในตอนนี้สำหรับแผนการในอนาคตเขาคงต้องปล่อยให้มันเป็นไปทีละขั้นทีละตอนตามธรรมชาติ และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีความสัมพันธ์ใดที่สำคัญระหว่างเขาและเซียวหยูซวน