The Ultimate Student สุดยอดนักเรียนสมองอัจฉริยะ - บทที่ 171 โง่!
รถAudiของจี้เฟิงจอดห่างจากประตูของค่ายทหารไม่กี่ร้อยเมตร เขาจับผมของเขาและอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “โชคดีที่ผมของฉันมันสั้น ไม่งั้นหัวของฉันคงเหมือนหัวของคนบ้าไปแล้ว”
ตอนแข่งรถเมื่อกี้จี้เฟิงลืมปิดหน้าต่าง ลมจึงพัดอย่างแรงตลอดเวลา แล้วถ้าหากผมของเขายาว ป่านนี้ผมของเขาคงจะมีสภาพที่ดูไม่ได้ไปแล้ว
จี้เฟิงก้มดูนาฬิกาและพบว่าตอนนี้ยังไม่แปดโมงเช้าการฝึกซ้อมทหารน่าจะยังไม่เริ่มขึ้น เขาลงจากรถและหยิบใบอนุญาตเข้า-ออก ยื่นให้ตรงประตูและเดินเข้าไปในค่ายทหาร
เพราะจี้เคยฝึกที่นี่อยู่หนึ่งสัปดาห์เขาจึงไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับสถานที่แห่งนี้ หลังจากที่เขาลองถามคนแถวนั้นไปสองสามคน เขาก็มองเห็นทีมที่ถงเล่ยอยู่
ก่อนที่เขาจะออกจากค่ายทหารเขาจำได้ว่าถงเล่ยนั้นอยู่ทีมเดียวกันกับจางเล่ยและถึงแม้จี้เฟิงจะพบทีมของถงเล่ยแล้ว แต่ในกลุ่มคนเหล่านั้นก็เต็มไปด้วยนักศึกษาที่แต่งกายด้วยชุดลายพลางเหมือนกัน ดังนั้นการโทรหาจางเล่ยจึงน่าจะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า เขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและต่อสายไปหาจางเล่ยทันที
“ตื้ดดด~ตื้ดดด~!” ไม่มีคนรับสาย และจี้เฟิงก็นึกขึ้นได้ว่า นักศึกษาไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้โทรศัพท์มือถือในระหว่างฝึก ในเมื่อไม่มีหนทางอื่น จี้เฟิงจึงจำเป็นต้องเดินตรงไปยังทีมที่ถงเล่ยอยู่ เพื่อมองหาถงเล่ยด้วยตัวเอง และในไม่ช้าเขาก็มองเห็นถงเล่ยที่เวลานี้ยืนหันหลังมาทางเขา
“ถงเล่ยวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการฝึกทหารแล้ว หลังจากที่พักผ่อนกันจนหายเหนื่อยฉันอยากจะชวนเธอไปเดินเล่นรอบๆเมือง ฉันได้ยินมาว่ามีร้านขนมปังเพิ่งเปิดใหม่อยู่ที่ถนนจินหลิง เธออยากไปลองชิมด้วยกันมั้ย”
จี้เฟิงที่กำลังจะเดินเข้าไปหาถงเล่ยก็หยุดชะงักทันทีเมื่อเห็นว่ามีเด็กหนุ่มตัวสูงหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งเดินเข้ามาชักชวนถงเล่ยไปเดต เขาจึงหยุดเพื่อรอดูสถานการณ์ แต่จี้เฟิงนั้นเชื่อว่าถงเล่ยจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างดีเยี่ยม
ความจริงแล้วจี้เฟิงก็พอจะเข้าใจหัวอกของนักศึกษาชายเหล่านี้เป็นอย่างดีเพราะไม่ว่าใครที่ได้เห็นความสวยงามของถงเล่ยก็คงอดใจที่จะไม่มองไม่ได้ และไม่ว่าเธอจะสวมชุดอะไร ชุดเหล่านั้นก็ดูราวกับว่าได้สร้างขึ้นมาเพื่อเธอ ไม่เว้นแม้แต่ชุดลายพรางของทหารก็ยังทำให้เธอดูโดดเด่นสะดุดตา และการที่ต้องอยู่ทีมเดียวกันและต้องพบเจอกับความสวยงามแบบนี้ทุกๆวัน มันคงไม่ต่างจากถูกมนต์สะกด หากผู้ชายคนไหนปฏิเสธว่าเขาไม่เคยมองถงเล่ยเลย จี้เฟิงก็คงจะไม่เชื่อ
อย่างไรก็ตามคนเหล่านั้นก็ต้องรู้ตัวเองด้วยว่าสามารถเทียบเคียงกับหญิงสาวที่สวยงามคนนี้ได้หรือไม่
แน่นอนว่าชายหนุ่มตัวสูงที่หล่อเหลาคนนี้คิดว่าตัวเขานั้นเหมาะสม
ถงเล่ยกระซิบตอบเบาๆ“จางเหว่ยฉันต้องขอโทษด้วย แฟนของฉันจะมารับวันนี้ ฉันคงตอบรับคำเชิญของคุณไม่ได้!”
แม้ประโยคปฏิเสธจะดูทื่อไปบ้างแต่น้ำเสียงของถงเล่ยก็คมชัด คำตอบของถงเล่ยมันทำให้จี้เฟิงที่ยืนแอบฟังอยู่ไม่ไกลถึงกับอมยิ้มที่มุมปาก
เมื่อเห็นว่าถงเล่ยปฏิเสธคำเชิญของคนอื่นอย่างเด็ดขาดจี้เฟิงก็อารมณ์ดีและแอบพยักหน้าอยู่เงียบๆ เขารู้นิสัยใจคอของถงเล่ยดี การที่คนทั่วไปจะเข้าหาเธอนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้ว่าถงเล่ยไม่ได้คบหากับเขามาก่อนและมีผู้ชายที่หล่อเหลาเข้าหาเธอ จี้เฟิงก็เชื่อว่าถงเล่ยก็จะปฏิเสธอย่างแน่นอน เธอไม่ใช่คนที่จะยอมรับใครง่ายๆ เพราะมีตัวอย่างให้เห็นมาก่อนหน้านั้นแล้ว ซูหม่าที่หน้าตาหล่อเหลาไม่แพ้เด็กหนุ่มคนนี้และมีชาติกำเนิดที่ไม่เลว แต่ถงเล่ยนั้นไม่เคยแม้แต่จะชายตาแล
เมื่อเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาได้ยินคำปฏิเสธของถงเล่ยโดยไม่ลังเลใบหน้าของเขาก็กระตุกเล็กน้อยและก็กลับมาเป็นปกติแทบจะทันที พร้อมกับฉีกยิ้มอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดูจะเป็นรอยยิ้มที่ออกจะฝืนๆ “เพื่อนร่วมชั้นถงเล่ย แฟนของเธอเป็นใครเหรอ เขาเป็นน้องใหม่ของสหพันธ์มหาวิทยาลัยปีนี้หรือเปล่า?”
ถงเล่ยอารมณ์ดีเกินกว่าจะเพิกเฉยเธอจึงพยักหน้าอย่างไม่ค่อยใส่ใจและพูดว่า “ถูกแล้วจางเหว่ย แฟนของฉันเป็นนักศึกษาน้องใหม่ของสหพันธ์มหาวิทยาลัยและจะมารับฉันวันนี้ ฉันขอบใจที่คุณอุตส่าห์ชวน และขอโทษด้วยที่ต้องปฏิเสธ”
ถงเล่ยปฏิเสธอีกครั้งและความหนักแน่นในน้ำเสียงของเธอนั้นไร้ข้อกังขามันเป็นการบอกปฏิเสธคำเชิญของจางเหว่ยอย่างชัดเจนแต่ยังคงอยู่ในมารยาทที่ดี
จางเหว่ยขมวดคิ้วทันที“ถงเล่ยในเมื่อแฟนของเธอก็เป็นน้องใหม่ในสหพันธ์มหาวิทยาลัยงั้นก็หมายความว่าเขาก็ต้องเข้าร่วมการฝึกทหารด้วยไม่ใช่เหรอ แล้วเขาจะมีเวลามารับเธอได้ยังไง แต่ฉันสามารถทำได้ และถ้าเธอต้องการฉันพาเธอออกจากค่ายทหารได้เลยตั้งแต่ตอนนี้ ครอบครัวของฉันพอจะมีเส้นสายในค่ายทหารนี้อยู่บ้าง มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะให้พวกเขาคุยให้”
สีหน้าของถงเล่ยเริ่มไม่พอใจและกล่าวว่า“ขอโทษด้วยจางเหว่ย ฉันนัดกันแฟนของฉันเอาไว้แล้ว!”
จางเหว่ยต้องการที่จะพูดต่อแต่เขาก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆถงเล่ย เธอจับแขนของถงเล่ยและรีบพูดว่า “โอ๊ย จางเหว่ยนายอย่ามาจีบเล่ยเล่ยเลย เพราะเล่ยเล่ยของเราเปรียบเหมือนดอกฟ้าที่มีใครบ้างไม่อยากจะเข้าหาเธอ แต่คนอื่นเขาก็คิดได้น่ะนะ ฉันว่านายเอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า หากนายยังมาตอแยเธออยู่แบบนี้ ระวังแฟนของเธอจะเล่นงานนายเข้า ฉันไม่รู้ด้วยนา”
“ฮ่าๆในเจียงโจวจะมีใครมากล้าทำอะไรฉัน!” จางเหว่ยพูดอย่างโอ้อวด
“ขี้โม้!”หญิงสาวเบ้ปากพูดเสียงเบา
“เธอ..!”จางเหว่ยโมโหและตวาดขึ้นมาทันที แต่เมื่อเห็นถงเล่ยทำหน้าดุเขาก็อดไม่ได้ที่จะหุบปากและระงับความโกรธไว้ เข้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดด้วยรอยยิ้ม “เล่ยเล่ย เธอไม่รู้ถึงความรู้สึกของฉันเลยเหรอ”
“กรุณาเรียกฉันว่าถงเล่ย!” ถงเล่ยเริ่มไม่พอใจเล็กน้อย “และนอกจากนี้ฉันได้พูดไปอย่างชัดเจนแล้วว่า ฉันมีแฟนแล้วและฉันก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจความรู้สึกอะไรของคุณ!”
เมื่อพูดจบถงเล่ยก็จับแขนของเพื่อนสาวที่อยู่ข้างๆเธอและหันหนีทันที“ปิงปิงเราไปกันเถอะ!”
ทันทีที่หันกลับมาเธอก็เห็นร่างที่คุ้นเคยยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่ใกล้ไม่ไกลหากไม่ใช่จี้เฟิงแล้วจะเป็นใครไปได้อีก
มีรอยยิ้มจางๆปรากฏอยู่บนใบหน้าของจี้เฟิงเมื่อเขาเห็นสีหน้าที่แสดงความประหลาดใจอย่างไม่สามารถปกปิดได้ของถงเล่ยความงามที่ไม่มีใครเทียบได้ของถงเล่ยและความน่ารักของเธอ มีเพียงจี้เฟิงเท่านั้นที่สามารถมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งได้ด้วยมากที่สุด
มือเล็กๆของถงเล่ยที่จับแขนของปิงปิงอยู่ในเวลานี้นั่นบีบแน่นขึ้นดูเหมือนว่าเธอจะทั้งตื่นเต้นด้วยความสุขและประหม่า
ใกล้ๆกันนั้นจางเหว่ยกำลังมองถงเล่ยด้วยใบหน้าที่โกรธขึงตั้งแต่โตมาไม่เคยมีใครกล้าหักหน้าเขาเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะเคยโดนหญิงสาวปฏิเสธมาบ้างก็ตาม แต่ก็ไม่เคยมีใครพูดตรงๆโดยไม่สนใจความรู้สึกของเขาขนาดนี้ อย่างน้อยๆพวกเธอก็จะปฏิเสธด้วยความสุภาพ
“เมื่อไหร่ที่ฉันพาเธอขึ้นเตียงได้ฉันจะคอยดูว่าเธอจะยังทำตัวหยิ่งแบบนี้ได้อยู่อีกมั้ย!” จางเหว่ยพูดในใจและมองไปยังเรือนร่างที่แม้แต่ชุดรายพรางก็มิอาจปกปิดความงดงามของถงเล่ยได้ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
อย่างไรก็ตามช่วงเวลาต่อมาเขาได้เห็นฉากที่ทำให้เขาต้องเบิกตากว้าง
เขาเห็นชายหนุ่มตัวสูงในชุดลำลองเดินมาทางถงเล่ยพร้อมกับอ้าแขนและถงเล่ยก็ทำท่าเหมือนกับนกตัวน้อยกำลังบินกลับรัง เธอวิ่งเข้าไปหาและรีบทิ้งตัวลงในอ้อมแขนของชายหนุ่มคนนั้นด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มและมีความสุข
“จี้เฟิงในที่สุดนายก็มา!” ถงเล่ยกระซิบที่ข้างหูของจี้เฟิงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขและแววตาที่หวานซึ้ง
“ยับบ๊องฉันสัญญาว่าจะมาหาเธอวันนี้ ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องมาอยู่แล้ว!” จี้เฟิงลูบหลังถงเล่ยเบาๆและพูดด้วยรอยยิ้ม
ในเวลานี้ทุกคนต่างรู้ดีว่าในค่ายทหารที่ค่อนข้างเข้มงวดนี้ฉากใกล้ชิดแบบนี้ของชายและหญิงเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง
“โอ้วว!”ทุกคนในทีมที่หนึ่ง ทีมฝึกทหารของถงเล่ยต่างส่งเสียงอุทานและพากับปรบมือพร้อมกัน เสียงปรบมือที่ดังทำให้บรรยากาศดูคึกครื้นขึ้นมาทันที
หลังจากที่ได้ยินเสียงทุกคนปรบมือให้ใบหน้าของถงเล่ยก็แดงระเรื่อด้วยความอับอายและรีบผละออกจากอ้อมแขนของจี้เฟิงเธอเดินถอยหลังออกไปสองก้าว ในตอนนี้ดวงตาของเธอมีความรู้สึกเขินอายแต่ก็มีความสุขอยู่ลึกๆ
“เล่ยเล่ยนี่แฟนเธอเหรอ เขาหล่อจัง!” ปิงปิงเดินไปจับแขนของถงเล่ยและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคัก
ถงเล่ยหน้าแดงและรีบพูดเสียงเบา“เธอชอบเขาหรือเปล่าล่ะ ให้ฉันติดต่อให้มั้ย!”
ปิงปิงพูดยิ้มๆ“ดูจากน้ำเสียงแล้ว เหมือนเล่ยเล่ยของเราจะไม่ค่อยจริงใจเท่าไหร่เลยนะ คิกคิก~ ไม่เอาหน่า! ฉันจะแย่งแฟนของเพื่อนได้ยังไง ฉังคงได้แต่โทษโชคชะตาของฉันเท่านั้นที่ไม่เจอหนุ่มหล่อคนนี้ให้เร็วกว่านี้!”
ถงเล่ยรู้ดีว่าปิงปิงเป็นคนขี้เล่นและขี้แกล้งเธออดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและหัวเราะ “โอเคๆ เธอเลิกแกล้งฉันได้แล้ว ฉันจะแนะนำให้รู้จัก นี่แฟนของฉัน จี้เฟิง”
“จี้เฟิงสินะสวัสดีฉันเป็นเพื่อนร่วมห้องของเล่ยเล่ยและเป็นเพื่อนสนิทของเธอด้วย ฉันชื่อ หยางปิง” เมื่อกล่าวคำทักทายจบหญิงสาวที่ชื่อหยางปิงก็ยื่นมือที่ขาวเนียนแต่ดูแข็งแรงของเธอเพื่อจับมือทักทายกับจี้เฟิง
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย“สวัสดี ยินดีที่ได้รู้จัก” ในขณะที่พูด พวกเขาทั้งสองก็จับมือทักทายกัน
หยางปิงหัวเราะคิกคักและพูดว่า“ยินดีเช่นกันค่ะ แต่ดูเหมือนจะมีบางคนไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นะ!”
หยางปิงรู้สึกถึงรังสีแห่งความไม่พอใจอยู่ข้างๆเธอในขณะที่พูดเธอก็เหลือบมองไปยังจางเหว่ย
“เล่ยเล่ยเธอบอกว่าเขาคนนี้เป็นแฟนของเธอใช่มั้ย เหอๆ ฉันมีความคิดดีๆอย่างหนึ่งอยากจะเสนอ เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้พบกัน เดี๋ยวพอเราฝึกทหารกันเสร็จ เราไปกินข้าวด้วยกันดีมั้ย ฉันขอเป็นเจ้าภาพเองนะ!”
“จางเหว่ย!ฉันบอกคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้เรียกฉันว่าถงเล่ย!” ถงเล่ยอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
“เหอๆชื่อไหนก็เหมือนกันแหละ ในเมื่อฉันก็เป็นเพื่อนเธอเหมือนกัน แล้วทำไมเธอถึงต้องแบ่งแยกด้วยล่ะ”
จี้เฟิงยิ้มกว้าง“เล่ยเล่ยเราไปกันเถอะ การฝึกซ้อมทหารครั้งสุดท้ายนี้น่าจะไม่มีอะไรสำคัญ”
“อ่า..แต่ถ้าฉันไม่เข้าร่วมฉันจะต้องถูกหักคะแนนน่ะสิ!” ถงเล่ยรู้สึกเป็นกังวล
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า“ให้พี่ชายของเธอโทรไปคุยให้ได้มั้ยล่ะ ว่าแต่.. เขาหายไปไหน? เจ้าเด็กเกเรนั่นปล่อยให้เธออยู่คนเดียวได้ยังไง ทำไมไม่คอยดูแลเธอ!”
เมื่อตอนที่จี้เฟิงออกจากค่ายทหารจี้เฟิงได้จัดการบอกให้จางเล่ยคอยอยู่ข้างๆและดูแลถงเล่ยให้ดี เขาไม่อยากให้ใครมากลั่นแกล้งเธอนับประสาอะไรกับการที่เขาจะยอมให้ผู้ชายที่ไหนไม่รู้มาจีบเธอ แต่ตอนที่เขามาที่นี่เขายังไม่เห็นแม้แต่เงาของจางเล่ยเลย หลังจากนึกขึ้นได้จี้เฟิงก็กัดฟันอย่างโกรธๆ เขากำลังคิดว่าถ้าเขาได้เจอจางเล่ยเขาคงต้องเคลียเรื่องนี้กับจางเล่ยซักหน่อยแล้ว!
เมื่อถงเล่ยเห็นใบหน้าที่บึ้งตึงของจี้เฟิงเธอก็พอจะเดาได้ว่าจี้เฟิงกำลังคิดอะไรอยู่ถงเล่ยจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆและพูดว่า “นายไม่รู้เหรอ พี่ชายจอมแสบของฉันเขาได้เป็นหัวหน้าทีมของเรา ตอนนี้การฝึกซ้อมกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ครูฝึกเลยเรียกตัวพี่ชายของฉันไปช่วยจัดการเรื่องต่างๆ” Aileen-novel
“หืมอย่างจางเล่ยน่ะนะจะจริงจังในการฝึกทหารจนได้เป็นหัวหน้าทีม” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เท่าที่เขาจำได้ จางเล่ยเป็นคนไม่ชอบเรื่องวุ่นวายมากที่สุด อย่าพูดถึงการที่ต้องเป็นหัวหน้าทีมหรือแม้แต่การเป็นหัวหน้ากลุ่มเล็กๆเลย เขาไม่ได้คาดหวังด้วยซ้ำว่าจางเล่ยจะสามารถฝึกทหารได้ครบเดือน เขาเปลี่ยนไปมากจริงๆ
“เพื่อนคนนี้จะให้ฉันเรียกนายว่าอะไรดี” จางเหว่ยที่อยู่ข้างๆถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนัก เมื่อเห็นว่าตัวเองถูกคนพวกนี้เมิน ใบหน้าของเขาที่พยายามฝืนยิ้มบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด
“จางเหว่ยนายจะทำอะไร”ก่อนที่จี้เฟิงและถงเล่ยจะได้พูด หยางปิงที่อยู่ข้างๆก็พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “นายคงไม่ได้คิดที่จะตามจีบผู้หญิงที่เขามีแฟนแล้ว และนายก็คงไม่คิดที่จะเข้าไปแทรกกลางระหว่างพวกเขาที่เพิ่งจะได้พบกันหรอกใช่มั้ย?”
“หยางปิงเธอก็พูดเกินไปพวกเขายังไม่ได้แต่งงานกันซักหน่อย หรือต่อให้แต่งงานแล้วก็ยังมีคู่รักตั้งหลายคู่หย่าขาดจากกัน แต่ตอนนี้พวกเขาเป็นแค่แฟนกันไม่ใช่เหรอ” จางเหว่ยส่ายหัวอย่างไม่แยแส และมองไปที่จี้เฟิงด้วยหางตา “เพื่อนคนนี้ นายกล้าที่จะแข่งขันกับฉันอย่างยุติธรรมหรือเปล่าล่ะ?”
“มันมีคนงี่เง่าเยอะจริงๆแฮะ!”จี้เฟิงหัวเราะเยาะผู้ชายที่โง่เง่าคนนี้ เขาไม่คิดว่าจะมีคนหน้าด้านกล้าพูดเรื่องการแข่งขันที่ยุติธรรมทั้งๆที่ถงเล่ยเป็นแฟนของเขาอยู่แล้ว ทำไมเขาจะต้องไปแข่งขันอะไรกับคนอื่นด้วย
คนที่พูดอะไรแบบนี้ออกมาได้นี่ถ้าไม่บ้าก็คงโง่จริงๆ!
“นายลองโทรหาพ่อของนายและถามเขาว่าต้องการจะแข่งขันกับฉันอย่างยุติธรรมเพื่อเอาแม่นายมั้ย ในเมื่อนายพูดเองว่าแต่งได้ก็หย่าได้!” ถ้าไม่ได้เป็นเพราะตอนนี้อยู่ต่อหน้าถงเล่ยและหยางปิง เกรงว่าจี้เฟิงคงทักทายจางเหล่ยด้วยประโยคนี้ไปแล้ว
แต่ถึงแม้เขาจะไม่ได้พูดประโยคเหล่านี้ออกไปแต่เขาก็แสดงสีหน้าและแววตาด้วยความรังเกียจอย่างเยาะเย้ยและไม่ปิดบัง
“เล่ยเล่ยเราไปกันเถอะฝึกทหารมาหนึ่งเดือนเต็มๆผิวเธอคล้ำขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย” จี้เฟิงไม่สนใจจางเหว่ย เขาเพียงแค่หันไปพูดกับถงเล่ยด้วยรอยยิ้มและจับมือเล็กๆของเธอ
ถงเล่ยแลบลิ้นเล็กๆของเธออย่างน่ารักและกระซิบเบาๆ“ในระหว่างฝึกทหารเขาไม่อนุญาตให้แต่งหน้าเลยนี่ หรือแม้แต่ครีมกัดแดดอะไรพวกนั้นก็ห้ามใช้! มันคงแปลกถ้าผิวฉันจะไม่ดำขึ้นแบบนี้!”
“ถ้าเธอแอบใช้ครูฝึกจะรู้ได้ยังไงหรือเขามองออก” จี้เฟิงประหลาดใจมาก เป็นไปได้ไหมว่าปกติแล้วครูฝึกทหารจะว่างจัดและไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากนั่งจ้องมองนักศึกษาสาวๆทั้งวัน?
ถงเล่ยหัวเราะเบาๆ“นายลืมอะไรไปหรือเปล่า ในวันที่อากาศร้อนเช่นนี้ ต่อให้แอบใช้สำเร็จแต่สุดท้ายก็ต้องมาฝึกทหารอย่างหนัก และแน่นอนว่าเหงื่อก็จะต้องออก และไม่ว่าจะแต่งหน้าหรือทาครีมพอเจอเหงื่อมันก็ต้องเลอะเทอะเป็นคราบ ต่อให้เป็นคนสายตาไม่ดีก็ยังมองออกว่าเราใช้เครื่องสำอางบางอย่างแน่นอน!”
จู่ๆจี้เฟิงก็หัวเราะออกมามันเป็นอย่างที่ถงเล่ยว่าจริงๆ การฝึกทหารในช่วงฤดูร้อนแล้วไม่มีเหงื่อเลยมันก็คงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และถึงแม้ว่าจะใช้เครื่องสำอางเป็นร้อยๆชั้นบนใบหน้า แต่สุดท้ายมันก็ต้องถูกชะล้างออกไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!
“ฮ่าฮ่า~ งั้นเราก็ไปกันเร็ว เราจะได้ไม่โดนแดดที่นี่เผาอีก!” จี้เฟิงจับมือเล็กๆของถงเล่ยและหันไปพูดกับหยางปิง “หยางปิงใช่มั้ย ไปด้วยกันเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องการฝึกทหารในวันนี้ เดี๋ยวจางเล่ยจะจัดการให้เอง!”
อันที่จริงจี้เฟิงก็ไม่รู้ว่าจางเล่ยจะจัดการให้ได้หรือเปล่าเพราะเขาก็ไม่แน่ใจว่าตระกูลถงพอจะมีเส้นสายอยู่ในค่ายทหารบ้างมั้ย อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดที่จะโยนธุระเรื่องนี้ให้จางเล่ยจัดการแต่แรกอยู่แล้ว เขาคิดที่จะโทรหาผู้บัญชาการภาคส่วนที่รู้จักกับอาสองของเขาหลังจากที่เขาออกจากค่ายทหารไปแล้ว ให้เขาช่วยจัดการเรื่องนี้ให้ เพียงแต่เขาไม่สามารถพูดอะไรได้มากต่อหน้าคนอื่นๆในตอนนี้
หยางปิงส่ายหัว“ลืมไปได้เลย พวกเธอได้เจอกันทั้งที ฉันไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอพวกเธอหรอกนะ..”
จี้เฟิงรู้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีกับเพื่อนสาวแสนใจดีคนนี้ของถงเล่ยขึ้นมาเล็กน้อยเขาพยักหน้าและพูดว่า “งั้นก็ตามที่คุณว่า เอาไว้ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลืออะไร คุณสามารถติดต่อผมผ่านถงเล่ยได้เลย!”
ด้วยเหตุนี้เขาจึงจับมือถงเล่ยและพากันเดินจากไป
ในตอนนี้จางเหว่ยที่ถูกเมินก็โกรธขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่เขาไม่พอใจตั้งแต่เห็นจี้เฟิงครั้งแรกแล้ว และตอนนี้เขาถูกสามคนนี้เมินใส่ มันทำให้เขารู้สึกอับอายและโกรธมากเขาจึงตะโกนขึ้นมาว่า “เฮ้ย หยิ่งมากนักเหรอแกน่ะ!” จางเหว่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยว
จี้เฟิงหยุดชะงักและหันมามองเขาด้วยสายตาแห่งความรังเกียจแต่เมื่อเขากำลังจะอ้าปากพูดถงเล่ยก็ดึงมือของเขาไว้แล้วบอกว่า “ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก เราไปกันเถอะ!”
คนอื่นอาจจะไม่รู้แต่ถงเล่ยรู้จักตัวตนและอารมณ์ของจี้เฟิงดี ถ้ามีอะไรมาทำให้จี้เฟิงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ เรื่องต่างๆอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ และเมื่อถึงตอนนั้นชีวิตของเธอก็คงจะไม่แตกต่างจากเมื่อตอนเรียนมัธยมปลาย ทุกคนต่างรู้ว่าเธอมีตระกูลที่ทำงานในรัฐบาลและตำแหน่งก็ไม่ใช่เล็กๆในหมางซือ มันจึงทำให้มีเพียงไม่กี่คนที่กล้าพูดคุยกับเธอเหมือนเพื่อนอย่างแท้จริง
จี้เฟิงยิ้มและลูบหัวของถงเล่ยเบาๆด้วยความรัก“โอเคฉันจะทำตามที่เธอบอก ไปกันเถอะ!”